ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Assasino Café : Assasin คาเฟ่ฆาตกร

    ลำดับตอนที่ #3 : คดีที่ 0 : BACK STORY [RAVEN] บทที่ 1 : IMMURE I

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 147
      6
      6 มิ.ย. 64

    Assasino Café

    คดีที่ 0  

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 

    BACK STORY

    [RAVEN]

     

     

     

              ในวันที่นกเขตเหนือบินผ่านท่ามกลางท้องฟ้าสีครามที่เริ่มก่อเมฆฝนเป็นสีดำ และสายลมตัดผ่านต้นไม้ใบหญ้ากลางป่าหน้าหนาวแห่งอาคารย่านคนรวย หิมะที่โปรบปรายลงมาเบางดงามจนน่ายกกล้องขึ้นมาถ่ายเก็บไว้ดูชม บนพื้นสีขาวมีชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังก้าวเดินอยู่บนฟุตบาต เขาสวมเสื้อโค้ดตัวยาวปล่อยผมสีดำหยักโศก ยาวถึงสะโพก ดวงตาสีทองประกายชวนดึงดูด ในมือที่สวมถุงมืออยู่นั้นถือกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่เอาไว้ข้างลำตัว สองขายาวสาวเท้าไปตามพื้นถนน  พอเวลาผ่านไปฝนก็เริ่มเทลงมาแทนที่จนเขาต้องเร่งฝึเท้ากลับที่พัก แม้จะเกิดรอยเท้าบนแอ่งน้ำเพียงชั่วครู่มันก็สลายกลับคืนทันตาเห็นตามธรรมชาติ


     


              ทันทีที่ถึงบ้านสไตล์ยุโรปหลังใหญ่เขาก็ปลดล็อกประตูเข้าไปอย่างไม่รีรอ และปิดประตูลงเบาๆอย่างสุภาพแม้จะอยู่เพียงลำพัง


     


              เขาเดินตรงไปยังโต๊ะทานอาหารตัวยาวพลางวางกระเป๋าลง สองมือค่อยๆปลดล็อกกรอนของกระเป๋า  แล้วเปิดออกมาอย่างช้าๆ มองร่างที่กำลังนอนขดอยู่ในกระเป๋า เป็นสิ่งมีชีวิตที่หาได้อยู่ทั่วไป เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อ่อนแอ เปราะบาง และมีประชากรจำนวนมากบนโลกนี้ นั่นก็คือ มนุษย์ เธอคือเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง แน่นอนตอนนี้เธอยังไม่ตาย ตอนนี้น่ะนะ (ผมคิดว่าอย่างงั้น)


     


     


              มือหนาลูบไล้ไปตามนวลแก้มขาวผ่องม้วนเส้นผมสีขาวปรอทที่ปรกหน้าเธอออกอย่างเบามือ ทันใดนั้นดวงตาสีฟ้าคู่โตก็เบิกโพรง สองแขน บางๆยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งต่อหน้าเขา ไม่ว่าจะเรือนผมหรือแม้แต่ สีผิว ทุกอย่างล้วนเป็นสีขาวแต่มีสีขุ่นเจือๆที่ทำให้เขานึกว่ามันเหมือนสีของอะไรบางอย่างแต่เขาก็นึกไม่ออก ร่างกายเธอกระตุกน้อยๆจากฤทธิ์ยากล่อมประสาทที่เขาฉีดเข้าไปในตัวเธอ ช่างสวยงามและบอบบาง น่าถนุถนอม จนเขาอยากที่จะ....


     


               เขายื่นมือไปหาร่างเล็กที่สบตาเขานิ่งงัน


     


              โครม!!


     


              เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากในห้องนอน เขาละสายตาจากเธอไปยังประตูห้องนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมาหาร่างบางที่ดูอ่อนแรง


     


              “รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันกลับมา” เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้กระซิบข้างใบหูเล็กๆ “เธอไม่มีที่ไหนให้หนีไปได้อีกต่อไปแล้ว”


              เขาผละออกจากเธอแล้วตรงไปยังห้องนอน ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงโต้กลับมาจากด้านในห้อง ในห้องเกิดเสียงโครมครามเสียงดัง เพียงชั่วครู่ก็สงบลงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินกลับออกมาจากห้องพร้อมถอนหายใจยาว


              ร่างสูงก้าวเดินกลับมาที่ห้องเดิม แต่กลับไม่พบร่างที่นั่งอยู่ในกล่องอีกต่อไปแล้ว “อา... เล่นซ่อนหางั้นเหรอ”


     


              กุกกัก


     


              เขาได้ยินเสียงบางอย่างมาจากในห้องรับแขกไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ขายาวๆสาวเท้าไปยังห้องนั้นอย่างไม่รีบเร่ง และยังคงเกิดเสียงแปลกๆในห้องๆนั้นไม่มีหยุด เขาเปิดประตูเข้าไปในห้องด้วยมือเปล่า พลางสอดส่องสายตาไปทั่วห้องและพบกับร่างเล็กได้ในเวลาไม่นาน เธอขยับตัวขยุกขยิกอยู่ท่ามกลางห้องที่กองเต็มไปด้วยขยะ


     


              แม้ภายนอกบ้านจะดูหรูหราตระการตา แต่ข้างในกลับเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าที่ใส่แล้ววางระเกะระกะเต็มพื้นห้องทำงาน ปะปนกับเศษเอกสารจำนวนมากที่กองเป็นภูเขาบริเวณมุมต่างๆ มีกลิ่นบุหรี่จางๆลอยมาจากด้านใน พร้อมอุณหภูมิอันหนาวเย็นจากการเปิดเครื่องปรับอากาศทิ้งไว้ ทำให้มีกลิ่นฉุนของบุหรี่ตีฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง


     


     


              “เธอทำอะไร” เขาถามน้ำเสียงเจือความสงสัยด้วยใบหน้าไม่ทุกร้อน


              ร่างน้อยลุกขึ้นมาจากกองเสื้อผ้าพร้อมกับอุ้มกองผ้าเอาไว้ในมือ


     


              “ทำความสะอาด”


     


             “หา ทำไมล่ะ?”


     


               “เพราะมันสกปรก” เธอเริ่มเก็บต่อพร้อมกับพับเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและแยกประเภทอย่างดี “คงไม่ได้คิดจะให้เราทนอยู่ที่นี่ทั้งที่มันรกขนาดนี้หรอกนะ”


     


     


              “…” เขานิ่งเงียบมองเธอผู้ซึ่งยังคงทำความสะอาดอย่างไม่ลดละความพยายาม เขาไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไป ควรจะกระชากเธอออกมาจากตรงนั้นหรือปล่อยให้เธอทำอะไรตามใจชอบต่อไปทั้งแบบนี้ดี


     


              แต่ความจริงต่อให้เขาไม่ทำอะไรก็ไม่เสียหายอะไร ดีซะอีกมีคนช่วยทำความสะอาด แต่...แม่หนูคนนี้รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่ กำลังอยู่ในสถานการณ์อะไร ไม่กลัวตายบ้างรึไงกัน ช่างเป็นเด็กที่ประหลาดซะจริง


     


     


              เขามองเธอที่ยังคุ้ยเขี่ยของออกมาตามใจจนกระทั่งเธอชะงักกึก คว้าบางอย่างขึ้นมาด้วยสองมือ และจดจ้องมันราวกับมันเป็นแค่เรื่องธรรมดาที่หาได้ทั่วไป...สิ่งนั้นก็คือกระโหลกของมนุษย์


     


              ว่าแล้ว ว่าเขาเคยเห็นสีผมแบบนั้นมาก่อนจากที่ไหน


     


    เป็นสีของกระดูกนี่เอง


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


     


    บทที่1


    IMMURE I


    (คุมขัง)


     


     


     


     


     


              เสียงฉ่าของไข่ดาวที่ถูกทอดอยู่ในกระทะ ดังรอดเข้าหูมาเป็นพักๆ ก่อนที่คนทำอาหารจะยกจานมาเสิร์ฟที่โต๊ะ


              “ตกลงเธอชื่อว่าอะไร” ร่างสูงถามออกไปนิ่งๆ นี่ก็สามวันมาแล้วตั้งแต่เธอมาอยู่ที่บ้านแต่ก็ไม่ยักจะคุยกับเขานัก เขามองแผ่นหลังของคนตัวบางที่กลับไปทอดไข่เจียวของตัวเองเงียบๆ ไม่แม้แต่จะโต้ตอบ เป็นผู้อยู่อาศัยที่เอาใจยากจริงๆ ตอนแรกก็เห็นว่าน่าสนใจดีเลยปล่อยให้ทำอะไรตามใจ แต่ดูจะอยู่สบายเกินไปแล้วมั้ง


     


              “จะไม่ตอบก็ได้แต่วันนี้ฉันต้องออกไปข้างนอกนะ” เธอเดินกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมกินอาหารอย่างไม่สนใจ แต่เขาก็ยังคงพูดกับเธอ”อยู่ได้ใช่ไหม”


     


              เธอหั่นไข่เจียวตักเข้าปากตนเองเงียบๆไม่แม้แต่จะชายตามอง ทำเขาถอนใจออกมาอย่างไม่อาจจะกลั้น เขาไม่รู้จะทำยังไงกับเหยื่อที่เขาจับมาได้... เรียกว่าลักพาตัวคงถูกกว่า


     


              มีตำนานประจำเมืองว่า หากเข้าไปคุยกับเด็กสาวที่นั่งอยู่ที่สวนสาธารณะ A เก้าอี้ตัวที่ 4 ตอน 6 โมงเย็นทุกวันศุกร์ จะถูกเทพลักตัวไปยังปรโลก ด้วยความสนใจเขาเลยพาตัวเธอกลับบ้านมา แต่เธอกลับไม่มีท่าทีต่อต้านหรือหวาดกลัว แม้จะขู่ฆ่าเธอก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้าน แต่รูปลักษณ์น่าพิศวงแบบนั้นจะถูกเล่าขานมาแบบแปลกๆก็คงจะไม่ผิดหรอกมั้ง


     


              เขาควรเริ่ม ‘งานอดิเรก’ ของเขากับเด็กคนนี้นานแล้ว แต่อะไรบางอย่างทำให้เขาฉุกคิดและหยุดยั้งการกระทำนั้นเอาไว้  อะไรบางอย่างนั้น...บางทีอาจจะเป็นสัญชาตญาณ


     


              เราใช้เวลาช่วงเช้าด้วยกันไม่นานผมก็ออกจากบ้านไปทำงาน ทันทีที่เข้าไปใน Assasino Café ก็ต้องเริ่มงานอย่างเร่งรีบอย่างที่เป็นปกติ ลูกค้าเยอะมากอย่างที่เป็นประจำ จนไม่มีการบรรเลงเปียโนในวันนี้ หลังจากทำงานมาหลายชั่วโมง ก็ตัดสินใจที่จะพักสักหน่อยก่อนออกไปทำงานต่อ


     


              “โอนเนอร์ หายไปไหนมาตั้งหลายวันน่ะ” ทันทีที่เดินเข้ามาพักหลังร้าน คาเรส ก็เดินเข้ามาทักเขาในทันทีด้วยใบหน้าบึ้งตึง ที่เป็นปกติของเขาอยู่เสมอ


     


              “ไง คาเรส” เขาหันไปยิ้มให้พลางโบกมือทักทาย แล้วตอบคาเรสว่า  “ไม่มีอะไรมาก ก็แค่จัดการเอกสารนิดหน่อย”


     


              แน่นอนว่าเขาโกหก ความจริงแล้ว เขาไปจัดเตรียมของต่างๆให้เด็กสาวปริศนาคนนั้นมาอยู่อาศัยบ้านเขาต่างหาก


     


              “งั้นเหรอ”บุรุษผมแดงกล่าวตอบอย่างขอไปที อาจจะไม่ได้เชื่อหรืออาจจะไม่ได้ใส่ใจคำตอบอยู่แล้วก็ได้”ว่าก็ว่าเถอะหลบมาแบบนี้จะไม่เป็นไรรึไง นายเป็นเบอร์ 1 ของร้านไม่ใช่เหรอ”


     


     


              “ยังไงก็ต้องมีเวลาพักบ้างน่า ว่าแต่นายไม่สนใจแย่งตำแหน่งของฉันบ้างเหรอ?”


     


              “เหอะ ไร้สาระน่ะ ฉันเอาเวลาไปทำงานของฉันยังง่ายซะกว่า”


     


              “แล้วนายไม่คิดเหรอว่าอาจจะมีคนมาแย่งตำแหน่งของฉันก็ได้” ชายตาสีม่วงเดาะลิ้นออกมาอย่างไม่ปิดบัง


     


              “ถ้ามีจริงฉันยอมเลี้ยงไวน์นายทั้งเดือนเลยแล้วกัน”


     


              “หึ พูดแล้วนะ”


     


              “อา จะมีใครพูดจาหว่านล้อมคนเก่งเท่านายอีกล่ะ”


     


              “จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ หึๆๆ ” ร่างสูงใหญ่หัวเราะในลำคอเบาๆ


     


          “ว่าแต่ได้ยินข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ไหม”


     


              “ข่าวอะไรล่ะ?”


     


              “ข่าวเรื่องการหายตัวไปของเด็กสาวที่เกิดขึ้นบ่อยๆในช่วงนี้น่ะ ข่าวลือหนาหูเชียวล่ะ”


     


              “เหรอ เหมือนจะเคยได้ยินมานิดหน่อยนะ”


     


             “นายเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้รึเปล่า” คนส่วนสูงน้อยกว่ายืนกอดอกถามขณะเอาหลังพิงกัมแพง


     


              “ไม่รู้สิ ถ้าเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงก็น่าสนใจอยู่นะ” เขายกยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ตีเนียนกลบเกลื่อนไปอย่างที่ทำประจำได้อย่างแนบเนียน และน่าไม่อาย


     


              “ไอ้โรคจิต”


     


     


              “นายก็พอกันนั่นล่ะ อย่าลืมคาปูชิโน่โต๊ะ 7 ด้วยล่ะ”


     


     


              เขาโบกมือลาก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อต้อนรับแขกโดยมีคนเดาะลิ้นตามหลังมา เสียงของสตรีที่ต่างรอคอยเขาดังขึ้นอย่างไม่ต้องรีรอ เขาสวมรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วเดินตรงไปที่พวกเธอด้วยท่าทีสบายๆ


     


              “คุณผู้หญิง มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”


     


     


     


     


              หลายชั่วโมงต่อมา


     


              อาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินเผยให้เห็นสู่สายตาเขา ขณะเมื่อเขาเดินออกมานอกร้าน พนักงานแต่ละคนก็ได้กลับกันไปหมดแล้ว เหลือเขาที่มีหน้าที่ปิดร้านเป็นคนสุดท้ายอย่างที่เป็นอยู่เสมอๆ เป็นวันดีๆ อีกวัน ที่เขาคงจะหลงลืมไปในไม่นาน


     


     


              เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เผยให้เห็นห้องรับแขกที่มีเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟาตัวยาว เขาติดกล้องวงจรปิดไว้เพื่อตรวจดูความเรียบร้อยและให้แน่ใจว่าเธอยังอยู่ในบ้าน ไม่มีอะไรผิดปกติ จะมีก็แต่สภาพบ้านเขา จากที่สภาพเหมือนห้องเก็บของ ตอนนี้ดูเหมือนใหม่อย่างกับไม่ใช่บ้านที่เขาเคยอยู่เลยสักนิด


     


              ขยันจริงๆเลยนะ


     


     


              เขาเปลี่ยนไปดูห้องอาหาร ก็พบว่ามีการจัดอาหารลงบนโต๊ะให้เรียบร้อยเสร็จสับ ดูเหมือนวันนี้เขาจะอดซื้อของฝากกลับไปกินที่บ้านซะแล้ว มันอาจจะฟังดูอบอุ่นละมุนละไมเหมือนกับพี่ชายที่กลับบ้านไปหาน้องสาว แต่ขอบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลย เขาไม่คิดจะปล่อยเธอให้มาอาศัยอยู่เฉยๆในบ้านเขาอยู่แล้ว แต่เขาแค่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับเธอมากกว่า


     


     


              เขาเก็บโทรศัพท์ลง แลวค่อยๆขึ้นรถของตัวเองขับกลับบ้านไปเพียงลำพัง หลังจากนั้นไม่นานฝนหลงฤดูก็ตกลงมาเสียงฝนจึงเป็นเพื่อนเดินทางยามกลับบ้านของเขา


     


     


     


    .


    .


    .


     


    ….


     


     


     


     


    ปัง


     


              “ฉันกลับมาแล้ว” ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็รู้สึกถึงความเย็นของห้องที่เปิดแอร์ทิ้งไว้ แม้ว่าเขาจะลองพูดออกไปแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา เมื่อเขาก้าวเดินเข้าไป เหลือบมองไปที่โซฟาในห้องรับแขกก็พบกับร่างสีขาวที่นั่งอ่านหนังสือไม่วางมืออยู่บนโซฟาตัวเดิมที่เขาได้เห็นผ่านทางโทรศัพท์


     


     


              เขาค่อยๆย่างกรายไปหาร่างนั้นช้าๆ ก่อนจะโผเข้าโอบกอดจากทางด้านหลัง


     


              “นี่ คุณหนู ไม่คิดจะต้อนรับกันหน่อยเหรอ”


     


              “…”ไม่มีเสียงตอบรับ และเสียงพลิกกระดาษหน้าถัดไปก็ดังขึ้น เขาจึงเอาคางเกยไหล่เล็ก ลอบมองหนังสือที่เธอกำลังอ่าน ดูเหมือนจะเป็นหนังสือเกี่ยวกับดอกไม้


     


              “จริงๆเลยนะนี่เธอรู้ตัวบางรึเปล่า” เขาขยับศรีษะไปใกล้จนเกิดเสียงเสื้อผ้าเสียดสีแล้วกระซิบที่ข้างหู “ว่าเธอกำลังอยู่กับฆาตกรน่ะ”


     


              ไร้เสียงตอบรับอย่างเช่นเคย แต่เขาก็ไม่ได้โมโหโกรธาอะไร เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วยื่นร่างกายไปด้านหน้าก้มมองคนด้านล่างแล้วประคองศรีษะของเธอให้เงยขึ้นมาสบตา


     


     


              “แน่ใจนะว่าจะไม่หนีน่ะ” เขาผุดรอยยิ้มออกมายามมองใบหน้าที่นิ่งงันราวกับตุ๊กตาจนเส้นผมยาวๆของเขาปลกหน้าเธอไปหมด และเมื่อไม่มีการตอบรับเขาจึงใช้สองมือคว้าคอเธอไว้ แล้วค่อยบีบมันแน่นขึ้น แน่นขึ้น และแน่นขึ้น...


     


     


              “อั่ก...แค่ก” เมื่อยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆเธอก็เริ่มสำลัก


     


              ตุบ


     


               หนังสือล่วงหลุดจากมือตกลงสู่พื้น สองมือเล็กคว้ามือเขาไว้แต่ไม่มีท่าทีจะกระชากออก เพียงจิกเล็บลงบนมือของเขาจนเป็นรอยแดงและเลือดซิบออกมา


     


     


           “อุก  อั่ก !!”


     


            เขามองใบหน้าของคนที่ยังเงยมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าทุรนทุราย เมื่อใช้เวลาสักพักน้ำลายก็เริ่มฟูมปากและตาเริ่มเหลือกขึ้น น้ำตาคลอเบ้าก่อนจะหยดออกมาเป็นสาย สองขาเขย่าเป็นพลันวันดิ้นไปมา เสียงหอบหายใจติดขัดและเสียงร้องถูกกลบด้วยเสียงของสายฝนที่ดังมาจากด้านนอก จนกระทั่งหน้าเริ่มถอดสีแล้วตัวเธอเริ่มกระตุก


     


              ไม่มีใครจะช่วยเธอได้ ไม่มีใครที่จะได้ยินเสียงเธอ แม้ว่าเธอจะกำลังจะตายที่นี่ก็ตาม


     


     


            เขาจ้องมองเธอลึกเข้าไปในดวงตาที่สั่นระริกอย่างเย็นชา น่าแปลกที่ดวงตาสีฟ้าสวยนันไร้ซึ่งความกลัว มีเพียงความเจ็บปวดเท่านั้นที่เผยให้เห็นและแฝงแววดื้อรั้นแม้ใกล้จะตาย


     


              มือเรียวที่จิกมือเขาค่อยๆผ่อนแรงลง ส่งเสียงแหบแห้งออกมาจนแทบจะไร้เสียง ร่างที่ดื้นพร่านค่อยๆหยุดนิ่ง แต่เขาก็ยังคงจ้องเธอด้วยแววตาว่างเปล่าน่าขนลุก


     


              ...ฟุ่บ


     


              “แค่ก แค่กๆ!!” ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือจากคอของเธอ เธอทรุดใบหน้าลงแนบกับตัก จับคอของตัวเองพร้อมไอไม่หยุด เขามองภาพนั้นนิ่งๆก่อนที่จะเอามือวางลงบนผมนุ่มๆของคนตัวเล็ก


     


              “ไปทานข้าวซะ แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยกัน”


     


     


              เขาเดินนำไปยังห้องอาหารด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ โดยยังมีเสียงไอค่อกแค่กตามหลัง แต่หลังจากที่เขาลงไปนั่งที่เก้าอี้ที่มีโต๊ะยาวประมาณ 2 เมตร มีเก้าอี้หัวโต๊ะท้ายโต๊ะเพื่อทานข้าว เด็กสาวก็ตามเขาเข้ามาในเวลาไม่นานไร้ท่าทีโกรธแค้นหรือเคืองทางสีหน้าอย่างผิดคาด ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยังคงนิ่งอยู่ได้ทั้งที่เกือบจะตายมาเมื่อครู่ เขาเลือกที่จะนั่งบริเวณด้านในที่มีรูปขนาดใหญ่เป็นรูปอีกาสีดำกำลังกางปีกประดับอยู่ด้านหลัง เขาเลือกนั่งตรงนั้นไม่ใช่เพราะอยากดูดีอะไรหรอกนะ แต่เมื่อดูปริมาณอาหารในจาน ที่ๆของเขานั้นมากซะจนเกินอิ่ม แล้วอีกจานน้อยจนแค่ตักคำใหญ่สามคำก็หมดแล้วก็มองออกในทันทีว่าจานที่ถูกจัดเตรียมไว้เป็นจานของใคร แต่ก็ดูข้าวที่เธอทานจะน้อยเกินไปหน่อยนะ


     


     


              เธอเลื่อนเก้ากี้มานั่งอย่างเรียบร้อยแล้วกินอาหารไปราวกับเรื่องเมื่อสักครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แตเขาก็ไม่ได้สนใจแล้วเริ่มทานอาหารของตัวเอง และรสชาตินั่นก็ทำให้เขาอมยิ้ม


     


              “ใช้ได้หนิ” เขาเอ่ยปากชม ถึงจะไม่ชินที่ได้ทานข้าวเปล่าเพราะปกติเขาจะทานเป็นพวกขนมปังหรือพาสต้า (เพิ่งรู้เหมือนกันว่ายังมีข้าวอยู่ในบ้าน) ข้าวหุงได้กำลังดี ซุปก็มีรสชาติเข้มข้น กลิ่นหอมที่โชยออกมากระตุ้นต่อมอยากอาหารของเขาได้เป็นอย่างดี ซุปประกอบด้วยมันฝรั่ง แครอท หัวหอม มะเขือเทศ และ เนื้อไก่ชิ้นที่น่าจะเป็นสิ่งต่างๆที่เขาเตรียมไว้ในตู้เย็น แต่งแต้มด้วยใบพาสลี่ และพริกไทยดำป่น เป็นรสชาติที่ทำให้รู้สึกนึกถึงบ้าน เขาจะเรียกมันว่าซุปมันฝรั่งแล้วกัน


     


     


              แกร๊ง


     


     


              เด็กสาวที่นั่งตรงข้ามเขาวางช้อนลงทันทีเมื่อทานเสร็จ แต่แทนที่จะทำอะไรต่อเธอกลับเอามือวางไว้บนตัก แล้วจ้องมองผม


     


     


              ผมมองกลับไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถามว่า ‘อะไร?’ จากนั้นไม่นานเธอก็ยกมือขึ้นทำมือเป็นปืนชี้มาที่ผม ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับลั่นไกพร้อมพูดคำว่า “ปัง”


     


               ผมไม่เข้าใจว่าเธอกำลังทำอะไรจนกระทั่งผมเริ่มเห็นภาพเธอซ้อนกันลางๆ ภาพโฟกัสเบื้องหน้าเริ่มมัวมืด ก่อนที่สติจะดับวูบลง ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือใบหน้าเย็นชาของเธอที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน


     


     


    ตึง


     


    .


    .


    .


     


    ...


     


     


     


              อึก


     


               ผมได้สติขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่ฟ้ามืดสนิท แม้ว่าจะไม่ลืมตาผมก็รู้เพราะแม้ว่าจะมีโคมไฟห้อยอยู่เหนือหัวแต่รอบด้านนั้นแสนมืดมิดจนเขารู้สึกได้ เขาค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกหนักหัว แล้วเอามือกุมขมับด้วยอารมณ์ที่เหนื่อยหน่ายต่อตัวเอง


     


              ประมาทเกินไป พลาดซะแล้วเรา


     


     


              เห็นว่าเป็นเด็กตัวเล็กๆเลยวางใจง่ายเกินไป สงสัยจะดูถูกเธอไปหน่อยไม่คิดว่าจะโดนวางยานอนหลับ ตอนที่เขายกหน้าขึ้นมาจากโต๊ะ เขาก็รู้สึกได้ถึงแสงโคมไฟที่แยงตา เขาย้ายมือไปจับที่หัวตาด้วยความรู้สึกมึนๆ ไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนหายตัวไปไหนแล้ว ถือว่าโดนเอาคืนไปแล้วกันนะ


     


              ตอนที่เขาทำท่าจะลุกจากเก้าอี้เขาก็เห็นว่าบนโต๊ะไม่มีจานข้าวเหลือวางทิ้งไว้เลยแม้แต่ใบเดียว เหลือแต่เพียงโพสอิทสีเหลืองแปะอยู่ที่กลางโต๊ะ เขาลุกขึ้นเดินไปดูมัน แต่ด้วยที่สติยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้เขามองไม่ชัดว่ามันเขียนว่าอะไร จึงต้องดึงมันออกมาดูใกล้ๆ


     


     


    ‘หน้า’


     


     


              มันเขียนไว้แค่นั้น ผมได้แต่เลิกคิ้วสงสัย หน้างั้นเหรอ? พอเขาเอามือลูบหน้าตนเองก็พบว่ามีรอยปื้นสีดำติดที่นิ้วมือ จึงหยิบโทรศัพท์มือถือมาเปิดกล้องหน้าดูตัวเอง ก็พบว่าหน้าของเขาถูกวาดเต็มไปด้วยรอยดำเต็มไปหมด พอเสยผมขึ้นก็พบว่ามีคำว่า ‘สารเลว’ เขียนไว้ตรงหน้าผาก


     


     


               “ฮะ ฮะ ฮะ...” เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ช่างแกล้งกันได้น่ารักจริงๆ


     


    เขาจะเอาคืนเธออย่างสาสมแน่นอน




     


    _________________________________________________________________


    Profile : Raven




    ชื่อ : เรเวน


    อายุ : 17


    ส่วนสูง : 147 ซม.


    น.น. : (ความลับ)


    สิ่งที่ชอบ : ไอติมมิ้น อีกา


    สิ่งที่เกลียด : เลือด แมลงปีกแข็ง


    ชิ้นส่วนของมนุษย์ที่ชอบ : กระดูกสันหลังและกระดูกซี่โครง




     


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------




    สวัสดีไรท์เอง


    จะเล่าประวัติเรื่องของตัวละครที่ละตัว


    และขอแจ้งเปลี่ยนเนื้อหาเป็นแนว รักดราม่าแทน


    เพราะคนเขียนเครียดกับการเขียนแนวสืบสวนมากเกินไป


    การที่เขียนสองเรื่องพร้อมกันมันลำบากจริงๆ


    แต่ก็สนุกมากเลยครับ




    ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม


    รักนะครับ


    (เผลอลงผิด...จริงๆต้องลงทีละส่วนขออนุญาตแก้ตัวครับ เป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆเผลอลงทุกตอนที่แต่งลงในตอนเดียว....ขออนุญาตลงใหม่ทีละตอนนะครับ)



    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×