The Happy Prince ( ภาคต้นฉบับ ) - The Happy Prince ( ภาคต้นฉบับ ) นิยาย The Happy Prince ( ภาคต้นฉบับ ) : Dek-D.com - Writer

    The Happy Prince ( ภาคต้นฉบับ )

    เจ้าชายที่มีความสุขที่สุดในโลก คือ เจ้าชายที่ร่ำรวยที่สุด หรือ ยากจนที่สุดกันล่ะ?

    ผู้เข้าชมรวม

    6,169

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    23

    ผู้เข้าชมรวม


    6.16K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    11
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ก.ย. 54 / 12:05 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข
      ผู้แต่ง : Oscar Wilde 1888
      ผู้แปล : ยาดา 2006


                  รูปปั้นของ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข ประทับยืนบนเสาสูงตระหง่านอยู่เหนือตัวเมือง ทั่วทั้งองค์ปิดไว้ด้วยทองคำเปลว ดวงตาสองข้างประดับด้วยนิลสีน้ำเงินสุกใส และบนด้ามดาบของพระองค์ติดไว้ด้วยทับทิมขนาดใหญ่ส่องแสงเรื่อเรือง พระองค์เป็นที่ชื่นชมบูชาอย่างยิ่ง

                   "องค์ท่านช่างสวยงามราวกับกังหันบอกทิศลม" สมาชิกสภาเมืองผู้ซึ่งอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้มีรสนิยมทางศิลปะตั้งข้อสังเกต 
                   "เพียงแต่ว่าไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรเท่าไรนัก" เขาเสริมด้วยเกรงว่าผู้คนจะคิดว่าเขาไม่รู้อะไรจริงเชิงปฏิบัติ ซึ่งจริง ๆ แล้วเขาก็เป็นเช่นนั้น
                   "ทำไมเจ้าถึงไม่ทำตัวอย่างเจ้าชายบ้างล่ะ?" มารดาผู้ฉลาดพูดกับลูกชายที่กำลังร้องไห้รบเร้าจะเอาดวงจันทร์
                   "พระองค์ไม่เคยเพ้อเจ้อหรือเรียกร้องจะเอาโน่นเอานี่เลย"
                   "ฉันดีใจที่ยังมีใครบางคนในโลกนี้ที่มีความสุขจริง ๆ" ชายผู้ผิดหวังในชีวิตพึมพัมขณะเพ่งมองดูรูปปั้นอันน่าอัศจรรย์
                   "พระองค์ดูเหมือนกับเทวดา" พวกเด็กวัดในเสื้อคลุมสีแดงสดใสกับผ้าเอี๊ยมขาวสะอาดพูดขึ้นขณะออกมาจากโบสถ์
                   "เธอรู้ได้อย่างไร?" ผู้เชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์พูด
                   " พวกเธอยังไม่เคยเห็นเทวดาเลยสักองค์"
                   "อา เราเคยนะ ในความฝันของเราไง" พวกเด็ก ๆ โต้ นักคณิตศาสตร์ขมวดคิ้วและทำหน้าถมึงทึง เพราะเขาไม่ยอมรับเรื่องความฝันของเด็ก ๆ



                   คืนหนึ่ง มีนกนางแอ่นตัวน้อยบินผ่านมาเหนือตัวเมือง พรรคพวกของมันบินอพยพลงไปดินแดนไอยคุปต์แล้วตั้งแต่หกอาทิตย์ก่อน คงเหลือมันเพียงตัวเดียวที่ตกค้างอยู่เบื้องหลัง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันมัวหลงรักอยู่กับต้นอ้อสวยงามที่สุดกอหนึ่ง

        มันพบเธอเมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิขณะที่บินลงสู่แม่น้ำตอนไล่ตามตัวมอธสีเหลืองตัวใหญ่ และทันทีมันก็หลงเสน่ห์ทรวดทรงอันแน่งน้อยของเธอจนต้องหยุดทัก
                 "ให้ฉันรักเธอได้ไหม?" นกนางแอ่นถาม มันชอบพูดแบบตรงไปตรงมาเข้าประเด็น

                ต้นอ้อน้อมกายกายลงต่ำ เจ้านกจึงบินวนรอบเธอไปมา แตะผิวน้ำด้วยปลายปีกจนทำให้เกิดวงระลอกคลื่นสีเงิน นี่เป็นการเกี้ยวพาราสีของมัน แล้วมันก็ตกลงใจพักอยู่ที่นี่เรื่อยมาจนถึงฤดูร้อน

                   "มันเป็นความลุ่มหลงที่ไร้สาระ" พวกนางแอ่นตัวอื่น ๆ พูดกัน
      จ้อกแจ้ก
                   "หล่อนไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรสักอย่าง แล้วก็มีญาติพี่น้องเยอะเป็นกระบุง" 
                   ว่าที่จริง ทั่วทั้งแม่น้ำก็เต็มไปด้วยดงอ้อ ดังนั้นพอฤดูใบไม้ร่วงมาถึง พวกเขาก็พากันบินจากไป

                   เมื่อพรรคพวกจากไปแล้ว มันรู้สึกว้าเหว่ และเริ่มเบื่อหน่ายต่อความรักแบบชายหนุ่ม-หญิงสาวของมันต่อต้นอ้อ
                   "เธอไม่เคยพูดคุยสนทนาอะไรบ้างเลย" มันพูด
                   "และฉันเกรงว่าเธอคงเป็นหญิงที่ชอบยั่วยวน เพราะเธอมักจะให้ท่ากับสายลมอยู่บ่อย ๆ" และแน่ละเมื่อใดที่สายลมพัดผ่าน ต้นอ้อก็ยอบตัวถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อยเป็นที่สุด
                   "ฉันยอมรับว่าเธอนั้นชอบอยู่กับบ้าน" มันพูดต่อ
                   "แต่ฉันรักการเดินทาง และด้วยเหตุนั้น ภรรยาของฉันก็ควรจะรักการเดินทางเช่นกัน"
                   "เธอจะเดินทางไปกับฉันไหมจ๊ะ?" สุดท้ายมันพูดกับเธอ แต่ต้นอ้อสั่นหัว เธอติดบ้านของเธอมาก
                   "เธอหลอกให้ฉันต้องเสียเวลา" มันครวญ
                   "ฉันจะจากไปที่ปิรามิดแล้ว ลาก่อน!" แล้วมันก็บินจากมา

                   หลังจากบินมาตลอดทั้งวัน จนตกกลางคืนมันก็มาถึงนครแห่งนี้
                   "ฉันจะพักตรงไหนดี?" ฉันหวังว่าในเมืองคงจะมีสถานที่เหมาะ ๆ เตรียมไว้ให้"
                   ทันใดมันมองเห็นรูปปั้นบนเสาสูง
                   "ฉันจะไปพักที่นั่น" มันพูด
                   "มันเป็นตำแหน่งที่เหมาะเจาะทีเดียว อากาศก็สดชื่นดีมาก"
                   มันร่อนลงเกาะระหว่างเท้าทั้งคู่ของ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข
                   "ดูทีรึ นี่ฉันมีเตียงเป็นทองคำเชียวนะ" มันพูดเบา ๆ กับตัวเองขณะมองไปรอบ ๆ แล้วเตรียมตัวจะพักผ่อน แต่ขณะที่มันกำลังซุกหัวเข้าใต้ปีกเพื่อจะหลับนั้นเอง หยดน้ำก้อนโตก็หล่นเปาะลงบนตัวของมัน 
                   "มันอะไรกันล่ะเนี่ย?" มันร้อง
                   " ไม่มีเมฆสักก้อนบนฟ้า ดวงดาวก็กระจ่างสุกใส แต่กลับมีฝนตก!" อากาศทางเหนือของยุโรปนี่มันพิลึกเสียจริง ต้นอ้อนั้นหล่อนชอบฝนก็จริงอยู่ แต่นั่นก็เป็นความเห็นแก่ตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอเท่านั้นเอง
                          แต่แล้วก็มีอีกหยดหนึ่งหล่นลงมา 
                   "รูปปั้นนี่จะมีประโยชน์อะไร ถ้ามันไม่ช่วยกำบังฝนให้เราได้" มันบ่น
                   "ฉันจะไปหาปากปล่องควันดี ๆ ซักแห่งพักดีกว่า"

                   มันตัดสินใจที่จะออกบินไปที่อื่น แต่ก่อนที่มันจะกางปีกออก น้ำหยดที่สามก็ร่วงลงมา มันเงยหน้าขึ้น และมอง อามันได้เห็นอะไร?
                   ดวงตาของ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข เอ่อนองด้วยน้ำตา และน้ำตากำลังไหลหลั่งลงมาตามร่องแก้มสีทองของพระองค์ ดวงหน้าของพระองค์งดงามอยู่ในแสงจันทร์และทำให้เจ้านางแอ่นน้อยรู้สึกท่วมท้นไปด้วยความเวทนา
                   "ท่านเป็นใคร?" มันถาม
                   "ฉันคือ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข "
                   "แล้วทำไมท่านจึงร้องไห้เล่า?" นางแอ่นถาม
                   "ท่านทำให้ฉันเปียกโชกแล้วนะ" 
                   "เมื่อฉันยังมีชีวิตอยู่และมีหัวใจของมนุษย์" รูปปั้นตอบ 
                   "ฉันไม่เคยรู้จักเลยว่าน้ำตาคืออะไร ฉันอยู่ในวัง Sans Souci1 ที่ซึ่งความทุกข์โศกใดไม่มีวันเล็ดลอดผ่านเข้าไปได้ ยามกลางวันฉันเล่นหัวในอุทยานกับเหล่ามิตรสหาย ส่วนยามค่ำคืนฉันพาผู้คนบันเทิงลีลาศในสโมสรหลวง รอบสวนล้วนกำแพงสูงตระหง่านโอบล้อม ฉันไม่เคยสงสัยว่ามีสิ่งอื่นใดอยู่เลยออกไปข้างนอก


      ทุกสิ่งรอบกายฉันล้วนแต่สิ่งสวยงาม พวกข้าราชบริพารเรียกฉันว่า เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข และจริง ๆ แล้วฉันก็มีความสุขมาก ถ้าหากความเพลิดเพลินเหล่านั้นคือความสุข
                ดังนั้นฉันจึงมีชีวิตอยู่และก็ได้ตายไป และบัดนี้เมื่อฉันตายแล้ว พวกเขาเอาฉันมาตั้งไว้สูงลิ่วที่นี่ ฉันจึงได้มองเห็นถึงความอัปลักษณ์และความทุกข์ยากในนครของฉัน แต่เพราะหัวใจฉันทำด้วยตะกั่ว ฉันจึงไม่มีทางอื่นใดนอกจากการร้องไห้"
                   "อะไรนะ! เขาไม่ใช่ทองคำจริง ๆ ดอกรึนี่?" นางแอ่นรำพึงกับตัวเอง มันสุภาพเกินกว่าที่จะตั้งข้อสังเกตกับคนอื่นด้วยเสียงดัง
                   "ไกลออกไปตรงโน้น" รูปปั้นพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงต่ำดั่งสำเนียงดนตรี
                   "ไกลออกไปในถนนสายเล็ก ๆ มีบ้านยากจนหลังหนึ่ง หน้าต่างบานหนึ่งเปิดอยู่ และฉันมองเข้าไปเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ ใบหน้าของหล่อนผอมซูบและทรุดโทรม มือสีแดงคล้ำของหล่อนหยาบกร้าน มีแต่รอยทิ่มแทงของเข็มเย็บผ้า เพราะหล่อนเป็นช่างตัดเย็บ หล่อนกำลังปักลายดอกเสาวรสบนชุดผ้าซาตินของนางกำนัลคนสวยที่สุดของพระราชินีเพื่อจะใช้สวมใส่ในงานเลี้ยงของราชสำนักที่จะมาถึงนี้ และที่เตียงตรงมุมห้อง ลูกชายตัวเล็กของหล่อนกำลังนอนป่วยอยู่ เขากำลังซมด้วยไข้และร่ำร้องอยากจะกินผลส้ม แม่ของเขาไม่มีอะไรที่จะให้นอกจากน้ำจากแม่น้ำ ดังนั้นเขาจึงเอาแต่ร้องไห้ นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย เจ้าจะไม่เอาทับทิมจากด้ามดาบของฉันไปมอบให้หล่อนดอกหรือ เท้าของฉันนั้นตรึงอยู่กับแท่นและฉันไม่อาจขยับไปไหนได้" 
                 "พวกเพื่อน ๆ รอฉันอยู่ในดินแดนไอยคุปต์" นางแอ่นบอก
                 "พวกเขากำลังพากันบินขึ้นล่องอยู่ตามแม่น้ำไนล์ พูดคุยอยู่กับเหล่าดอกบัวหลวง ในไม่ช้าพวกเขาจะไปนอนหลับที่หลุมศพของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ องค์กษัตริย์เองก็ประทับอยู่ที่นั่นภายในหีบศพที่เขียนลวดลายสีสวยงาม พระองค์ถูกพันไว้ด้วยผ้าลินินสีเหลืองและถูกดองไว้ด้วยเครื่องเทศ รอบพระศอประดับด้วยสร้อยหยกเขียวอ่อน พระหัตถ์ของพระองค์เป็นดั่งใบไม้ที่เหี่ยวแห้ง

                   "นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายขัด
                   " เจ้าจะไม่พักอยู่กับฉันสักคืนหนึ่งหรือ และเป็นผู้นำสารให้ฉัน? เด็กน้อยคนนั้นกำลังกระหายมาก และมารดาของเขากำลังทุกข์โศกเหลือเกิน"
                   "ฉันไม่คิดว่าฉันจะชอบพวกเด็กผู้ชาย" นกนางแอ่นตอบ
                   "ฤดูร้อนที่แล้ว ตอนฉันพักอยู่ที่แม่น้ำ มีเด็กผู้ชายร้ายกาจสองคน ลูกเจ้าของโรงสี พวกเขาชอบเอาก้อนหินปาฉัน จริงอยู่มันไม่โดนฉันหรอก พวกเรานางแอ่นบินหนีไปเสียไกล นอกจากนั้นฉันมาจากตระกูลที่ได้ชื่อว่าคล่องแคล่วว่องไวมาก แต่นั่นแหละ มันเป็นการแสดงออกถึงการไม่ให้ความเคารพต่อกัน"
                แต่ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข มีท่าทีเศร้าโศกมากจนนางแอ่นน้อยรู้สึกเสียใจ
                   "มันหนาวมากที่นี่" มันพูด 
                   "แต่ฉันจะพักอยู่กับท่านสักคืนหนึ่งก็แล้วกัน และจะทำหน้าที่เป็นคนส่งสารให้ท่าน"
                   "ขอบใจมาก เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส

                   ดังนั้น นกนางแอ่นจึงแกะเอาทับทิมจากดาบของเจ้าชายคาบไว้ในปากแล้วบินข้ามหลังคาบ้านเรือนในเมืองไป มันบินผ่านหอคอยของโบสถ์ซึ่งมีรูปสลักหินอ่อนของเหล่านางฟ้า ผ่านพระราชวังซึ่งมีเสียงเพลงเต้นรำ หญิงสาวสวยคนหนึ่งเดินออกมาที่ระเบียงพร้อมกับคนรัก
                   "เหล่าดวงดาวช่างเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์เสียจริง" เขาพูดกับหล่อน
                   " แต่อำนาจแห่งความรักก็มหัศจรรย์เสียยิ่งกว่า!"
                   "ฉันหวังว่าชุดเต้นรำของฉันคงจะเสร็จทันในงานรัฐสโมสรนะ"
      หล่อนตอบ       
                  "ฉันสั่งให้ปักลูกไม้ดอกเสาวรสประดับไว้ด้วยล่ะ แต่ช่างตัดเย็บพวกนี้น่ะขี้เกียจเสียจริง"

                   มันบินข้ามแม่น้ำและมองเห็นตะเกียงแขวนอยู่กับเสาของเรือ มันผ่านไปเหนือย่านที่อยู่คนยิวและเห็นยิวแก่กำลังต่อรองราคาอยู่กับอีกคนหนึ่งขณะชั่งน้ำหนักเงินด้วยตราชั่งทองแดง สุดท้ายมันก็มาถึงบ้านหญิงยากจนหลังนั้นและมองเข้าไป เด็กน้อยกำลังนอนกระสับกระส่ายด้วยพิษไข้อยู่ในเตียง ส่วนมารดาผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน มันกระโดดย็อก ๆ เข้าไปวางทับทิมใหญ่ไว้บนโต๊ะข้างปลอกนิ้วของหญิงช่างตัดเย็บ แล้วมันค่อย ๆ บินอย่างนุ่มนวลไปรอบ ๆ เตียง กระพือปีกพัดให้หน้าผากของเด็กน้อย
                   "หนูรู้สึกเย็นดีจัง" เด็กน้อยพูด
                   "หนูคงใกล้จะหายแล้วละฮะ" แล้วเขาก็จมลงสู่ความหลับใหลอันแสนหวาน

                   เจ้านางแอ่นบินกลับมาหา เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข บอกเล่าถึงการที่ได้ทำไป
                   "มันน่าแปลก" มันสังเกต
                   "ตอนนี้ฉันรู้สึกอบอุ่นทีเดียว ทั้ง ๆ ที่อากาศมันหนาวมาก"
                   "นั่นเพราะเจ้าได้กระทำในสิ่งที่ดีนะสิ" เจ้าชายตรัส
                   นกนางแอ่นเริ่มครุ่นคิดแต่แล้วมันก็ผล็อยหลับไป การคิดมักจะทำให้มันง่วงนอนเสมอ


                   รุ่งเช้ามันบินไปที่แม่น้ำและอาบน้ำ 
                   "มันเป็นปรากฏการณ์ที่ประหลาดมาก" ศาสตราจารย์ทางปักษีวิทยากล่าวขณะที่เขาผ่านไปบนสะพาน
                   "นกนางแอ่นในฤดูหนาว!" แล้วเขาก็เขียนบทความฉบับยาวเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งไปลงในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ใคร ๆ พากันกล่าวอ้างถึงบทความนี้ ซึ่งเป็นข้อความอันเต็มไปด้วยคำศัพท์ที่หลายคำพวกเขาก็ไม่เข้าใจ

                   "คืนนี้ล่ะ-ฉัน-จะ-ไป-ไอยคุปต์" นกนางแอ่นปรารภ จิตใจที่เอิบอิ่มไปด้วยความมุ่งมั่น มันแวะเวียนไปเที่ยวชมอนุสาวรีย์สาธารณะทั้งหมด และเกาะอยู่เหนือยอดหลังคาโบสถ์เป็นเวลานาน ทุกหนทุกแห่งที่มันไปพวกนกกระจอกส่งเสียงจ๊อกแจ๊กและพูดต่อกัน 
                   " นกแปลกหน้าประหลาดตัวดังนั่นไง" ทำให้มันรู้สึกสนุกกับตัวเองอย่างมาก

                   เมื่อพระจันทร์ขึ้น มันบินกลับไปที่ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข
                   "พระองค์มีภารกิจอะไรให้ไปทำที่ไอยคุปต์ไหม?" มันถาม
                   "ฉันกำลังจะออกเดินทางแล้ว"
                   "นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส 
                   "เจ้าจะไม่อยู่กับฉันต่ออีกสักคืนดอกหรือ?" 
                   "พวกเขากำลังรอฉันอยู่ในไอยคุปต์" นกนางแอ่นตอบ 
                   " วันพรุ่งนี้ เพื่อน ๆ ของฉันก็จะบินขึ้นไปที่น้ำตกชั้นที่สองแล้ว ที่ซึ่งม้าแม่น้ำจะหมอบอยู่ในท่ามกลางกอกก และเทพเมมนอน(Memnon2)ประทับนั่งบนบัลลังค์หินแกรนิต ตลอดทั้งคืนพระองค์เฝ้ามองหมู่ดาว กระทั่งเมื่อประกายพรึกฉายแสงพระองค์จะเปล่งเสียงแห่งหฤหรรษ์ออกมาครั้งหนึ่งแล้วก็จะนิ่งเงียบไป ครั้นยามเที่ยงวัน ฝูงสิงโตเหลืองก็จะลงมาดื่มน้ำที่ชายฝั่ง ดวงตาของพวกมันเขียวดุจมรกต และเสียงคำรามของมันสั่นสะเทือนก้องกว่าเสียงมหาธารน้ำตก"

                   "นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส
                   " ไกลออกไปข้ามตัวเมือง ฉันเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในห้องใต้หลังคา เขากำลังโน้มกายเหนือโต๊ะที่เต็มไปด้วยแผ่นกระดาษ และในแจกันแก้วข้าง ๆ มีช่อดอกไวโอเล็ตเหี่ยวเฉาอยู่ช่อหนึ่ง เส้นผมเขาเป็นสีน้ำตาลหยักศก ริมฝีปากเขาแดงดุจสีทับทิม เขามีดวงตากลมโตเคลิ้มฝัน เขากำลังพยายามเขียนบทละครสำหรับผู้กำกับที่โรงละครให้จบ แต่เขาก็หนาวสั่นเกินกว่าที่จะเขียนต่อไปได้ ไม่มีไฟในเตาผิง และความหิวโหยใกล้จะทำให้เขาเป็นลมอยู่แล้ว"
                   "ฉันจะรออยู่ที่นี่กับพระองค์อีกคืนหนึ่ง" นกนางแอ่นพูด
      มันช่างเป็นนกที่มีน้ำใจดีเสียจริง
                   "จะให้ฉันเอาทับทิมไปให้เขาอีกเม็ดไหมล่ะ?"
                   "โธ่เอ๋ย ฉันไม่มีทับทิมอีกแล้วตอนนี้" เจ้าชายตอบ 
                   "มีแต่ดวงตาของฉันเท่านั้นที่เหลืออยู่ มันทำด้วยนิลสีน้ำเงินหายากที่นำมาจากอินเดียเมื่อพันปีก่อน แกะมันออกมาดวงหนึ่งแล้วนำไปให้เขาเถอะ เขาจะได้ขายให้กับช่างเพชรเพื่อซื้ออาหารและฟืนแล้วเขียนบทละครของเขาให้จบ"
                   "เจ้าชายที่รัก" นางแอ่นพูด
                   "ฉันทำเช่นนั้นไม่ได้" และมันเริ่มร้องไห้
                   "นางแอ่นเอ๋ย นางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส 
                   "จงทำตามที่ฉันสั่ง" 
                   ด้วยเหตุนี้ นกนางแอ่นจึงแกะดวงตาข้างหนึ่งของเจ้าชายออกมา แล้วบินไปที่ห้องใต้หลังคาของหนุ่มนักศึกษา มันเข้าไปได้ไม่ยากเพราะที่หลังคานั้นมีรูโหว่อยู่ มันพุ่งผ่านรูเข้าไปสู่ในห้อง ชายหนุ่มกำลังซบหน้าลงบนฝ่ามือดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินเสียงกระพือปีกของนก และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้น เขาก็พบนิลสีน้ำเงินเม็ดงามวางอยู่บนช่อไวโอเล็ตอันแห้งเหี่ยว

                   "ฉันกำลังจะเริ่มเป็นที่ปลาบปลื้มแน่แท้" เขาร้อง 
                   "นี่ต้องมาจากผู้ที่ชื่นชมบูชาฉันอย่างมากแน่ ๆ ตอนนี้ฉันจะสามารถเขียนบทละครนี้ให้จบเสียที" และดูเขาก็มีความสุขอย่างยิ่ง


                   วันต่อมา นกนางแอ่นบินลงไปที่อ่าวท่าเรือ มันเกาะอยู่บนเสากระโดงเรือลำใหญ่มองดูลูกเรือลากลังใหญ่ ๆ เกินคนโอบด้วยเชือก
                   "เฮฟ อะ-ฮอย!" พวกเขาร้องตะโกนขณะที่แต่ละลังเลื่อนขึ้นมา
                   "ฉันกำลังจะไปไอยคุปต์ละนะ!" นกนางแอ่นร้อง แต่ไม่มีใครให้ความสนใจ

                   กระทั่งพระจันทร์ขึ้น มันจึงบินกลับมาที่ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข
                   "ฉันกลับมาเพื่อกล่าวคำอำลา" มันร้องบอก
                   "นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส
                   "เจ้าจะไม่อยู่กับฉันอีกสักคืนดอกหรือ?"
                   "มันเป็นฤดูหนาวแล้วนะ" นกนางแอ่นตอบ
                   "และไม่ช้าหิมะอันเย็นเฉียบก็จะเริ่มตก ที่ไอยคุปต์ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอบอุ่นเหนือต้นปาล์มสีเขียว และฝูงจระเข้ก็คงนอนแช่โคลนมองไปรอบตัวอย่างเกียจคร้าน พรรคพวกของฉันก็กำลังทำรังอยู่ในวิหารแห่งบาอัลเบค(Baalbek3) ขณะที่นกเขาสีชมพูและสีขาวต่างเฝ้ามองดูอยู่พร้อมกับส่งเสียงคูต่อกัน เจ้าชายที่รักฉันจำต้องจากพระองค์แล้ว และฉันจะไม่ลืมพระองค์เลย ฤดูใบไม้ผลิหน้าเถอะนะ ฉันจะเอาอัญมณีสองเม็ดงาม ๆ มาฝากเพื่อทดแทนส่วนที่พระองค์ได้บริจาคไป ทับทิมนั้นจะแดงเสียยิ่งกว่าสีของกุหลาบ และนิลสีน้ำเงินก็จะมีสีน้ำเงินเข้มดั่งสีมหาสมุทร"

                   "ณ ที่จตุรัส ข้างล่าง" เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข กล่าว
                   "เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งยืนอยู่ เธอทำไม้ขีดหล่นลงไปในรางน้ำและเสียหายหมด พ่อคงจะตีเธอแน่ถ้าไม่มีเงินติดตัวกลับบ้าน และเธอเฝ้าแต่ร้องไห้อยู่ที่นั่น เธอไม่มีรองเท้าหรือถุงเท้า และศีรษะเล็ก ๆ ของเธอก็ปราศจากสิ่งปกคลุม แกะดวงตาอีกข้างของฉันไปเถอะ เอามันไปมอบให้เธอ แล้วพ่อเธอก็จะได้ไม่ตีเธอ"
                   "ฉันจะยอมอยู่ต่อกับท่านอีกคืนหนึ่ง" นกนางแอ่นกล่าว 
                   "แต่ฉันไม่อาจแกะดวงตาอีกข้างของท่านออก เพราะท่านจะกลายเป็นคนตาบอด"
                   "นางแอ่นเอ๋ยนางแอ่น เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส
                   "จงทำตามที่ฉันสั่งเถอะ"

                   ด้วยเหตุนี้ นางแอ่นจึงแกะดวงตาอีกข้างของเจ้าชายออก แล้วโผบินลงไป มันโฉบผ่านไปข้าง ๆ เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ แล้วหย่อนอัญมณีลงไปในฝ่ามือของเด็กหญิง
                   "มันเป็นเม็ดแก้วที่น่ารักอะไรอย่างนี้!" เด็กหญิงตัวน้อยร้อง แล้วก็วิ่งกลับบ้านพร้อมด้วยเสียงหัวเราะ จากนั้นนกนางแอ่นก็บินกลับมาที่เจ้าชาย
                   "พระองค์ตาบอดแล้วบัดนี้" มันพูด 
                   "ดังนั้น ฉันจะอยู่ที่นี่กับท่านตลอดไป"
                   "อย่าเลย เจ้านางแอ่นน้อย" เจ้าชายตรัส
                   "เจ้าต้องรีบเดินทางไปไอยคุปต์บัดนี้"
                   "ฉันจะอยู่กับท่านตลอดไป" นางแอ่นพูด และมันก็หลับอยู่ที่เท้าของเจ้าชาย

                   ตลอดวันถัดมา มันเกาะอยู่ที่บ่าของเจ้าชายและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้พระองค์ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบเห็นในดินแดนแปลก ๆ มันเล่าถึงนกกระสาสีแดงที่ยืนเข้าแถวยาวบนฝั่งของแม่น้ำไนล์และคาบปลาทองไว้ด้วยจะงอยปากของมัน เล่าถึงตัวสฟิงค์ที่มีอายุยืนยาวพอ ๆ กับโลก มีชีวิตอยู่ในทะเลทรายและรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องของพ่อค้าที่ก้าวเดินช้า ๆ ไปกับขบวนอูฐของพวกเขาขณะที่ถือลูกปัดอำพันอยู่ในมือ เรื่องของกษัตริย์แห่งขุนเขาจันทราผู้มีผิวกายดำเหมือนไม้มะเกลือถือลัทธิบูชาแก้วผลึกขนาดใหญ่ เรื่องของงูยักษ์สีเขียวที่นอนหลับอยู่ในต้นปาล์มมีนักบวชยี่สิบคนคอยปรนเปรอด้วยเค้กน้ำผึ้ง และเรื่องของคนเผ่าพิกมี่ผู้แล่นเรือทำด้วยใบไม้แบน ๆ ขนาดใหญ่ไปในทะเลสาบและมักจะทำสงครามกับพวกผีเสื้ออยู่เสมอ

                   "เจ้านกนางแอ่นที่รัก" เจ้าชายตรัส 
                   "เจ้าได้เล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องราวน่าพิศวงมากมาย แต่สิ่งที่น่าพิศวงยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ก็คือความทุกข์ทรมานของผู้คนทั้งชายและหญิง ไม่มีอะไรจะลี้ลับไปกว่าความลำบากทุกข์เข็ญ จงบินไปเหนือนครของฉัน นกนางแอ่นน้อย แล้วเล่าให้ฉันฟังถึงสิ่งที่เจ้าได้พบเห็น"

                   ดังนั้นนกนางแอ่นจึงบินไปเหนือนครใหญ่ มันได้แลเห็นคนร่ำรวยที่กำลังเสพสุขสนุกสนานอยู่ในบ้านอันสวยงามของพวกเขาขณะที่พวกขอทานนั่งอยู่ที่ประตูหน้าบ้าน มันบินไปทางตรอกซอยมืด ๆ และได้เห็นใบหน้าซีดขาวของเด็ก ๆ ที่หิวโหยจ้องมองถนนสีดำด้วยนันย์ตาอันปราศจากชีวิตชีวา ภายใต้ซุ้มโค้งของสะพาน เด็กชายตัวเล็ก ๆ สองคนนอนกอดกันอยู่เพื่อช่วยให้ร่างกายอบอุ่น
                   "เราหิวจริง ๆ " พวกเขาพูด
                   "แต่แกจะนอนที่นั่นไม่ได้นะ" คนยามตะโกนใส่ พวกเขาจึงต้องออกเร่ร่อนต่อไปท่ามกลางสายฝน

                   มันบินกลับมาและเล่าให้เจ้าชายฟังถึงสิ่งที่ได้เห็น
                   "ตัวของฉันถูกหุ้มไว้ด้วยทองคำเปลว" เจ้าชายตรัส
                   "เจ้าต้องลอกมันออกทีละแผ่น ทีละแผ่น และนำมันไปให้แก่คนยากจนของฉัน ผู้ที่มีชีวิตอยู่มักจะคิดว่าทองคำนั้นทำให้เขามีความสุข"
                   ทองคำแผ่นแล้วแผ่นเล่าถูกเจ้านกนางแอ่นลอกออก จนกระทั่ง เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข กลายเป็นรูปปั้นสีเทาทึม ๆ นกนางแอ่นนำทองคำแต่ละแผ่นไปแจกจ่ายให้แก่คนจน พวกเด็ก ๆ เริ่มมีใบหน้าสีชมพูเหมือนกุหลาบ พวกเขาหัวเราะและเล่นเกมส์กันในถนน
                   "เรามีขนมปังกินกันแล้ว!" พวกเขาส่งเสียงดีใจ


                   และแล้วหิมะก็มาถึง หลังจากหิมะตกก็มีน้ำค้างแข็ง ท้องถนนดูราวกับว่าสร้างด้วยแผ่นเงิน มันสะท้อนแสงจัดจ้าบาดตา น้ำค้างแข็งห้อยยาวลงมาจากเชิงชายบ้านแหลมเหมือนกริชแก้ว ทุกคนออกไปโน่นมานี่้ภายในเสื้อคลุมขนสัตว์ และพวกเด็กชายตัวเล็ก ๆ ใส่หมวกแก๊ปสีแดงสดเล่นเสก็ตบนลานน้ำแข็ง

                   นกนางแอ่นน้อยที่น่าสงสารเริ่มรู้สึกหนาวมากขึ้น มากขึ้นทุกที แต่มันก็ไม่ยอมไปจากเจ้าชาย มันรักพระองค์มากเหลือเกิน มันแอบจิกกินเศษขนมปังที่นอกประตูบ้านคนทำขนมปังตอนที่เขาไม่ทันเห็นและพยายามที่จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นด้วยการกระพือปีก

                   แต่ท้ายที่สุดมันก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะตาย มันเหลือเรี่ยวแรงพอแค่จะบินกลับไปที่ไหล่ของเจ้าชายอีกครั้งเท่านั้น
                   "ลาก่อน เจ้าชายที่รัก!" มันพึมพัม
                   "ท่านจะอนุญาตให้ฉันจูบที่มือของท่านได้หรือไม่?"
                   "ฉันดีใจที่เจ้าตัดสินใจจะไปไอยคุปต์ในที่สุด เจ้านางแอ่นน้อย"
      เจ้าชายตรัส       
                   "เจ้าพักอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว แต่เจ้าต้องจูบฉันที่ริมฝีปากนะ เพราะฉันรักเจ้า"
                   "ไม่ใช่ไอยคุปต์ดอกที่ฉันจะไป" นกนางแอ่นพูด
                   "แต่ฉันกำลังจะไปสู่วิหารแห่งความตาย ความตายนั้นเป็นพี่น้องกับความหลับ อย่างนั้นไม่ใช่หรือ?"
                และมันก็จูบ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข ที่ริมฝีปาก แล้วร่วงลงสู่ที่เท้าของพระองค์

                   ณ วินาทีนั้น มีเสียงแตกร้าวอย่างประหลาดดังขึ้นภายในรูปปั้นราวกับมีบางสิ่งแตกทำลายลง ความจริงก็คือหัวใจที่ทำด้วยตะกั่วนั้นได้แยกออกเป็นสองส่วน บางทีอาจเป็นเพราะแรงดันอย่างรุนแรงของน้ำค้างแข็งก็เป็นได้

                   เช้าตรู่ของวันต่อมา นายกเทศมนตรีได้ออกมาเดินในจตุรัสข้างล่างพร้อมกับคณะสมาชิกสภาเมือง ขณะเดินผ่านเสาสูงเขาเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้น
                   "โอ คุณพระช่วย เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข ทำไมถึงดูโกโรโกโสอะไรเช่นนั้น!" เขาอุทาน
                   "ใช่ โกโรโกโสจริง ๆ !" พวกสมาชิกสภาเมืองผู้ซึ่งเห็นพ้องกับนายกเทศมนตรีในทุกเรื่องส่งเสียงร้อง และพวกเขาก็เดินตามเข้าไปแหงนดู
                   "ทับทิมหลุดออกจากดาบของพระองค์ไปแล้ว ดวงตาก็ไม่มีสักข้าง และทั้งองค์ก็ไม่เป็นทองอยู่เลย" นายกพูดตามความเป็นจริง "ตอนนี้พระองค์ดูดีกว่าขอทานนิดหน่อยเท่านั้น"
                   "ใช่ ดูดีกว่าขอทานนิดหน่อยเท่านั้นจริง ๆ " คณะสมาชิกสภาเมืองพูดตาม
                   "และนั่นยังมีซากนกตายตัวหนึ่งอยู่ที่พระบาทด้วย" นายกเทศมนตรีพูดต่อ
                   " เราจะต้องมีประกาศอย่างเป็นทางการห้ามนกมาตายแถวนี้เสียแล้ว" เสมียนเทศบาลรีบจดข้อความตามที่ได้รับการแนะนำทันที

                   ดังนั้นพวกเขาจึงลากรูปปั้นของ เจ้าชายผู้เปี่ยมสุข ลงจากเสาสูง
                   "เมื่อพระองค์ไม่มีความสวยงามแล้ว ก็ไร้ประโยชน์อีกต่อไป" ศาสตราจารย์ด้านศิลปะจากมหาวิทยาลัยให้ความเห็น

                   จากนั้นพวกเขาก็นำรูปปั้นไปใส่ในเตาหลอม แล้วนายกเทศมนตรีก็เรียกประชุมผู้ร่วมงานทั้งหลายเพื่อร่วมกันตัดสินว่าจะทำอะไรดีกับโลหะก้อนนี้
                   "แน่นอน เราจะต้องมีรูปปั้นอันใหม่" เขากล่าว "และจะให้ดีมันควรจะเป็นรูปปั้นตัวของฉันเอง"
                   "ของฉันต่างหาก ของฉันเอง" สมาชิกสภาเมืองแต่ละคนต่างพูดบ้าง และพวกเขาก็เริ่มทะเลาะกัน เท่าที่ข้าพเจ้า-ผู้เล่าได้ยินมา ตอนนี้พวกเขาก็ยังทะเลาะกันไม่เลิกเลย

                   "แปลกจริง ๆ!" พนักงานตรวจสอบที่โรงหล่อโลหะพูด 
                   " หัวใจตะกั่วที่แตกแล้วนี้กลับไม่ละลายในเตาหลอม เราต้องเอามันไปโยนทิ้งข้างนอก"
                  ดังนั้นเขาจึงเอามันไปทิ้งบนกองขยะ
                  สถานที่เดียวกันกับที่ซากของนกนางแอ่นนั้นถูกทิ้งอยู่…….

                  " จงนำสองสิ่งที่มีค่าที่สุดในเมืองมาให้เรา " พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งกับเทวดา หลังจากนั้น เทวดาจึงลงไปนำเอาหัวใจที่ทำจากตะกั่ว เเละ ซากนกตายมามอบแด่
      พระผู้เป็นเจ้า
                  " เจ้าเลือกถูกแล้ว "พระผู้เป็นเจ้าตรัส
                  "สำหรับในสวนสวรรค์ของเรา เจ้านกนางแอ่นจะได้ขับขานบทเพลงไปตลอดกาล เเละ ในเมืองแห่งทองคำของเรา เจ้าชายผู้เปี่ยมสุขจะได้เข้ามาแสดงความเคารพต่อเรา"


      ขอขอบคุณ : เนื้อเรื่องฉบับแปลไทยของคุณ ยาดา 2006 และ
      http://olddreamz.com/bookshelf/happyprince/HHP.html ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ~!!><

                ปล. ย่อหน้าสุดท้ายเราเป็นคนแปลเองนะจ้ะ สำนวนเลยอาจจะแปร่งๆ อย่าว่ากันน้าT.T เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราชอบมากๆ แบบว่าสงสารเจ้าชายอ่ะ แงๆๆๆๆ แต่สุดท้ายก็ดีแล้วอะนะ ยังไงก็เข้ามาเม้นกันด้วยน้า บ๊ายยย บายย
      โพล123086

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×