ไดอารี่เด็กอิงก์ - นิยาย ไดอารี่เด็กอิงก์ : Dek-D.com - Writer
×

    ไดอารี่เด็กอิงก์

    โดย redPipe

    บันทึกวุ่นๆประจำวันของหนุ่มมหาลัย เราป่าววิดวะ, ป่าวเป็นหมอ แต่ทุกคนเรียกเราว่า เด็กมนุดอิงก์ xD

    ผู้เข้าชมรวม

    110

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    110

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 พ.ค. 58 / 00:00 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                04/30/2015 - Yes Man!!

                ความยาก มักเกิดขึ้นที่ครั้งแรกเสมอ เราเรียกมันว่า " จุดเริ่มต้น"  จุดเริ่มต้นของเรื่อง ของไดอารี่ หรือแม้แต่จุดเริ่มต้นของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย

                นึกย้อนกลับไปตอนเข้า ม. ใหม่ๆ เป็นช่วงชีวิตที่สนุกสุดๆเลยละครับ ลองนึกภาพดูสิ หนุ่มน้อยอารมณ์ดีวัย 20 ต้นๆ กำลังจะเริ่มต้นชีวิตมหาลัย ที่คณะมนุษฯอิงก์ด้วยความรู้ที่เกี่ยวกับมันแทบจะเป็นศุนย์! ถูกต้องแล้วครับ แทบจะเป็นศุนย์เลยทีเดียว!!!

                ยังจำความรู้สึกของวิชาแรกที่เรียนได้อยู่เลย วิชา Oral in Communication  ซึ่งเป็นวิชาที่ว่าด้วยการใช้ปาก ไม่สิ อย่าคิดลึกไป เป็นการฝึกพูดภาษาอังกฤษเบื้องต้น เพื่อปรับพื้นฐานของเด็กเข้าใหม่สำหรับเด็กอิงก์ ผมแทบจะไม่มีปัญหากับวิชานี้เลย ถ้าอาจารย์ไม่ใช่ชาวผมทอง ตาสีฟ้า ใช่ครับ อาจารย์ท่านเป็นฝรั่ง!!! คิดดูสิ หัดพูดอังกฤษครั้งแรก ก็เล่นของสูงซะเลย คุยกับ Native speaker เจ้าของภาษาแท้ๆเลยเชียวละ อาจารย์ท่านนี้มีชื่อว่าปีเตอร์ เอฟ16 - Perter F16 ..ลืมเรื่องชื่อปืนไปก่อนนะครับ เพราะไอ้ F16 นี้ มันคือเกรด!!! ปีแล้วอาจารย์แจกเกรดด้วยความน่ารักๆแก่นักศึกษาตาดำๆไป โดยให้ F ไป 16 คน!!!!(จริงๆจะเอา ! ซัก 16 ตัวก็กลัวมันจะเยอะเกินสิครับ แหะๆ) - ข้อมูลนี้ถูกบอกปากต่อปากจากรุ่นพี่ ซึ่งมารู้ภายหลังว่า แก อำเล่น - แต่ด้วยความที่เราไม่รู้ไงครับ ก็เกิดอาการกลัว และเกร็งสุดๆเวลาคุยกับอาจารย์ กลัวอาจารย์ท่านจะอารมณ์ไม่ดี ลุกขึ้นมาเอาปากกาแดงกาที่หน้าผากว่า F for You ซะดื้อๆ ซะนี่

                และเรื่องที่ขำขัน และน่าอายที่สุดตอนเริ่มต้นชีวิตมหาลัยก็เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ได้เรียนวิชานี้ไปซักพัก ด้วยความที่ผมเป็นคนพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย เพราะว่าเรียนอังกฤษมาด้วยความจำล้วนๆ รู้ว่าพูด How are you? ต้อง ตอบ I'm fine, Thank you, and you? (ผมเชื่อว่าเด็กไทยทุกคน พูดแพทเทิร์นด้วยกันทั้งประเทศ คุณด้วยสินะ xD) แต่เวลาพูดกับเจ้าของภาษานี่สิ พี่แกจัดเต็มมาซะทุกประโยค อาทิเช่น What's up? - How is it going? - How are you doing? พวกนี้เป็นประโยคทักทั้งหมดเลยครับ อารมณ์ก็ประมาณ How are you?(สบายดีไหมเอ่ยของไทยนั่นแหละครับ) ชาวตะวันตกจะพูดคำเหล่านี้จนติดเป็นปาก คล้ายๆกับคำว่า Hello หรือสวัสดีเรานี่แหละ และการถามด้วยคำถามเหล่านี้ ส่วนใหญ่พี่แกไม่ต้องการคำตอบกันหรอก ครับ ถามแค่ให้พอเป็นพิธีอารมณ์ว่า ทักแล้วนะเอ้อ และด้วยความที่เราไม่เคยแม้แต่ไปแตะชายแดนของตะวันตกมาก่อน เราจึงตอบแกอย่างจริงจังทุกครั้งที่ถูกถามมา ส่วนคำแก้ขัด ที่ช่วยให้เราเอาตัวรอดมาได้ ก็เป็นเพียงคำสั้นๆคำเดียวเท่านั้น มันคือคำว่า Yes .. ใช่ครับ นี่แทบจะเป็นศัพท์ตัวเดียวที่ผมพอมั่นใจ ว่าสามารถพูดออกมาได้อย่างถูกต้องที่สุด และก็ใช้คำนี้เอารอดตัวมาได้แทบจะทุกสถานการณ์ อารมณ์คือตอบ Yes อย่างเดียว ฟังออกไม่ออก ขอ Yes ไว้ก่อน ลองนึกดูสิครับ ถ้ามีคนถามคุณว่า สวัสดี เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม? และไอ้หมอนั่นตอบกลับมาว่า ใช่ และมันก็จะตอบแบบนี้เรื่อยๆ ตลอดจนคุณเริ่มสงสัยว่า ใช่อะไรของมันว้า?? ถามว่าสบายดีไหมตะหากเล่า - เรื่องมันเริ่มต้นที่ นายปีเตอร์ให้แบ่งกลุ่มทำงาน และการทำงานแบบนี้ขอบอกเลยว่า นรกมาก!! เพราะการเข้า ม. ใหม่ๆแล้วจะให้สนิทกับคนอื่นอย่างรวดเร็วเลยคงเป็นไปได้ยาก นอกจากนี้การทำงานเป็นกลุ่มทุกคนอาจจะระแคะระคายใจได้ว่า ความรู้ทางด้านภาษาอังกฤษของไอ้หมอนี่ มันไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า แล้วมามั่วถั่วนั่งเรียนทำแมวอะไรฟะ!! แต่ไม่ครับ ผมจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างเด็ดขาด เพราะฉะนั้นจะผมพยายามโชว์ให้มากที่สุดว่า กุสื่อสารกะอาจารย์รู้เรื่องนะเฟ้ย - อาจารย์แก ก็อธิบายไปเรื่อยๆ พอจบปุ๊ปก็เหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ด้วยความที่อยากจะโชว์เร็วๆ ผมก็ตอบกลับอย่างไว และดังพอที่ขนาดคนทั้งห้องจะหันมามองว่า Yes!! ทุกคนเงียบ ดวงตาทุกคนในห้องหันมาจ้องที่ผมพร้อมๆกันอย่างมิได้นัดหมาย เพราะคำถามที่นายปีเตอร์ถามมาก็คือ Do you have any questions?(มีใคร จะถามอะไรมั้ย?) ผมดันตอบไปว่า มี นี่สิ = = อาจารย์แกก็เดินมาหา และยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเลยเชียวละ ไอ้ตัวผมนี่ก็เหงื่อแตกราวกับน้ำตกไนแองการา ด้วยความที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมจึงพยายามนิ่ง เงียบ และโฟกัสไปที่จุดๆเดียว มองก้มไปที่โต๊ะตรงหน้าเท่านั้น ถือคติว่า นิ่งสงบ สยบเคลื่อไหว แต่นายปีเตอร์หาได้ถอดใจไม่ ยังถามมาอีกว่า Questions?(คำถามละ?) ผมรู้ดีว่าถ้าขืนนิ่งต่อไป คนทั้งห้องได้สงสัยผมแน่ๆ ผมจึงเงยขึ้นมามองหน้านายปีเตอร์ ท่ามกลางดวงตาทุกคู่ที่จับจ้องมา ผมตอบกลับไปด้วยเสียงดังฟังชัดเท่าที่สุดในชีวิตเคยพูดออกมา ..ว่า Yes!!!! ทุกคนนิ่ง อึ้งสิครับมา เยส เยิสอะไรของเอ็ง คำถามละๆ คำถามอยู่ไหน??? ฃอาจารย์เองก็ไม่ยอมแพ้ ทำหน้างงๆแล้วถามกลับมาว่า Sorry, What is your question again?(ห๊ะ คำถามของแกละ จะถามไม่ใช่เรอะ) ผมก็ Keep going ในคำตอบของตัวเองต่อไป Yes!, Yes!!, แล้วก็ Yes!!! ..เท่านั้นละครับ จากที่ทุกคนเงียบกริบ ก็กลายเสียงฮาครืนทั้งห้องซะงั้น ฮากันกระจาย ฮากันแบบขี้แตกขี้แตนกันเลยทีเดียว และนี่ก็ถือว่าเป็นการแจ้งเกิดสำหรับผมให้เป็นดาวเด่นของห้องเลยก็ว่าได้(ผมควรจะดีใจใช่มั้ย = =??)

                นี่ละครับ เรื่องน่าอายที่แทบจะไม่เคยเล่าให้ใครฟัง(เพราะทุกคนเอาไปเล่าปากต่อปากกันหมดแล้ว = =") เรื่องมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วครับ ส่วนตัวผมตอนนี้ก็พอมีความมั่นใจในภาษาของตังเองมากขึ้นครับ อย่างน้อยก็รู้จักคำว่า No ไว้ป้องกันตัวบ้างละ

                สุดท้ายนี้อยากจะบอกเพื่อนๆทุกคนที่สนใจในด้านภาษาว่า ภาษาไม่ใช่ ability แต่มันคือ skill ครับ - สองคำนี้แปลว่า ทักษะ/ความสามารถเหมือนกัน หากแต่การใช่งาน อาจจะต่างกันซักเล็กน้อย เพราะ ability คือความสามารถที่มีติดตัวมาแล้วแต่แรก แต่ skill เป็นความสามารถที่ต้องพยายามถึงจะได้มันมา ต้องทน ต้องอ่าน ต้องฟัง - - - และต้องไม่ลืมที่จะสนุกับมันด้วยนะครับ

                ถ้าหากเจอฝรั่งถามอะไรแปลกๆ อย่าลืมลองตอบ Yes ดูนะครับ 

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น