Fic LSK : บทสรุปตำนานเทพอัศวินฉบับขยาย - Fic LSK : บทสรุปตำนานเทพอัศวินฉบับขยาย นิยาย Fic LSK : บทสรุปตำนานเทพอัศวินฉบับขยาย : Dek-D.com - Writer

    Fic LSK : บทสรุปตำนานเทพอัศวินฉบับขยาย

    เรื่องราวตำนานของเหล่าเทพอัศวินที่ดำเนินไปหลังจากเรื่องราวของเจ้าชายปีศาจเกรเซียสได้สิ้นสุดลงชีวิตของแต่ละคนที่ต่างเป็นไป...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,257

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.25K

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    17
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ย. 55 / 09:06 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทสรุปตำนานเทพอัศวินฉบับขยาย
       
      กองทัพเรือนหมื่นของเหล่าเทพอัศวินต่างพากันเดินทยอยเข้าประตูเมืองภายใต้การนำทัพของข้าเข้าสู่ประตูเมืองท่ามกลางการต้อนรับอย่างใหญ่โตของชาวเมืองลีฟบลัดในฐานะวีรบุรุษที่สามารถโค่นล้มเจ้าชายปีศาจผู้ชั่วช้าได้สำเร็จ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องอย่างกึกก้องข้ากลับได้ยินเสียงของหญิงชราผู้หนึ่งที่เคยกล่าวกับข้าก่อนที่จะก่อนจากเมืองลีฟบลัดครั้งสุดท้ายก่อนที่ข้าจะกลายเป็นเจ้าชายปีศาจไป
       
      “ท่านทำตามสัญญาจริงๆ เทพอัศวินครีอุส” ข้ายิ้มตอบรับนางด้วยรอยยิ้มที่สว่างไสวแล้วกล่าวว่า
       
      "ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว...ไม่มีอะไรให้ท่านต้องกังวลอีก"
       
      เมื่อมุ่งหน้าเข้าสู่เขตวิหารเทพข้าก็ได้พบกับคนที่ข้าเฝ้าคิดถึงมาโดยตลอด ท่านอาจารย์นีโอ... ข้ารีบลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปทำความเคารพท่าน ทั้งที่ใจจริงแล้วข้าอยากที่จะโผล่เข้าไปกอดท่านอาจารย์แล้วออดอ้อนท่านดูซักตั้ง อยากรู้เหลือเกินว่าท่านจะเป็นห่วงข้าไหม
       
      ท่านอาจารย์ฉีกยิ้มกว้างตอบรับข้าอย่างอบอุ่น แต่ข้ารู้สึกว่ามันจะไม่ใช่ใจจริงของท่านนะ ท่าทางดูเหมือนท่านอาจารย์อยากจะแยกเขี้ยวแล้วจับข้าล็อคคอแล้วเพ่นกบาลข้ามากกว่า โชคดีจริงๆที่ท่านยังอุตส่าห์รักษาภาพรักษาของอดีตเทพอัศวินครีอุสต่อหน้าผู้คนเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ข้าจึงรอดพ้นจากการถูกนินทาว่าเป็นเทพอัศวินครีอุสที่ถูกเพ่นกบาล แทนที่จะเป็นเทพอัศวินครีอุสผู้เป็นคนปราบเจ้าชายปีศาจแห่งตำนาน
       
      ข้ากล่าวอำลาทุกคนแล้วสั่งให้อาเดร์จัดการเรื่องราวทุกอย่างที่เหลือ แล้วเดินตามท่านอาจารย์เข้าไปภายในตำหนักฯ ยังส่วนเรือนรับรองพิเศษที่คราวที่แล้วข้ายังไม่ได้แวะมาถล่ม
       
      “ดีจริงๆ ลูกเอ๋ยที่เห็นเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย”
       
      “ขอรับ ด้วยความคุ้มครองขององค์มหาเทพทำให้ศิษย์ของท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย”
       
      ท่านอาจารย์นีโอถอนใจแล้วมองข้า “เจ้านี่มันดีแต่สร้างเรื่องยุ่งๆ คราวนี้ก็อาราวาดถล่มตำหนักฯซะเละไปเป็นแถบๆ ทิ้งเรื่องยุ่งยากไว้ให้ข้าเป็นกระบุงโกยเห็นทีว่าแค่สามปีคงจะไม่พอกระมัง”
       
      “สามปีอะไรกันล่ะขอรับท่านอาจารย์ ข้าไม่เข้าใจ” ข้าเสแสร้งยิ้มอย่างใสซื่อ
       
      ตายล่ะ ชีวิตหลังเกษียณของข้า หากต้องไปตามก้นท่านอาจารย์ตลอดสามปี(หรือตอนนี้อาจจะมากกว่านั้นแล้วก็ได้) แล้วข้าจะไปมีโอกาสหาผู้หญิงรูปร่างดีๆไว้เป็นคนรักซักคนจากไหนกันล่ะ ข้ามิต้องกลายเป็นตาเฒ่าที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวไปชั่วชีวิตหรอกหรือ
       
      ท่านอาจารย์นีโอแสยะยิ้มแล้วคำรามในลำคอว่า “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่รู้จริงๆหรือเกรเซียส...”
       
      ข้าขนลุกพรึ่บประหนึ่งว่าเพิ่งได้ยินเสียงที่สยดสยองที่สุดในโลกของคนเป็น...เห็นทีว่าจะหลอกท่านอาจารย์ไม่ได้ซะแล้ว
       
      “ท่านอาจารย์...” ข้าลากเสียงยาวแบบที่อาเดร์ชอบใช้เรียกข้าแล้วลงไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น กระดืบมาเกาะเข่าของท่าน
       
      “ใจคอท่านจะเอาข้าไปอยู่กับท่านจริงๆ หรือขอรับ ข้าน่ะต้องอยู่ในลีฟบลัดไปตลอดชีวิตนะ แล้วท่านจะมาอยู่ในเมืองเล็กๆอย่างลีฟบลัดที่ไม่มีเรื่องน่าสนใจอะไรเลยได้อย่างไร ไม่เหมาะสมกับอดีตเทพอัศวินครีอุสผู้ยิ่งใหญ่และที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์หรอกขอรับ” ข้าประจบเต็มที่
       
      “เจ้าไม่อยากจะไปอยู่กับข้าก็ว่ามาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม...”ท่านอาจารย์สะบัดเสียงใส่ข้า
       
       “แต่จะว่าไปแล้วขืนข้าต้องมาอยู่ที่นี่นานตั้งสามปีคงจะน่าเบื่อแย่” ได้ยินดังนั้นหัวใจของข้าก็ลิงโลด ทว่า...
       
      “งั้นเอาเป็นว่า วันไหนข้ามาลีฟบลัดเมื่อไหร่ เจ้าก็มาอยู่ปรนบัติข้าก็แล้วกันนะเกรเซียส... แล้วก็อย่าคิดหนีหรืออย่าลืมสัญญาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น...” ท่านก็จะส่งข้าไปเฝ้าองค์มหาเทพในทันที...
       
      “ขอรับ”
       
      “รู้ก็ดีแล้ว เอาล่ะข้าอยากพักผ่อน เจ้าเองก็ไปเตรียมตัวไปพบอาชี่ได้แล้ว วันนี้เจ้าต้องไปรายงานผลการออกรบไม่ใช่รึ...บางทีเขาอาจจะเตรียมอะไรไว้เซอร์ไพร์สเจ้าอยู่ก็ได้”
       
      สำหรับคนอย่างฝ่าบาท... การไม่เตรียมอะไร แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่างหากถึงจะดีที่สุด อย่ามาหาเรื่องอะไรให้ข้าต้องประหลาดใจจะดีมากๆ แต่ข้าก็ต้องรับคำอย่างว่าง่าย
       
      “ขอรับ”
       
      +++++++++++++
       
      ฝ่าบาท...
       
      ข้ามาพบพระราชาในห้องทรงอักษร ดูเหมือนว่าจะทรงรอข้าอยู่ ข้าจึงรีบทำความเคารพเขาในแบบฉบับเทพอัศวินครีอุสที่ต้องประกอบไปด้วยรอยยิ้มพริ้มพราย
       
      “ยินดีที่เจ้ากลับมาด้วยชัยชนะอันงดงามนะ แม้ว่ามันจะทำให้เหรียญทองในท้องพระคลังหายวับไปไม่น้อย”
       
      มาถึงพระราชาก็รีบท้วงบุญคุณกับข้า...
       
      “ด้วยพระเมตตาขององค์มหาเทพที่ทรงประทานพระปัญญาอันปราดเปรื่องแด่พระองค์อีกไม่นานท้องพระคลังอันว่างเปล่านั้นคงจะถูกเติมเต็มในเวลาไม่นานแน่นอนพระเจ้าค่ะ โดยเฉพาะสิ่งที่เคยอยู่ในท้องพระคลังของโยแลนด์กับ กัลซินก์มาก่อน...”
       
      เอาข้ามาหาผลประโยชน์ได้ในระยะยาวได้ขนาดนี้ยังจะมาทำเป็นตัดพ้อใส่ข้าอีก ข้าว่าเผลอๆค่า ‘ดูแล’ ที่ไม่ได้กระเด็นไปถึงข้าซักเหรียญเดียวนั้นอีกหน่อยมันจะมากยิ่งกว่าเงินลงทุนจัดทัพที่ฝ่าบาทให้เทอร์มิสไปเสียอีก เอาเถอะนึกเสียว่าล้างแค้นที่พวกนั้นเคยร่วมมือกันรังแกวิหารเทพของข้าตอนที่ข้าเสียสติไปครึ่งปีนั่น 
       
      “นั่นซินะ ข้าตัดสินใจไม่ผิดเลยจริงๆ ที่ยอมเชื่อคำพูดของเทพอัศวินเทอร์มิสว่าเจ้าจะกลับมาอย่างแน่นอน” พระราชาหัวเราะ แล้วกวักมือเรียกข้าให้ไปนั่งใกล้ๆพระองค์ พอข้ามองดูใกล้ๆ ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “ทรงผ่ายผอมลงไปมากนะพระเจ้าค่ะ”
       
      พระราชาไม่ตอบข้าในเรื่องนั้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า... “แต่เจ้าซิรูปร่างอ้วนพลี คงจะอยู่ดีกินดียิ่งกว่าพระราชาอย่างข้าแน่ๆ” ข้าทำหน้าบูด ไอ้เรื่องต้องแกล้งทำเป็นสง่างามน่ะ ป่านนี้แล้วพอเถอะ ถ้าพระราชาที่รับได้แม้แต่ให้เจ้าชายปีศาจเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ กลับอีแค่เทพอัศวินครีอุสที่ไม่ยิ้มน่ะเรื่องเล็กน้อย
       
      พระราชาเห็นข้าทำหน้าบึงก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก็นะไอ้การได้แกล้งข้าน่ะ มันเป็นความสุนทรีย์ของพระราชราองค์นี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่...
       
      “ดีใจจริงๆที่เห็นเจ้ากลับมา ตั้งแต่รู้ว่าเจ้ากลายเป็นเจ้าชายปีศาจ ข้าคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีโอกาสเห็นเจ้าแบบนี้อีกแล้ว... นีนี่คงจะดีใจมากที่เห็นเจ้ากลับมาปลอดภัย... ข้าก็เช่นกัน...” ข้ามองพระราชาที่พูดกับข้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือหนานั่นกำลังจะยกมาลูบศีรษะข้าอีกแล้ว ให้ตายเถอะวันนี้ข้าพกหวีมาด้วยหรือเปล่านะ
       
      “พอเทพอัศวินครีอุสหายตัวไป อะไรๆมาก็ยุ่งวุ่นวายไปหมด ข้าไม่นึกเลยจริงๆว่า ลีฟบลัดที่ไม่มีเทพอัศวินครีอุสอยู่มันจะวุ่นวายขนาดนี้”
       
      เทพอัศวินครีอุสไม่เคยต้องทำราชกิจ แล้วมันจะไปเกี่ยวอะไรกับงานที่พระราชามันเพิ่มด้วยเล่า... ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยซักนิดเดียว  อา...ผมข้าเสียทรงหมดแล้ว... ดีจริงที่วันนี้ข้าพกหวีมาด้วย
       
      “แต่มันจะไม่มีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกแล้วพระเจ้าค่ะ จากนี้เทพอัศวินครีอุสจะอยู่ที่ลีฟบลัดตลอดไป…”
       
      “อยู่แล้วก็อย่าก่อเรื่องสร้างเรื่องเพิ่มอีกก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นชาตินี้ทั้งชาติเจ้าก็จ่ายหนี้ข้าไม่หมดแน่ๆ”
       
      หนี้เหรอ? หนี้อะไรกัน ข้าไม่เคยเป็นคนมาขอยืมเงินพระราชาเลยนะจะเป็นหนี้ได้ยังไง
       
      พระราชายิ้มละมัยก่อนจะยื่นสมุดบัญชีตัวแดงที่แจกแจงรายละเอียดมาให้ข้าตรงหน้า
       
      “นี่แค่เฉพาะค่าเสียหายที่เจ้าทำลายเมืองนะเมื่อคราวก่อนเจ้ายังคงจะจำได้” นั่นมันฝีมือชาร์ล็อตต์ จะหาคนชดใช้ก็ไปหานางซิ...  แต่ก็อดเหลือบมองตัวเลขนั่นไม่ได้
       
       ข้าจ้องมองบัญชีตาถลนเมื่อเห็นตัวเลขชัดๆ แล้วส่งสายตาไม่ยอมรับ พระราชาทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือของข้ายังจะมายัดเยียดให้ข้าอีก คิดดูซิข้ามันก็แค่เทพอัศวินจนๆนะจะไปมีปัญญาจ่ายหนี้ก้อนโตนี่ได้ยังไง หรือว่าข้าต้องหาโอกาสดันดั้นเดินทางไปแงะงัดอัญมณีที่เคยประดับเก้าอี้ของข้าที่วิหารแห่งเงากันล่ะ
       
      “นี่แค่ส่วนนึงเท่านั้น เพราะว่าข้าเห็นเจ้าตั้งแต่ยังเล็กนึกเอ็นดูเจ้าเหมือนหลานชายคนนึง ข้าเลยอุตส่าห์ไม่คิดเงินในส่วนของการบำรุงกองทัพรวมไปด้วยแล้วเชียวนะ”
       
      “ฝ่าบาท...เพื่อเห็นแก่หลานชายผู้ทุกข์ยากที่สู้อุตส่าห์กลับมาด้วยความยากลำบาก ยกหนี้ให้กระหม่อมได้ไหมพระเจ้าค่ะ”
       
      “ไม่ได้! เพราะว่านี่คือข้าตกลงที่เทพอัศวินเทอร์มิสได้ตกลงกับข้าเอาไว้ เจ้าไปหาทางจัดการเอาเองก็แล้วกัน... ถ้าเจ้ากล้าล่ะนะ” พระราชาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายนึกกระหยิ่มในใจที่ได้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเทพอัศวินครีอุส ไม่กล้าหือเทพอัศวินเทอร์มิส หรืออย่างที่นีโอเคยเรียกมันว่าอาการกลัวจนหางจุกก้นนั่นเอง...
       
      “นี่ข้ากลับไปเป็นเจ้าชายปีศาจอย่างเดิม ตอนนี้ยังทันไหม?”
       
      +++++++++++++
       
      หลายสัปดาห์ผ่านไป ท่านอาจารย์นีโอได้ลากตัวท่านไอเควสจากไปนานแล้ว... ขณะที่ข้ากำลังยืนมองการซ่อมแซมวิหารเทพฯครั้งใหญ่ ด้วยเงินบริจาคจากประชาชนจำนวนมากที่ต่างปลาบปลื้มผลงานการปราบเจ้าชายปีศาจของข้าอย่างล้นหลาม ส่งผลให้การเงินที่วิกฤตของวิหารเทพฯหมดไป และกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งอย่างน่ายินดี ชาร์ล็อตต์ก็ปรากฏตัวขึ้น นางบอกว่าหลังจากที่นางไปเยี่ยมเจ้าชายเท็ดดี้ที่พักฟื้นร่างกายจนอาการดีขึ้นแล้วจึงมาเยี่ยมข้าต่อ...
       
      พวกเจ้ารู้ไหมว่าประโยคแรกที่นางทักข้าในฐานนะของเทพอัศวินครีอุสคืออะไร...
       
      “พอเจ้ามีเส้นผมสีทอง แล้วก็ตาสีฟ้าดูเจ้าสวยกว่าเดิมอีกนะเกรเซียส” นางมองข้าด้วยแววตาริษยา...
       
      แต่ขอโทษทีเถอะ ข้าเป็นผู้ชาย ข้าไม่อยากจะถูกผู้หญิงที่ไหนริษยาเพราะว่าข้าสวยกว่านางหรอกนะ ข้าจึงส่งสายค้อนค้อนใส่นาง ซึ่งนางก็เอาแต่หัวเราะไม่รับรู้ถึงสายตาอาฆาตของข้า พอข้ากลับมาเป็นเทพอัศวินครีอุส เจ้าก็เลิกกลัวข้าทันทีเลยหรือไงยังจะเอามือมาลูบแก้มข้าไม่เลิกอีก
       
      เฮอะ ยัยผู้หญิงซื่อบื้อนี่ เจ้าไม่รู้หรือไงว่าอันที่จริงแล้วเทพอัศวินครีอุสน่ากลัวกว่าเจ้าชายปีศาจร้อยเท่า (ตามคำบอกเล่าของอาเดร์) เฉพาะฉะนั้นข้าไม่ยอมขาดทุนหรอกนะ ประเดี๋ยวข้าจะขอลูบแก้มเจ้ากลับบ้างอย่ามากรี๊ดก็แล้วกัน
       
      “อาการของเท็ดดี้เป็นยังไงบ้าง เขาหายแล้วใช่ไหมเจ้าถึงมาหาข้าได้ หรือว่าเจ้าตื้อเขาไม่เสร็จเลยถอดใจกลับมา”
       
      “เขาหายดีแล้วล่ะ เขาก็เลยให้ข้ามาดูเจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้างแทนเขา บอกว่าให้อยู่ดูเจ้านานๆ อย่าเพิ่งรีบกลับไปหาเขา ระหว่างนี้ก็ให้ข้าฝึกฝีมือการเยียวยาเพิ่มเติมด้วย เผื่อวันหน้าจะมีโอกาสเดินทางด้วยกันอีก”
       
      หืม...ทำเป็นเอาข้ากับการฝึกมาอ้าง เจ้าชายนั่นช่างหาเหตุผลในการสลัดลูกตื้อของชาร์ล็อตต์ได้ดีจริงๆ
       
      ข้ามองผู้หญิงซื่อบื้อแล้วปลงตก รู้ทั้งรู้ว่าเท็ดดี้ไม่ชอบก็ยังจะตามเขาไม่เลิก... น่าสงสารนิดหน่อยเหมือนกัน เห็นแก่ที่เคยร่วมงานกันมา...
       
      “งั้นเจ้าก็ไปอยู่ที่อารามเทพฯก็แล้วกัน บอกว่าข้าอนุญาตให้เจ้าอยู่นานเท่าที่เจ้าอยากจะอยู่เถอะ”
       
      ข้าบอกนางไปเช่นนั้น แล้วพวกเจ้ารู้ไหมว่านางอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน?
       
      ครึ่งปี... ครึ่งปีแล้วที่นางยังอยู่ที่อารามเทพ พวกเจ้าอย่าพึ่งเข้าใจผิด ไม่ใช่เพราะว่านางห่วงข้าหรอกเลยอยู่นานขนาดนี้ แต่เป็นเพราะนางกำลังตามตื้อเหยื่อรายใหม่ต่างหาก... และคนที่ว่านั่นก็เป็นเทพอัศวินที่อาศัยอยู่ที่นี่เสียด้วย...
       
      คนที่ว่านั่นคือ เทพอัศวินอาร์เทมิส... แต่ขอโทษทีเถอะ เด็กผู้หญิงตัวเล็กที่สูงไม่ถึงร้อยแปดสิบเซ็นฯอย่างเจ้า อาร์เทมิสไม่เหลือบแลเจ้าหรอก(เพราะว่าเขามองไม่เห็น) เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าเสียเวลาเลย ล้มเลิกความตั้งใจไปเถอะ เชื่อข้า
       
      ตอนนี้ครอบครัวเล็กๆ ของข้า(ขนาดเท่าวิหารเทพฯ) ที่มีท่านอาจารย์เป็นดั่งบิดาของข้า มีพระสังฆราสหน้าเด็กเป็นปู่ มีเทพอัศวินทั้งสิบสององค์เป็นดั่งพี่น้อง แล้วตอนนี้ข้าก็มีลูกชายอีกคนมาเพิ่มแล้ว
       
      อะ... พวกเจ้าคิดไปถึงไหนกัน ข้าไม่ได้ทำตัวเหลวไหลที่ไหน จนอยู่ๆก็มีเด็กผมทองตาสีฟ้ามาเรียกข้าว่าเป็นพ่อหรอกนะ เขาเรียกข้าว่าพี่ชายต่างหาก แต่อีกหน่อยข้าจะให้เขาเรียกข้าว่าท่านอาจารย์ให้ได้ ตอนนี้พวกเจ้าคงจะรู้แล้วซินะว่าข้าหมายถึงใคร...ไอโรอย่างไรล่ะ และตอนนี้น้องสาวของเขาที่ชื่อลูเซียก็ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านออนอลด้าแล้วเรียบร้อย ไม่มีอะไรให้ไอโรต้องเป็นห่วงอีก เขาทุ่มเทกับการฝึกฝนเพื่อเป็นเทพอัศวินฝึกหัดที่ดีเอามากๆ รอยยิ้มสดใสบนหน้าของเขานับวันยิ่งกระจ่างขึ้น เขาบอกข้าว่าเขามีความสุข ครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่แล้ว...
       
       ไม่ต้องห่วงนะไอโร...ข้าจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง ให้เหมือนอย่างท่านอาจารย์นีโอที่ดูแลข้าและมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับข้าในตอนนี้...
       
      ++++++++++++++++
       
      ผ่านไปสองครั้งแล้วที่ข้ามีโอกาสออกไปนอกลีฟบลัดเพื่อต่อสู้กับลอเรน ตอนนี้เขาดูเป็นเทพอัศวินฮาเดสเต็มตัวสามารถบริหารจัดการเรื่องราวในหน่วยได้ดีจนดีเลนไม่ต้องคอยเป็นห่วงเขาอีกแล้ว ตอนนี้เขาอยู่กับพิ้งกี้ที่เลือกจะอาศัยร่างตุ๊กตาแก้วที่สร้างขึ้นจากพลังสว่างของข้าเพื่อที่จะสามารถอาศัยอยู่ในตำหนักเทพที่ไม่ให้ผู้หญิงเข้ามายุ่มย่ามได้ ส่วนเรดดี้น่ะหรือ นางก็ขอกลับเข้าไปอยู่ในอีเทอร์นอล พีซที่คล้องคอข้าอยู่ตลอดเวลาเป็นเพื่อนกลับเพอร์ฟูมที่ไม่ยอมออกมาข้างนอก และนางมักจะคุยกับข้าอยู่เสมอๆ ข้าเคยเอ่ยปากถามถึงเจ้าขาวว่าตอนนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง...แต่นางไม่ยอมบอกข้า ข้าคิดถึงมันจริงๆ
       
       ลอเรนในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องสวมอาภรณ์แห่งมังกรอีกเพราะสามารถคงสภาพในร่างมนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม ทุกคนในหน่วยคุ้นเคยกับเขาและยอมรับอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจในการที่เขาเป็นประมุขแห่งความตายอีก หลังจากที่เขาทำให้ทุกคนยอมรับตนเองได้เมื่อสามเดือนก่อนและสนิทสนมกับทุกคนในหน่วยเอามากๆ ถึงขนาดว่าบางทีก็กางปีกออกมาโชว์คนที่อยากเห็นปีกของเขาชัดๆ เฮ้อ เจ้าระวังตัวหน่อยซิที่นี่ไม่ได้มีแต่เทพอัศวินที่รับเรื่องนี้ได้นะ คนในหน่วยอื่นเห็นเข้าก็ได้เผ่นป่าราบกันพอดี และดูเหมือนที่ยิ่งกว่านั้นในหน่วยในเทพอัศวินมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน คือ...อีลู เขาไม่ยอมห่างลอเรนซักนิด จนดูเหมือนว่าจะสร้างความริษยานิดๆให้กับดีเลนที่มักจะมาขอเขาท้าประลองบ่อยๆ บ่อยมากๆ เฮ้อ... ช่างเรื่องในหน่วยคนอื่นเถอะ สนใจหน่วยของข้าดีกว่า...
       
       จะว่าอย่างไรดีล่ะ...ทุกๆอย่างเหมือนเดิม ราวกับว่าเรื่องที่ข้าคือเจ้าชายปีศาจเป็นเรื่องที่พวกเขาแค่อุปาทานหมู่เท่านั้นหาได้มีผลกระทบอะไรต่อพวกเขาไม่ วันๆ อาเดร์ก็เอาแต่เรียกข้าว่า ท่านหัวหน้าๆๆ เหมือนเดิม ที่ต่างออกไปจากก่อนหน้านี้เล็กน้อยก็คือ ตอนนี้เขามีเทพอัศวินฝึกหัดคนหนึ่งคอยเดินตามเขาเวลาทำงานไม่ห่าง ก็ดีไอโรจะได้เรียนรู้การทำงานอีกหน่อยข้าจะได้ไม่ต้องคอยเป็นคนมาสอนเขาเอง...
       
       พี่น้องเทพอัศวินคนอื่นๆ ของข้าก็ยังคงเหมือนเดิมไม่พูดถึงดีกว่ามันน่าเบื่อ อ้อ มีเคเรสที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเพราะตอนนี้เขากำลังพยายามเก็บเงินเพื่อเตรียมแต่งงาน เลยต้องลดปริมาณเครื่องเทศที่เขาใช้ลงในแต่ละมื้อ นั่นทำให้เขาดูอารมณ์ไม่แค่จะดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะงั้นเดี๋ยวนี้ข้าเลยไม่ค่อยกล้าจะแกล้งเขาเหมือนเมื่อก่อนเท่าไหร่ เลยต้องไปเพิ่งพาเทพอัศวินเอกอนที่เขายินดีให้ข้าแกล้งอย่างเต็มใจแทน...
       
      วันนี้มีจดหมายส่งจากกัลซินก์ส่งมาถึงข้า... ขณะที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในห้องของเทอร์มิสที่กำลังทำงานอยู่อย่างขมักเขม้นเพราะข้าต้องการหลบหน้าไทรอนที่ข้าเพิ่งจะแกล้งไปขัดขวางการล่อลวงหญิงสาวคนที่แปดสิบเก้าของเขาอยู่
       
      ข้าอ่านจดหมายที่ธีโอเขียนมาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ข้าฟังถึงเรื่องราวที่เป็นไปหลังจากที่ข้าจากมา บางทีก็เป็นลายมือของอลิซที่เขียนต่อท้ายเล่าถึงลูกๆของนางให้ฟังว่าตอนนี้เจ้าสามแฝดกำลังจะทำนางประสาทเสียเพราะซนเอามากๆ พวกพี่เลี้ยงต่างพากันระอา แถมยังฝากบอกเทมเพสด้วยว่าฮิวจ์เป็นเด็กที่มีแววมากๆ ตอนนี้มีสาวน้อยคนหนึ่งแอบหลงรักเขาเสียแล้ว....
       
      ข้าอ่านจดหมายเล่านี้ไปด้วยความรู้สึกที่มีความสุข แต่ส่วนหนึ่งลึกๆในหัวใจก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้ ถ้าในตอนนั้นเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ยอมละทิ้งข้า เรื่องราวมันคงจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้...
       
      “เทอร์มิสขอบคุณเจ้ามากที่ตอนนั้นเจ้าไม่ปล่อยมือจากข้า...” 
       
      “ทำไมอยู่ๆถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมา” เทอร์มิสเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารแล้วจ้องมองข้า
       
      “ก็ไม่ทำไม... ก็แค่ข้าอยากจะพูดเท่านั้นเอง”
       
      เทอร์มิสเดินเข้ามาและดึงมือของข้าเข้าไปกุมเอาไว้...แววตาสีดำสนิทที่มีดูจริงจังเสมอฉายแววอ่อนโยนลง “ยังจำสัญญาเมื่อสมัยก่อนที่ยังเป็นว่าที่เทพอัศวินฯของพวกเราได้ไหม พวกเราจะร่วมมือกันอย่างมีความสุข...”
       
      “...เพราะฉะนั้นข้าจะไม่ยอมอยู่ดูแลตำหนักเทพฯคนเดียวเด็ดขาด และไม่ว่าจะซักกี่ครั้ง ตราบใดที่เจ้ายังเป็นเทพอัศวินครีอุสของพวกเราอยู่ไม่ว่าเจ้าจะเกษียณไปแล้วหรือไม่ก็ตาม ข้า... พวกเราทุกคนจะไม่มีวันจะยอมปล่อยมือไปจากเจ้าเด็ดขาด”
       
      “เทอร์มิส...” ข้าลุกขึ้นยืนโผเข้ากอดเขาและซบหน้าลง
       
      “ขอบใจ...ขอบใจเจ้ามาก” ข้าพูดอะไรออกไปไม่ได้อีกแล้วเพราะเสียงของข้านั้นสั่นเครือ และตาพร่าเต็มไปด้วยหยาดน้ำไปหมด
       
      ก๊อกๆ
       
      เสียงประตูห้องของเทอร์มิสดังขึ้น
       
      “ครีอุสๆ เจ้าอยู่ที่นี่หรือเปล่า” เสียงของเคเรสนี่...
       
      ข้ารีบเช็ดน้ำตาออก แล้วเป็นคนเดินไปเปิดประตู ไม่จำเป็นตอนทำเป็นหลบซ่อนหรือแสร้งทำเป็นว่ามีธุระกับเทอร์มิสอีกแล้ว... เพราะทุกคนรู้ดีว่าข้าและเทอร์มิสเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ใช่เพื่อนกันทุกคน
       
      เคเรสส่งยิ้มน้อยๆให้เทอร์มิสทีนึงแล้วบอกกับข้าว่า พระสังฆราสต้องการพบ ซึ่งข้าก็ไปตามคำเชิญนั้น...
       
      “ครีอุส เจ้ามาช้าจริงเชียว รู้ไหมว่าข้าร้อนใจจะแย่.......” ข้าที่ยังไม่ทันจะอ้าปากก็ถูกตาเฒ่าใส่เข้าเป็นชุด เนื้อความจับประเด็นแล้วข้ารู้สึกเหนื่อยใจ...ตาเฒ่าหาเรื่องโยนเผือกร้อนมาให้ข้าแก้อีกแล้ว...
       
      “เรื่องเทพอัศวินของข้า ข้าจัดการเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
       
      “ข้าก็คิดแล้วว่าเจ้าจะต้องจัดการเอง งานออกหน้าแบบนี้มันงานของเจ้านี่ ถ้าเจ้าไม่ทำก็เห็นที่ว่าเจ้ากำลังจะกลายเป็นธาตุอากาศในไม่ช้า เพราะว่าไม่มีงานอะไรให้เจ้าทำเลย เอาล่ะไปจัดการเจ้าบุตรแห่งเทพสงครามนั่นเอาให้ร้องไม่ออกเลยนะ...”
       
      “แน่นอนอยู่แล้ว ก็ข้าเป็นใคร...ข้าคือเทพอัศวินครีอุสที่กำลังจะถูกกล่าวขานถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์เชียวนะ...” ข้าแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย ดูเหมือนว่าในสมองน้อยๆของข้าจะมีวิธีการจัดการเรื่องนี้อย่างชั่วๆ แค๊กๆ ข้าหมายถึงอย่างปราดเปรื่องแล้วล่ะ หึหึ..
       
      พระสังฆราสมองดูเทพอัศวินครีอุสองค์ที่ 38 เดินออกจากห้องแล้วปิดประตูลง ผู้เป็นเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ตลอดกาลนั้นยิ้มน้อยๆ แล้วหยิบงานสำคัญที่ของทำค้างเอาไว้เนิ่นนานเต็มทีขึ้นมาทำต่อ พระสังฆราสเปิดสมุดบันทึกหน้าถัดไปที่ยังว่างอยู่แล้วจรดปากกาขนนกขยับไปมาอย่างแช่มช้าเพื่อเรียบเรียงเรื่องราวแท้จริงต่างๆที่เกิดขึ้น... เขาทำแบบนี้มานานกว่าห้าสิบปีแล้วและยังคงต้องทำไปอีกนานทราบเท่าที่เขายังไม่มีผู้สืบทอด
       
      ในมือของเขานั้นคือบันทึกลับของวิหารเทพฯที่พระสังฆราสในแต่ละยุคจะเขียนมันขึ้นมาเพื่อบอกเล่าความเป็นจริงเบื้องหลังตำนานวิหารเทพแห่งแสงสว่าง บันทึกเหล่านี้จะไม่ได้รับการเปิดเผยและถูกเก็บเอาไว้อย่างมิดชิดที่ห้องลับของพระสังฆราส ที่มีแต่เฉพาะพระสังฆราสในแต่ละยุคเท่านั้นล่ะที่จะมีสิทธิเปิดอ่านได้... เมื่อถึงคราวจำเป็นถ้อยความพวกนี้อาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆของชนรุ่นหลัง
       
      ส่วนเรื่องราวสวยหรูอลังการที่เป็นฉากหน้านั่นจะเป็นนักบวชที่มีหน้าที่เป็นอารักษ์บันทึกเรียบเรียงเอาไว้อย่างสวยงามและสืบทอดเป็นประวัติศาสตร์เอาไว้ให้ชนรุ่นหลัง
       
      อา... แต่ก็นั่นล่ะความลับมันไม่มีในโลก...
       
      บันทึกฉบับนี้นี่เอง เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี...หลังจากที่มีคนบังเอิญไปพบเข้า มันก็กลายมาเป็นตำนานเรื่องเล่าขานเบื้องหลังของเหล่าเทพอัศวินฯอย่างที่พวกเจ้าทุกคนได้เห็นนั่นเอง...
       
       
      จบบริบูรณ์..........

      +++++++++++
       
       เป็นเรื่องราวสั้นๆง่ายๆ ที่แอนอยากเขียนขึ้นมาหลังจากที่อ่านเล่มแปดจนแล้วอดรู้สึกค้างไม่ได้จริงๆ... ขอบคุณที่มาอ่าน และขอบคุณทุกคอมเม้นต์นะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×