ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #21 : การต้อนรับของนครต้องคำสาป 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.64K
      15
      6 ก.ย. 50

    บทที่ 21

    การต้อนรับของนครต้องคำสาป 1

     

                    จัสมินรู้เพียงว่าตนถูกรวบเข้าสู่อ้อมแขนของใครคนหนึ่งที่กอดรัดตัวเธอไว้ท่ามกลางกลุ่มควันสีขาวที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณจนไม่สามารถมองอะไรได้   หูได้ยินเสียงความสับสนเสียงตะโกนแต่กลับจับใจความไม่ได้ว่าคนเหล่านั้นตะโกนอะไรกัน    นานช้ากว่าทุกอย่างรอบตัวจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติมีเพียงเสียงลมพัดหวีดหวิวปลิวสะบัดและอากาศที่หนาวเย็นจนรู้สึกสั่นสะท้านเท่านั้น     หญิงสาวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งพร้อม ๆ กับรู้สึกถึงอ้อมแขนที่คลายความรัดรึงปล่อยให้เธอเป็นอิสระ   

     

                    “เฮ้อ!   รอดจนได้”     เสียงถอนใจเฮือกก่อนที่ร่างข้างกายเธอจะทิ้งตัวลงบนผืนทรายที่เหยียบยืน

     

                    “คีล   นี่มันอะไรกัน   พวกเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง   ที่นี่ที่ไหน   แล้วคนอื่น ๆ ล่ะ”     ความสงสัยและคำถามไล่เลียงมาเป็นชุดแบบไม่เว้นช่องว่างให้ตอบได้

                   

    “โอ๊ย!  เว้นวรรคหน่อยซิคุณ   ใจเย็น ๆ เอาทีละคำถาม”      คีลที่ลงไปนอนแผ่ยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง   แม้จะเป็นคืนเดือนมืดแต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มมีอาการหอบน้อย ๆ การอยู่ในสภาพของคีลทำให้เขามีข้อจำกัดในการใช้พลังและเวทมนตร์ต่าง ๆ ด้วย   แค่มนตร์เคลื่อนย้ายระยะใกล้ ๆ ก็เล่นเอาหอบไปเหมือนกัน   ลำพังตัวเขาคนเดียวก็ไม่เท่าไหร่หรอก  แต่นี่ต้องพ่วงเอาจัสมินมาด้วยทำให้เหนื่อยหน่อย

     

                    “เอาละ   ไม่ต้องถามดีกว่า   นั่นคำตอบอยู่นั่นคุณไปถามเอากับพวกนั้นเอง”     ชายหนุ่มชี้ไปทางกลุ่มคนที่ยืนอยู่    กลุ่มคนที่จัสมินเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีพวกเขาอยู่ ณ ที่นี้ด้วยนอกจากเธอและคีลแล้ว

     

                    “ซาเล็ม   มูซา!     หญิงสาวเอ่ยทักเงาร่างสองคนที่รู้จัก   หากคนอื่น ๆ อีกสามคนที่ยืนอยู่ด้วยนั้นเธอไม่รู้จักอย่างแน่นอน

     

     

                    “นี่มันเกิดอะไรขึ้น   ใครช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยได้ไหม ?”    เงียบไม่มีเสียงตอบจากใครในสามคนแปลกหน้าที่ตอนนี้เดินกระจายออกไปทั้งสามทิศทางเหมือนกำลังจะทำอะไรบางอย่าง     ซาเล็มกับมูซาเดินเข้ามาสมทบกับจัสมินที่มองการกระทำของคนแปลกหน้าพวกนั้นอย่างงง ๆ  เมื่อไม่มีใครอธิบายคนที่คาดคั้นได้จึงมีคนเดียว

     

                    “คีล   ตอบมาเดี๋ยวนี้นะ!

     

                    “เอาละ   เอาละ    บอกก็ได้  พวกนี้เป็นมาฮาร่าที่คุณอยากรู้นักหนาไงว่ามีจริงหรือเปล่า”    

     

                    “มาฮาร่า   ไม่น่าเชื่อ!    ซาเล็มถึงกับอุทานเพราะอยู่มาจนปูนนี้แล้วไม่เคยได้พบใครที่อ้างตนเป็นมาฮาร่าเลยซักครั้ง    ส่วนมูซานั้นไม่ตื่นเต้นอะไรนักเพราะเคยพบกับคนพวกนี้มาบ้างแล้ว   เด็กชายทิ้งตัวลงนั่งข้าง ๆ คีล

     

                    “ถ้าพวกนี้เป็นมาฮาร่า     นายก็เป็นด้วยงั้นสิ”     จัสมินถามอย่างจับผิด  เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นมันฝีมือผู้ชายคนนี้ชัด ๆ    

     

                    “ก็ทำนองนั้นแหละ”    

     

                    “ถ้าอย่างนั้นมาฮาร่าต้องการอะไร   ทำไมส่งนายมานำทางพวกเรา   เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันคืออะไร”    คำถามตามติด   คีลเบ้หน้าอยากจะยกมือเกาศีรษะเป็นกำลัง 

     

                    “แหม   อยากรู้ไปซะทุกเรื่อง”     เสียงพึมพำเบา ๆ หากแล้วก็เล่าต่อ

     

                    “ก็ไม่อะไรหรอก   พวกคุณอยากสำรวจคาเธย์กัน  ไม่มีคนนำทางมาฮาร่าก็ส่งผมมานำทางให้ก็เท่านั้น”

     

                    “ไม่จริง    ถ้าตำนานที่นานเล่าให้ฉันฟังตอนนั้นเป็นความจริงมาฮาร่าต้องไม่อยากให้ใครเข้ามาที่คาเธย์นี่”

     

                    “เราก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาในคาเธย์นักหรอก   แต่เมื่อพวกคุณดื้อจะเข้ามากันให้ได้  มาฮาร่าก็เลยต้องส่งผมมาไงเพราะถ้าขืนปล่อยให้มากันเองคงไม่มีใครเหลือรอดมายืนแว้ด ๆ ผมอย่างนี้หรอก”

     

                    จัสมินรู้ว่าถูกกระทบแต่ในเมื่ออยากรู้ความจริงก็จำต้องข่มอารมณ์ไว้   ไว้ฟังจบแล้วเล่นงานก็ยังไม่สาย

     

                    “ที่สำคัญก็คือมีความพยายามของพวกเตห์ลาที่จะเดินทางเข้ามาโดยใช้คณะสำรวจคราวนี้เป็นโล่ห์   เพื่อให้มาฮาร่าไม่กล้าลงมือกับคนอื่น ๆ”

     

                    “แต่เรายังโดนเล่นงานอยู่ดี”    ซาเล็มพึมพำ    คีลหันไปยิ้มให้พลางบอก

     

                    “อาคมเวทมนตร์มันไม่รู้หรอกว่าใครเป็นใคร   เรื่องที่ได้เจอกันมาทั้งหมดนั่นเป็นอาคมของซาลามาฮานที่มีมานานนับพันปีเป็นมนต์กำกับสถานที่แห่งนี้ไว้ไม่ให้ใครล่วงละเมิดเข้ามารวมถึงคนที่เป็นมาฮาร่าเองด้วย”

     

                    “ก็หมายความว่าแม้แต่คนของมาฮาร่าเองก็ไม่ปลอดภัยที่จะเข้ามาในคาเธย์ไช่ไหม”

     

                    “ถูกต้อง   อย่างที่คุณเห็น  สามคนนั่นกำลังกางเขตอาคมเพื่อคุ้มครองพวกเราให้รอดพ้นด่านที่สามของคืนนี้”

     

                    “อะไร ?”

     

                    “เอาน่า  เดี๋ยวคุณก็จะเห็นเองนั่นแหละ   แต่ไม่แน่นะอาจจะชอบก็ได้   พวกนั้นยังชอบเลย”    คีลพยักบุ้ยใบ้ไปทางร่างสามร่างที่กำลังใช้อะไรอย่างหนึ่งในมือขีดพื้นทรายเดินวนตามกันไปเป็นวงกลมทับซ้อนกันขยายเป็นวงกว้างออกไปพอสมควร   และการมองครั้งนี้ทำให้เห็นว่าเงาตะคุ่ม ๆ ตอนแรกที่คิดว่าเป็นเนินทรายนั้นแท้ที่จริงคืออูฐที่ใช้เป็นพาหนะในการเดินทางอย่างน้อย ๆ ก็สามสี่ตัวนอนหมอบอยู่

     

                    “ถ้าบอกว่าชอบแล้วทำไมยังต้องกางเขตอาคมอีกล่ะ”    คราวนี้คำถามมาจากมูซาที่มองการกระทำของทั้งสามคนนั้นอย่างสนใจ

     

                    “ถ้าชอบแล้วตายจะเอาไหม”    คีลย้อนถามมูซาสั่นหน้าดิก     จัสมินเองก็สงสัยเหมือนกันว่ามันคืออะไรกัน ชอบแล้วจะตาย   แต่เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถอะเพราะคงได้เห็นเองตามที่เจ้าตัวเขาบอก   ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอต้องสอบสวนเอาความจริงให้ได้    คนบ้าโกหกหลอกลวงว่าเป็นแค่ไกด์ธรรมดาแต่จริง ๆ กลับเป็นพวกพ่อมดหมอผี  เฮ้อ!     แม้เรื่องราวมันจะไม่น่าเชื่อเท่าไหร่  แต่ที่ได้เจอมาหลายครั้งหลายหนนั่นก็เพียงพอที่จะให้เชื่อได้แล้ว

     

                    “เรายังคุยกันไม่จบ   อย่าเพิ่งนอกเรื่อง”

     

                    “ยังมีอะไรอีกล่ะคุณ    นี่มันก็เริ่มจะดึกแล้วนะ  ยังไม่คิดจะหลับจะนอนเดี๋ยวก็ไม่ได้นอนหรอก”   

     

                    “ไม่ต้องมาเฉไฉ   ทำไมคนพวกนั้นถึงต้องการให้ฉันไปคาเธย์”     จัสมินถามในเรื่องที่แน่ใจว่าเกี่ยวกับตัวเธอแน่นอน

     

    “มันเป็นความลับของมาฮาร่าครับผม   บอกไม่ได้  ผิดกฎ”    คีลบอกซื่อๆ

     

    “เอ๊ะ!    หญิงสาวขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจแต่มูซาหัวเราะเพราะไอ้คำว่าผิดกฎนี่เขาได้ยินจากคีลบ่อย

     

    “คุณหนู  อย่าไปคาดคั้นเลย  ถ้าลองบอกว่าผิดกฎละก้อถามให้ตายก็ไม่ยอมบอกหรอก   มูซาเคยลองแล้ว”   จัสมินมองอย่างขุ่นเคืองโดยอีกฝ่ายยังทำไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างน่าหมั่นไส้    รอบบริเวณตอนนี้สว่างด้วยแสงไฟจากกองไฟที่ถูกจุดให้ลุกโชนขับไล่ความหนาวเย็นให้บรรเทาลง   คราวนี้ทุกคนเข้ามารุมล้อมอยู่รอบกองไฟ    ชายคนหนึ่งส่งกาแฟอุ่น ๆ ที่รินจากกระติกน้ำแบบพกพาแจกจ่ายให้คนในกลุ่ม

     

    จัสมินยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ   ความอุ่นที่แล่นวาบทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น

     

    “มาฮาร่าช่วยฉันกับซาเล็ม   แต่ทำไมไม่ช่วยพวกฮัดซันด้วยล่ะ   พวกคนงานเมื่อวานนี้อีก    ทำไมนายไม่ยอมช่วยพวกเขา”    หญิงสาวตั้งคำถามขึ้นมาอีก

     

                    “คุณเห็นผมเป็นยอดมนุษย์หรือไงถึงจะช่วยใคร ๆ ได้ตั้งหลายคน    แค่ช่วยคุณคนเดียวผมก็จะแย่แล้ว  การใช้เวทมนตร์ไม่ใช่แค่ท่องมนต์แล้วมันจะใช้ได้   มันเหนื่อยกว่าที่คุณคิด   อีกอย่างไม่ต้องห่วงพวกนั้นหรอกรับรองปลอดภัยแน่ ๆ”   ชายหนุ่มบ่นยืดยาวจนหญิงสาวต้องยกมือห้าม

     

                    “เอาละพอแล้ว....เอาเป็นว่าตอนนี้เรากำลังจะไปไหนกัน”    

     

                    “คาเธย์”    คีลตอบง่าย ๆ

     

                    “อ้าว!   ไหนว่าไม่อยากให้ใครเข้าไปไม่ใช่หรือ    ทำไมไม่กลับเข้าเมืองล่ะ” 

     

                    “ถึงอยากกลับก็กลับไม่ได้แล้วละคุณ   มันใกล้เวลาเต็มทีแล้ว”   คีลตอบพร้อมกับถอนใจยาว

     

                    “เวลาอะไร ?”

     

                    “ไว้ถึงแล้วเดี๋ยวคุณก็รู้เองนั่นแหละ    หมดคำถามหรือยังละครับ    ผมเหนื่อยนา”

     

                    “ยัง  อีกคำถามเดียว    นายเป็นใครกันแน่”

     

                    “คีล   ผู้นำทางแห่งมาฮาร่าครับผม”    คีลตอยืดอกรับอย่างภาคภูมิ  

     

                    “ฉันหมายถึงในมาฮาร่า   นายมีความสำคัญยังไงพวกนั้นถึงส่งนายมาที่นี่”     จัสมินถามอย่างอดกลั้น

     

                    “โธ่คุณ   ผมก็เป็นไกด์นำทางนั่นแหละครับพวกนั้นเขาถึงส่งผมมาไง       อีกอย่างมันก็เป็นรายได้อย่างที่บอกเงินดีใครจะไม่รับ       มาฮาร่าก็ต้องกินต้องใช้เหมือนกับคนปกติธรรมดานะครับไม่ได้วิเศษอะไรไปกว่ากันหรอก”    คีลตอบแกมหัวเราะ   ก็คีลเป็นไกด์จริง ๆ นี่นาไม่ได้หลอกซักหน่อย

     

                    “แน่นะว่านายเป็นไกด์จริง ๆ”    หญิงสาวยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี

     

                    “จริงแท้แน่นอน   ร้อยเปอร์เซ็นเลยครับผม”

     

                    “เอาละ  ฉันจะพยายามเชื่อ   แล้วสามคนนั้นล่ะ  เป็นใคร  ทำไมท่าทางลึกลับจังเลย”    จัสมินลดเสียงลงเธอหมายถึงสามคนที่มาใหม่  แต่ละคนอยู่ในชุดคลุมดำรุ่มร่าม   แม้ไม่ได้โพกพันหน้าตาแต่ก็ยังให้ความรู้สึกน่าเกรงขามไม่น่าเข้าใกล้อยู่ดี      เมื่อเห็นชายสามคนนี้แล้วพานให้นึกถึงชายหนุ่มอีกคนที่เธอเคยพบในความฝันแต่ผู้ชายคนนั้นมีลักษณะบางอย่างที่แผกออกไป   ทรงอำนาจน่ายำเกรง   ให้ทั้งความอบอุ่นและหวาดหวั่นได้ปานกัน

     

                    “คนของหน่วยพิทักษ์ราชา” 

     

                    “อะไรนะ    หน่วยอะไรไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย”

     

                    “จะเคยได้ยังไงล่ะ   ก็มันเป็นหน่วยของมาฮาร่า    มีหน้าที่พิทักษ์ราชาแห่งมาฮาร่า”    มันก็จริงตามที่คีลพูดนั่นแหละ  เธอไม่เคยรู้จักมาฮาร่าแล้วจะไปคุ้นชื่อหน่วยของเขาได้ยังไง    แต่จากปากคำที่ได้ก็แสดงว่ามาฮาร่านั้นมีราชาเป็นผู้ปกครองด้วยนะซิ   ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมว่า    ชายชุดดำท่าทางทรงอำนาจคนนั้นคือราชาแห่งมาฮาร่า               

     

                    “ถูกส่งให้มาช่วยผมอีกแรงหนึ่ง    หน่วยนี้ถือว่ามีฝีมือที่สุดในมาฮาร่า   มากับพวกเขาคุณวางใจได้”   คีลอธิบายเพิ่มเติมก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับพื้นทรายแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่หม่นมัวไม่แจ่มใสเอาเสียเลย

     

                    จัสมินมองแต่จะให้ทิ้งตัวลงนอนแบบนั้นก็ทำไม่ได้    อย่างน้อยคงต้องหาผ้ามารองนอนแต่อยู่ในสภาพแบบนี้จะไปหาที่ไหน    นั่งหลับนกไปก็คงพอได้ละมั้ง   คนอื่น ๆ ก็เริ่มเตรียมตัวพักผ่อนกันบ้างแล้ว   มูซานั่งสัปหงกอยู่ข้างคีลส่วนซาเล็มยังเหลียวมองไปรอบบริเวณอย่างระมัดระวังตัว   จัสมินยังไม่ทันขยับตัวทำอะไรสายลมที่พัดผ่านก็พัดพาเอากลิ่นหอมโชยอ่อน ๆ มาตามลม    กลิ่นนั้นหอมขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงกระดิ่งกรุ๋งกริ๋ง

     

                    “คีล   คีล  ตื่นเดี๋ยวนี้นะ”    จัสมินเขย่าปลุกคนที่ยังไม่ทันไรก็ทำท่าจะหลับซะแล้ว

     

                    “มีอะไรกำลังมุ่งมาทางนี้”    เธอบอกเมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้นมอง

     

                    “การตอนรับสู่นครต้องคำสาปน่ะคุณไม่ต้องตื่นเต้นหรอกเดี๋ยวก็ได้เห็น”     คีลบอกแกมหัวเราะแถมขยายความอีกหน่อยเมื่อเห็นสีหน้างงงวยของสามคนต่างวัยที่ตอนนี้ขยับตัวนั่งตรงท่าทางระแวดระวังเต็มที่หลังจากผ่านเหตุการณ์สยดสยองมาหลายแล้ว

     

                    “นั่งดูเฉย ๆ ในนี้แหละรับรองไม่มีอะไร  ดูเพลิน ๆ ก็สนุกดีเหมือนกัน   เพียงแต่ผมไม่อยากจะดูเท่าไหร่หรอก”    ตอนท้ายคีลบ่นอย่างปลง ๆ กับตัวเอง   ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มนั้น ปลง  เรื่องอะไร

     

     

     

                    ทางด้านกองทหารและกลุ่มของเบซาร์หลังจากที่โกลาหลวุ่นวายกับการ หนี  แบบซึ่ง ๆ หน้าของคนเป็นเชลยแล้ว   ทั้งหมดกลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งเสียงบ่นโวยวายดังจากยูซูสที่นึกเสียดายเชลยสาวสวย

     

                    “โง่กันจริง   ไหนคุยว่าเก่งนักเก่งหนาแล้วทำไมปล่อยให้มันหนีไปได้ต่อหน้าต่อตาแบบนี้ล่ะ”

     

                    “หุบปากเสีย ๆ ของเจ้าซะ!     เสียงตวาดจากชายหน้าเหี้ยมที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเพราะคำพูดนั้นมันเหมือนตอกย้ำรอยแค้นที่ถูกหักหน้า

     

                    “เจ้าไม่มีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า”   ยูซูสไม่ยอมลงให้ในเมื่อต่างคนก็ต่างทำงาน   ไม่มีใครใหญ่กว่าใครในงานคราวนี้

     

                    “อย่างนั้นเหรอ”    พร้อมคำถาม  รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นที่มุมปาก   ดวงตาทอแสงจ้า   ยูซูสร้องโอดโอยล้มลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นทรายคล้ายกับถูกทรมานจากสิ่งที่มองไม่เห็น

     

                    “พอแล้ว   ข้ายอมแล้ว   ยอมแล้ว  ได้โปรด  โอย......”     เพียงไม่นานเจ้าคนกร่างก็ต้องวอนขอความเมตตา

     

                    “จำใส่กะลาหัวของเจ้าไว้   ข้าอิลยาตไม่ใช่เพื่อนเล่นของเจ้า    และข้าก็ไม่เหมือนอับราซัค   ถ้าใครทำให้ข้ารำคาญใจแล้วละก้อข้าจะไม่ปล่อยให้มันอยู่รกสายตา     จำไว้!    อิลยาตยิ้มหยันแล้วก้าวข้ามร่างที่ยังนอนหายใจเหนื่อยหอบกับพื้นทรายไปอย่างไม่ใยดี

     

                    “นี่มันอะไรกัน”    ฮัดซันเอ่ยถามคนเป็นเพื่อนอย่างงุนงงไม่เข้าใจต่อเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น

     

                    “ไม่ต้องอยากรู้มากไปหรอกน่า   ไม่ต้องพูดไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้นถ้ายังไม่อยากตาย  อยู่ที่นี่กับเบนดาฮาร่าไปก่อนเดี๋ยวฉันมา”    เบซาร์บอกพลางลุกเดินเข้าไปหาอิลยาต

     

                    “แล้วจะทำยังไงต่อไป”     ชายหนุ่มตั้งคำถาม

     

                    “ล่าตัวมันไม่ทันแน่    มันรู้เส้นทางดีกว่าพวกเรา   แต่ถึงยังไงมันก็ต้องไปที่คาเธย์อยู่แล้ว  เราต้องหาทางไปที่นั่นเอง    ข้าอยากจะฆ่าไอ้ไกด์นั่นนักมันหลอกเราเสียเปื่อย”     อิลยาตลดอาการหงุดหงิดลงนิดหน่อย

     

                    “นั่นสิ    ข้าเองก็ยังถูกมันหลอกมาแล้ว...ช่างหัวมัน   เอาเรื่องเฉพาะหน้านี่ซะก่อนถึงเราจะใกล้คาเธย์เข้ามาแล้วแต่เราไม่รู้จุดพิกัดที่แน่นอน   บ่ายหน้าผิดเพียงนิดเดียวเราจะหลงไปไกล”   เบซาร์ท้วงในตอนท้ายหากคำตอบของอิลยาตคือ

     

                    “อาบรีซาจะช่วยเรา   นางต้องรู้ว่าพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหานาง”

     

                    “แต่นางถูกกักอยู่ในเขตมนตร์”

     

                    “ยิ่งใกล้จะถึงวันนั้นมากเท่าไหร่พลังอำนาจของนางก็ยิ่งกล้าแข็งมากเท่านั้น   ข้าสัมผัสได้”    อิลยาตบอกอย่างมั่นใจ

     

                    “ว่าแต่วันนี้เราจะต้องเจออาคมต่อต้านแบบไหนอีกก็ไม่รู้”    เบซาร์ยังไม่วางใจเพราะเจอมาแต่ละครั้งนั้นก็หนักหนาสาหัสเอาการอยู่

                    “เจ้าดูถูกฝีมือข้ารึไง   ข้าน่ะเป็นรองก็แต่ท่านหัวหน้าเท่านั้น”   อิลยาตถือโอกาสคุยข่ม

     

                    “ถ้างั้นข้าก็ไม่บังอาจกับเจ้าละ   แต่ระวังไว้หน่อยนะข้ารู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ”   

     

                    “ไม่ต้องห่วง    ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่ามนตราที่ลงอยู่ในทุกอณูทรายแห่งนี้มันจะเก่งกว่าข้าไปได้”

     

                   อิลยาตกล่าวอย่างลำพอง    หากยังไม่ทันพูดจบกลิ่นหอมอ่อน ๆ ก็โชยมาตามลม   คนอื่น ๆ ก็คงจะได้กลิ่นเช่นเดียวกันเพราะต่างหยุดชะงักกันหมด  เสียงแว่วหวานของกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งมาแต่ไกล

     

                    “มันเริ่มแล้วละมัง” 

     

                    “ใช่  มันเริ่มแล้ว”    อิลยาตเหยียดยิ้ม    ทอดสายตาออกไปภายนอกที่ดำมืด

     

                    “เราไม่ได้กางเขตอาคม”

     

                    “ไม่เป็นไร    ข้าจัดการไม่นานก็เรียบร้อยแล้ว”

     

     

                    เสียงกระดิ่งดังใกล้เข้ามาพร้อมกับแสงตะเกียงวูบไหวเพียงไม่นานก็ปรากฏภาพกองเกวียนหลายเล่มเคลื่อนตามกันมา     เมื่อมาถึงจุดที่เหล่าทหารพักกันอยู่ก็หยุดชะงัก    หญิงสาวหุ่นสครวญนางหนึ่งเดินเยื้องกายออกมาท่าทางตื่นเต้นดีใจ

     

                    “ขออภัยค่ะ   พวกข้าหลงทางมาพวกท่านกำลังจะไปไหน   ช่วยพวกเราหน่อยได้ไหม”    เสียงไพเราะเสนาะหวานนั้นชวนหลงไหลเคลิบเคลิ้ม    ทหารที่ยืนยามเตรียมระวังตัวในตอนแรกเริ่มคลี่ยิ้มหวาน

     

                    “น้องสาว   กลางทะเลทรายแบบนี้เจ้าเข้ามาลึกขนาดนี้ได้อย่างไร   แล้วนี่จะไปไหนกัน”    เสียงหนึ่งถามกลับไป

     

                    “พวกข้าเป็นคณะระบำเร่   ออกเดินทางไปเปิดการแสดงตามเผ่าต่าง ๆ ในทะเลทราย   ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงหลงมาถึงนี่ได้”  คำบอกเรียกร้องความเห็นใจและความสงสารแต่อิลยาตที่นั่งฟังอยู่นั้นเหยียดยิ้ม

     

                    “ไม่แนบเนียนเอาซะเลย    ใครจะตกหลุมพรางของนางปีศาจพวกนี้กัน”

     

                    “เจ้าจะจัดการกับพวกมันยังไง”    เบซาร์ถามเมื่อเห็นว่าอิลยาตยังนั่งมองเฉย

     

                    “นังปีศาจพวกนี้แค่ขยับมือก็ไม่เหลือซากแล้ว    ข้าอยากดูลีลาของพวกมันก่อนอยากรู้เหมือนกันว่ามันจะเอาอะไรมาล่อพวกเรา”

     

                    “ประมาทเกินไปหรือเปล่า”

     

                    “เถอะน่า  เจ้าดูอยู่เฉย ๆ เถอะ”    อิลยาตบอกด้วยรอยยิ้มมั่นใจ

     

                    “ขอให้ข้าตั้งกระโจมข้าง ๆ ที่พักของพวกท่านได้ไหมคะ   อย่างน้อยจะได้อุ่นใจหน่อย”   เสียงหวาน ๆ ยังออดอ้อนมาอีก   ทหารยามหันมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาก่อนเจ้าคนหนึ่งทำท่าจะเข้าไปรายงานยูซูสแต่ถูกอิลยาตขวางไว้

     

                    “ไม่ต้อง   ข้าอนุญาตให้พวกนั้นพักอยู่ใกล้ ๆ เราได้”     คำอนุญาตส่งผลให้ได้รับรอยยิ้มหวานตอบกลับมา

     

                    “ขอบพระคุณมากค่ะท่าน   เพื่อเป็นการขอบคุณข้าจะให้สาว ๆ ในคณะมาเริงระบำให้ดูซักเพลงดีไหมคะ   ค่ำคืนเหน็บหนาวแบบนี้จะได้มีอะไรให้ผ่อนคลายบ้าง”

     

                    “เอาสิ”    คำอนุญาตเรียกอาการกระปรี้กระเปร่าจากเหล่าทหารหนุ่ม ๆ   

     

                    สาว ๆ ในชุดนางระบำหลากสีสรรเนื้อผ้าบางเบาอวดผิวขาวผ่องภายใต้แสงไฟ   หุ่นแต่ละนางอวบอัด  เอวคอดกิ่ว  สะโพกผายอย่างเชิญชวน    เสียงดนตรีเร้าจังหวะรับกับเสียงกระพวนข้อเท้าของเหล่านางระบำที่ก้าวย่างบนพื้นทรายรอบกองไฟ     จังหวะลีลาโยกไหวอ่อนช้อยงดงามก่อนจะเพิ่มความเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ตามจังหวะดนตรีที่รัวเร็ว    

     

                    เหล่าทหารที่ห้อมล้อมอยู่แรก ๆ ก็ตบมือให้จังหวะกันอย่างคึกคักสนุกสนาน  หากเมื่อจังหวะเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงตบมือกลับเริ่มหายไป    ต่างคนต่างยืนมองภาพการเริงระบำเบื้องหน้าคล้ายตกอยู่ในมนต์สะกด    นางระบำยิ้มหวาน   สายตาหยาดเยิ้มมองมาเหมือนชวนเชิญให้ผู้ชมเข้าไปร่วมร่ายรำด้วยกระนั้น    ทหารบางคนกระโดดเข้าไปร่วมวงบ้างแล้ว     ยิ่งนานจำนวนผู้แสดงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

     

     

                    ในขณะที่ทุกคนกำลังเคลิบเคลิ้มกับภาพยวนตายวนใจเบื้องหน้าไม่เว้นแม้กระทั่งอิลยาตและเบซาร์เองที่ยืนตะลึงมองคล้ายต้องมนต์สะกด   หากเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมานเสียงแรกจะไม่ดังขึ้นเสียงแล้วก็เงียบหายไป

     

                    อิลยาตสะดุ้งเฮือกสุดตัวเหลียวมองรอบด้านด้วยอาการเดียวกับเบซาร์   เหล่าทหารยังคงมัวเมาอยู่กับนางระบำดูเหมือนหูพวกเขาจะไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกแล้ว  

     

                    “ถอยออกมาให้หมด  ข้าสั่งให้ถอยออกมาให้หมด”     ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากใครทั้งสิ้น    ยังไม่ขาดคำเหล่าทหารที่ร่วมแสดงก็ค่อย ๆ ร่วงลงไปกองกับพื้นทราย   เลือดสีแดงฉานไหลทะลักออกจากลำคอเหวอะหวะและเสียงร้องที่ดังเพียงครั้งเดียวก่อนจะขาดใจตาย 

     

                   ร่างนางระบำที่มองเห็นงดงามเมื่อครู่เริ่มแปรเปลี่ยน   จากสวยงามหยาดเยิ้มตอนนี้เขี้ยวขาวงอกโง้วยาวออกมาจากปากแดงที่เคยยั่วยวนมันอาบด้วยเลือดสด ๆ ที่หยาดหยดเปลอะเปื้อนเป็นทางยาว   เสียงหัวเราะอย่างสาสมใจดังกังวานไปทั่วแคมป์พัก

     

                    อิลยาตร่ายเวทสาดเข้าใส่เหล่านางปีศาจกระหายเลือดแต่มันกลับว่องไวหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว  เบซาร์เองก็ต้องร่วมมือด้วยหาไม่ก็คงได้ตายกันหมด     นางปีศาจพวกนี้ไม่เหมือนกับเหล่าปีศาจอื่น ๆ ที่เจอมา   พวกมันไม่กลัวไฟ   ไม่กลัวความร้อน

     

                    “อิลยาต!  จะกำจัดมันยังไงก็รีบเข้าซิ    เห็นไหมว่าพวกเราถูกมันเล่นงานจนเกือบหมดแล้ว”

     

                    “เออ   รู้แล้วกำลังหาวิธีอยู่”    มนต์กี่บทที่มีถูกเรียกออกมาใช้แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล    ตอนนี้พวกที่ดำรงตนอยู่ได้มีเพียงเหล่าเตห์ลาที่ถอยร่นมารวมกัน   ยูซูส  เบนดาฮาร่าและฮัดซันหลบอยู่กลางวงเท่านั้น    ศพทหารสภาพแหลกเหลวยับเยินกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นทราย! 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×