คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คดีที่ 1 : BLUE BEARD (I)
Assasino Café
“นี่ก็คดีที่ 4 แล้วนะ”
“อา น่ากลัวจริงๆ” ตำรวจสองนายที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าร่างที่ไร้ชีวิต พวกเขาทำหน้าเกินรับไหวกับภาพตรงหน้า
แชะๆ
เสียงชัตเตอร์ดังออกมาเป็นพักๆฉายภาพของชายคนนึงที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยวสีดิน ภายในห้อง ผนังด้านในทำจากปูนเปลือยในตึกร้างอันห่างไกลจากตัวเมือง
เขานั่งเงยหน้าอ้าปากค้างอยู่บนเก้าอี้
ใบหน้าถูกเผาไหม้และลายจนไม่อาจจำหน้าเดิมของผู้เป็นเจ้าของได้ ดวงตาถลนออกมาจนแทบหลุดออกจากเบ้า ผิวหน้าและคอแดงก่ำจากการเผยเนื้อสดๆผสมกับรอยสีดำจากการกักกร่อนและเลือดจากบาดแผลฉกรรจนเสื้ออาบไปด้วยสีแดงฉาน ส่วนหนึ่งของใบหน้าเผยให้เห็นถึงกระดูกตรงบริเวณโหนกแก้มชัดเจน ปากลอกจนเผยเหงือกสีแดงที่ฟันแทบจะหลุดออกมา ลิ้นกลายเป็นสีดำอมน้ำตาลละลายจนเกือบหมด
ต่อให้ไม่เห็นหน้าจริงอีกต่อไปแล้วก็พอเดาออกว่าเหยื่อคงจะทรมาณมากเพียงใดขณะเกิดเหตุ
สองมือถูกมัดไว้ด้านหลัง พร้อมกับมีเทปพันตัวยึดกับตัวโซฟาเอาไว้
“ดูจากรอยย่น แล้วก็ลักษณะของผิว ดูๆแล้วน่าจะอายุประมาณ
30 ต้นๆนะ”
ชายผมสีทมิฬจ้องมองร่างนั้นนิ่งๆโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
ผมสีดำยาวและความสูงเกินมนุษย์ทั่วไปนั่นบอกถึงตัวตนของเขาได้อย่างชัดเจน อลัน
ยืนมองศพของชายแปลกหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“สาเหตุการตายคงเกิดจากสภาวะช็อคและถูกกัดกร่อนเครื่องในภายในร่างกายจนถึงแก่ชีวิต
ดูจากลักษณะโดยรวมแล้วน่าจะถูกฆ่าโดยกรดซันฟิวริก มากว่ากรดไนตริกทั้งที่ยังมีชีวิต ปริมาณที่ใช้น่าจะปริมาณ 1 ลิตรกว่าได้ล่ะมั้ง”
“แค่ดูก็รู้แล้วเหรอครับ?”
“อา น่าจะตายมาได้ไม่ถึง 2 วันด้วยซ้ำ
ศพยังใหม่อยู่เลย” เขาเดินเข้าไปหาศพอย่างถือวิสาสะ
พร้อมก้มมองสำรวจอย่างใกล้ชิดจนตำรวจที่ยืนด้านหลังได้แต่คิดว่า ‘ไม่กลัวบ้างรึไง’
“
เอ... แต่พอดูลักษณะของฟันแล้วฉันเดาว่าเขาน่าจะใช้กรดที่มีความเขมข้นน้อยกว่ากรดไนตริกด้วยซ้ำนะ”
“ทำไมล่ะครับ?”
“ก็ง่ายๆ สมมติในมุมมองของฆาตกร”เขาค่อยๆถอยออกมาพยักเพยิดหน้าไปยังร่างนั้น “ใช้กรดที่รุนแรงขนาดนั้นในการทำลายใบหน้า
แต่ฟันกลับไม่ถูกกัดกร่อนไปด้วย ดูจากบาดแผลโดยรวมคงใช้เวลาตายนานเกือบ 20 นาที”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยครับ?”
“แค่นั้นก็ยังไม่รู้เหรอครับ”ร่างสูงแค่นหัวเราะ”ดูแล้วคนร้ายคงจะเป็นคนที่ใจเย็นเอามากๆ
เพื่อที่จะได้เห็นการตายอย่างทุรนทุรายของเหยื่อก็เลยใช้กรดที่มีความเข้มข้นน้อยกว่า
โดยการเอามือข้างนึงท้าวลงกับโซฟา”เขาชี้ไปยังมุมหนึ่งของโซฟาที่มีรอยยุบลงไปเล็กน้อยโดยที่ไม่สัมผัส
“ก่อนจะจับก้นขวดดันปากขวดเข้าไปในปาก
ยัดเข้าไปแล้วให้สารละลายไหลเข้าไปในโพลงปากจนกัดกร่อนทำลายหลอดอาหารจนไปถึงภายในทั้งเป็น ฉันมั่นใจว่าถ้ามีการชันสูตรศพ
คงพบร่องรอยอยู่บ้างล่ะนะ”
“อึก” ตำรวจนายหนึ่งหน้าถอดสีทำหน้าเหมือนคลื่นไส้
ชายผมดำจึงหันศรีษะมามองพร้อมหัวเราะน้อยๆอย่างเยอะเย้ย
“อะไรกัน ยังไม่ชินอีกเหรอครับ คุณตำรวจ”
“ร-เรื่องนี้จะให้เคยชินมันก็”
“ตำรวจอย่างพวกคุณควรจะเคยชินเรื่องแบบนี้มากกว่าพวกผมไม่ใช่รึไงครับ คุณตำรวจ”เขาพูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาท นั่นทำให้ตำรวจอีกนายเลือดขึ้นหน้าจนคิ้วมุ่นและกัมหมัดแน่น แต่อลันก็ยังพูดต่อไปอย่างไม่สนใจ “ถ้าไม่จนปัญญาจริงๆคุณคงไม่เรียกผมมาสืบคดีนี้ให้หรอกใช่ไหมล่ะ”
“พวกเราไม่ได้อยากเรียกคุณมาหรอกนะ”
“แต่คุณก็เรียกมาแล้ว เพราะทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ตามเคยใช่ไหมล่ะ”
เขาหันร่างทั้งร่างแล้วก้าวเดินเข้าไปหาตำรวจสองนายด้วยความสูงที่เงาบังร่างพวกเขาจนมิด
“เอาไว้ผมจะติดต่อคนของผมให้มาจัดการเรื่องนี้ต่อให้ก็แล้วกัน
แต่จะตอบรับไหมก็อีกเรื่องนึงล่ะนะ”
.
.
.
…
“ไม่เอา”
เสียงประสานของคนทั้ง 4
คนกล่าวปฎิเสธอย่างชัดเจนภายในร้าน Assasino Café แต่อลันก็ยังคงยิ้มตอบรับให้อย่างไร้ซึ่งการโมโหโกรธาอะไร
“ฉันรู้ว่าพวกนายไม่พอใจ
แต่ทางเบื้องบนเขาสั่งมาแล้วน่ะสิ”
“นายแน่ใจรึเปล่าล่ะว่านี่เป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่องน่ะ”
“ก็อาจจะ”
“ผมไม่เอา” ราฟ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบพลางยืนกอดอก “คดีเล็กๆแบบนั้นควรให้พวกเจ้าหน้าที่นั่นจัดการเองไม่ใช่รึยังไง
เรารับงานแต่คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง
กับคดีปริศนาที่พวกตำรวจจัดการเองไม่ได้ พวกเราถึงจะออกตัวไม่ใช่รึไงกัน”
“ก็ใช่ แต่เหมือนพวกตำรวจจะวิ่งวุ่นเพราะมีเหยื่อเป็นนักการเมืองเกี่ยวข้องด้วยน่ะสิ”
“โอนเนอร์
ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าฆาตกรต่อเนื่องจะฆาตรกรรมเหยื่อในรูปแบบแพทเทิร์นเดียวกัน
และไม่จำเป็นต้องตรงต่อความแค้นก็สามารถฆ่าเหยื่อได้อย่างเลือดเย็นโดยไม่ต้องใช้เหตุและผล
ถึงเหยื่อทั้ง 4 รายจะถูกฆาตกรรมแบบเดียวกัน แต่ทุกคนเชื่อมต่อกันหมด ทั้งเพื่อนร่วมงาน
ทั้งครอบครัว”
“ฉันเห็นด้วยนะ” คาเลส ออกปากพูดบ้าง “จากที่นายอธิบายสภาพของศพมา
เป้าหมายของฆาตรกรไม่ใช่การฆาตรกรรม แต่ต้องการเห็นเหยื่อทุกทรมาณขณะที่กลืนน้ำกรดเข้าไป
และที่ทำลายใบหน้าก็ไม่ใช่เพื่อปิดบังตัวตนของเหยื่อ”
“แต่อยากทำลายตัวตนและศักดิ์ศรีย์ของเหยื่อให้พังทลายจนถึงที่สุด
เป็นเพียงความสะใจไม่ใช่อารมณ์” เรเวนกล่าวเสริม
“ไม่คิดแม้แต่จะทำลายหลักฐาน
ต่อให้เราไม่ทำอะไร ฆาตรกรก็ต้องถูกตำรวจจับอยู่แล้ว
เพราะมันไม่สนว่าตัวเองจะถูกจับหรือไม่”
“เอาล่ะทุกคนใจเย็นๆกันก่อน” อลันยกมือขึ้นปรามทุกคน “ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกนาย ฉันก็ไม่พอใจเหมือนกัน
แต่มันมีบางอย่างแปลกๆ”
“อะไร?” คาเรสถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“เมื่อเช้าฉันได้รับข้อมูลมา ว่าจับฆาตกรได้แล้วอย่างที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้
แต่คนร้ายกลับตายก่อนที่จะได้ทำการสืบสวน”
"อย่าบอกนะว่า.."ราฟพูดขณะแสดงสีหน้าบึ้งตึง
“ใช่ ตำรวจคิดว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เกือบจะไม่เป็นคดีขึ้นมาแต่ฉันกันเอาไว้ให้ก่อน”
“เชื่อเลยจริงๆ”
“ตอนนี้เขาอยากให้เราไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อให้ข้อมูลโดยละเอียดก่อนที่จะมีการชันสูตรศพ
เดี๋ยวนี้เลย”
“ฉันไม่ไป/ไม่เอา /ขอปฎิเสธ/นายจัดการเองสิ”
ทุกคนส่งเสียงประท้วงพร้อมกัน
“พวกตำรวจควรพยายามสืบคดีด้วยตัวเองก่อนไม่ใช่รึไง
พวกเรามีหน้าทีจัดการในงานที่พวกมันพยายามแล้วต่างหาก พวกเรากำลังตามล่า
ฆาตกรสมยานาม 'ชายเคราน้ำเงิน' อยู่นะ”
“เพราะมีหลักฐานว่าเกี่ยวข้องกับฆาตกรรายนั้นอยู่ไงล่ะ
ฉันเลยรับงานนี้”
“ยังไง?” คาเรส กล่าวท้วง
อลันทำหน้าหน่ายออกมาก่อนที่จะมองไปทีละคนจนในที่สุดสายตาของเขาก็หยุดไปที่เด็กสาวผู้มีผมสีขาว
“เรเวน เธอไปกับฉัน”
ผู้ที่ถูกเรียกเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะใช้หางตาแล้วหันหลังให้
“...ไม่”
“เอาน่า เดี๋ยวให้พักงานสามวันก็ได้”
“ใครสน” เรเวนทำท่าจะเดินหนี
แต่แล้วคนตัวสูงกว่าก็คว้ามือเธอเอาไว้
“งั้นถ้าเป็นข้อมูลของ 'นักล่ากระดูก' ล่ะ จะว่ายังไง” ร่างเล็กชะงักทันทีก่อนที่เธอจะค่อยๆหันมาเหลือบมอง
“ถือว่าตกลงนะ ถ้างั้น...”
“เราไปกันเถอะ”
.
.
.
…
ในอพาร์ทเม้นท์เล็กๆแห่งหนึ่ง ในชั้นที่
8 ห้อง 3804
ลักษณะก็เหมือนกับห้องพักของชายหนุ่มทั่วไป ที่เป็นห้องเดี่ยวที่ทางเข้ามีรองเท้าวางระเกะระกะหนึ่งคู่
พร้อม เตียงและโต๊ะอาหารตั้งอยู่มุมห้อง บนโต๊ะมีข้าวของวางกระจัดกระจายไปทั่ว เสื้อผ้าที่ใส่แล้วกองอยู่ที่พื้น มีระเบียงด้านนอกเล็กๆและห้องน้้ำหนึ่งห้อง
ภายในห้องไม่มีร่องรอยการต่อสู้หรือคลาบเลือดและการงัดแงะ มีเพียงบริเวณระเบียง...ที่มีร่างของชายคนนึงแขวนคอยู่
“มาแล้วเหรอ” ตำรวจนายหนึ่ง
หนึ่งในสามคนที่ที่ยืนอยู่ภายในห้องนั้นชักสีหน้าใส่พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญให้กับผู้มาเยือน
เรเวนและอลัน ยืนอยู่หน้าประตูห้องโดยที่ทั้งคู่ยังใส่เครื่องแบบร้าน
แต่เรเวนกลับสวมถุงมือยางและเสื้อกาวสีขาวคลุมทับไว้
“ยังไม่ได้เอาศพลงมาใช่ไหม” อลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์
“อา รักษาสภาพศพไว้ตามที่ขอมาแล้ว” เรเวนเดินนำเข้าไปโดยไม่สนใจจะทักทายใคร จนเกือบเดินชนกับตำรวจที่ยืนอยู่ข้างใน
“นี่!!!”
“น่าๆ
คุณตำรวจ ปล่อยเธอเถอะ”
ร่างเล็กเดินนำไปยังศพด้วยท่าทีนิ่งงัน ก่อนจะเริ่มสำรวจโดยรอบโดยไม่สัมผัส เธอดูตั้งแต่เท้าที่เปลือยเปล่า ขากางเกง
ข้อมือ เสื้อ คอ ศรีษะ ใบหน้าไปจนถึงผม
“อลัน” เสียงเล็กๆดังขึ้น พลางกวักมือเรียกคนตัวสูงพร้อมชี้ไปที่พื้นที่เธอยืนอยู่
“เข้าใจล่ะ
เก้าอี้สินะ” ว่าแล้วอลันก็คว้าเก้าอี้ที่โต๊ะทานข้าวออกมา
ซึ่งโดนตำรวจโวยวายยกใหญ่
“นี่
อย่าย้ายหลักฐานในที่เกิดเหตุสิ!!!”
“เอาน่าคุณตำรวจ คอยดูไปเถอะ” เขายกเก้าอี้ไปวางข้างๆศพ
ก่อนที่เด็กสาวจะปีนขึ้นไปเพื่อดูศพใกล้ๆ
เธอจดจ้องศพราวกับแค่ดูประติมากรรมชิ้นนึง
แววตาที่นิ่งงันดูน่าขนลุกราวกับผีสางที่ไร้ความรู้สึก ก่อนที่เธอจะหันมามองตำรวจแล้วก้าวลงมาจากเก้าอี้
“คดีนี้...”
“เป็นคดีฆาตกรรม”
สิ้นคำของเด็กสาวเสียงคำค้านของตำรวจก็ดังขึ้นมาทันที
“แกเอาอะไรมาตัดสิน ก็เห็นๆอยู่ว่าห้องไม่ได้ถูกรื้อค้น
ถึงภายในห้องจะรกอยู่บ้างแต่ประตูถูกล็อกไว้ไม่มีทางถูกบุกรุกเข้ามาแน่”
“คิดตื้นจังนะ”
“ว่ายังไงนะ!!”
“ดูที่หลักฐานดีๆสิ” เธอผายมือไปที่ร่างอันไร้ชีวิตนั่น “ทั้งที่แขวนคอตายแต่ลิ้นไม่จุกปาก ตาก็ปิดสนิท
ไม่มีน้ำลายไหลออกมากจากปากเลยซะด้วยซ้ำ และถ้าดูจากที่มือ” เธอชี้ไปยังมือข้างนึงของเหยื่อ “ผู้ตายสวมนาฬิกาที่มือซ้ายแสดงว่าผู้ตายถนัดขวา
แต่เชือกที่ใช้แขวนคอกลับถูกผูกด้วยมือซ้าย”เมื่อพูดจบตำรวจก็เดินดิ่งมาดูศพ
แม้ว่าเขาจะไม่อยากทำมันเลยก็ตาม เขาขึ้นไปบนเก้าอี้พร้อมสังเกตุดูอย่างละเอียด
และมันก็เป็นความจริงที่ว่าปมถูกมัดอยู่คนละด้านกับมือข้างที่ถนัด
“เมื่อประเมิณภายในห้อง”เธอเดินมาหยุดอยู่ที่เตียง “ผ้าห่มไม่ได้ถูกปูก็จริงแต่ก็พอมองออกว่าก่อนหน้านี้เคยมีบางอย่างทับอยู่รวมถึ่งร่องรอยบริเวณหมอนที่มีรอยยุบ เป็นไปได้ว่าผู้ตายอาจจะเพิ่งกลับมาจากทำธุระข้างนอกเช่นไปทำงาน ถอดรองเท้าทิ้งอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับลงนอนบนเตียงทั้งชุดไปรเวท
เหยื่อจึงยังสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงแสลกขายาวที่ใช้เข้างาน
ดูจากสภาพศพแล้วน่าจะเพิ่งตายไปได้ประมาณ 5-7 ชั่วโมง”
“อย่างมาพูดมั่วๆหลักฐานแค่นี้จะไปรู้ขนาดนั้น”
“การสังเกตุเป็นสิ่งจำเป็นในการสืบสวนนะ”
นายตำรวจขมวดคิ้วมุ่นพร้อมกัมมือแน่น “งั้นบอกมาสิว่าผู้ตาย เสียชีวิตได้ยังไง”
“ผู้ตาย เสียชีวิตในขณะหลับ หรือจะพูดให้ถูกก็คือไม่รู้สึกตัว ผู้ตายคงจะหลับอยู่บนเตียงแล้วผู้ร้ายก็แอบเข้ามาในห้อง”
“ฉันก็บอกแล้วไงว่าห้องมันล็อกแล้วมันจะ---”
“พวกเราได้ถามเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องข้างๆใกล้เคียงกับห้องผู้ตายแล้ว”อลันกล่าวเสริม”ดูเหมือนว่าเจ้าของห้องมีชื่อว่า เบญจามิน เขาเป็นชายวัยทำงานที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครและมักจะเปิดประตูทิ้งไว้เสมอเวลาเขาอยู่ที่ห้อง”
“เปิดประตูทิ้งไว้?”
“ใช่แล้ว” เรเวน เริ่มพูดเสริมต่อพร้อมยืนหาวอย่างเบื่อๆ เดินไปที่โต๊ะที่มีของวางเต็มไปหมดแล้วหยิบซองยาซองหนึ่งขึ้นมา
“ภายในห้องไม่มีเครื่องปรับอากาศ
หรือเครื่องกรองอากาศสักตัว
เจ้าของห้องคงมีนิสัยชอบเปิดประตูห้องและประตูบริเวณระเบียงทิ้งไว้เพื่อให้อากาศถ่ายเท
และดูจากกองยาที่อยู่บนโต๊ะนี่เป็นยาสำหรับคนที่เป็นโรคหอบ
ถ้าสำรวจห้องดีๆก็คงพบกับยาพ่นเป็นแน่...กลับมาที่เรื่องวิธีสังหารก็แล้วกัน”
เธอโยนยากลับลงไปที่โต๊ะพร้อมกับเดินไปข้างศพเอามือพิงเก้าอี้
ซึ่งตำรวจคนเดิมยังยืนอยู่บนนั้น “นอกจากยาทั่วไปแล้วก็ยังมียานอนหลับชนิดเข้มข้นอยู่
ผู้ตายคงจะกินก่อนที่จะหลับลงบนเตียงเวลาประมาณ 10-12ชั่วโมงก่อน”
“แล้วผู้ตายๆได้ยังไงกันล่ะ”
เธอชี้เข้าไปในหูของตัวเอง “ลองดูที่หูของเหยื่อสิ” เมื่อได้ยินดังนั้นตำรวจจึงลองจ้องดู
“ก็ไม่เห็นมีอะไร---เอ๊ะ” เมื่อดูดีๆแล้วข้างในรูหูมีคลาบเลือดไหลออกมา
แม้จะแห้งจนแทบไม่เห็นแล้วก็ตามและมีปริมาณเลือดไม่มากนัก
“ระหว่างที่หลับคนร้ายก็ได้แอบเข้ามาในห้อง
โดยรู้นิสัยว่าผู้ตายมักจะกินยานอนหลับอยู่เป็นประจำ ก่อนจะใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายใส่เข้าไปในเข็มฉีดยา แล้วฉีดเข้าไปข้างในหู ถึงจะบอกไม่ได้ว่าใช้สารพิษแบบไหน
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ร้ายอาจใช้แก๊สยาสลบเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ตายหลับสนิทจนไม่ทันรู้ตัวแล้วเสียชีวิตไป โดยที่ทุกการกระทำเขาสวมถุงมือป้องกัน อุ้มเหยื่ออกมาจากเตียง
แล้วทำการแขวนคอให้เปรียบเสมือนการฆ่าตัวตาย
พร้อมกับกดล็อกประตูก่อนออกไปเพื่อไม่ให้มีคนพบศพได้ไวนัก แต่คนร้ายคงลืมไปว่ามันผิดวิสัยของเจ้าของห้องที่มักจะเปิดประตูทิ้งไว้เวลานี้ล่ะมั้ง ถึงได้พบศพเร็วขนาดนี้”
“นี่พวกนายจะบอกว่า..”
“ผู้ร้ายเป็นคนที่รู้จักผู้ตายเป็นอย่างดี อาจจะเป็นคนระแวกนี้ก็ได้แถม”เธอเริ่มหันไปรื้อกองเสื้อผ้าบนพื้นตอนที่ตำรวจจะห้าม อลัน ก็ได้กันท่าเอาไว้
“อย่างที่คิดยังไม่ได้ตรวจสอบห้องโดยละเอียดสินะ”
ภายใต้กองเสื้อผ้ามีขวดนอนกลิ้งอยู่สองสามขวด”นี่....คงเป็นกรดซันฟิวริก คนร้ายพยายามจะยัดเยียดความผิดการฆาตกรรมให้กับเหยื่อพร้อมกับทำให้คดีนี้เป็นคดีฆ่าตัวตายเพื่อที่ตัวเองจะได้รอดจากการจับกุม”
เธอเดินกลับไปหา อลัน พร้อมถอดถุงมือยางทิ้ง
“ถ้าทำการชันสูตรศพอย่างละเอียดก็คงพบสารพิษที่ใช้ในการฉีดเข้าสู่ร่างกาย
อาจจะไม่เจอลายนิ้วมือ แต่ก็น่าจะตามหาตัวได้ไม่ยากนักหรอก”
“ทำไม...แค่ดูแค่นี้ถึงรู้ขนาดนั้น”
“เพราะมั้นเป็นงานยังไงล่ะ”
“พวกแกไม่ใช่ตำรวจซะด้วยซ้ำ!!!!”
“พวกเราเป็นนักสืบ”อลัน เริ่มโต้ตอบแทนพร้อมพา เรเวน หลบมาด้านหลัง
“นักสืบเรอะ?
เหอะ พวกแกก็แค่นักต้มตุ๋นที่ทำงานในคาเฟ่”
“จะบอกว่ากระทรวงความมั่นคงแห่งชาติเป็นพวกลวงโลกรึไง”
ตำรวจปากมากคนนั่นถึงกับยืนอึ้ง “กระทรวงความมั่นคง....แห่งชาติ?”
“ใช่แล้ว พวกเราเป็นกลุ่มนักสืบที่ขึ้นตรงมาจากกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ
โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล เรื่องงานคาเฟ่ก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้นล่ะ”
เขาเอามือพาดไหล่ เรเวน แต่ก็ถูก เรเวน ผลักออกด้วยท่าทีรำคาญ
“พวกเราเป็นนักสืบที่ถูกฝึกฝนให้มองในมุมของฆาตกร
ว่าถ้าหากเราเป็นฆาตรกรเราจะฆ่าเหยื่อด้วยวิธีการแบบไหน เป็นวิธีการใช้ในการสืบคดี”
“นี่มันบ้าชัดๆ”
“ได้ยินบ่อยๆแหละถ้างั้นพวกเราขอตัวก่อน” เขาพาร่างของเรเวนออกมาจากห้องก่อนที่จะหันมาพร้อมทำนิ้วชี้จรดลงบนนิ้วโป้งแล้วกางอีกสามนิ้วออก
“ถ้ายังสืบคดีหาคนร้ายไม่ได้ล่ะก็มาใช้บริการพวกเราได้แต่...”
“มีค่าใช้จ่ายนะ♥”
_________________________________________
ความคิดเห็น