ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มนต์จันทรา มายาลวง

    ลำดับตอนที่ #20 : การปรากฏตัวของเตห์ลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.61K
      14
      3 ก.ย. 50

    บทที่ 20

    การปรากฏตัวของเตห์ลา

     

    สถานการณ์ในเมืองหลวงอัลมาฮาร์ตอนนี้ก็กำลังวุ่นวายสับสน    เกิดเหตุระเบิดขึ้นหลายจุดทั่วเมืองโดยเฉพาะย่านธุรกิจการค้าและแหล่งท่องเที่ยว   ผู้คนบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก  หนำซ้ำยังเกิดโรคระบาดที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุกับการที่จู่ ๆ ผู้คนก็ล้มป่วยเป็นไข้สูงเพียงวันเดียวและเสียชีวิตลงทันที อะไรก็ไม่น่าประหลาดเท่าสภาพศพกลับเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วเหมือนเสียชีวิตมาหลายวันแล้ว    เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ประชาชนเสียขวัญหวาดผวา   นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางกลับ   สนามบินที่เคยกว้างขวางรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาบัดนี้คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ตกค้างต้องการเดินทางกลับในทันทีที่มีเที่ยวบิน   ฝ่ายรักษาความสงบต้องจัดกำลังคนตรึงรักษาการณ์ตามจุดต่าง ๆ ทั่วสนามบินเกรงเหตุระเบิดจะเกิดขึ้นอีก

     

    ห้องโถงกว้างหลังคาโค้งสูงประดับกระเบื้องสีเหลืองเหลือบมุกสะท้อนแสง  โคมไฟระย้ารูปหยดน้ำติดกระจกสีประดับอยู่กลางห้อง    เสาหินอ่อนสีดำลายทองตระหง่านเงื้อมอวดความยิ่งใหญ่ค้ำยันเพดานทรงสูง   แต่ไม่มีใครมีกระจิตกระใจจะพิจารณาถึงความสวยงามยิ่งใหญ่ของมัน   ผู้ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้นั้นล้วนแต่มากด้วยยศศักดิ์   และฐานะ  เป็นบุคคลสำคัญและเป็นผู้กุมเศรษฐกิจของอัลมาฮาร์  สีหน้าของแต่ละคนล้วนเคร่งเครียดวิตกกังวล

     

    “ถ้ายังเกิดเหตุระเบิดตามจุดโน้นจุดนี้ไม่หยุดแบบนี้ละก้อเศรษฐกิจเราพังหมดแน่   ต่างชาติขาดความเชื่อถือ    นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้าเข้ามา   พวกนักลงทุนก็ลังเล  แล้วไหนยังจะเรื่องโรคระบาดประหลาด ๆ นั่นอีก”    เสียงบ่นแกมตำหนิดังมาจากชายสูงอายุ   หุ่นอวบสมบูรณ์พุงพลุ้ยที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุมตัวยาวโดยมีองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์เป็นประธาน

     

    “แต่ที่สำคัญตอนนี้คือเราต้องเร่งจัดการกับพวกก่อกวนและหยุดการแพร่ระบาดให้ได้ซะก่อน”    อีกเสียงเสนอความเห็น

     

    “ก็แล้วใครกันล่ะที่มันเป็นคนก่อกวน   ตอบมาหน่อยได้ไหม ?  ไอ้โรคบ้า ๆ นั่นด้วยมันเป็นโรคอะไรของมัน   ทำไมไม่มีใครรู้มาก่อน”   น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบอกอารมณ์กรุ่นดังแทรกขึ้นจากฝ่ายพลเรือนที่ได้รับผลกระทบกระเทือนทางธุรกิจ

     

    “ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหนบ้างก็ยังบอกไม่ได้ด้วยซ้ำ   พวกโจรกลุ่มต่าง ๆ มันเก็บตัวเงียบ   ไม่มีกลุ่มไหนออกมายืดอกยอมรับการก่อวินาศกรรมครั้งนี้  สายข่าวต่าง ๆ ก็รายงานไม่ได้  ไม่มีเบาะแส  ไม่มีเป้าหมาย  ไม่มีอะไรซักอย่าง  มีแต่ระเบิดที่ขยันระเบิดอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน   แล้วไอ้เรื่องโรคประหลาดที่กำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้จะหาทางยับยั้งยังไง   แพทย์ทหารกับรัฐบาลจะว่ายังไง”

     

    “ก็ไม่ว่ายังไงหรอก  ถ้ามันทำได้ง่าย ๆ เหมือนที่พูดลองมาทำกันเองไหมล่ะ   ปราบทางโน้น  ไปโผล่ทางนี้   ตรวจค้นตรงไหนก็บ่นว่ากระทบภาพลักษณ์   กระทบธุรกิจ  พอเกิดเหตุขึ้นก็โวยวายให้ฝ่ายทหารตำรวจรับผิดชอบ”    น้ำเสียงเกรี้ยวกราดบอกอารมณ์กรุ่นโต้ตอบมาจากฝ่ายทหาร    โดยที่ฝ่ายแพทย์ยังปิดปากสนิทสีหน้ากลัดกลุ้ม

     

    “ใจเย็น ๆ น่าท่านซาลีส”    อับดุลลาเอ่ยเตือนหัวหน้าหน่วยรบทะเลทรายที่รับหน้าที่หาข่าวในเขตทะเลทรายรอบนอก   ส่วนเขาเองก็โดนกระทบตรง ๆ เกี่ยวกับเรื่องรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน  แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่อไม่มีรายงานอะไรจากสายข่าว    ส่งคนออกไปสืบข่าวทั่วเมืองหลวงแต่กลับคว้าน้ำเหลวเหมือนเจตนาของผู้กระทำเพียงแค่คนไม่กี่คนที่เล่นสนุกก่อกวนให้เกิดความโกลาหลเท่านั้น

     

    “ท่านยังใจเย็นอยู่ได้นะท่านอับดุลลา   ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่กับเรื่องที่เกิดขึ้น   ใช่ซิรู้สึกว่าธุรกิจของท่านจะไม่โดนลอบวางระเบิดเลยซักแห่งนี่นะ”    คราวนี้เป้าหมายพุ่งตรงมาที่เขา

     

    “ท่านชารีฟระวังปากคำท่านไว้บ้าง”     เสียงเตือนดังมาจากเจ้าชายฟาฮานที่ประทับนั่งต่อจากองค์กษัตริย์    ผู้ถูกเตือนแสดงกิริยาคล้ายไม่พอใจแต่ก็ไม่พูดอะไรอีก

     

    “เราถกเถียงกันมาหลายครั้งแล้วถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด   แต่เรากลับไม่มีใครมีความคิดดี ๆ เสนอขึ้นมาเลย    ใครพอจะมีความคิดดี ๆ เสนอขึ้นมาหน่อยไหม   ไม่ใช่มัวแต่ทะเลาะทุ่มเถียงกันในเรื่องผลประโยชน์ว่าใครเสียหายมากน้อยกว่าใคร”     องค์กษัตริย์ตรัสออกมาเป็นประโยคแรกหลังจากที่ทรงอดทนนิ่งฟังมานาน

     

    “เวลานี้เราต้องการความสามัคคีปรองดองกัน   เมื่อเกิดเหตุขึ้นความเสียหายมันกระทบกันทั้งประเทศไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งแล้วพวกท่านซึ่งต่างก็มีผลประโยชน์จากประเทศนี้ทั้งนั้นกลับมัวทะเลาะกันเองอย่างนั้นหรือ”

     

    พระดำรัสนี้ทำเอาเงียบกันทั้งห้องประชุม

     

    “เอาละถ้าใครยังไม่มีความคิดดี ๆ ที่จะนำเสนอก็ไม่มีประโยชน์อะไรจะมานั่งทุ่มเถียงกันให้แตกความสามัคคีในหมู่พวกเรากันเอง    ฉันจะมอบหน้าที่รักษาความสงบในเมืองหลวงให้อยู่ความรับผิดชอบของหน่วยรบทะเลทราย    ให้เคลื่อนกำลังเข้ามารักษาการณ์ในเมืองหลวงตามจุดสำคัญต่างๆ  ใครมีความเห็นขัดแย้งจากนี้ไหม”  

     

    แม้จะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีใครเอ่ยค้านเพราะไม่มีข้อเสนอที่ดีกว่านี้

     

    “ส่วนเรื่องจัดการกับพวกก่อวินาศกรรมเจ้าชายฟาฮานจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้”    เงียบกันไปอีกครั้ง

     

    “ส่วนเรื่องเร่งหาทางสกัดกำจัดและดูแลเรื่องโรคระบาดประหลาดนั่นฉันได้มอบหมายให้หน่วยแพทย์พิเศษที่มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคระบาดเขตร้อนไปจัดการแล้ว   คาดว่าอีกไม่นานเราจะหยุดยั้งไอ้โรคประหลาดนี้ได้”   

     

    องค์กษัตริย์รับสั่งพลางกวาดสายพระเนตรทอดมองดวงหน้าของผู้อยู่ในห้องประชุมละไล่ไปทีละคนก่อนจะมีรับสั่งอีกครั้ง

     

    “เอาละถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ปิดประชุมได้”    รับสั่งจบก็เสด็จออกทำให้บรรดา คนสำคัญ  ต่างๆ ต้องลุกถวายคำนับกันพรึ่บพรั่บ   สีหน้าของหลายคนไม่พอใจกับข้อสรุปง่าย ๆ แบบนี้

     

     

    ท่านอับดุลลาตามเสด็จเจ้าชายฟาฮานมาด้วยหลังจากก้าวออกจากห้องประชุม   เจ้าชายเสด็จนำไปสู่ห้องทรงงานส่วนพระองค์ขององค์กษัตริย์ที่เสด็จเข้ามาก่อนแล้ว ภายในห้องกว้างนั้นองค์อาซาริยัสประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงงานตัวใหญ่สีพระพักตร์ยับย่นเคร่งเครียดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ประดังเข้ามาโดยไม่สามารถจัดการให้ลุล่วงไปได้

     

    “ท่านพ่อ  ดูท่าทางแล้วหลายคนคงไม่พอใจเรื่องที่เราจัดการเท่าไหร่”

     

    “แน่ละการส่งทหารเข้าไปควบคุมตามจุดต่าง ๆ แบบนั้นมันกระทบกระเทือนกับผลประโยชน์ที่บรรดาท่านๆ ทั้งหลายครอบครองอยู่นี่  กลัวความลับทางธุรกิจรั่วไหล   กลัวคู่แข่งแซงหน้า   กลัวนั่นกลัวนี่สารพัดจนไม่เป็นอันทำอะไร   จะพูดจะคิดวิธีจัดการให้ดีแค่ไหนก็หาข้ออ้างมาคัดค้านกันจนได้   แต่ไม่เห็นเคยเสนอแนวทางแก้ไขที่ดีให้บ้างเลย”     องค์กษัตริย์รับสั่งตามพระอารมณ์ที่หมู่นี้ทรงหงุดหงิดกริ้วง่าย  อาจเป็นเพราะข่าวคราวเกี่ยวกับมาฮาร่าเงียบหายไป    แนวทางแก้ไขอะไรต่าง ๆ มาจากพระดำริของพระองค์เองทั้งสิ้นและมันก็ล้มเหลวเกือบจะทั้งสิ้นเช่นกัน    ยิ่งนานวันพระองค์กลับยิ่งรู้สึกว่าทรงไม่เอาไหน   หรือพระองค์จะแก่เกินไปแล้วกระมัง

     

    ทั้งเจ้าชายฟาฮานและท่านอับดุลลาได้แต่เงียบฟังเพราะเป็นจริงตามที่รับสั่ง    ไม่ว่าจะเสนอแนวทางใดมีแต่ปฏิเสธกันอยู่ร่ำไปตินั่นแย้งนี่แต่ไม่เคยเสนอแนวทางแก้ไขที่ดีกว่า    

     

    องค์กษัตริย์ถอนพระทัยยาว  ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ

     

    “เรื่องมันยังไม่แย่ขนาดนั้นซักหน่อย”     น้ำเสียงแกมหัวเราะที่จู่ก็ดังขึ้นของบุคคลที่สี่ในห้องทำให้ทุกสายตาหันกลับไปมองทางต้นเสียง   

     

    องค์กษัตริย์แปลกพระทัยไม่ทรงคิดว่ามาฮาร่าจะเปิดเผยตัวตนกับคนอื่น ๆ ด้วย  เพราะโดยปกติแล้วมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ราชาแห่งมาฮาร่าจะมาพบ

     

    “เจ้าเป็นใคร   เข้ามาในนี้ได้อย่างไร!     เจ้าชายฟาฮานตวาดถามชายในชุดคลุมคำที่เยื้องย่างเข้ามาช้า ๆ

     

    “ฟาฮานหยุด!      องค์กษัตริย์รับสั่งห้ามเป็นผลให้เจ้าชายฟาฮานชะงัก

     

    “ท่านพ่อ!?”

     

    “ขออภัยแทนลูกชาย  ฉันไม่คิดว่าท่านจะเข้ามาที่นี่ในขณะที่มีคนอื่น ๆ อยู่ด้วย”   องค์กษัตริย์ตรัสกับชายชุดดำโดยไม่อธิบายใด ๆ ให้อีกสองคนที่ยังงุนงงฟัง

     

    “ไม่เป็นไร    ผมเองก็ต้องขออภัยที่เข้ามาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า”    น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นทำให้องค์กษัตริย์รู้สึกฉงนเพราะจากการติดต่อพูดจาแม้จะไม่เห็นหน้าค่าตากันแต่เท่าที่สังเกต  ราชาแห่งมาฮาร่าต้องหนุ่มกว่านี้และสูงกว่านี้แน่นอน

     

    “ตัวแทนจากมาฮาร่า”    ชายผู้นั้นบอกคล้ายจะเดาความสงสัยในแววพระเนตรได้   เขาปลดผ้าคลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าของชายสูงวัยที่ประมาณอายุแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับองค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์

     

    “มาฮาน”   คำบอกแนะนำตัวเอง   

     

    “ความสงสัยต่าง ๆ คงต้องเก็บไว้ก่อน    ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความสงบสุขแห่งอัลมาฮาร์มิใช่หรือ”

     

    คำกล่าวนั้นหยุดทุกคำถามของความสงสัย    รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งแจกจ่ายให้กับบุคคลยิ่งยศทั้งสามก่อนซองเอกสารหนาหนักจะถูกยื่นออกมาเบื้องหน้า

     

     

     

    จัสมินนั่งชันเข่าอยู่บนผืนทรายมองภาพดวงอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ดับแสงลงลับ ณ เส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันตก    ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาพร้อมกับบรรยากาศชวนวังเวงกลับเข้ามาครอบงำในทุกอณูพื้นที่ดินแดนทะเลทรายด้วยเช่นกัน    เหล่าทหารยืนยามรักษาการณ์อย่างแน่นหนาแต่ละคนอาวุธครบมือ   แต่ถึงไม่มีอาวุธต่อให้คิดจะหนีก็ยังยากในเมื่อท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุหากขาดอุปกรณ์ยังชีพเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้นแค่แดดที่แผดแรงก็สามารถทำเอาชีวิตแทบหลุดลอยออกจากร่างไปแล้ว  

     

    หญิงสาวเบือนสายตากลับมามองกลุ่มคนที่นั่งเงียบถัดจากเธอไป     สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียดวิตกกังวลกับอนาคตที่ไม่อาจมองเห็น   ไม่รู้ว่าคืนนี้  หรือวันพรุ่งนี้จะต้องพบต้องเจอกับเรื่องอะไรอีก

     

    “คีล   อีกกี่วันจะถึงคาเธย์”     จัสมินเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งหลับตาอยู่ข้าง ๆ เธอ   ใบหน้าที่เคยยิ้มกริ่มทะเล้นอยู่เป็นนิจดูสงบเฉย    ชายหนุ่มลืมตาขึ้นสบตาเธอแววตาที่ดูเฉยชาทอดอ่อนลงคล้ายเข้าใจในความรู้สึกหวั่นวิตกของผู้ถาม

     

    “ถ้าเร่งเดินทางกันแบบนี้ละก้อคืนพรุ่งนี้เราก็จะถึงคาเธย์แล้ว”

     

    “ดูเหมือนแกจะรู้เรื่องเส้นทางไปคาเธย์มากเกินกว่าที่บอกเสียอีกนะ”    เบซาร์เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงคล้ายจับผิด   คนจะถูกจับผิดหันไปมองแล้วยิ้ม

     

    “ก็คงเหมือนกับคุณที่ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนเท่าไหร่ที่ต้องถูกควบคุมตัวแบบนี้”    คำยอกย้อนนั้นเรียกสายตาแกมสงสัยจากอีกหลายคนที่ฟังอยู่

     

    “แกพูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง!

     

    “ก็แล้วแต่จะแปลกันซิครับ”      คีลพูดไม่ทันขาดคำเบซาร์ก็ถลันเข้ามาขยุ้มคอเสื้อ   ท่ามกลางเสียงร้องตกใจของคนอื่น ๆ หากทหารที่อยู่โดยรอบกลับไม่สนใจที่จะเข้ามาห้ามปราม

     

    “ปากดีนักนะแก”    คีลยังยิ้มใจเย็นมองสบสายตาที่เริงแรงด้วยไฟอารมณ์    มือใหญ่กุมทับมือคนที่คุกคามอยู่พลางบอกแกมหัวเราะ   

     

    “มีประโยชน์อะไรที่คุณจะรังแกคนไม่ทางสู้อย่างผม”

     

    “นี่แกหาว่าฉันเป็นอันธพาลงั้นเหรอ!    ยิ่งพูดดูเหมือนสถานการณ์ของคีลจะไม่ดีขึ้น    จัสมินจึงต้องลุกขึ้นมาห้ามทัพ

     

    “พอได้แล้ว   จะทะเลาะกันทำไม   เบซาร์คีลเขาไม่สู้คุณอยู่แล้ว  และที่ฉันฟังมาแต่แรกคุณก็เป็นคนเริ่มหาเรื่องเขาก่อนนะ”     เบซาร์สะบัดมือออกมองคีลอย่างไม่พอใจหันกลับไปนั่งลงอีกด้านที่ไกลจากคนอื่น ๆ

     

    คีลยักไหล่ส่งยิ้มทะเล้นให้หญิงสาวที่ตั้งตนเป็นกรรมการ

     

    “ปกป้องเหลือเกินนะก็แค่ไกด์นำทางกระจอก ๆ  นี่เธอคิดอะไรอยู่หรือเปล่า”   คำกล่าวแฝงเลศนัยดังมาจากเบนดาฮาร่าที่คอยดูแลอาการของฮัดซันที่ดูเหมือนจะมีไข้    จัสมินถอนใจยาวอย่างอ่อนใจเลิกจากพี่น้องก็ชวนหาเรื่องแทน

     

    “ถ้าเธอไม่พูดก็ไม่มีใครหาว่าเธอเป็นใบ้หรอกนะเบนดาฮาร่า”     จัสมินย้อนกลับ   

     

    “นี่   แกกล้าว่าฉันเหรอ”    เบนดาฮาร่าผุดลุกขึ้นคู่กรณีเปลี่ยนทันที

     

    “กล้าหรือไม่กล้าก็ว่าอยู่นี่ไง”   เธอก็ชักเหลืออดบ้างแล้วมันเป็นอะไรกันนักหนาจ้องจะแขวะจะหาเรื่องซะจริง     ยังไม่ทันเกิดศึกระหว่างสาวสวยทั้งสองฮัดซันที่นิ่งเงียบอยู่นานแล้วก็ตวาดขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว   เขาปวดหัวเป็นไข้จะแย่อยู่แล้วยังต้องมาห้ามการทะเลาะเบาะแว้งบ้า ๆ นี่อีกหรือ

     

    “หยุด!  หยุดซะที”     เสียงตวาดนั้นทำให้สองสาวหยุดชะงักไป

     

    “น่ารำคาญจริง ๆ เลย”    ฮัดซันพึมพำอย่างหงุดหงิดหัวเสีย   จัสมินกับเบนดาฮาร่าสะบัดหน้าแยกกันไป    จัสมินทรุดลงนั่งที่เดิมในขณะที่เบนดาฮาร่าเดินกระแทกเท้าไปนั่งกับผู้เป็นพี่ชายห่างออกไป

     

    “ผมว่าคุณนอนพักเอาแรงหน่อยดีกว่านะ    ท่าทางคุณจะแย่”    คีลบอกอย่างหวังดี   ฮัดซันไม่ตอบ  ใบหน้านั้นซีดเซียว

     

    “ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันไม่มีคุณลองนี่ดูหน่อยไหม   มันช่วยได้นะ”    คีลไม่สนใจอาการไม่สนใจของอีกฝ่าย   ชายหนุ่มยื่นของสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกิ่งไม้แห้งกิ่งเล็ก ๆ ให้

     

    “ไม่ต้องมายุ่ง”    ฮัดซันบอกปัดอย่างไม่ใยดีลุกเดินหนีไปนั่งอยู่กับกลุ่มของเบซาร์   คนหวังดียักไหล่

     

    “ของดีให้แล้วไม่เอาก็ตามใจ    เอากันบ้างไหม ?”    หันมาไล่เลียงถามคนที่เหลือ

     

     

    “อะไรของนาย ?”    จัสมินถามอย่างหงุดหงิด

     

    “ยาสมุนไพร   แก้ได้หลายโรคนะ   เป็นไข้  อักเสบ   ปวดบวมฟกช้ำ   ได้ผลชงัดนักละ”   เจ้าของโฆษณาสรรพคุณ   ทั้งซาเล็มและมูซาที่นั่งฟังอยู่ด้วยส่ายหน้าปฏิเสธ

     

    “ไม่เจ็บไม่ป่วยจะเอาไปทำไม”    จัสมินถาม

     

    “กันไว้ก่อนก็ได้ไม่เสียของหรอก”    ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ  แววตาเจ้าเล่ห์

     

    “งั้นนายก็เก็บเอาไว้กินเองคนเดียวก็แล้วกัน”    หญิงสาวขอผ่านอีกคนเพราะไม่เห็นว่าการกินกันไว้ก่อนจะก่อให้เกิดประโยชน์โภชผลอันใด   

     

    “คีล...นายว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นไหม ?”    หลังจากเงียบไปซักพักจัสมินก็ถามขึ้นพลางมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ตอนนี้กำลังถูกราตรีสีดำมืดกลืนกิน

     

    “ของมันแน่อยู่แล้ว   ขนาดเพิ่งเหยียบเข้าสู่อาณาจักรคาเธย์ยังโดนต้อนรับซะขนาดนั้น        แล้วนี่ใกล้จะถึงคาเธย์อยู่แล้วการต้อนรับคงเอิกเกริกยิ่งกว่าเดิมซะอีก”   คำบอกดูเป็นเรื่องใหญ่แต่คนบอกกลับไม่ทุกข์ไม่ร้อน

     

    “บ้า! จนขนาดนี้แล้วยังจะทำเป็นพูดเล่นอยู่ได้”     จัสมินบ่นแต่ก็ยังไม่วายถาม

     

    “แต่ถ้าอย่างงั้นเราจะทำยังไงกันล่ะ”

     

    “ไม่เห็นต้องทำอะไร   ในเมื่อพวกนี้ควบคุมตัวเราก็ต้องดูแลความปลอดภัยให้เราด้วยซิ”     คำตอบช่างง่ายดาย

     

    “เหรอ   มันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆน่ะ”   หญิงสาวไม่ค่อยจะเชื่อถือซักนิด    อยู่กับพวกทหารและเจ้ายูซูสนั่นมีแต่อันตรายละไม่ว่า      

     

    “จริง  ดูนั่นซิ”    คีลบอกยิ้ม ๆ พร้อมกับทอดสายตาไปที่จุดจุดหนึ่งในความมืด   คราวนี้จัสมิน     ซาเล็มและมูซาเหลียวมองตามสายตาบ้าง  ในครั้งแรกยังมองไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดหากจ้องมองซักพักจึงเริ่มสังเกตเห็น   

     

    กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นในความมืดก่อนจะค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามาสู่เขตแสงสว่างของบริเวณเต็นฑ์พัก   ในครั้งแรกเมื่อทหารที่ยืนยามสังเกตเห็น  อาวุธในมือถูกเตรียมพร้อมหากแล้วกลับยืนแข็งทื่อค้างอยู่ในท่านั้นไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวคล้ายจะกลายเป็นหุ่นไปกะทันหัน

     

    “ใครกันน่ะ”    หญิงสาวถามเสียงเบาสายตายังไม่ละจากภาพกลุ่มคนที่เดินใกล้เข้ามา  ร่างบางค่อย ๆ ขยับเข้าไปชิดชายหนุ่มที่อยู่ใกล้ยึดแขนไว้อย่างต้องการที่พึ่ง    แม้ไม่รู้ว่ากลุ่มคนผู้มาใหม่เป็นใครแต่เธอสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างจากคนกลุ่มนั้น    บางสิ่งบางอย่างที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสรู้สึกได้   รังสีอำมหิตเข้มข้นที่แผ่ซ่านออกมาจากกลุ่มคน    อาการขนลุกหนาวสะท้านเยือกตามติดทำเอาเธอสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว    คีลหันกลับมามองเมื่อรู้สึกถึงมือเย็นเฉียบและร่างสั่นเทาที่เบียดอยู่ใกล้ ๆ  เขาลืมไปว่าหญิงสาวสัมผัสคลื่นวิญญาณได้

     

    ชายหนุ่มดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมแขนร่างนั้นเอนซบโดยดี   อาการเนื้อตัวสั่นค่อย ๆ ทุเลาลง   ถัดออกไปมูซาก็ตัวสั่นงันงกโดยมีซาเล็มกำลังปลอบโยนอยู่ดูเหมือนดวงจิตของซาเล็มจะเข้มแข็งพอจะต้านกระแสวิญญาณเหี้ยมเกรียมที่กดดันบีบคั้นได้

     

                    ความเงียบสนิทจนเกินปกติที่ย่างกรายเข้ามาในบริเวณเต็นฑ์พักทำให้หลายคนรู้สึกได้    เมื่อเห็นกลุ่มคนที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเบนดาฮาร่านั้นโผเข้าหาฮัดซันอย่างหวาดหวั่นตกใจ       ในขณะที่เบซาร์มองนิ่ง ๆ เขารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสียเตห์ลาต้องส่งกำลังสนับสนุนแน่นอน   ยิ่งเข้าใกล้คาเธย์มากเท่าไหร่อาคมที่กำกับไว้ยิ่งรุนแรงและอันตรายมากขึ้นเท่านั้น   และต้องยอมรับแม้จะเจ็บใจ   เขาไม่อาจต้านทานได้เพียงลำพังคนเดียว

     

                    ฮัดซันรู้สึกรำคาญผู้หญิงที่เกาะแขนอยู่จนอยากจะแกะออกแต่เพราะมารยาทสังคมที่สั่งสมมาทำให้ไม่อาจทำได้   เขามองภาพหญิงสาวที่ตนเองหมายปองอยู่ในอ้อมกอดของไอ้ไกด์ทะเลทรายนั่นอย่างขุ่นเคือง   ดูเหมือนจัสมินจะให้ความสนิทสนมกับไอ้กระจอกนั่นมากเหลือเกินมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ   ดูอย่างเมื่อครู่เธอก็แสดงอาการปกป้องมัน  และก็ทำให้เขาหงุดหงิดจนระงับอารมณ์ไม่อยู่จนเผลอไปตวาดเข้า

                   

                    “พวกไหนกันอีกวะ”    

     

                    คำถามนี้ก็เป็นความอยากรู้เดียวกับที่จัสมินอยากรู้แต่คำตอบที่ได้จากคนที่กอดเธออยู่กลับทำให้ความกลัวหายแวบกลายเป็นความขัดใจขึ้นมาแทน  

                   

                    “ไม่รู้สิ    ถ้าอยากรู้ต้องไปถามโน่น   เจ้ายูซูสเพราะมันเดินออกไปรับแล้ว”      คีลตอบง่าย ๆ และเป็นเหตุให้หญิงสาวดันตัวเองออกจากอ้อมกอดที่ให้ความอบอุ่นทันควัน

     

                    “ก็ผมไม่รู้จริง ๆ นะ”    พอสบสายตาคาดคั้นของเธอเข้าคีลก็พึมพำคล้ายจะยืนยันว่าตนเองนั้น ไม่รู้ จริง ๆ

     

             “ใจคอคุณจะให้ผมรู้ทุกเรื่องได้ยังไง   ผมเป็นแค่ไกด์นำทางนะคุณ”     นั่นสิ   คีลเป็นแค่ไกด์ทำไมเธอชอบเผลอคิดอยู่เรื่อยว่าชายหนุ่ม รู้  อะไรเกินกว่าที่คนอื่น ๆ รู้   ทั้ง ๆ ที่คีลก็ไม่ได้แสดงว่าตนนั้นรู้ดีกว่าคนอื่น ๆ

     

                    หญิงสาวถอนใจยาว   สายตายังจับสังเกตไปทางกลุ่มคนที่มาใหม่     คนพวกนั้นพูดคุยกับเจ้ายูซูสชั่วครู่ก่อนจะสาวเท้าตรงมาทางที่เธอนั่งอยู่    พวกทหารยามกลับมาเป็นปกติอีกครั้งท่าทางแต่ละคนงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

     

             จัสมินจับแขนคีลรั้งไว้แน่น   ยิ่งคนกลุ่มนั้นก้าวเข้ามาใกล้เท่าไหร่เธอยิ่งรู้สึกคล้ายถูกบีบคั้นรุนแรง  คนทั้งกลุ่มมาหยุดอยู่ตรงหน้า   

     

                    “คุณหนูจัสมินา  อาร์  ซาเวียร์   ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”    น้ำเสียงเรียบเบาหากทรงอำนาจดังมาจากชายร่างสูง   กรามเหลี่ยมดูซูบตอบริมฝีปากคล้ำหนา  ดวงตาสีเข้มดูลึกล้ำคล้ายราตรีที่มืดสนิท      และก็เจ้าคนนี้เองที่เธอสัมผัสได้ถึงความกดดันที่บีบคั้นหัวใจเธออยู่ในขณะนี้

     

                    “พวก...ท่านต้องการอะไร ?”    จัสมินกัดฟันถามถึงวัตถุประสงค์ของคนพวกนั้นที่เธอแน่ใจว่าต้องเป็นพวกเดียวกับเจ้ายูซูสแน่นอน   หนำซ้ำอาจจะเป็นตัวบงการเสียด้วยเพราะดูจากท่าทางนอบน้อมของเจ้ายูซูสแล้วเป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้น

     

                    “ก็แค่ต้องการให้คุณหนูเดินทางไปคาเธย์กับพวกเราเท่านั้นเอง   ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรไม่ใช่หรือในเมื่อคุณหนูเองก็ตั้งใจแบบนั้นอยู่แล้ว”

     

                    “ใช่   ฉันตั้งใจแบบนั้นแต่ก่อนที่จะรู้ว่าหนทางที่จะไปนั้นอันตรายและมันก็ทำให้เราต้องสูญเสียชีวิตคนอีกมากมาย”

     

                    “ถ้ามีพวกเราไปด้วยมันจะไม่อันตรายอีกต่อไป”

     

             “ถ้าพวกท่านไปคาเธย์กันได้อย่างปลอดภัยแล้วจะเอาฉันไปด้วยทำไม”   

     

                    “ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้    รู้อย่างเดียวเพียงแค่คุณหนูต้องทำตามคำสั่งของพวกเรา   ไม่อย่างนั้น....”   คำพูดนั้นละไว้    แววตาเหี้ยมเกรียมปรากฏขึ้นในดวงตาที่แลปราดไปทางคนของเธอก่อนจะหยุดลงที่คีล

     

                    “ไม่อย่างนั้นเจ้าไกด์นั่น    เจ้าเด็กตรงนั้น   รวมถึงไอ้แก่ข้าง ๆ นั่นด้วย   ชีวิตของคนสามคนนี้เพียงพอที่คุณหนูจะทำตามคำสั่งของผมโดยไม่มีเงื่อนไขไหมครับ” นั่นไม่ใช่คำถามแต่เป็นคำขู่ จัสมินมองอย่างโกรธเคือง

     

                    “พวกแกเป็นใคร”   

     

                    “พูดจาให้สุภาพหน่อยซิครับคุณหนู   มันฟังไม่รื่นหูเลย”   

     

                    “เฮ้อ!  เกิดสะบัดสะบิ้งอยากฟังคำพูดเพราะ ๆ เสียงหวาน ๆ กลางทะเลทรายแบบนี้  เดี๋ยวก็ได้ฟังจริง ๆ หรอก”    เสียงยียวนกวนประสาทดังขัดขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจที่ใครได้ยินก็รู้ว่าเสแสร้งชัดๆ

     

                    “ปากไม่ดีนะเจ้าไกด์กระจอก   ตัวเองจะตายวันตายพรุ่งยังกล้าพูดมาก   ไม่ดูเงาหัวตัวเองบ้างเลย”  

     

                    “ก็เพราะดูเงาหัวตัวเองถึงกล้าพูดแบบนี้    ระวังนะครับที่นี่มันนครอาถรรพ์   สถานที่ต้องคำสาป  พูดอะไรพล่อย ๆ ออกไป  ระวัง!     คำพูดต่อมาของคนขยันหาเรื่องยิ่งชวนให้มีเรื่องหนัก     คนฟังยิ้มเหี้ยมพยักหน้าให้ลูกน้องตัวเองพลางบอก

     

                    “สั่งสอนมันหน่อยซิ”    กลุ่มชายฉกรรจ์สองคนขยับเข้ามาทำท่าจะลากตัวชายหนุ่มให้ลุกขึ้น   จัสมินขยับจะขวางแต่คีลรั้งไว้พลางกระซิบบอกเสียงเบา

     

                    “อยู่เฉย ๆ”    พร้อมคำบอกคีลก็หันมามองสบตาเจ้าคนที่ท่าทางเป็นหัวหน้าอย่างท้าทาย

     

                    “คิดดูดี ๆ ก่อนจะทำอะไรลงไปดีกว่ามั้ง   ถ้าไม่มีฉันพวกแกจะไปถึงคาเธย์กันอย่างนั้นเหรอ”

     

                    “อวดเก่งหนำซ้ำยังปากดี     แต่โง่!  มีตั้งหลายวิธีที่ฉันจะเอาเส้นทางในหัวของแกออกมาศึกษาดู    อย่าหลงตัวเองไปนักเจ้าไกด์กระจอก”    เจ้าคนเป็นหัวหน้าแสยะยิ้มไม่อนาทรร้อนใจกับคำขู่

     

                    “งั้นเหรอ   งั้นก็ขอให้โชคดีในวิธีหลาย ๆ วิธีของพวกแกก็แล้วกันนะ”     คีลบอกด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และยังไม่ทันที่ลูกสมุนทั้งสองจะเข้ามาถึงตัวมือใหญ่เรียวยาวก็ยกขึ้นมาเบื้องหน้าทำสัญญาณดีดนิ้ว    ทันทีทันใดรอบด้านเต็มไปด้วยไอหมอกสีขาวฝุ้งกระจายไปทั่วบริเวณจนมองอะไรไม่เห็น    เสียงเอะอะโวยวายเต็มไม่ด้วยความตกใจ  เสียงตะโกนบอกต่อกัน

     

                    “จับมันไว้   มันเป็นพวกมาฮาร่า!    เจ้าคนสั่งการหันรีหันขวางเพราะตัวมันเองก็มองไม่เห็นอะไรเช่นกัน   มันไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจ้าไกดที่ดูกระจอกงอกง่อยนั่นจะเป็นมาฮาร่า   ถึงแม้มันจะมีพฤติกรรมน่าสงสัยและถูกตรวจสอบไปแล้วและทุกคนลงความเห็นว่าเจ้าไกด์นั่นน่าจะเป็นเพียงผู้ศัทธาในมาฮาร่าเท่านั้นแต่ดูจากการใช้อาคมของมันแล้วถึงได้รู้ว่าไม่ใช่

     

                    “ขอให้มีความสุขกับเสียงหวาน ๆ คำพูดเพราะ ๆ ที่อยากได้ยินนะ”     จู่ ๆ น้ำเสียงแกมหัวเราะก็ดังขึ้นข้าง ๆ หูโดยที่มันสัมผัสจิตของคนพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ

     

                    “แล้วเจอกันที่คาเธย์    ข้าจะไปรอที่นั่น   หาทางไปให้ได้ล่ะ”     เสียงหัวเราะนั้นดังห่างออกไปเรื่อยๆ ก่อนจะเลือนหายไปพร้อม ๆ กับม่านหมอกสีขาวก็ค่อย ๆ จางลงด้วย

     

                    ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏทำเอาเจ้าคนเป็นหัวหน้าแค้นแทบกระอักออกมาเป็นเลือดเพราะบนพื้นทรายที่บุคคลสี่คนนั่งอยู่เมื่อครู่บัดนี้ได้อันตรธานไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย

     

                    “บัดซบ   ไอ้ไกด์นั่น  อย่าให้เจอนะมึงกูจะจัดการให้น่าดูเลย!   

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×