คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : การต้อนรับของนครต้องคำสาป 1
บทที่ 21
การต้อนรับของนครต้องคำสาป 1
จัสมินรู้เพียงว่าตนถูกรวบเข้าสู่อ้อมแขนของใครคนหนึ่งที่กอดรัดตัวเธอไว้ท่ามกลางกลุ่มควันสีขาวที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณจนไม่สามารถมองอะไรได้ หูได้ยินเสียงความสับสนเสียงตะโกนแต่กลับจับใจความไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นตะโกนอะไรกัน นานช้ากว่าทุกอย่างรอบตัวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวปลิวสะบัดและอากาศที่หนาวเย็นจนรู้สึกสั่นสะท้านเท่านั้น หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อม ๆ กับรู้สึกถึงอ้อมแขนที่คลายความรัดรึงปล่อยให้เธอเป็นอิสระ
“เฮ้อ! รอดจนได้” เสียงถอนใจเฮือกก่อนที่ร่างข้างกายเธอจะทิ้งตัวลงบนผืนทรายที่เหยียบยืน
“คีล นี่มันอะไรกัน พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ที่นี่ที่ไหน แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ” ความสงสัยและคำถามไล่เลียงมาเป็นชุดแบบไม่เว้นช่องว่างให้ตอบได้
“โอ๊ย! เว้นวรรคหน่อยซิคุณ ใจเย็น ๆ เอาทีละคำถาม” คีลที่ลงไปนอนแผ่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง แม้จะเป็นคืนเดือนมืดแต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มมีอาการหอบน้อย ๆ การอยู่ในสภาพของคีลทำให้เขามีข้อจำกัดในการใช้พลังและเวทมนตร์ต่าง ๆ ด้วย แค่มนตร์เคลื่อนย้ายระยะใกล้ ๆ ก็เล่นเอาหอบไปเหมือนกัน ลำพังตัวเขาคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่นี่ต้องพ่วงเอาจัสมินมาด้วยทำให้เหนื่อยหน่อย
“เอาละ ไม่ต้องถามดีกว่า นั่นคำตอบอยู่นั่นคุณไปถามเอากับพวกนั้นเอง” ชายหนุ่มชี้ไปทางกลุ่มคนที่ยืนอยู่ กลุ่มคนที่จัสมินเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีพวกเขาอยู่ ณ ที่นี้ด้วยนอกจากเธอและคีลแล้ว
“ซาเล็ม มูซา!” หญิงสาวเอ่ยทักเงาร่างสองคนที่รู้จัก หากคนอื่น ๆ อีกสามคนที่ยืนอยู่ด้วยนั้นเธอไม่รู้จักอย่างแน่นอน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ใครช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม ?” เงียบไม่มีเสียงตอบจากใครในสามคนแปลกหน้าที่ตอนนี้เดินกระจายออกไปทั้งสามทิศทางเหมือนกำลังจะทำอะไรบางอย่าง ซาเล็มกับมูซาเดินเข้ามาสมทบกับจัสมินที่มองการกระทำของคนแปลกหน้าพวกนั้นอย่างงง ๆ เมื่อไม่มีใครอธิบายคนที่คาดคั้นได้จึงมีคนเดียว
“คีล ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ!”
“เอาละ เอาละ บอกก็ได้ พวกนี้เป็นมาฮาร่าที่คุณอยากรู้นักหนาไงว่ามีจริงหรือเปล่า”
“มาฮาร่า ไม่น่าเชื่อ!” ซาเล็มถึงกับอุทานเพราะอยู่มาจนปูนนี้แล้วไม่เคยได้พบใครที่อ้างตนเป็นมาฮาร่าเลยซักครั้ง ส่วนมูซานั้นไม่ตื่นเต้นอะไรนักเพราะเคยพบกับคนพวกนี้มาบ้างแล้ว เด็กชายทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ คีล
“ถ้าพวกนี้เป็นมาฮาร่า นายก็เป็นด้วยงั้นสิ” จัสมินถามอย่างจับผิด เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นมันฝีมือผู้ชายคนนี้ชัด ๆ
“ก็ทำนองนั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้นมาฮาร่าต้องการอะไร ทำไมส่งนายมานำทางพวกเรา เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันคืออะไร” คำถามตามติด คีลเบ้หน้าอยากจะยกมือเกาศีรษะเป็นกำลัง
“แหม อยากรู้ไปซะทุกเรื่อง” เสียงพึมพำเบา ๆ หากแล้วก็เล่าต่อ
“ก็ไม่อะไรหรอก พวกคุณอยากสำรวจคาเธย์กัน ไม่มีคนนำทางมาฮาร่าก็ส่งผมมานำทางให้ก็เท่านั้น”
“ไม่จริง ถ้าตำนานที่นานเล่าให้ฉันฟังตอนนั้นเป็นความจริงมาฮาร่าต้องไม่อยากให้ใครเข้ามาที่คาเธย์นี่”
“เราก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาในคาเธย์นักหรอก แต่เมื่อพวกคุณดื้อจะเข้ามากันให้ได้ มาฮาร่าก็เลยต้องส่งผมมาไงเพราะถ้าขืนปล่อยให้มากันเองคงไม่มีใครเหลือรอดมายืนแว้ด ๆ ผมอย่างนี้หรอก”
จัสมินรู้ว่าถูกกระทบแต่ในเมื่ออยากรู้ความจริงก็จำต้องข่มอารมณ์ไว้ ไว้ฟังจบแล้วเล่นงานก็ยังไม่สาย
“ที่สำคัญก็คือมีความพยายามของพวกเตห์ลาที่จะเดินทางเข้ามาโดยใช้คณะสำรวจคราวนี้เป็นโล่ห์ เพื่อให้มาฮาร่าไม่กล้าลงมือกับคนอื่น ๆ”
“แต่เรายังโดนเล่นงานอยู่ดี” ซาเล็มพึมพำ คีลหันไปยิ้มให้พลางบอก
“อาคมเวทมนตร์มันไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร เรื่องที่ได้เจอกันมาทั้งหมดนั่นเป็นอาคมของซาลามาฮานที่มีมานานนับพันปีเป็นมนต์กำกับสถานที่แห่งนี้ไว้ไม่ให้ใครล่วงละเมิดเข้ามารวมถึงคนที่เป็นมาฮาร่าเองด้วย”
“ก็หมายความว่าแม้แต่คนของมาฮาร่าเองก็ไม่ปลอดภัยที่จะเข้ามาในคาเธย์ไช่ไหม”
“ถูกต้อง อย่างที่คุณเห็น สามคนนั่นกำลังกางเขตอาคมเพื่อคุ้มครองพวกเราให้รอดพ้นด่านที่สามของคืนนี้”
“อะไร ?”
“เอาน่า เดี๋ยวคุณก็จะเห็นเองนั่นแหละ แต่ไม่แน่นะอาจจะชอบก็ได้ พวกนั้นยังชอบเลย” คีลพยักบุ้ยใบ้ไปทางร่างสามร่างที่กำลังใช้อะไรอย่างหนึ่งในมือขีดพื้นทรายเดินวนตามกันไปเป็นวงกลมทับซ้อนกันขยายเป็นวงกว้างออกไปพอสมควร และการมองครั้งนี้ทำให้เห็นว่าเงาตะคุ่ม ๆ ตอนแรกที่คิดว่าเป็นเนินทรายนั้นแท้ที่จริงคืออูฐที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางอย่างน้อย ๆ ก็สามสี่ตัวนอนหมอบอยู่
“ถ้าบอกว่าชอบแล้วทำไมยังต้องกางเขตอาคมอีกล่ะ” คราวนี้คำถามมาจากมูซาที่มองการกระทำของทั้งสามคนนั้นอย่างสนใจ
“ถ้าชอบแล้วตายจะเอาไหม” คีลย้อนถามมูซาสั่นหน้าดิก จัสมินเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันคืออะไรกัน ‘ชอบแล้วจะตาย’ แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะเพราะคงได้เห็นเองตามที่เจ้าตัวเขาบอก ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอต้องสอบสวนเอาความจริงให้ได้ คนบ้าโกหกหลอกลวงว่าเป็นแค่ไกด์ธรรมดาแต่จริง ๆ กลับเป็นพวกพ่อมดหมอผี เฮ้อ! แม้เรื่องราวมันจะไม่น่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ที่ได้เจอมาหลายครั้งหลายหนนั่นก็เพียงพอที่จะให้เชื่อได้แล้ว
“เรายังคุยกันไม่จบ อย่าเพิ่งนอกเรื่อง”
“ยังมีอะไรอีกล่ะคุณ นี่มันก็เริ่มจะดึกแล้วนะ ยังไม่คิดจะหลับจะนอนเดี๋ยวก็ไม่ได้นอนหรอก”
“ไม่ต้องมาเฉไฉ ทำไมคนพวกนั้นถึงต้องการให้ฉันไปคาเธย์” จัสมินถามในเรื่องที่แน่ใจว่าเกี่ยวกับตัวเธอแน่นอน
“มันเป็นความลับของมาฮาร่าครับผม บอกไม่ได้ ผิดกฎ” คีลบอกซื่อๆ
“เอ๊ะ!” หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจแต่มูซาหัวเราะเพราะไอ้คำว่าผิดกฎนี่เขาได้ยินจากคีลบ่อย
“คุณหนู อย่าไปคาดคั้นเลย ถ้าลองบอกว่าผิดกฎละก้อถามให้ตายก็ไม่ยอมบอกหรอก มูซาเคยลองแล้ว” จัสมินมองอย่างขุ่นเคืองโดยอีกฝ่ายยังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้ รอบบริเวณตอนนี้สว่างด้วยแสงไฟจากกองไฟที่ถูกจุดให้ลุกโชนขับไล่ความหนาวเย็นให้บรรเทาลง คราวนี้ทุกคนเข้ามารุมล้อมอยู่รอบกองไฟ ชายคนหนึ่งส่งกาแฟอุ่น ๆ ที่รินจากกระติกน้ำแบบพกพาแจกจ่ายให้คนในกลุ่ม
จัสมินยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ ความอุ่นที่แล่นวาบทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
“มาฮาร่าช่วยฉันกับซาเล็ม แต่ทำไมไม่ช่วยพวกฮัดซันด้วยล่ะ พวกคนงานเมื่อวานนี้อีก ทำไมนายไม่ยอมช่วยพวกเขา” หญิงสาวตั้งคำถามขึ้นมาอีก
“คุณเห็นผมเป็นยอดมนุษย์หรือไงถึงจะช่วยใคร ๆ ได้ตั้งหลายคน แค่ช่วยคุณคนเดียวผมก็จะแย่แล้ว การใช้เวทมนตร์ไม่ใช่แค่ท่องมนต์แล้วมันจะใช้ได้ มันเหนื่อยกว่าที่คุณคิด อีกอย่างไม่ต้องห่วงพวกนั้นหรอกรับรองปลอดภัยแน่ ๆ” ชายหนุ่มบ่นยืดยาวจนหญิงสาวต้องยกมือห้าม
“เอาละพอแล้ว....เอาเป็นว่าตอนนี้เรากำลังจะไปไหนกัน”
“คาเธย์” คีลตอบง่าย ๆ
“อ้าว! ไหนว่าไม่อยากให้ใครเข้าไปไม่ใช่หรือ ทำไมไม่กลับเข้าเมืองล่ะ”
“ถึงอยากกลับก็กลับไม่ได้แล้วละคุณ มันใกล้เวลาเต็มทีแล้ว” คีลตอบพร้อมกับถอนใจยาว
“เวลาอะไร ?”
“ไว้ถึงแล้วเดี๋ยวคุณก็รู้เองนั่นแหละ หมดคำถามหรือยังละครับ ผมเหนื่อยนา”
“ยัง อีกคำถามเดียว นายเป็นใครกันแน่”
“คีล ผู้นำทางแห่งมาฮาร่าครับผม” คีลตอยืดอกรับอย่างภาคภูมิ
“ฉันหมายถึงในมาฮาร่า นายมีความสำคัญยังไงพวกนั้นถึงส่งนายมาที่นี่” จัสมินถามอย่างอดกลั้น
“โธ่คุณ ผมก็เป็นไกด์นำทางนั่นแหละครับพวกนั้นเขาถึงส่งผมมาไง อีกอย่างมันก็เป็นรายได้อย่างที่บอกเงินดีใครจะไม่รับ มาฮาร่าก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกับคนปกติธรรมดานะครับไม่ได้วิเศษอะไรไปกว่ากันหรอก” คีลตอบแกมหัวเราะ ก็คีลเป็นไกด์จริง ๆ นี่นาไม่ได้หลอกซักหน่อย
“แน่นะว่านายเป็นไกด์จริง ๆ” หญิงสาวยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี
“จริงแท้แน่นอน ร้อยเปอร์เซ็นเลยครับผม”
“เอาละ ฉันจะพยายามเชื่อ แล้วสามคนนั้นล่ะ เป็นใคร ทำไมท่าทางลึกลับจังเลย” จัสมินลดเสียงลงเธอหมายถึงสามคนที่มาใหม่ แต่ละคนอยู่ในชุดคลุมดำรุ่มร่าม แม้ไม่ได้โพกพันหน้าตาแต่ก็ยังให้ความรู้สึกน่าเกรงขามไม่น่าเข้าใกล้อยู่ดี เมื่อเห็นชายสามคนนี้แล้วพานให้นึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่เธอเคยพบในความฝันแต่ผู้ชายคนนั้นมีลักษณะบางอย่างที่แผกออกไป ทรงอำนาจน่ายำเกรง ให้ทั้งความอบอุ่นและหวาดหวั่นได้ปานกัน
“คนของหน่วยพิทักษ์ราชา”
“อะไรนะ หน่วยอะไรไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”
“จะเคยได้ยังไงล่ะ ก็มันเป็นหน่วยของมาฮาร่า มีหน้าที่พิทักษ์ราชาแห่งมาฮาร่า” มันก็จริงตามที่คีลพูดนั่นแหละ เธอไม่เคยรู้จักมาฮาร่าแล้วจะไปคุ้นชื่อหน่วยของเขาได้ยังไง แต่จากปากคำที่ได้ก็แสดงว่ามาฮาร่านั้นมีราชาเป็นผู้ปกครองด้วยนะซิ ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่า ชายชุดดำท่าทางทรงอำนาจคนนั้นคือราชาแห่งมาฮาร่า
“ถูกส่งให้มาช่วยผมอีกแรงหนึ่ง หน่วยนี้ถือว่ามีฝีมือที่สุดในมาฮาร่า มากับพวกเขาคุณวางใจได้” คีลอธิบายเพิ่มเติมก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับพื้นทรายแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่หม่นมัวไม่แจ่มใสเอาเสียเลย
จัสมินมองแต่จะให้ทิ้งตัวลงนอนแบบนั้นก็ทำไม่ได้ อย่างน้อยคงต้องหาผ้ามารองนอนแต่อยู่ในสภาพแบบนี้จะไปหาที่ไหน นั่งหลับนกไปก็คงพอได้ละมั้ง คนอื่น ๆ ก็เริ่มเตรียมตัวพักผ่อนกันบ้างแล้ว มูซานั่งสัปหงกอยู่ข้างคีลส่วนซาเล็มยังเหลียวมองไปรอบบริเวณอย่างระมัดระวังตัว จัสมินยังไม่ทันขยับตัวทำอะไรสายลมที่พัดผ่านก็พัดพาเอากลิ่นหอมโชยอ่อน ๆ มาตามลม กลิ่นนั้นหอมขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง
“คีล คีล ตื่นเดี๋ยวนี้นะ” จัสมินเขย่าปลุกคนที่ยังไม่ทันไรก็ทำท่าจะหลับซะแล้ว
“มีอะไรกำลังมุ่งมาทางนี้” เธอบอกเมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นมอง
“การตอนรับสู่นครต้องคำสาปน่ะคุณไม่ต้องตื่นเต้นหรอกเดี๋ยวก็ได้เห็น” คีลบอกแกมหัวเราะแถมขยายความอีกหน่อยเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของสามคนต่างวัยที่ตอนนี้ขยับตัวนั่งตรงท่าทางระแวดระวังเต็มที่หลังจากผ่านเหตุการณ์สยดสยองมาหลายแล้ว
“นั่งดูเฉย ๆ ในนี้แหละรับรองไม่มีอะไร ดูเพลิน ๆ ก็สนุกดีเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่อยากจะดูเท่าไหร่หรอก” ตอนท้ายคีลบ่นอย่างปลง ๆ กับตัวเอง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มนั้น ‘ปลง’ เรื่องอะไร
ทางด้านกองทหารและกลุ่มของเบซาร์หลังจากที่โกลาหลวุ่นวายกับการ ‘หนี’ แบบซึ่ง ๆ หน้าของคนเป็นเชลยแล้ว ทั้งหมดกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งเสียงบ่นโวยวายดังจากยูซูสที่นึกเสียดายเชลยสาวสวย
“โง่กันจริง ไหนคุยว่าเก่งนักเก่งหนาแล้วทำไมปล่อยให้มันหนีไปได้ต่อหน้าต่อตาแบบนี้ล่ะ”
“หุบปากเสีย ๆ ของเจ้าซะ!” เสียงตวาดจากชายหน้าเหี้ยมที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเพราะคำพูดนั้นมันเหมือนตอกย้ำรอยแค้นที่ถูกหักหน้า
“เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า” ยูซูสไม่ยอมลงให้ในเมื่อต่างคนก็ต่างทำงาน ไม่มีใครใหญ่กว่าใครในงานคราวนี้
“อย่างนั้นเหรอ” พร้อมคำถาม รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นที่มุมปาก ดวงตาทอแสงจ้า ยูซูสร้องโอดโอยล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นทรายคล้ายกับถูกทรมานจากสิ่งที่มองไม่เห็น
“พอแล้ว ข้ายอมแล้ว ยอมแล้ว ได้โปรด โอย......” เพียงไม่นานเจ้าคนกร่างก็ต้องวอนขอความเมตตา
“จำใส่กะลาหัวของเจ้าไว้ ข้าอิลยาตไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า และข้าก็ไม่เหมือนอับราซัค ถ้าใครทำให้ข้ารำคาญใจแล้วละก้อข้าจะไม่ปล่อยให้มันอยู่รกสายตา จำไว้!” อิลยาตยิ้มหยันแล้วก้าวข้ามร่างที่ยังนอนหายใจเหนื่อยหอบกับพื้นทรายไปอย่างไม่ใยดี
“นี่มันอะไรกัน” ฮัดซันเอ่ยถามคนเป็นเพื่อนอย่างงุนงงไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“ไม่ต้องอยากรู้มากไปหรอกน่า ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้นถ้ายังไม่อยากตาย อยู่ที่นี่กับเบนดาฮาร่าไปก่อนเดี๋ยวฉันมา” เบซาร์บอกพลางลุกเดินเข้าไปหาอิลยาต
“แล้วจะทำยังไงต่อไป” ชายหนุ่มตั้งคำถาม
“ล่าตัวมันไม่ทันแน่ มันรู้เส้นทางดีกว่าพวกเรา แต่ถึงยังไงมันก็ต้องไปที่คาเธย์อยู่แล้ว เราต้องหาทางไปที่นั่นเอง ข้าอยากจะฆ่าไอ้ไกด์นั่นนักมันหลอกเราเสียเปื่อย” อิลยาตลดอาการหงุดหงิดลงนิดหน่อย
“นั่นสิ ข้าเองก็ยังถูกมันหลอกมาแล้ว...ช่างหัวมัน เอาเรื่องเฉพาะหน้านี่ซะก่อนถึงเราจะใกล้คาเธย์เข้ามาแล้วแต่เราไม่รู้จุดพิกัดที่แน่นอน บ่ายหน้าผิดเพียงนิดเดียวเราจะหลงไปไกล” เบซาร์ท้วงในตอนท้ายหากคำตอบของอิลยาตคือ
“อาบรีซาจะช่วยเรา นางต้องรู้ว่าพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหานาง”
“แต่นางถูกกักอยู่ในเขตมนตร์”
“ยิ่งใกล้จะถึงวันนั้นมากเท่าไหร่พลังอำนาจของนางก็ยิ่งกล้าแข็งมากเท่านั้น ข้าสัมผัสได้” อิลยาตบอกอย่างมั่นใจ
“ว่าแต่วันนี้เราจะต้องเจออาคมต่อต้านแบบไหนอีกก็ไม่รู้” เบซาร์ยังไม่วางใจเพราะเจอมาแต่ละครั้งนั้นก็หนักหนาสาหัสเอาการอยู่
“เจ้าดูถูกฝีมือข้ารึไง ข้าน่ะเป็นรองก็แต่ท่านหัวหน้าเท่านั้น” อิลยาตถือโอกาสคุยข่ม
“ถ้างั้นข้าก็ไม่บังอาจกับเจ้าละ แต่ระวังไว้หน่อยนะข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ”
“ไม่ต้องห่วง ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่ามนตราที่ลงอยู่ในทุกอณูทรายแห่งนี้มันจะเก่งกว่าข้าไปได้”
อิลยาตกล่าวอย่างลำพอง หากยังไม่ทันพูดจบกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็โชยมาตามลม คนอื่น ๆ ก็คงจะได้กลิ่นเช่นเดียวกันเพราะต่างหยุดชะงักกันหมด เสียงแว่วหวานของกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งมาแต่ไกล
“มันเริ่มแล้วละมัง”
“ใช่ มันเริ่มแล้ว” อิลยาตเหยียดยิ้ม ทอดสายตาออกไปภายนอกที่ดำมืด
“เราไม่ได้กางเขตอาคม”
“ไม่เป็นไร ข้าจัดการไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว”
เสียงกระดิ่งดังใกล้เข้ามาพร้อมกับแสงตะเกียงวูบไหวเพียงไม่นานก็ปรากฏภาพกองเกวียนหลายเล่มเคลื่อนตามกันมา เมื่อมาถึงจุดที่เหล่าทหารพักกันอยู่ก็หยุดชะงัก หญิงสาวหุ่นสครวญนางหนึ่งเดินเยื้องกายออกมาท่าทางตื่นเต้นดีใจ
“ขออภัยค่ะ พวกข้าหลงทางมาพวกท่านกำลังจะไปไหน ช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม” เสียงไพเราะเสนาะหวานนั้นชวนหลงไหลเคลิบเคลิ้ม ทหารที่ยืนยามเตรียมระวังตัวในตอนแรกเริ่มคลี่ยิ้มหวาน
“น้องสาว กลางทะเลทรายแบบนี้เจ้าเข้ามาลึกขนาดนี้ได้อย่างไร แล้วนี่จะไปไหนกัน” เสียงหนึ่งถามกลับไป
“พวกข้าเป็นคณะระบำเร่ ออกเดินทางไปเปิดการแสดงตามเผ่าต่าง ๆ ในทะเลทราย ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงหลงมาถึงนี่ได้” คำบอกเรียกร้องความเห็นใจและความสงสารแต่อิลยาตที่นั่งฟังอยู่นั้นเหยียดยิ้ม
“ไม่แนบเนียนเอาซะเลย ใครจะตกหลุมพรางของนางปีศาจพวกนี้กัน”
“เจ้าจะจัดการกับพวกมันยังไง” เบซาร์ถามเมื่อเห็นว่าอิลยาตยังนั่งมองเฉย
“นังปีศาจพวกนี้แค่ขยับมือก็ไม่เหลือซากแล้ว ข้าอยากดูลีลาของพวกมันก่อนอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเอาอะไรมาล่อพวกเรา”
“ประมาทเกินไปหรือเปล่า”
“เถอะน่า เจ้าดูอยู่เฉย ๆ เถอะ” อิลยาตบอกด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
“ขอให้ข้าตั้งกระโจมข้าง ๆ ที่พักของพวกท่านได้ไหมคะ อย่างน้อยจะได้อุ่นใจหน่อย” เสียงหวาน ๆ ยังออดอ้อนมาอีก ทหารยามหันมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาก่อนเจ้าคนหนึ่งทำท่าจะเข้าไปรายงานยูซูสแต่ถูกอิลยาตขวางไว้
“ไม่ต้อง ข้าอนุญาตให้พวกนั้นพักอยู่ใกล้ ๆ เราได้” คำอนุญาตส่งผลให้ได้รับรอยยิ้มหวานตอบกลับมา
“ขอบพระคุณมากค่ะท่าน เพื่อเป็นการขอบคุณข้าจะให้สาว ๆ ในคณะมาเริงระบำให้ดูซักเพลงดีไหมคะ ค่ำคืนเหน็บหนาวแบบนี้จะได้มีอะไรให้ผ่อนคลายบ้าง”
“เอาสิ” คำอนุญาตเรียกอาการกระปรี้กระเปร่าจากเหล่าทหารหนุ่ม ๆ
สาว ๆ ในชุดนางระบำหลากสีสรรเนื้อผ้าบางเบาอวดผิวขาวผ่องภายใต้แสงไฟ หุ่นแต่ละนางอวบอัด เอวคอดกิ่ว สะโพกผายอย่างเชิญชวน เสียงดนตรีเร้าจังหวะรับกับเสียงกระพวนข้อเท้าของเหล่านางระบำที่ก้าวย่างบนพื้นทรายรอบกองไฟ จังหวะลีลาโยกไหวอ่อนช้อยงดงามก่อนจะเพิ่มความเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะดนตรีที่รัวเร็ว
เหล่าทหารที่ห้อมล้อมอยู่แรก ๆ ก็ตบมือให้จังหวะกันอย่างคึกคักสนุกสนาน หากเมื่อจังหวะเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงตบมือกลับเริ่มหายไป ต่างคนต่างยืนมองภาพการเริงระบำเบื้องหน้าคล้ายตกอยู่ในมนต์สะกด นางระบำยิ้มหวาน สายตาหยาดเยิ้มมองมาเหมือนชวนเชิญให้ผู้ชมเข้าไปร่วมร่ายรำด้วยกระนั้น ทหารบางคนกระโดดเข้าไปร่วมวงบ้างแล้ว ยิ่งนานจำนวนผู้แสดงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มกับภาพยวนตายวนใจเบื้องหน้าไม่เว้นแม้กระทั่งอิลยาตและเบซาร์เองที่ยืนตะลึงมองคล้ายต้องมนต์สะกด หากเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมานเสียงแรกจะไม่ดังขึ้นเสียงแล้วก็เงียบหายไป
อิลยาตสะดุ้งเฮือกสุดตัวเหลียวมองรอบด้านด้วยอาการเดียวกับเบซาร์ เหล่าทหารยังคงมัวเมาอยู่กับนางระบำดูเหมือนหูพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว
“ถอยออกมาให้หมด ข้าสั่งให้ถอยออกมาให้หมด” ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากใครทั้งสิ้น ยังไม่ขาดคำเหล่าทหารที่ร่วมแสดงก็ค่อย ๆ ร่วงลงไปกองกับพื้นทราย เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกจากลำคอเหวอะหวะและเสียงร้องที่ดังเพียงครั้งเดียวก่อนจะขาดใจตาย
ร่างนางระบำที่มองเห็นงดงามเมื่อครู่เริ่มแปรเปลี่ยน จากสวยงามหยาดเยิ้มตอนนี้เขี้ยวขาวงอกโง้วยาวออกมาจากปากแดงที่เคยยั่วยวนมันอาบด้วยเลือดสด ๆ ที่หยาดหยดเปลอะเปื้อนเป็นทางยาว เสียงหัวเราะอย่างสาสมใจดังกังวานไปทั่วแคมป์พัก
อิลยาตร่ายเวทสาดเข้าใส่เหล่านางปีศาจกระหายเลือดแต่มันกลับว่องไวหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว เบซาร์เองก็ต้องร่วมมือด้วยหาไม่ก็คงได้ตายกันหมด นางปีศาจพวกนี้ไม่เหมือนกับเหล่าปีศาจอื่น ๆ ที่เจอมา พวกมันไม่กลัวไฟ ไม่กลัวความร้อน
“อิลยาต! จะกำจัดมันยังไงก็รีบเข้าซิ เห็นไหมว่าพวกเราถูกมันเล่นงานจนเกือบหมดแล้ว”
“เออ รู้แล้วกำลังหาวิธีอยู่” มนต์กี่บทที่มีถูกเรียกออกมาใช้แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ตอนนี้พวกที่ดำรงตนอยู่ได้มีเพียงเหล่าเตห์ลาที่ถอยร่นมารวมกัน ยูซูส เบนดาฮาร่าและฮัดซันหลบอยู่กลางวงเท่านั้น ศพทหารสภาพแหลกเหลวยับเยินกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นทราย!
ความคิดเห็น