คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : การปรากฏตัวของเตห์ลา
บทที่ 20
การปรากฏตัวของเตห์ลา
สถานการณ์ในเมืองหลวงอัลมาฮาร์ตอนนี้ก็กำลังวุ่นวายสับสน เกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดทั่วเมืองโดยเฉพาะย่านธุรกิจการค้าและแหล่งท่องเที่ยว ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก หนำซ้ำยังเกิดโรคระบาดที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุกับการที่จู่ ๆ ผู้คนก็ล้มป่วยเป็นไข้สูงเพียงวันเดียวและเสียชีวิตลงทันที อะไรก็ไม่น่าประหลาดเท่าสภาพศพกลับเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วเหมือนเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประชาชนเสียขวัญหวาดผวา นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางกลับ สนามบินที่เคยกว้างขวางรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาบัดนี้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ตกค้างต้องการเดินทางกลับในทันทีที่มีเที่ยวบิน ฝ่ายรักษาความสงบต้องจัดกำลังคนตรึงรักษาการณ์ตามจุดต่าง ๆ ทั่วสนามบินเกรงเหตุระเบิดจะเกิดขึ้นอีก
ห้องโถงกว้างหลังคาโค้งสูงประดับกระเบื้องสีเหลืองเหลือบมุกสะท้อนแสง โคมไฟระย้ารูปหยดน้ำติดกระจกสีประดับอยู่กลางห้อง เสาหินอ่อนสีดำลายทองตระหง่านเงื้อมอวดความยิ่งใหญ่ค้ำยันเพดานทรงสูง แต่ไม่มีใครมีกระจิตกระใจจะพิจารณาถึงความสวยงามยิ่งใหญ่ของมัน ผู้ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้นั้นล้วนแต่มากด้วยยศศักดิ์ และฐานะ เป็นบุคคลสำคัญและเป็นผู้กุมเศรษฐกิจของอัลมาฮาร์ สีหน้าของแต่ละคนล้วนเคร่งเครียดวิตกกังวล
“ถ้ายังเกิดเหตุระเบิดตามจุดโน้นจุดนี้ไม่หยุดแบบนี้ละก้อเศรษฐกิจเราพังหมดแน่ ต่างชาติขาดความเชื่อถือ นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้าเข้ามา พวกนักลงทุนก็ลังเล แล้วไหนยังจะเรื่องโรคระบาดประหลาด ๆ นั่นอีก” เสียงบ่นแกมตำหนิดังมาจากชายสูงอายุ หุ่นอวบสมบูรณ์พุงพลุ้ยที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุมตัวยาวโดยมีองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์เป็นประธาน
“แต่ที่สำคัญตอนนี้คือเราต้องเร่งจัดการกับพวกก่อกวนและหยุดการแพร่ระบาดให้ได้ซะก่อน” อีกเสียงเสนอความเห็น
“ก็แล้วใครกันล่ะที่มันเป็นคนก่อกวน ตอบมาหน่อยได้ไหม ? ไอ้โรคบ้า ๆ นั่นด้วยมันเป็นโรคอะไรของมัน ทำไมไม่มีใครรู้มาก่อน” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบอกอารมณ์กรุ่นดังแทรกขึ้นจากฝ่ายพลเรือนที่ได้รับผลกระทบกระเทือนทางธุรกิจ
“ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหนบ้างก็ยังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำ พวกโจรกลุ่มต่าง ๆ มันเก็บตัวเงียบ ไม่มีกลุ่มไหนออกมายืดอกยอมรับการก่อวินาศกรรมครั้งนี้ สายข่าวต่าง ๆ ก็รายงานไม่ได้ ไม่มีเบาะแส ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไรซักอย่าง มีแต่ระเบิดที่ขยันระเบิดอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน แล้วไอ้เรื่องโรคประหลาดที่กำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้จะหาทางยับยั้งยังไง แพทย์ทหารกับรัฐบาลจะว่ายังไง”
“ก็ไม่ว่ายังไงหรอก ถ้ามันทำได้ง่าย ๆ เหมือนที่พูดลองมาทำกันเองไหมล่ะ ปราบทางโน้น ไปโผล่ทางนี้ ตรวจค้นตรงไหนก็บ่นว่ากระทบภาพลักษณ์ กระทบธุรกิจ พอเกิดเหตุขึ้นก็โวยวายให้ฝ่ายทหารตำรวจรับผิดชอบ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบอกอารมณ์กรุ่นโต้ตอบมาจากฝ่ายทหาร โดยที่ฝ่ายแพทย์ยังปิดปากสนิทสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ใจเย็น ๆ น่าท่านซาลีส” อับดุลลาเอ่ยเตือนหัวหน้าหน่วยรบทะเลทรายที่รับหน้าที่หาข่าวในเขตทะเลทรายรอบนอก ส่วนเขาเองก็โดนกระทบตรง ๆ เกี่ยวกับเรื่องรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อไม่มีรายงานอะไรจากสายข่าว ส่งคนออกไปสืบข่าวทั่วเมืองหลวงแต่กลับคว้าน้ำเหลวเหมือนเจตนาของผู้กระทำเพียงแค่คนไม่กี่คนที่เล่นสนุกก่อกวนให้เกิดความโกลาหลเท่านั้น
“ท่านยังใจเย็นอยู่ได้นะท่านอับดุลลา ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่กับเรื่องที่เกิดขึ้น ใช่ซิรู้สึกว่าธุรกิจของท่านจะไม่โดนลอบวางระเบิดเลยซักแห่งนี่นะ” คราวนี้เป้าหมายพุ่งตรงมาที่เขา
“ท่านชารีฟระวังปากคำท่านไว้บ้าง” เสียงเตือนดังมาจากเจ้าชายฟาฮานที่ประทับนั่งต่อจากองค์กษัตริย์ ผู้ถูกเตือนแสดงกิริยาคล้ายไม่พอใจแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก
“เราถกเถียงกันมาหลายครั้งแล้วถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่เรากลับไม่มีใครมีความคิดดี ๆ เสนอขึ้นมาเลย ใครพอจะมีความคิดดี ๆ เสนอขึ้นมาหน่อยไหม ไม่ใช่มัวแต่ทะเลาะทุ่มเถียงกันในเรื่องผลประโยชน์ว่าใครเสียหายมากน้อยกว่าใคร” องค์กษัตริย์ตรัสออกมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ทรงอดทนนิ่งฟังมานาน
“เวลานี้เราต้องการความสามัคคีปรองดองกัน เมื่อเกิดเหตุขึ้นความเสียหายมันกระทบกันทั้งประเทศไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งแล้วพวกท่านซึ่งต่างก็มีผลประโยชน์จากประเทศนี้ทั้งนั้นกลับมัวทะเลาะกันเองอย่างนั้นหรือ”
พระดำรัสนี้ทำเอาเงียบกันทั้งห้องประชุม
“เอาละถ้าใครยังไม่มีความคิดดี ๆ ที่จะนำเสนอก็ไม่มีประโยชน์อะไรจะมานั่งทุ่มเถียงกันให้แตกความสามัคคีในหมู่พวกเรากันเอง ฉันจะมอบหน้าที่รักษาความสงบในเมืองหลวงให้อยู่ความรับผิดชอบของหน่วยรบทะเลทราย ให้เคลื่อนกำลังเข้ามารักษาการณ์ในเมืองหลวงตามจุดสำคัญต่างๆ ใครมีความเห็นขัดแย้งจากนี้ไหม”
แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยค้านเพราะไม่มีข้อเสนอที่ดีกว่านี้
“ส่วนเรื่องจัดการกับพวกก่อวินาศกรรมเจ้าชายฟาฮานจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้” เงียบกันไปอีกครั้ง
“ส่วนเรื่องเร่งหาทางสกัดกำจัดและดูแลเรื่องโรคระบาดประหลาดนั่นฉันได้มอบหมายให้หน่วยแพทย์พิเศษที่มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคระบาดเขตร้อนไปจัดการแล้ว คาดว่าอีกไม่นานเราจะหยุดยั้งไอ้โรคประหลาดนี้ได้”
องค์กษัตริย์รับสั่งพลางกวาดสายพระเนตรทอดมองดวงหน้าของผู้อยู่ในห้องประชุมละไล่ไปทีละคนก่อนจะมีรับสั่งอีกครั้ง
“เอาละถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปิดประชุมได้” รับสั่งจบก็เสด็จออกทำให้บรรดา ‘คนสำคัญ’ ต่างๆ ต้องลุกถวายคำนับกันพรึ่บพรั่บ สีหน้าของหลายคนไม่พอใจกับข้อสรุปง่าย ๆ แบบนี้
ท่านอับดุลลาตามเสด็จเจ้าชายฟาฮานมาด้วยหลังจากก้าวออกจากห้องประชุม เจ้าชายเสด็จนำไปสู่ห้องทรงงานส่วนพระองค์ขององค์กษัตริย์ที่เสด็จเข้ามาก่อนแล้ว ภายในห้องกว้างนั้นองค์อาซาริยัสประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงงานตัวใหญ่สีพระพักตร์ยับย่นเคร่งเครียดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดังเข้ามาโดยไม่สามารถจัดการให้ลุล่วงไปได้
“ท่านพ่อ ดูท่าทางแล้วหลายคนคงไม่พอใจเรื่องที่เราจัดการเท่าไหร่”
“แน่ละการส่งทหารเข้าไปควบคุมตามจุดต่าง ๆ แบบนั้นมันกระทบกระเทือนกับผลประโยชน์ที่บรรดาท่านๆ ทั้งหลายครอบครองอยู่นี่ กลัวความลับทางธุรกิจรั่วไหล กลัวคู่แข่งแซงหน้า กลัวนั่นกลัวนี่สารพัดจนไม่เป็นอันทำอะไร จะพูดจะคิดวิธีจัดการให้ดีแค่ไหนก็หาข้ออ้างมาคัดค้านกันจนได้ แต่ไม่เห็นเคยเสนอแนวทางแก้ไขที่ดีให้บ้างเลย” องค์กษัตริย์รับสั่งตามพระอารมณ์ที่หมู่นี้ทรงหงุดหงิดกริ้วง่าย อาจเป็นเพราะข่าวคราวเกี่ยวกับมาฮาร่าเงียบหายไป แนวทางแก้ไขอะไรต่าง ๆ มาจากพระดำริของพระองค์เองทั้งสิ้นและมันก็ล้มเหลวเกือบจะทั้งสิ้นเช่นกัน ยิ่งนานวันพระองค์กลับยิ่งรู้สึกว่าทรงไม่เอาไหน หรือพระองค์จะแก่เกินไปแล้วกระมัง
ทั้งเจ้าชายฟาฮานและท่านอับดุลลาได้แต่เงียบฟังเพราะเป็นจริงตามที่รับสั่ง ไม่ว่าจะเสนอแนวทางใดมีแต่ปฏิเสธกันอยู่ร่ำไปตินั่นแย้งนี่แต่ไม่เคยเสนอแนวทางแก้ไขที่ดีกว่า
องค์กษัตริย์ถอนพระทัยยาว ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
“เรื่องมันยังไม่แย่ขนาดนั้นซักหน่อย” น้ำเสียงแกมหัวเราะที่จู่ก็ดังขึ้นของบุคคลที่สี่ในห้องทำให้ทุกสายตาหันกลับไปมองทางต้นเสียง
องค์กษัตริย์แปลกพระทัยไม่ทรงคิดว่ามาฮาร่าจะเปิดเผยตัวตนกับคนอื่น ๆ ด้วย เพราะโดยปกติแล้วมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ราชาแห่งมาฮาร่าจะมาพบ
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาในนี้ได้อย่างไร!” เจ้าชายฟาฮานตวาดถามชายในชุดคลุมคำที่เยื้องย่างเข้ามาช้า ๆ
“ฟาฮานหยุด!” องค์กษัตริย์รับสั่งห้ามเป็นผลให้เจ้าชายฟาฮานชะงัก
“ท่านพ่อ!?”
“ขออภัยแทนลูกชาย ฉันไม่คิดว่าท่านจะเข้ามาที่นี่ในขณะที่มีคนอื่น ๆ อยู่ด้วย” องค์กษัตริย์ตรัสกับชายชุดดำโดยไม่อธิบายใด ๆ ให้อีกสองคนที่ยังงุนงงฟัง
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ต้องขออภัยที่เข้ามาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า” น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นทำให้องค์กษัตริย์รู้สึกฉงนเพราะจากการติดต่อพูดจาแม้จะไม่เห็นหน้าค่าตากันแต่เท่าที่สังเกต ราชาแห่งมาฮาร่าต้องหนุ่มกว่านี้และสูงกว่านี้แน่นอน
“ตัวแทนจากมาฮาร่า” ชายผู้นั้นบอกคล้ายจะเดาความสงสัยในแววพระเนตรได้ เขาปลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าของชายสูงวัยที่ประมาณอายุแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์
“มาฮาน” คำบอกแนะนำตัวเอง
“ความสงสัยต่าง ๆ คงต้องเก็บไว้ก่อน ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความสงบสุขแห่งอัลมาฮาร์มิใช่หรือ”
คำกล่าวนั้นหยุดทุกคำถามของความสงสัย รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งแจกจ่ายให้กับบุคคลยิ่งยศทั้งสามก่อนซองเอกสารหนาหนักจะถูกยื่นออกมาเบื้องหน้า
จัสมินนั่งชันเข่าอยู่บนผืนทรายมองภาพดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ดับแสงลงลับ ณ เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตก ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาพร้อมกับบรรยากาศชวนวังเวงกลับเข้ามาครอบงำในทุกอณูพื้นที่ดินแดนทะเลทรายด้วยเช่นกัน เหล่าทหารยืนยามรักษาการณ์อย่างแน่นหนาแต่ละคนอาวุธครบมือ แต่ถึงไม่มีอาวุธต่อให้คิดจะหนีก็ยังยากในเมื่อท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุหากขาดอุปกรณ์ยังชีพเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้นแค่แดดที่แผดแรงก็สามารถทำเอาชีวิตแทบหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว
หญิงสาวเบือนสายตากลับมามองกลุ่มคนที่นั่งเงียบถัดจากเธอไป สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดวิตกกังวลกับอนาคตที่ไม่อาจมองเห็น ไม่รู้ว่าคืนนี้ หรือวันพรุ่งนี้จะต้องพบต้องเจอกับเรื่องอะไรอีก
“คีล อีกกี่วันจะถึงคาเธย์” จัสมินเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งหลับตาอยู่ข้าง ๆ เธอ ใบหน้าที่เคยยิ้มกริ่มทะเล้นอยู่เป็นนิจดูสงบเฉย ชายหนุ่มลืมตาขึ้นสบตาเธอแววตาที่ดูเฉยชาทอดอ่อนลงคล้ายเข้าใจในความรู้สึกหวั่นวิตกของผู้ถาม
“ถ้าเร่งเดินทางกันแบบนี้ละก้อคืนพรุ่งนี้เราก็จะถึงคาเธย์แล้ว”
“ดูเหมือนแกจะรู้เรื่องเส้นทางไปคาเธย์มากเกินกว่าที่บอกเสียอีกนะ” เบซาร์เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงคล้ายจับผิด คนจะถูกจับผิดหันไปมองแล้วยิ้ม
“ก็คงเหมือนกับคุณที่ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ที่ต้องถูกควบคุมตัวแบบนี้” คำยอกย้อนนั้นเรียกสายตาแกมสงสัยจากอีกหลายคนที่ฟังอยู่
“แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง!”
“ก็แล้วแต่จะแปลกันซิครับ” คีลพูดไม่ทันขาดคำเบซาร์ก็ถลันเข้ามาขยุ้มคอเสื้อ ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของคนอื่น ๆ หากทหารที่อยู่โดยรอบกลับไม่สนใจที่จะเข้ามาห้ามปราม
“ปากดีนักนะแก” คีลยังยิ้มใจเย็นมองสบสายตาที่เริงแรงด้วยไฟอารมณ์ มือใหญ่กุมทับมือคนที่คุกคามอยู่พลางบอกแกมหัวเราะ
“มีประโยชน์อะไรที่คุณจะรังแกคนไม่ทางสู้อย่างผม”
“นี่แกหาว่าฉันเป็นอันธพาลงั้นเหรอ!” ยิ่งพูดดูเหมือนสถานการณ์ของคีลจะไม่ดีขึ้น จัสมินจึงต้องลุกขึ้นมาห้ามทัพ
“พอได้แล้ว จะทะเลาะกันทำไม เบซาร์คีลเขาไม่สู้คุณอยู่แล้ว และที่ฉันฟังมาแต่แรกคุณก็เป็นคนเริ่มหาเรื่องเขาก่อนนะ” เบซาร์สะบัดมือออกมองคีลอย่างไม่พอใจหันกลับไปนั่งลงอีกด้านที่ไกลจากคนอื่น ๆ
คีลยักไหล่ส่งยิ้มทะเล้นให้หญิงสาวที่ตั้งตนเป็นกรรมการ
“ปกป้องเหลือเกินนะก็แค่ไกด์นำทางกระจอก ๆ นี่เธอคิดอะไรอยู่หรือเปล่า” คำกล่าวแฝงเลศนัยดังมาจากเบนดาฮาร่าที่คอยดูแลอาการของฮัดซันที่ดูเหมือนจะมีไข้ จัสมินถอนใจยาวอย่างอ่อนใจเลิกจากพี่น้องก็ชวนหาเรื่องแทน
“ถ้าเธอไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเธอเป็นใบ้หรอกนะเบนดาฮาร่า” จัสมินย้อนกลับ
“นี่ แกกล้าว่าฉันเหรอ” เบนดาฮาร่าผุดลุกขึ้นคู่กรณีเปลี่ยนทันที
“กล้าหรือไม่กล้าก็ว่าอยู่นี่ไง” เธอก็ชักเหลืออดบ้างแล้วมันเป็นอะไรกันนักหนาจ้องจะแขวะจะหาเรื่องซะจริง ยังไม่ทันเกิดศึกระหว่างสาวสวยทั้งสองฮัดซันที่นิ่งเงียบอยู่นานแล้วก็ตวาดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว เขาปวดหัวเป็นไข้จะแย่อยู่แล้วยังต้องมาห้ามการทะเลาะเบาะแว้งบ้า ๆ นี่อีกหรือ
“หยุด! หยุดซะที” เสียงตวาดนั้นทำให้สองสาวหยุดชะงักไป
“น่ารำคาญจริง ๆ เลย” ฮัดซันพึมพำอย่างหงุดหงิดหัวเสีย จัสมินกับเบนดาฮาร่าสะบัดหน้าแยกกันไป จัสมินทรุดลงนั่งที่เดิมในขณะที่เบนดาฮาร่าเดินกระแทกเท้าไปนั่งกับผู้เป็นพี่ชายห่างออกไป
“ผมว่าคุณนอนพักเอาแรงหน่อยดีกว่านะ ท่าทางคุณจะแย่” คีลบอกอย่างหวังดี ฮัดซันไม่ตอบ ใบหน้านั้นซีดเซียว
“ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันไม่มีคุณลองนี่ดูหน่อยไหม มันช่วยได้นะ” คีลไม่สนใจอาการไม่สนใจของอีกฝ่าย ชายหนุ่มยื่นของสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกิ่งไม้แห้งกิ่งเล็ก ๆ ให้
“ไม่ต้องมายุ่ง” ฮัดซันบอกปัดอย่างไม่ใยดีลุกเดินหนีไปนั่งอยู่กับกลุ่มของเบซาร์ คนหวังดียักไหล่
“ของดีให้แล้วไม่เอาก็ตามใจ เอากันบ้างไหม ?” หันมาไล่เลียงถามคนที่เหลือ
“อะไรของนาย ?” จัสมินถามอย่างหงุดหงิด
“ยาสมุนไพร แก้ได้หลายโรคนะ เป็นไข้ อักเสบ ปวดบวมฟกช้ำ ได้ผลชงัดนักละ” เจ้าของโฆษณาสรรพคุณ ทั้งซาเล็มและมูซาที่นั่งฟังอยู่ด้วยส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เจ็บไม่ป่วยจะเอาไปทำไม” จัสมินถาม
“กันไว้ก่อนก็ได้ไม่เสียของหรอก” ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ แววตาเจ้าเล่ห์
“งั้นนายก็เก็บเอาไว้กินเองคนเดียวก็แล้วกัน” หญิงสาวขอผ่านอีกคนเพราะไม่เห็นว่าการกินกันไว้ก่อนจะก่อให้เกิดประโยชน์โภชผลอันใด
“คีล...นายว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นไหม ?” หลังจากเงียบไปซักพักจัสมินก็ถามขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ตอนนี้กำลังถูกราตรีสีดำมืดกลืนกิน
“ของมันแน่อยู่แล้ว ขนาดเพิ่งเหยียบเข้าสู่อาณาจักรคาเธย์ยังโดนต้อนรับซะขนาดนั้น แล้วนี่ใกล้จะถึงคาเธย์อยู่แล้วการต้อนรับคงเอิกเกริกยิ่งกว่าเดิมซะอีก” คำบอกดูเป็นเรื่องใหญ่แต่คนบอกกลับไม่ทุกข์ไม่ร้อน
“บ้า! จนขนาดนี้แล้วยังจะทำเป็นพูดเล่นอยู่ได้” จัสมินบ่นแต่ก็ยังไม่วายถาม
“แต่ถ้าอย่างงั้นเราจะทำยังไงกันล่ะ”
“ไม่เห็นต้องทำอะไร ในเมื่อพวกนี้ควบคุมตัวเราก็ต้องดูแลความปลอดภัยให้เราด้วยซิ” คำตอบช่างง่ายดาย
“เหรอ มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆน่ะ” หญิงสาวไม่ค่อยจะเชื่อถือซักนิด อยู่กับพวกทหารและเจ้ายูซูสนั่นมีแต่อันตรายละไม่ว่า
“จริง ดูนั่นซิ” คีลบอกยิ้ม ๆ พร้อมกับทอดสายตาไปที่จุดจุดหนึ่งในความมืด คราวนี้จัสมิน ซาเล็มและมูซาเหลียวมองตามสายตาบ้าง ในครั้งแรกยังมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดหากจ้องมองซักพักจึงเริ่มสังเกตเห็น
กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืดก่อนจะค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาสู่เขตแสงสว่างของบริเวณเต็นฑ์พัก ในครั้งแรกเมื่อทหารที่ยืนยามสังเกตเห็น อาวุธในมือถูกเตรียมพร้อมหากแล้วกลับยืนแข็งทื่อค้างอยู่ในท่านั้นไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวคล้ายจะกลายเป็นหุ่นไปกะทันหัน
“ใครกันน่ะ” หญิงสาวถามเสียงเบาสายตายังไม่ละจากภาพกลุ่มคนที่เดินใกล้เข้ามา ร่างบางค่อย ๆ ขยับเข้าไปชิดชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ยึดแขนไว้อย่างต้องการที่พึ่ง แม้ไม่รู้ว่ากลุ่มคนผู้มาใหม่เป็นใครแต่เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากคนกลุ่มนั้น บางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสรู้สึกได้ รังสีอำมหิตเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกมาจากกลุ่มคน อาการขนลุกหนาวสะท้านเยือกตามติดทำเอาเธอสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว คีลหันกลับมามองเมื่อรู้สึกถึงมือเย็นเฉียบและร่างสั่นเทาที่เบียดอยู่ใกล้ ๆ เขาลืมไปว่าหญิงสาวสัมผัสคลื่นวิญญาณได้
ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนร่างนั้นเอนซบโดยดี อาการเนื้อตัวสั่นค่อย ๆ ทุเลาลง ถัดออกไปมูซาก็ตัวสั่นงันงกโดยมีซาเล็มกำลังปลอบโยนอยู่ดูเหมือนดวงจิตของซาเล็มจะเข้มแข็งพอจะต้านกระแสวิญญาณเหี้ยมเกรียมที่กดดันบีบคั้นได้
ความเงียบสนิทจนเกินปกติที่ย่างกรายเข้ามาในบริเวณเต็นฑ์พักทำให้หลายคนรู้สึกได้ เมื่อเห็นกลุ่มคนที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเบนดาฮาร่านั้นโผเข้าหาฮัดซันอย่างหวาดหวั่นตกใจ ในขณะที่เบซาร์มองนิ่ง ๆ เขารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียเตห์ลาต้องส่งกำลังสนับสนุนแน่นอน ยิ่งเข้าใกล้คาเธย์มากเท่าไหร่อาคมที่กำกับไว้ยิ่งรุนแรงและอันตรายมากขึ้นเท่านั้น และต้องยอมรับแม้จะเจ็บใจ เขาไม่อาจต้านทานได้เพียงลำพังคนเดียว
ฮัดซันรู้สึกรำคาญผู้หญิงที่เกาะแขนอยู่จนอยากจะแกะออกแต่เพราะมารยาทสังคมที่สั่งสมมาทำให้ไม่อาจทำได้ เขามองภาพหญิงสาวที่ตนเองหมายปองอยู่ในอ้อมกอดของไอ้ไกด์ทะเลทรายนั่นอย่างขุ่นเคือง ดูเหมือนจัสมินจะให้ความสนิทสนมกับไอ้กระจอกนั่นมากเหลือเกินมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ดูอย่างเมื่อครู่เธอก็แสดงอาการปกป้องมัน และก็ทำให้เขาหงุดหงิดจนระงับอารมณ์ไม่อยู่จนเผลอไปตวาดเข้า
“พวกไหนกันอีกวะ”
คำถามนี้ก็เป็นความอยากรู้เดียวกับที่จัสมินอยากรู้แต่คำตอบที่ได้จากคนที่กอดเธออยู่กลับทำให้ความกลัวหายแวบกลายเป็นความขัดใจขึ้นมาแทน
“ไม่รู้สิ ถ้าอยากรู้ต้องไปถามโน่น เจ้ายูซูสเพราะมันเดินออกไปรับแล้ว” คีลตอบง่าย ๆ และเป็นเหตุให้หญิงสาวดันตัวเองออกจากอ้อมกอดที่ให้ความอบอุ่นทันควัน
“ก็ผมไม่รู้จริง ๆ นะ” พอสบสายตาคาดคั้นของเธอเข้าคีลก็พึมพำคล้ายจะยืนยันว่าตนเองนั้น ‘ไม่รู้’ จริง ๆ
“ใจคอคุณจะให้ผมรู้ทุกเรื่องได้ยังไง ผมเป็นแค่ไกด์นำทางนะคุณ” นั่นสิ คีลเป็นแค่ไกด์ทำไมเธอชอบเผลอคิดอยู่เรื่อยว่าชายหนุ่ม ‘รู้’ อะไรเกินกว่าที่คนอื่น ๆ รู้ ทั้ง ๆ ที่คีลก็ไม่ได้แสดงว่าตนนั้นรู้ดีกว่าคนอื่น ๆ
หญิงสาวถอนใจยาว สายตายังจับสังเกตไปทางกลุ่มคนที่มาใหม่ คนพวกนั้นพูดคุยกับเจ้ายูซูสชั่วครู่ก่อนจะสาวเท้าตรงมาทางที่เธอนั่งอยู่ พวกทหารยามกลับมาเป็นปกติอีกครั้งท่าทางแต่ละคนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
จัสมินจับแขนคีลรั้งไว้แน่น ยิ่งคนกลุ่มนั้นก้าวเข้ามาใกล้เท่าไหร่เธอยิ่งรู้สึกคล้ายถูกบีบคั้นรุนแรง คนทั้งกลุ่มมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“คุณหนูจัสมินา อาร์ ซาเวียร์ ขอโทษที่ทำให้ตกใจ” น้ำเสียงเรียบเบาหากทรงอำนาจดังมาจากชายร่างสูง กรามเหลี่ยมดูซูบตอบริมฝีปากคล้ำหนา ดวงตาสีเข้มดูลึกล้ำคล้ายราตรีที่มืดสนิท และก็เจ้าคนนี้เองที่เธอสัมผัสได้ถึงความกดดันที่บีบคั้นหัวใจเธออยู่ในขณะนี้
“พวก...ท่านต้องการอะไร ?” จัสมินกัดฟันถามถึงวัตถุประสงค์ของคนพวกนั้นที่เธอแน่ใจว่าต้องเป็นพวกเดียวกับเจ้ายูซูสแน่นอน หนำซ้ำอาจจะเป็นตัวบงการเสียด้วยเพราะดูจากท่าทางนอบน้อมของเจ้ายูซูสแล้วเป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้น
“ก็แค่ต้องการให้คุณหนูเดินทางไปคาเธย์กับพวกเราเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรไม่ใช่หรือในเมื่อคุณหนูเองก็ตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว”
“ใช่ ฉันตั้งใจแบบนั้นแต่ก่อนที่จะรู้ว่าหนทางที่จะไปนั้นอันตรายและมันก็ทำให้เราต้องสูญเสียชีวิตคนอีกมากมาย”
“ถ้ามีพวกเราไปด้วยมันจะไม่อันตรายอีกต่อไป”
“ถ้าพวกท่านไปคาเธย์กันได้อย่างปลอดภัยแล้วจะเอาฉันไปด้วยทำไม”
“ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ รู้อย่างเดียวเพียงแค่คุณหนูต้องทำตามคำสั่งของพวกเรา ไม่อย่างนั้น....” คำพูดนั้นละไว้ แววตาเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นในดวงตาที่แลปราดไปทางคนของเธอก่อนจะหยุดลงที่คีล
“ไม่อย่างนั้นเจ้าไกด์นั่น เจ้าเด็กตรงนั้น รวมถึงไอ้แก่ข้าง ๆ นั่นด้วย ชีวิตของคนสามคนนี้เพียงพอที่คุณหนูจะทำตามคำสั่งของผมโดยไม่มีเงื่อนไขไหมครับ” นั่นไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำขู่ จัสมินมองอย่างโกรธเคือง
“พวกแกเป็นใคร”
“พูดจาให้สุภาพหน่อยซิครับคุณหนู มันฟังไม่รื่นหูเลย”
“เฮ้อ! เกิดสะบัดสะบิ้งอยากฟังคำพูดเพราะ ๆ เสียงหวาน ๆ กลางทะเลทรายแบบนี้ เดี๋ยวก็ได้ฟังจริง ๆ หรอก” เสียงยียวนกวนประสาทดังขัดขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจที่ใครได้ยินก็รู้ว่าเสแสร้งชัดๆ
“ปากไม่ดีนะเจ้าไกด์กระจอก ตัวเองจะตายวันตายพรุ่งยังกล้าพูดมาก ไม่ดูเงาหัวตัวเองบ้างเลย”
“ก็เพราะดูเงาหัวตัวเองถึงกล้าพูดแบบนี้ ระวังนะครับที่นี่มันนครอาถรรพ์ สถานที่ต้องคำสาป พูดอะไรพล่อย ๆ ออกไป ระวัง!” คำพูดต่อมาของคนขยันหาเรื่องยิ่งชวนให้มีเรื่องหนัก คนฟังยิ้มเหี้ยมพยักหน้าให้ลูกน้องตัวเองพลางบอก
“สั่งสอนมันหน่อยซิ” กลุ่มชายฉกรรจ์สองคนขยับเข้ามาทำท่าจะลากตัวชายหนุ่มให้ลุกขึ้น จัสมินขยับจะขวางแต่คีลรั้งไว้พลางกระซิบบอกเสียงเบา
“อยู่เฉย ๆ” พร้อมคำบอกคีลก็หันมามองสบตาเจ้าคนที่ท่าทางเป็นหัวหน้าอย่างท้าทาย
“คิดดูดี ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไปดีกว่ามั้ง ถ้าไม่มีฉันพวกแกจะไปถึงคาเธย์กันอย่างนั้นเหรอ”
“อวดเก่งหนำซ้ำยังปากดี แต่โง่! มีตั้งหลายวิธีที่ฉันจะเอาเส้นทางในหัวของแกออกมาศึกษาดู อย่าหลงตัวเองไปนักเจ้าไกด์กระจอก” เจ้าคนเป็นหัวหน้าแสยะยิ้มไม่อนาทรร้อนใจกับคำขู่
“งั้นเหรอ งั้นก็ขอให้โชคดีในวิธีหลาย ๆ วิธีของพวกแกก็แล้วกันนะ” คีลบอกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และยังไม่ทันที่ลูกสมุนทั้งสองจะเข้ามาถึงตัวมือใหญ่เรียวยาวก็ยกขึ้นมาเบื้องหน้าทำสัญญาณดีดนิ้ว ทันทีทันใดรอบด้านเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวฝุ้งกระจายไปทั่วบริเวณจนมองอะไรไม่เห็น เสียงเอะอะโวยวายเต็มไม่ด้วยความตกใจ เสียงตะโกนบอกต่อกัน
“จับมันไว้ มันเป็นพวกมาฮาร่า!” เจ้าคนสั่งการหันรีหันขวางเพราะตัวมันเองก็มองไม่เห็นอะไรเช่นกัน มันไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าไกดที่ดูกระจอกงอกง่อยนั่นจะเป็นมาฮาร่า ถึงแม้มันจะมีพฤติกรรมน่าสงสัยและถูกตรวจสอบไปแล้วและทุกคนลงความเห็นว่าเจ้าไกด์นั่นน่าจะเป็นเพียงผู้ศัทธาในมาฮาร่าเท่านั้นแต่ดูจากการใช้อาคมของมันแล้วถึงได้รู้ว่าไม่ใช่
“ขอให้มีความสุขกับเสียงหวาน ๆ คำพูดเพราะ ๆ ที่อยากได้ยินนะ” จู่ ๆ น้ำเสียงแกมหัวเราะก็ดังขึ้นข้าง ๆ หูโดยที่มันสัมผัสจิตของคนพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ
“แล้วเจอกันที่คาเธย์ ข้าจะไปรอที่นั่น หาทางไปให้ได้ล่ะ” เสียงหัวเราะนั้นดังห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะเลือนหายไปพร้อม ๆ กับม่านหมอกสีขาวก็ค่อย ๆ จางลงด้วย
ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏทำเอาเจ้าคนเป็นหัวหน้าแค้นแทบกระอักออกมาเป็นเลือดเพราะบนพื้นทรายที่บุคคลสี่คนนั่งอยู่เมื่อครู่บัดนี้ได้อันตรธานไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย
“บัดซบ ไอ้ไกด์นั่น อย่าให้เจอนะมึงกูจะจัดการให้น่าดูเลย!”
ความคิดเห็น