ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #8 : ค่ำคืนแห่งวิญญาณ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.98K
      15
      19 เม.ย. 50

    บทที่ 8

    ค่ำคืนแห่งวิญญาณ

             

    มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ   ว่ากันว่าเพราะอาบรีซาสาปแช่งนครคาเธย์แล้วปลิดชีวิตตัวเอง     แถมยังแสดงความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะกลับมาแก้แค้น    ซาลามาฮานจึงทำพิธีกักดวงวิญญาณของอาบรีซาไว้ที่นครมรณะ     ล่ำลือกันว่ามันตั้งอยู่ในหุบเขาอันสลับซับซ้อนกลางทะเลทราย    วันเวลานับพันปีที่ผ่านทำให้มันถูกกลบฝังด้วยทราย  วันดีคืนดีถึงจะปรากฏให้เห็นซักครั้ง  เท่านั้นแหล่ะครับ    คงเพราะไอ้การที่เดี๋ยวก็โผล่มา  เดี๋ยวก็หายไปก็เลยทำให้ผู้คนหวาดกลัว

     

    ทำไมซาลามาฮานต้องกักขังดวงวิญญาณของอาบรีซาไว้ด้วยล่ะ ?

     

    แหม    ทำไมช่างสงสัยนักละครับ    คีลบ่นเบา ๆ แต่ก็ยังให้คำตอบได้

     

    อันนี้เป็นความเชื่อในโลกแห่งวิญญาณของมาฮาร่าและอีกหลาย ๆ เผ่า  หลาย ๆ ชาติก็เชื่อกันแบบนี้     อาบรีซาเป็นบุคคลที่มีอาคมเวทมนตร์   แต่มนต์ของนางเป็นมนต์ดำที่เกิดจากความชั่วร้าย     ดวงจิตของนางจึงมีพลังอำนาจมาก   แม้ร่างกายจะแตกดับสูญสลาย    แต่ดวงจิตอันกล้าแข็งของนางก็ยังสามารถครอบงำ    ชี้นำ   หรืออาจอาศัยร่างของคนอื่น ได้   และนั่นก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาอีก    ซาลามาฮานจึงต้องกักนางไว้

     

    แล้วโคลงโบราณที่ว่า    ราชินีหลับใหล     แท่นบรรทม    รอวันคืนคง  เธอจะมาครอง    สาวกแห่งเธอจะเป็นผู้เปิดประตูจากการหลับใหล        วันสุริยันแผดเผา    และจันทราดับแสง   จันทรามหามายาจะเสื่อมสูญ     มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?   จัสมินยังถามต่อไปเรื่อย ๆ ชักสงสัยนายไกด์ที่ปฏิเสธไม่รู้เรื่องรู้ราวใด ๆ แต่พอถูกถามกลับตอบได้ซะทุกอย่าง

     

    คุณก็เห็นผมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องตำนานไปได้    คีลบ่นแต่ก็ยังอธิบาย

     

    ที่คุณพูดถึงนั่น   เป็นโคลงที่เหล่าผู้ภักดีในอาบรีซาแต่งขึ้น    เพราะมีคำทำนายว่า   อาบรีซาจะกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่อีกครั้ง    นางจะถูกปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลอันแสนนาน     ในวันที่อาณาจักรทะเลทรายแห่งนี้ไม่มีซาลามาฮาน    ไม่มีมาฮาร่า

     

    แล้วมาฮาร่าหายสาบสูญไปได้ยังไง ?      จัสมินยังไม่หมดข้อสงสัย

     

    โธ่คุณ!  ผมจะไปรู้ได้ยังไงละครับ    เรื่องนี้มันก็แค่ตำนาน   มาฮาร่าจะมีอยู่จริง ๆ หรือเปล่ายังไม่รู้เลย     คนคอยตอบคำถามชักจนปัญญา

     

    ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่     จัสมินหัวเราะขันท่าทีของคีล    หากแล้วเสียงหัวเราะก็ต้องเงียบลงเมื่อมีเสียงทักจากเบื้องหลัง

     

    คุณอยู่นี่เอง     หญิงสาวหันกลับไปตามเสียงเรียกก็พบกับชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตรงมาทางคนทั้งคู่

     

    มีอะไรหรือเปล่าคะฮัดซัน ?     จัสมินส่งยิ้มสดใสให้ผู้มาใหม่ที่เดินยิ้มเข้ามา   แต่รอยแย้มยิ้มที่ส่งให้หญิงสาวนั้นมิได้เผื่อแผ่ไปให้ชายหนุ่มอีกผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ด้วย      ดวงตาดำคมนั้นเหมือนมองอย่างไม่ชอบใจวูบหนึ่งเสียด้วยซ้ำ

     

    ผมไม่เห็นอยู่ที่เต็นท์พัก      เป็นห่วงก็เลยเดินหาดู      ชายหนุ่มผู้มาใหม่ตอบ   สามารถข่มความรู้สึกไม่ชอบหน้าเจ้าไกด์ทะเลทรายได้อย่างมิดชิด     มันไม่มีอะไรเทียบเขาได้ซักอย่าง   ไม่มีความจำเป็นต้องลดตัวลงไปตอแยด้วย

     

    ขอบคุณค่ะ   แต่ฉันไม่เป็นอะไรหรอก แค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น   พอดีเจอกับคีลเข้าเลยคุยกันนิดหน่อย

     

    คุยอะไรกันหรือครับ ?   ฮัดซันขยับเข้ามาร่วมวงสนทนา

     

    เรื่องตำนานคาเธย์ค่ะ

     

    แหมถ้าเรื่องนี้ถามผมก็ได้   อยากรู้เรื่องอะไรละครับ 

     

    คีลเล่าให้ฟังแล้วละค่ะ     ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปจากที่เคยได้ยินได้ฟังมา    คุณมีข้อมูลอื่น ๆ ที่แปลกไปจากนี้บ้างหรือเปล่าคะ ?     หญิงสาวย้อนถามในขณะที่คีลค่อย ๆ เลี่ยงถอยออกไปสมทบกับมูซาโดยฮัดซันไม่ได้มีท่าทีสนใจจะทักทายแม้แต่น้อย    คีลถอยไปคุยอะไรบางอย่างกับมูซาแล้วก็เลี่ยงหลบหายไปเหลือเพียงเด็กชายนั่งเล่นอยู่แถวนั้น

     

    ผมว่าพวกตำนานถิ่นพวกนี้ก็เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ส่วนหนึ่งเหมือนกันนะครับ    ผมมีอีกหลายตำนานจะลองฟังดูไหมครับ     เมื่อเห็นว่าหญิงสาวที่ตนหมายตามีท่าทีสนใจ      ฮัดซันจึงเริ่มเล่าไปเรื่องโดยมีจัสมินซักถามในบางครั้ง   คนทั้งคู่ก้าวเท้าไปเรื่อย ๆ

     

    เพราะอย่างนี้หรือเปล่าคะ   คุณถึงเสนอให้มีการสำรวจคาเธย์ ?     จัสมินเอ่ยถามในตอนหนึ่ง   ดูเหมือนฮัดซันจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับคาเธย์มากพอ ๆ กับคีล   แต่ทำไมก็ไม่รู้ความรู้สึกเมื่อฟังจากคีลจึงแตกต่างไปจากการรับฟังจากชายหนุ่มที่คุยกับเธอในขณะนี้     กับฮัดซันเธอรู้สึกแค่เพียงเหมือนได้อ่านหนังสือนำเที่ยวเล่มหนึ่งเท่านั้น    แต่เรื่องราวที่คีลเล่ากลับทำให้รู้สึกเหมือนเธอได้ก้าวเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั่นด้วยอย่างนั้นแหล่ะ

     

    ครับ   นครคาเธย์เป็นนครที่เคยเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุดก่อนจะล่มสลายเพราะการทิ้งร้างของผู้คน    ซากอารยธรรม  โบราณวัตถุต่าง ๆ ก็น่าจะคงความสมบูรณ์ มากกว่านครแห่งอื่น ๆ ที่ล่มสลายลงเพราะภัยสงคราม

     

    ฉันอยากเห็นเร็ว ๆ จังเลยค่ะ

     

    คงอีกไม่นานหรอกครับ   ถ้าไกด์ของเราไม่พาหลงไปทางอื่นเสียก่อน    ชายหนุ่มกล่าวติดตลก

     

    เขาก็ดูใช้ได้นะคะ   ซาเล็มเชื่อฝีมือ

     

    ถ้าเก่งจริงผมก็วางใจครับ   งานสำรวจของเราจะได้ไม่ล่าช้า     ทั้งสองคนเดินสนทนากันมาเรื่อย ๆ จนวนกลับมาถึงหน้าเต็นท์พัก      ที่นั่นเบนดาฮาร่ายืนรออยู่แล้วอย่างกระวนกระวาย      ดวงหน้าขาวนวลแดงระเรื่อเพราะแดดที่แผดร้อน     พอเห็นทั้งคู่เดินมาด้วยกันหญิงสาวก็เดินลิ่วเข้ามาเกาะแขนฝ่ายชายทันที

     

    แหม!   ออกไปเดินเล่นก็ไม่ชวนกันบ้าง     

     

    ฮัดซันวางหน้าไม่ถูกกับความสนิทสนมที่ฝ่ายหญิงแสดงออก    ในขณะที่หญิงสาวอีกคนหนึ่งไม่ได้สนใจกริยาสนิทสนมกันเกินงามของอีกฝ่าย     จัสมินเพียงส่งยิ้มให้อย่างเป็นการขอตัวแล้วเดินเข้าไปสมทบกับคณะสำรวจที่จับกลุ่มสนทนากันอยู่ด้านใน

     

    เบนดาฮาร่า   ผมไม่ชอบที่คุณทำแบบนี้นะ    ฮัดซันกระซิบเตือนพยายามแกะแขนออกจากมือฝ่ายหญิง

     

    ทำไมคะ   กลัวแม่จัสมินนั่นจะรู้เรื่องของเราหรือไง   คุณสนใจมันใช่ไหม !?     เบนดาฮาร่าตาลุกวาวด้วยความไม่พอใจ

    ใครว่า   ผมห่วงคุณต่างหาก    ถ้าใครรู้เรื่องระหว่างเรา   คุณจะเป็นฝ่ายเสียหาย    เรื่องของเรายังไม่ได้ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ     ฮัดซันพยายามใจเย็นอธิบาย     สีหน้าผู้ฟังดูดีขึ้น

     

    ก็แล้วเมื่อไหร่คุณจะประกาศเรื่องของเราเสียทีละคะ ?

     

    ผมบอกแล้วไงว่าหลังจากกลับจากสำรวจคาเธย์แล้วน่ะ

     

    แต่คุณทำท่าสนิทสนมกับจัสมินเหลือเกิน   ฉันไม่ชอบเลย!”

     

    อย่าคิดมากน่า    ผมก็แค่ดูแลตามหน้าที่    คุณก็รู้นี่ว่าพ่อเขามีประโยชน์กับเราแค่ไหน   

     

    ก็ขอให้จริงอย่างที่บอกก็แล้วกัน!”    เบนดาฮาร่ายอมเชื่อในที่สุด

     

    เออ  ว่าแต่เบซาไปไหน   ตั้งแต่ออกเดินทางมานี่ผมไม่ค่อยได้พบเขาเลย ?      ชายหนุ่มถามถึงพี่ชายของเบนดาฮาร่าเมื่อกวาดตามองผู้ที่อยู่ในเต็นท์พักแล้วไม่พบ   

     

    เห็นออกไปกับพวกมาสำรวจน้ำมัน    คงอยู่ไม่ไกลนี่แหล่ะค่ะ     หญิงสาวตอบอย่างไม่สนใจนัก    สายตายังจับจ้องมองจัสมินที่ดูจะเป็นขวัญใจของหนุ่ม ๆ ทุกชาติทุกภาษาด้วยความหมั่นไส้

     

     

    ท่ามกลางดวงดาวที่ทอประกายระยิบระยับบนผืนผ้ากำมะหยี่สีดำยามรัตติกาล    บรรยากาศอันเงียบสงบเพราะผู้คนสนิทนิททรากันเกือบหมด     เหลือเพียงทหารที่ยืนยามรักษาการณ์และไฟสปอร์ตไลท์ที่ส่องสว่างรอบเต็นท์พัก        จุดสลัวห่างจากแสงไฟ    มีร่างตะคุ่ม ๆ สองร่างนอนหงายมองท้องฟ้าอยู่บนหลังคารถที่ใช้บรรทุกสัมภาระ

     

    คีล!”     เงียบไร้เสียงตอบจากคนที่นอนเคียง

     

    คีล   หลับแล้วเหรอ ?     เด็กชายพยายามเรียกเซ้าซี้

     

    ยัง     เสียงตอบมาแกมรำคาญ

     

    หนาวมั๊ย ?    เจ้าเด็กเอ่ยถามต่อ

     

    หนาวแล้วละซิ    ลงไปนอนในเต็นท์ไป     คีลไล่แต่เด็กชายไม่ยอมขยับ    มันพึมพำตอบ

     

    ก็ไม่หนาวเท่าไหร่    มันบอกแต่เริ่มขยับเบียดใกล้เข้ามา

     

    เฮ้อ!   ทำไมไม่เข้าไปนอนในเต็นท์   หรือไม่กล้านอนคนเดียว ?

     

    เปล่า....แต่    คือว่า....    เด็กชายอ้ำอึ้ง

     

    มีอะไร ?

     

    คืนนี้ข้ารู้สึกแปลก ๆ มันเย็น ๆ วังเวง ๆ ยังไงบอกไม่ถูก    มันอึดอัดยังไงก็ไม่รู้

     

    อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัวผี     ชายหนุ่มถามแกมหัวเราะ

     

    ผีเผออะไร    ข้าไม่กลัวเสียหน่อย    มูซาปฏิเสธเป็นพัลวัลแล้วก็เงียบกันไปพักหนึ่ง    เสียงทอดถอนใจยาวจากคนตัวใหญ่กว่า

     

    แม้แต่เจ้าก็จับความรู้สึกกดดันนี่ได้    แต่ก็ไม่แปลกหรอก  เพราะเจ้าสัมผัสคลื่นวิญญาณได้

     

    ยังไงเหรอ    อธิบายให้เข้าใจหน่อยสิ    เจ้าชอบพูดอะไรก็ไม่รู้เข้าใจยาก     มูซาลุกขึ้นนั่งมองคนที่ยังนอนหงายดูดาวเฉย

     

    คืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งวิญญาณ    ในทุก ๆ ปี เหล่าดวงวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายจะมารวมตัวกัน

     

    วิญญาณ!   ผีน่ะเหรอ!”     เจ้าคนยืนยันนั่งยันว่าไม่กลัวผีกระเถิบเข้ามากระแซะร่างคนตัวใหญ่จนจนชิด

     

    ก็แค่วิญญาณน่า   คีลบอกแกมหัวเราะพลางดันตัวลุกขึ้นนั่ง

     

    สมัยก่อนแถบนี้มีกองคาราวานเดินทางผ่านไปมามากมายถือเป็นเส้นทางการค้าที่สำคัญเส้นทางหนึ่ง   แต่มีของมีค่าที่ไหนก็ต้องมีโจรทะเลทรายที่นั่นภายหลังผู้คนอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน   ทะเลทรายด้านนี้กลายเป็นเส้นทางที่ปราศจากการสัญจรไปมา    จะคงเหลือก็เพียงดวงวิญญาณที่ตายลงในทะเลทรายแห่งนี้เท่านั้นที่ยังเวียนวน   เร่ร่อน    เป็นวิญญาณที่อ้างว้างโดดเดี่ยว   วิญญาณเหงาที่หาทางไปไม่พบ     และในราตรีที่มืดมิด    ในค่ำคืนแห่งวิญญาณ   พวกเขาเหล่านั้นก็จะปรากฏวนเวียนไปแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

     

    มูซาคว้าแขนคนเล่าไว้พลางขยับเข้ามาชิด     คีลละสายตาจากความมืดมิดเบื้องหน้าหันมามองเด็กชาย

     

    มูซา  วิญญาณพวกนี้น่าสงสาร

     

    น่าสงสาร!?   บ้าหรือเปล่า   น่ากลัวละไม่ว่า    เด็กชายเถียง

     

    การส่งวิญญาณเร่ร่อน   การชี้ทางให้กับวิญญาณก็เป็นงานหนึ่งของมาฮาร่านะ     คีลบอกเสียงเรียบ   เล่นเอาเด็กชายอ้าปากค้าง

     

    มาสิ  แล้วเจ้าจะได้เห็น     คีลขยับลุก  กระโดดลงจากหลังคารถ    มูซาจำใจปีนตามลงมา     ใจหนึ่งก็กลัวแต่อีกใจก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

     

    ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี      คีลก้าวนำห่างจากแค้มป์พักไปเรื่อย ๆ มูซาพยายามเร่งฝีเท้าตามร่างสูง ๆ ที่บัดนี้ตวัดเสื้อคลุมตัวยาวขึ้นมาสวมทับแถมดึงเอาชายผ้าโพกศีรษะลงมาพันรอบดวงหน้าปิดบังไว้เหลือเพียงดวงตา      แต่ถึงแม้จะพยายามเร่งตามเท่าไรระยะทางระหว่างคีลกับมูซาก็ยังเท่าเดิม      เด็กชายหันกลับไปมองด้านหลังที่เพิ่งเดินจากมาหากแล้วก็ต้องตกใจเพราะเต็นท์พักนับสิบบัดนี้อันตธานไปแล้ว     สิ่งที่เขาเห็นอยู่ขณะนี้คือความมืดและความว่างเปล่าปราศจากแสงไฟแม้แต่ดวงเดียว

     

    คีล!   นี่มันอะไรกัน.....       มูซาเอ่ยถามได้เพียงแค่นั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อหันกลับมาแล้วพบว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพังกับคีลอีกแล้ว    แต่บัดนี้ปรากฏกลุ่มคนชุดดำยืนรายล้อมอยู่ใกล้ ๆ     เป็นการปรากฏตัวที่เหมือนจู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาบนผืนทรายอันว่างเปล่า   ระหว่างที่มูซายืนงงอยู่นั้นร่างในชุดดำร่างหนึ่งก็ก้าวออกมาพร้อมกับยื่นของสิ่งหนึ่งให้

    คลุมนี่ซะ   สิ่งที่ชายผู้นั้นยื่นให้คือเสื้อคลุมตัวยาวสีดำสนิทแบบเดียวกับกลุ่มที่รายล้อมอยู่คลุม      เด็กชายเริ่มเข้าใจเรื่องราวรับเสื้อคลุมมาสวมโดยไม่ซักไซ้อะไร

     

     

    เบื้องหน้าที่เด็กชายยืนอยู่ขณะนี้เป็นเนินทรายสูง    กลุ่มคนในชุดดำอีกหลายคนยืนรวมกลุ่มกันเงียบ ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือพูดจา   ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ   ดูเหมือนทุกคนกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ      สายลมเย็นยะเยือกพัดวูบ   บรรยากาศเงียบสงบเมื่อครู่เริ่มแปรไป    ความเยือกเย็นวังเวงแผ่ซ่านเข้ามาทุกอณูของร่างกายจนขนลุกชัน     เสียงกระพรวนกรุ๋งกริ๋งดังแว่วมาตามสายลม   แล้วจุดหนึ่งลิบ ๆ ตรงสันทรายก็ปรากฏแสงวูบวาบคล้ายแสงตะเกียงของกองคาราวาน

     

    มูซายืนมองดูอยู่ด้วยใจระทึก    ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นแต่เขาก็รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่นอน   เสียง กรุ๋งกริ๋งนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ   แสงวูบวาบที่เห็นในระยะไกลนั้นขยับใกล้เข้ามา     ภาพกองคาราวานที่คิดว่าจะได้เห็นกลับกลายเป็นภาพความสับสนวุ่นวาย   เสียงอื้ออึง   เสียงกรีดร้อง   และเสียงอาวุธกระทบกันจากการต่อสู้       เด็กชายที่เฝ้าดูทำท่าจะถลาลงจากเนินทรายแต่ถูกรั้งไว้จากชายชุดดำที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

     

    ยืนเฉยกันทำไม     ช่วยพวกเขาซิ!   ทำอะไรเข้าซักอย่าง    พวกนั้นแย่แล้ว!”     เด็กชายระล่ำระลักบอกพลางดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล

     

    เราช่วยแน่   แต่ไม่ใช่ตอนนี้      เสียงตอบเรียบเฉยฟังดูปราศจากความรู้สึกใด ๆ ต่อภาพเบื้องหน้าที่เห็นดังมาจากชายชุดดำ

     

    ทำไมล่ะ    ทำไม!”      เด็กชายร้องถามอย่างไม่เข้าใจ     บัดนี้ความสับสนวุ่นวายของภาพเบื้องล่างค่อย ๆ สงบลงแล้ว    เสียงไชโยโห่ร้องของพวกโจรดังก้อง   ก่อนจะค่อย ๆ เงียบหายไปทิ้งไว้เพียงซากปรักหักพังของกองเกวียนและซากศพที่กระจายเกลื่อน

     

    ทำไมไม่ช่วยพวกเขา !?    มูซาถามอย่างโกรธจัดปนตกใจแต่เหล่าร่างในชุดดำยังคงยืนสงบ

     

    ข้าถามว่าทำไม !”   

     

    เพราะพวกนั้นที่เจ้าเห็นเป็นเพียงวิญญาณไงล่ะ     เสียงตอบจากร่างสูงที่ก้าวขึ้นมายืนเคียงข้างเด็กชาย     

     

    ชายในชุดดำที่ตรึงมูซาไว้แต่แรกคลายมือออก   และแสดงอาการคารวะผู้มาใหม่เช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ที่แสดงอาการเดียวกัน     การแต่งกายของผู้มาใหม่ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น  หากท่วงท่าทรงอำนาจนั้นบอกชัดถึงความเป็นนาย     ชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้  มือที่สวมถุงมือมิดชิดนั้นวางทับลงบนไหล่เด็กชาย

     

    อย่างที่บอก  ที่เจ้าเห็นนั่นคือเหล่าดวงวิญญาณที่ยังเกาะเกี่ยวผูกพันยึดติดกับเหตุการณ์ก่อนที่จะตาย    มันจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา    ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันสิ้นสุด     จนกว่าวิญญาณเหล่านั้นจะได้รับการชำระล้าง

     

    ชำระล้าง!?    

     

    ใช่ ชำระล้างดวงวิญญาณ    และนั่นก็เป็นหน้าที่หนึ่งของพวกเราชาวมาฮาร่าด้วย

     

    ทำได้ยังไงกัน ?

     

    ดูนั่นสิ   ร่างสูงชี้มือไปเบื้องล่างที่มองเห็นซากหักพังของกองเกวียน    ข้าวของกระจัดกระจายเกลื่อนและซากศพที่นอนตายระเกะระกะ       เด็กชายเพิ่งสังเกตว่าเหล่าชายในชุดดำที่ยืนห้อมล้อมอยู่เมื่อครู่หายไปหมดแล้ว    และขณะนี้พวกเขาไปปรากฏตัวอยู่    ซากเหล่านั้น      ชายที่ยืนเคียงก้าวเท้านำโดยไม่พูดอะไร     มูซาตัดสินใจก้าวตาม

     

    กลุ่มคนในชุดดำเริ่มโอบล้อมเป็นวงกลมล้อมรอบบริเวณที่เกิดเหตุนั้น     มือทั้งสองข้างประสานกันไว้บนอกก่อนที่เสียงสวดประสานจะดังก้องกังวานไปทั่วท้องทะเลทรายอันว่างเปล่าเวิ้งว้างนั้น

     

    บทเพลงส่งวิญญาณ    ชายที่ยืนเคียงมูซาบอกเรียบ ๆ

     

    เด็กชายสังเกตซากศพที่เรียงรายเมื่อครู่เริ่มสลายหายไปก่อนจะกลายเป็นดวงไฟดวงเล็กดวงน้อยค่อย ๆ ลอยสูงขึ้น  สูงขึ้น   จนในที่สุดก็หายไปท่ามกลางแสงกระพริบระยิบระยับของหมู่ดาว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×