คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #19 : พรหมลิขิตบันดาลชักพา
บทที่ 19
พรหมลิขิตบันดาลชักพา
ฝุ่นทรายฟุ้งกระจายตลบตลอดเส้นทางที่ขบวนอูฐสิบตัววิ่งผ่าน ผู้ที่ควบทยานอยู่บนหลังอูฐแต่ละคนอยู่ในชุดคลุมดำมิดชิดปกป้องทั้งความร้อนที่จัดจ้าและฝุ่นทรายที่ปลิวมาปะทะใบหน้า หนึ่งในกลุ่มนั้นแม้จะอยู่ในชุดคลุมที่ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าแบบบางกว่า
ผู้ควบอูฐตัวหน้าทำสัญญาณให้คนตามหลังชลอลง ร่างเล็กที่สุดในกลุ่มบังคับพาหนะของตนให้ขึ้นไปเทียบเคียง
“มีอะไร ?”
“ข้างหน้าเรา มีขบวนรถกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ท่านหญิง”
“ใครกัน ?” ราซาน่าพึมพำกับตัวเอง
“ยังไม่ทราบ อีกซักพักถ้าใกล้มากกว่านี้คงจะรู้ครับ” ชายชุดดำตอบพลางให้สัญญาณพวกที่เหลือให้เตรียมพร้อม เพียงไม่นานขบวนรถไม่น้อยกว่าห้าคันก็แล่นตามกันมา เมื่อเห็นคนที่อยู่บนหลังอูฐโบกมือเพื่อต้องการให้หยุด รถคันนำหน้าก็ชลอจอด ชายชุดดำคนหนึ่งลงจากหลังอูฐเพื่อไปเจรจาซักถามเพียงไม่นานก็โบกมืออำลากัน ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง เส้นทางที่มุ่งไปนั้นอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกับการมุ่งหน้าไปของราซาน่า
“พวกนี้เป็นพวกลูกหาบ คนงานที่ไปกับคณะสำรวจครับท่านหญิง” ชายที่เข้าไปเจรจากับขบวนรถรายงาน
“อ้าว แล้วทำไมกลับมาแล้วล่ะ”
“พวกนี้กลัวอาถรรพ์ของนครต้องคำสาป ก้าวเข้าเขตคาเธย์ได้เพียงวันเดียวก็เผ่นกลับ”
“งั้นคีลต้องเข้าสู่อาณาเขตคาเธย์แล้วแน่ ๆ เราต้องเร่งเดินทางแล้วละ” ราซาน่าบอกอย่างกระตือรือล้น ถ้าเดินทางอย่างเร่งรีบเธอต้องตามคณะสำรวจทันก่อนถึงนครคาเธย์อย่างแน่นอน
“เร่งไม่ได้หรอกครับ ยังไงอูฐพวกนี้ก็ต้องพัก ให้พวกมันเดินทางทั้งวันทั้งคืนไม่ไหวแน่ อีกอย่างอีกประมาณสองวันจะเข้าเขตคาเธย์เราเดินทางได้เฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น ในยามค่ำคืนต้องหยุดพักเพราะมันอันตรายมากครับ”
“เฮ้อ! ก็ได้ ยังไงข้าก็ต้องเชื่อคนนำอยู่แล้วนี่” แม้ไม่ถูกใจแต่หญิงสาวก็รู้ว่าขณะนี้ต้องเชื่อฟังผู้ทำหน้าที่นำทาง
“ข้างหน้าอีกไม่ไกลมีโอเอซิสเล็ก ๆ อยู่พอจะหยุดพักได้ครับ” เสียงบอกมาอีก ราซาน่าพยักหน้ารับ ความจริงตอนนี้เธอก็อยากจะพัก แสงแดดเริงร้อนที่เจิดจ้าบนพื้นทรายทำให้รู้สึกเพลีย หยุดพักซักนิดแล้วค่อยไปต่อก็ดีเหมือนกัน
ขบวนอูฐทั้งหมดจึงเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งโดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่โอเอซิสข้างหน้า
อูฐสิบตัวถูกปลดสัมภาระบางส่วนออกเพื่อให้มันได้พักหลัง คนส่วนหนึ่งแยกไปจัดการให้น้ำอูฐและเตรียมเสบียงเพื่อเป็นอาหารกลางวันหากยังไม่ทันเรียบร้อยเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์ก็ดังกังวานไปทั่วอาณาเขตแห่งท้องทะเลทราย กลุ่มคนทั้งสิบแหงนมองตามต้นเสียง บนท้องฟ้าที่จัดจ้าไปด้วยไอแดดเฮลิคอปเตอร์สองลำค่อย ๆ โรยตัวต่ำลงเรื่อย ๆ เหนือโอเอซีสเล็ก ๆ ที่กลุ่มของราซาน่าหยุดพัก
“พวกไหนกัน ?” ราซาน่าถามอย่างสงสัย เธอไม่คิดว่าจะมีใครเดินทางเข้าสู่คาเธย์อีก หรือว่าจะเป็น....
“พวกเตห์ลาหรือเปล่า”
“ไม่น่าใช่นะครับท่านหญิง การเดินทางแบบนี้มันเปิดเผยเกินไป หนำซ้ำต้องมีการขออนุญาตจากทางรัฐบาล ถ้าขึ้นบินโดยพลการจะถูกหอบังคับการการบินตรวจจับทันทีมาไม่ถึงนี่หรอกครับ”
“แต่พวกเตห์ลาที่แทรกซึมได้ในระดับสูงก็มีไม่ใช่หรือ”
“ใช่ครับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นสายของเราน่าจะรายงานมาแล้ว เพราะการขออนุญาตจะทำโดยกะทันหันไม่ได้ต้องส่งเรื่องมาก่อนอย่างเร็วที่สุดหนึ่งวันก่อนที่จะทำการบิน ซึ่งแบบนั้นต้องมีเหตุผลที่เพียงพอจึงจะได้รับอนุญาต”
“ถ้างั้นจะเป็นใครล่ะ”
“อีกเดี๋ยวก็คงทราบครับ ดูท่าทางแล้วพวกเขาจะลงจอดที่โอเอซีสนี่แน่นอน”
“ที่ตั้งมากมายมาหยุดพักอะไรตรงนี้ก็ไม่รู้” ราซาน่าบ่นอย่างไม่พอใจ ‘ใคร’ ก็ตามที่อยู่ในแมลงปอยักษ์นั่น หรือจะเป็นพวกนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักที่อยากเที่ยวทะเลทรายแต่กลัวลำบาก แต่จะว่าไปทะเลทรายเขตนี้ไม่ใช่เขตท่องเที่ยวนี่นา
ภายในเฮลิคอปเตอร์ ชายหนุ่มหน้าคมในชุดเสื้อเชิ๊ตเนื้อหนาแขนยาวสีเข้มเม้นแขนขึ้นไว้ลวก ๆ กับกางเกงยีนส์เนื้อหนา แม้จะเป็นชุดลำลองเรียบ ๆ แต่การตัดเย็บที่ประณีตและเนื้อผ้าที่นุ่มลื่นระบายความร้อนได้ดีนั้นบ่งบอกระดับฐานะของผู้สวมใส่ ชายหนุ่มก้มหน้าอยู่กับคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคท่าทางออกจะเคร่งเครียด
“เราจะลงจอดที่โอเอซีสข้างหน้านี้ครับ” หนึ่งในทีมผู้ติดตามเข้ามารายงาน
“ขบวนที่ให้ล่วงหน้ามาก่อนยังมาไม่ถึงครับ” ซาลวาพยักหน้ารับทราบหากสายตายังไม่ละจากหน้าจอ
“แต่ว่าที่โอเอซีสข้างล่างนั่นมีคนกลุ่มหนึ่งพักอยู่ก่อนแล้วครับ” คำบอกนี้ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง คิ้วเข้มขมวดอย่างสงสัย
“พวกไหนกัน หรือว่ากองคาราวาน”
“แถบนี้แทบจะไม่มีกองคาราวานเดินทางผ่านเลยครับ อีกอย่างเท่าที่เห็นมีอูฐแค่สิบตัวกับคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นไม่น่าจะใช่คาราวานสินค้า”
“ไหนดูซิ” ซาลวารับกล้องส่องทางไกลที่คนของเขายื่นส่งให้ ส่องมองลงไปเบื้องล่าง ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนในชุดดำจำนวนแค่สิบคน จากท่าทางไม่น่าจะใช่กองคาราวานสินค้าอย่างที่คนของเขาบอกจริง ๆ นั่นแหละ
“กลุ่มไหนกัน เข้ามาทำอะไรแถวนี้ นี่มันห่างจากบาสร่ามากแล้วนี่” ซาลวาพึมพำกับตัวเอง
“ช่างเถอะ ว่าแต่ขบวนที่ให้ล่วงหน้ามาก่อนน่ะถึงไหนแล้ว” ชายหนุ่มละความสนใจจากภาพเบื้องล่างจะเป็นใครก็คงไม่เกี่ยวกับเขา
“คาดว่าอีกราวสองชั่วโมงจะมาถึงจุดนัดหมายครับ เราบินผ่านพวกเขามาแล้วดูจากระยะทางน่าจะประมาณนั้น” ชายหนุ่มพยักหน้ารับทราบพลางปิดงานที่ทำอยู่เตรียมตัวลง
ภาพฝุ่นทรายเบื้องล่างปลิวว่อนด้วยแรงลมจากใบพัด ฮ. ลำแรกลงจอดก่อนพร้อมกับกลุ่มชายฉกรรจ์วิ่งกรูกันออกมาเครียร์พื้นที่และให้สัญญาณ ฮ. ลำที่สองลงตาม เสียงเครื่องดังกระหึ่มและแรงลมที่พัดฝุ่นทรายปลิวว่อนทำเอาราซาน่าที่รวมกลุ่มยืนมองดูอยู่เบื้องล่างเบ้หน้า นึกหมั่นไส้ขึ้นมาติดหมัด สงสัยพวกเจ้าใหญ่นายโตออกมาท่องเที่ยวทะเลทรายแน่ ๆ อารักขากันแน่นหนาขนาดนี้ แล้วจะออกมาทำไมให้ลำบาก ถ้ากลัวไม่ปลอดภัยขนาดนั้นอยู่สำราญภายในคฤหาสห์ตัวเองน่าจะดีกว่า
ร่างสูงที่ก้าวลงมาเกือบท้ายสุดนั้นคุ้นตาอย่างประหลาด ไม่รู้เหมือนกันว่าเคยเห็นจากที่ไหน ราซาน่าหมุนตัวกลับเลิกใส่ใจกับผู้มาเยือนที่ตอนนี้กำลังลำเลียงข้าวของลงมากองไว้บนพื้นทราย หญิงสาวกระชับผ้าคลุมขึ้นมาปิดดวงหน้าจนเหลือเพียงดวงตาคู่สวย
กลุ่มคนชุดดำจับตามองผู้มาใหม่เพียงชั่วครู่ก่อนจะถอยกลับไปจับกลุ่มอยู่อีกด้านหนึ่งของโอเอซีสโดยไม่สนใจแม้จะเข้าไปทักทาย
ซาลวารับเสื้อคลุมตัวยาวมาสวมทับพลางสาวเท้าเข้ามาในร่มเงาของต้นปาล์มโดยมีคนติดตามขนาบข้างมาอีกสองคน คนอื่น ๆ ยังสาละวนอยู่กับกองข้าวของที่กองอยู่บนพื้น เมื่อร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ หนึ่งในกลุ่มคนชุดดำก็ยืนขึ้นเดินออกมาดักหน้า
“ขออภัย พวกท่านจะเดินทางไปไหนกันหรือ ?” คนของเขาเริ่มการสนทนาก่อน
“ เรากำลังจะไปคาเธย์” เสียงเรียบ ๆ จากชายชุดดำตอบมา
“คาเธย์ ขอโทษพวกท่านมีธุระอะไรที่คาเธย์”
“เราจะไปหาคนคนหนึ่งที่เดินทางไปที่นั่น” ชายชุดดำบอกตามจริงโดยไม่คิดจะปิดบังเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะโกหก
“เราก็กำลังจะเดินทางไปคาเธย์เหมือนกัน พวกคุณรู้จักคนในคณะสำรวจหรือ ?” คราวนี้ซาลวาเอ่ยถามด้วยตนเอง ราซาน่าหันกลับมามองเมื่อรู้สึกคุ้น ๆ เสียง ดวงตาสองคู่ประสานกันโดยบังเอิญและฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายหลบวูบก้มหน้างุดพลางนึกบ่นในใจ
“อีตาจอมเผด็จการนี่ดันจะไปคาเธย์ ไปทำไมกันล่ะเนี่ย คาเธย์ไม่ใช่สถานที่เดินเล่นวางอำนาจขืนดุ่ม ๆ เข้าไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือก็ตายกันพอดีเท่านั้น”
“พวกเราจะไปถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับนครกลางทะเลทรายครับ พอดีทราบเรื่องการสำรวจนครคาเธย์ แล้วเพื่อนของเราคนหนึ่งทำหน้าที่ไกด์นำทางคณะสำรวจเราก็เลยตกลงใจจะตามไป” ซาลวายังไม่ละสายตาจากคนชุดดำที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม รู้สึกมีบางอย่างคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยพบกันมาก่อน
“งั้นเหรอ ถ้างั้นเราเดินทางไปพร้อมกันไหมล่ะ เพราะยังไงจุดหมายของเราก็เป็นที่เดียวกัน อีกประมาณสองชั่วโมงขบวนเดินทางของเราก็จะมาถึงที่โอเอซีสนี่แล้ว” ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาหลุดปากชวนออกไป ชายชุดดำที่ผูกขาดการสนทนามีท่าทางลังเล
“ขอพวกเราปรึกษากันก่อน” กลุ่มคนในชุดดำหันกลับไปคล้ายจะปรึกษาหารือกัน ซาลวามองนิ่งๆ รับรู้ได้ถึงลับลมคมนัยบางอย่างของคนกลุ่มนี้ คณะถ่ายทำสารคดีงั้นเหรอ ไม่เหมือนซักนิด ผู้ชายวัยฉกรรจ์ 9 คนในชุดคลุมดำ แต่ละคนสูงใหญ่ไล่เลี่ย ลักษณะการยืนเดินหยัดตรงคล้ายคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี อีกอย่างถ้าเป็นคณะที่จะเข้าไปถ่ายทำสารคดีไม่เห็นจำเป็นต้องคิดอะไรมากกับการที่จะร่วมเดินทางไปกับเขา การเดินทางกลางทะเลทรายแบบนี้ไปมากคนยิ่งปลอดภัยมากกว่า ที่สำคัญเขามั่นใจว่าภายใต้ชุดคลุมดำมอมแมมนั้นทุกคนน่าจะมีอาวุธซ่อนอยู่ด้วย อาจจะยกเว้นก็เพียงคนเดียวที่ตัวเล็กที่สุด คนที่เขาบังเอิญสบตา ผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชาย!
ข้างฝ่ายราซาน่าเองก็ประชุมเครียดกับข้อเสนอที่จู่ ๆ ก็ได้มาอย่างไม่คาดคิด หลายเสียงไม่เห็นด้วยที่จะเดินทางพร้อมกับ ‘ซาลวา อาร์ ซาเวียย์’ บุรุษผู้เป็นเลือดใหม่แห่งอัลมาฮาร์ซึ่งถูกกล่าวขวัญในแวดวงธุรกิจ บุตรชายคนเดียวของอับดุลลา อาร์ ซาเวียย์ ที่เป็นหนึ่งในคณะมนตรีที่ปรึกษาขององค์กษัตริย์แห่งอัลมาฮาร์ เธอได้ข้อมูลจากคนของเธอที่จำหน้าชายหนุ่มได้ ถ้าอย่างนั้นอีตานี่ก็คงเข้าไปตามน้องสาวตัวเองในคาเธย์แน่ ๆ คงไม่ได้คิดเข้าไปเดินเล่นหรอก ว่าแต่ไอ้ประเภทหน้าบางผิวบางท่าทางเป็นคุณหนูไม่เคยลำบากเคยแต่นั่งทำงานในห้องแอร์อย่างนี้จะไปได้ซักกี่น้ำ ราซาน่านึกประมาทหน้า
‘ขืนปล่อยให้เข้าไปมิตายเปล่าหรือนี่’ และความคิดนี้ทำให้หลุดปากออกไป
“ฉันว่าเราเดินทางไปพร้อมกับพวกนี้ก็ได้”
“แต่ท่านหญิงครับ” หนึ่งในกลุ่มผู้ติดตามทำท่าจะค้าน
“ไม่มีแต่ คิดดูซิถ้าเราปล่อยให้พวกนี้เข้าไปเองโดยไม่มีพวกเราช่วย จะรอดเหรอ เอาชีวิตไปทิ้งซะเปล่าๆ แค่เพียงเหยียบเส้นเขตแดนคาเธย์ก็ไม่เหลือแล้วละมั๊ง” เหตุผลของเธอไม่มีใครคัดค้านเพราะมันเป็นความจริงตามที่พูดทุกอย่าง
“ไปบอกเขาว่าเราจะร่วมเดินทางไปด้วย แล้วระหว่างนี้ห้ามพวกเธอเรียกฉันว่าท่านหญิงเด็ดขาด เข้าใจไหม ฉันเป็นหนึ่งในการถ่ายทำสารคดีชุดนี้” ราซาน่ากำชับ
เมื่อตกลงร่วมเดินทางไปด้วยกันกลุ่มของราซาน่าจึงต้องหยุดรอขบวนที่ตามมาสมทบภายหลัง แม้จะได้รับคำสั่งให้ออกเดินทางล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งวันแต่ในเมื่ออีกฝ่ายเล่นใช้เฮลิคอปเตอร์ ฝ่ายที่ใช้อูฐเป็นพาหนะจึงล่าช้ากว่าอยู่ดี
ราซาน่านั่งมองเปลวแดดที่แผดกล้าขึ้นเรื่อย ๆเพราะเป็นช่วงเที่ยง ขนาดคนที่เกิดและโตมากับทะเลทรายอย่างเธอยังแทบจะทนไม่ไหว แล้วอีตาคุณหนูผิวบางไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง หญิงสาวนึกพลางลอบชำเลืองมองเห็นคนที่แอบนินทาในใจนั้นกำลังนั่งจดจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กอย่างไม่สนใจกับอากาศที่ร้อนระอุนั้นเลย ท่าทางยังดูสบาย ๆ ด้วยซ้ำ สงสัยคงต้องเก๊กมาดไว้ตลอดกลัวเสียภาพพจน์หนุ่มเนื้อหอมขวัญใจสาว ๆ
“เชอะ คนขี้เก็ก ที่นี่มีสาวที่ไหนให้นายวางมาดอวดกันละ” ราซาน่าพึมพำอย่างหมั่นไส้ และจะเป็นที่เธอแอบนึกนินทาหรือเผลอมองนานไปหน่อยก็ไม่รู้ เจ้าตัวที่โดนค่อนขอดในใจก็เงยหน้าขึ้นมาทันควัน คนค่อนขอดหลบวูบ
“อีตาบ้า ทำอย่างกะมีญาณวิเศษรู้ว่าใครนินทาอยู่งั้นแหละ ใจหายหมด” หญิงสาวพึมพำรู้สึกว่าหน้าออกจะร้อนวูบพิกลดีที่ผ้าคลุมยาวนั้นช่วยปกปิดไว้ ราซาน่าเดินเลี่ยงหลบไปหามุมสงบ หลีกไกลจากความพลุกพล่านวุ่นวายของบรรดาลูกน้องของชายหนุ่ม คนของเธอขยับจะเดินตามแต่เธอโบกมือห้ามไว้ ร่างแบบบางเดินลัดเลาะผ่านแนวพุ่มไม้เล็ก ๆ ก้าวเท้าไปเรื่อย ๆ สายตาก็เหม่อมองเปลวแดดที่แผดจ้าอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย
หญิงสาวปลดผ้าคลุมหน้าออกใช้มือโบกพัดระบายความร้อน สายลมร้อนวูบพัดผ่านนำพาฝุ่นทรายเม็ดเล็กๆ ปลิวเข้าตาจนต้องขยี้
“ทรายบ้า ลมก็บ้า ที่ตั้งมากมายพัดเข้ามาได้ในตาคน....โอ๊ย!” ปากก็บ่นมือก็ขยี้ตาทำอย่างไรมันก็ไม่ออก น้ำตาไหลพราก จะเดินกลับไปให้พวกนั้นช่วยก็คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวเธอ
“โทษลมโทษแล้ง ฉันว่าน่าจะโทษตัวเองมากกว่านะ ก็รู้ว่าลมแรงมันก็ต้องมีฝุ่นเป็นธรรมดากลับไม่หาอะไรป้องกัน” น้ำเสียงแกมขำขันนั้นดังขึ้นเบื้องหลังก่อนเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาใกล้ คนที่เธอไม่อยากจะให้เห็นสภาพแย่ ๆ ของเธอที่สุดในตอนนี้ นายซาลวา!
“หยุดเดี๋ยวนี้เลย มือสกปรกเอาไปขยี้ตาแบบนั้นเดี๋ยวตาก็ติดเชื้อกันพอดี” เสียงแกมดุนั้นสั่งพลางดึงมือหญิงสาวออก ราซาน่าสะบัดมือทันควันมันเป็นไปโดยอัตโนมัติมากกว่าจะเกิดจากความรังเกียจ มือใหญ่ยังยึดข้อมือเล็กกว่าไว้มั่นหากคราวนี้น้ำเสียงที่เอ่ยขุ่นเคือง
“ไม่ต้องทำหวงเนื้อหวงตัวนักหรอก ฉันแค่จะช่วยเอาผงออกให้เท่านั้น อยู่นิ่ง ๆ” พร้อมคำสั่งมือใหญ่เชยคางให้ใบหน้างามแหงนเงยแต่คนตัวเล็กกว่าไม่ยินยอมโดยดีทำท่าจะสะบัดหน้าหนีทำให้มือใหญ่ต้องออกแรงบีบ และอีกมือหนึ่งยึดมือที่เปะปะจะทำร้ายเขา เพราะแรงขัดขืนทำให้ผ้าคลุมผมร่วงลงไปอยู่ที่ไหล่ ดวงหน้าขาวนวลลออตาแจ่มชัดท่ามกลางกรอบผมยาวสลวยเป็นมันเงา ซาลวาชะงักไปนิดหนึ่งและคนที่ต่อต้านอยู่ตอนนี้ก็ชะงักไปเช่นกัน
“ถ้าไม่หยุดดิ้นก็ทนรำคาญต่อไปก็แล้วกัน ฉันไม่ยุ่งกับเธอแล้ว” ชายหนุ่มปล่อยมือทันควันทำเอาราซาน่างง
“นี่ ช่วยหน่อย” พอร่างสูงหันหลังจะกลับเสียงอุบอิบก็เรียกไว้ หน้าขาว ๆ งอง้ำขัดใจน้ำตายังไหลเลอะแก้มแต่ที่ไม่กล้าแผลงฤทธิ์เพราะรู้ว่าถ้าต้องเอาออกเองกว่าจะสำเร็จเธออาจได้โรคตาอักเสบแถมมาด้วย
“ก็แค่นั้น” ซาลวาเชยคางมนให้แหงนเงยขึ้นอีกครั้งใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดเขี่ยฝุ่นผงที่เข้าตาให้อย่างอ่อนโยน ดวงหน้าหญิงสาวเริ่มขึ้นสีชมพูระเรื่อ แม้จะพยายามเอาความรู้สึกหมั่นไส้ชายหนุ่มขึ้นมาแทนความเขินอายที่วิ่งขึ้นมา ทำแบบนี้กับผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักได้แสดงว่าเจ้าชู้แน่ ๆ หน้าตาก็บอกยี่ห้ออยู่แล้ว อาจจะมีสาว ๆ เป็นฮาเร็มเลยละมั๊ง
“เสร็จแล้ว” ซาลวาบอกพลางปล่อยมือทันควันคล้ายไม่อยากจะแตะต้องผู้หญิงตรงหน้าสักเท่าไร หญิงสาวเองก็ถอยห่างทันทีเช่นกัน
“ขอบใจ” ราซาน่าบอกเบา ๆ
“เราเคยเจอกันแล้วนี่ วันนี้มาทำอะไรที่นี่ล่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยคล้ายจะชวนคุย
“เพื่อนของฉันก็บอกแล้วไงว่าเราจะไปถ่ายทำสารคดีนครกลางทะเลทรายกัน” ราซาน่าเชิดหน้าตอบอย่างไว้ตัว
“ถ่ายทำสารคดี โดยมีเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวท่ามกลางผู้ชาย 9 คนเนี่ยนะ” รอยยิ้มที่เธออ่านไม่ออกประดับอยู่ที่มุมปาก แต่เธอรู้สึกเหมือนโดนคนพูดดูถูก เขาต้องคิดว่าเธอ ‘กล้า’ เกินหญิงชาวอัลมาฮาร์ซึ่งไม่ใช่ความกล้าในทางที่ดีแน่นอน
ซาลวาลอบระบายลมหายใจเฮือก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลุดปากออกไปแบบนั้น ความจริงเขาแค่ต้องการหาเรื่องคุยกับผู้หญิงคนนี้ให้นานอีกหน่อยเท่านั้นเอง แต่ไอ้ท่าทางเชิดหยิ่งของสาวเจ้ามันทำให้เขาอดปากไม่อยู่ ไหน ๆ ก็พูดออกไปแล้วก็คงต้องปล่อยเลยตามเลย
“นี่คุณ พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง คุณคิดอะไร” ดวงตาสีนิลระยับวาววับดุจมีกองไฟลุกโชนอยู่ภายในจับจ้องอย่างจะเอาเรื่อง
“ก็มันน่าสงสัยไหมล่ะผู้หญิงดี ๆ ที่ไหนจะกล้าเดินทางในหมู่ผู้ชายอย่างนั้น” ที่เขาพูดมันก็ถูกหรอก วัฒนธรรมของอัลมาฮาร์ผู้หญิงเป็นเพียงผู้ตามไร้สิทธิ์ปราศจากเสียงคัดค้านผู้ชายไม่ว่ากรณีใด ๆ ถึงแม้ในปัจจุบันวัฒนธรรมจากภายนอกจะแพร่เข้ามาบ้างแล้วแต่ความเชื่อ การปฏิบัติแบบเดิม ๆ ก็ยังมีอยู่ แต่ที่เธอคาดไม่ถึงก็คือผู้ชายหัวสมัยใหม่อย่างนายซาลวาที่เคยผ่านเมืองนอกเมืองนามาไม่น่าจะคิดจำกัดสิทธิ์ของผู้หญิงแบบนี้ ช่างโบราณคร่ำครึยิ่งกว่าเธอที่เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งโลกอารยธรรมนับพันปีเสียอีก
“คุณกำลังดูถูกฉันนะ” ซาลวายักไหล่หน้าตาเรียบเฉยไม่บอกอารมณ์
“อย่างงั้นเหรอ แต่ฉันว่าไม่นะ คิด ๆ แล้วฉันว่าเรื่องที่รถเฉี่ยวคราวนั้นมันอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้ เธอจงใจล้มใส่หน้ารถฉันเพื่อจะอ่อยเหยื่อหรือเปล่า”
“บ้า ฉันไปอ่อยเหยื่ออะไรคุณ พูดให้ดี ๆ นะ” ชายหนุ่มยังสาธยายต่อไปไม่สนใจดวงตาคู่สวยที่เพิ่มดีกรีความร้อนแรงเข้าไปอีก
“แล้วที่มาบังเอิญเจอกันที่นี่ อาจจะเป็นแผนที่วางไว้อย่างดีแล้วก็ได้ แผนที่จะ.....” คำพูดนั้นสะดุดหยุดลงเพราะฝ่ามือเล็กฟาดผัวะลงที่ข้างแก้ม รอยแดงขึ้นห้านิ้วเป็นแนวบนผิวขาว ๆ ของคนปากไม่ดี
“อย่าบังอาจดูถูกฉัน” คนสองคนประสานสายตากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ซาลวาโกรธจัดจนแทบอยากจะจับคนตรงหน้าหักคอได้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำกับเขาถึงขนาดนี้ ราซาน่าเชิดหน้าทำท่าจะเดินผ่านร่างสูงไปแต่ถูกกระชากจนเซถลากลับมา สองแขนถูกบีบจนเจ็บร้าวไปหมด
“เธอกล้าดียังไงถึงตบหน้าฉัน”
“ปล่อย ฉันเจ็บ” หญิงสาวพยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนที่ยึดไว้แต่ไม่เป็นผล
“ถ้าพูดธุระของฉันเสร็จแล้วฉันจะปล่อยเธอเอง ฉันไม่ได้พิษสวาทเธอนักหรอก หน้าตามอมแมมเป็นลูกแมวอย่างนี้ไม่เห็นจะน่าสนใจซักนิด ไม่ต้องทำสะบัดสะบิ้งหวงตัวไปนัก” ไอ้คนบ้า หาว่าฉันมอมแมมเป็นลูกแมวงั้นเหรอ ราซาน่าคิดอย่างขุ่นเคือง สายตาจ้องมองสองมือที่จับแขนไว้มั่น เอาให้มือไหม้เกรียมไปเลยยิ่งดี แต่เอ๊ะ! ทำไมไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ทำไมเวทมนต์ถึงใช้กับนายนี่ไม่ได้ผล แม้แต่การสะกดจิตให้เห็นภาพลวงตาก็ยังทำไม่ได้
“อย่าคิดว่าจะทำอะไรฉันได้อย่างที่เคยทำ” ซาลวายิ้ม รอยยิ้มแปลก ๆ ที่อ่านไม่ออกแต่ทำเอาคนฟังและเห็นรอยยิ้มแบบนั้นชะงักหยุดอาการดิ้นรนทั้งหมด ทำไมผู้ชายคนนี้พูดเหมือนกับรู้เรื่องอะไรอย่างนั้นแหละ
“แค่เธอขอโทษฉันดี ๆ ฉันก็ปล่อยเธอแล้ว บอกแล้วว่าไม่ได้พิษสวาทอะไรนักหนา” คราวนี้ราซาน่าต้องนิ่งทบทวนผลได้ผลเสีย ระหว่างร้องเรียกให้คนของเธอมาช่วยกับเอ่ยคำขอโทษให้จบเรื่องไป
“ขอโทษ” น้ำเสียงกระแทกกระทั้นบอกความไม่เต็มใจ ชายหนุ่มยิ้มปล่อยแขนที่บีบรัดไว้แน่นทันทีเช่นกัน
“ก็แค่นั้น” ซาลวายักไหล่เดินจากไปหน้าตาเฉยโดยมีสายตาอาฆาตจาก ‘ท่านหญิง’ ราซาน่าแห่งมาฮาร่า ที่มองตามไปพลางจดบัญชีแค้น
“คนบ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ มีโอกาสเมื่อไหร่ฉันจะคิดบัญชีกับนายทบต้นทบดอกเลยคอยดู” เธอแน่ใจว่ายังไงต้องมีโอกาสชำระสะสางบัญชีแค้นแน่นอน ก็ทะเลทรายน่ะมันถิ่นของมาฮาร่า คุณหนูผิวบางเคยอยู่แต่ในเมืองหลวงแบบนั้นเก่งไม่ได้ตลอดแน่ นี่ถ้าไม่กลัวว่าผู้คนอีกมากมายจะต้องเอาชีวิตเข้าไปทิ้งในดินแดนคาเธย์ละก้อ เธอจะสั่งให้คนของเธอเดินทางโดยไม่ต้องรอไปพร้อมกับคณะเดินทางคณะนี้แล้ว นี่เพราะเธอไม่อยากเพิ่มงานให้กับมาฮาร่าในการตามส่งวิญญาณหรอกนะการเอาคืนด้วยวิธี ‘ปล่อยเกาะ’ จึงไม่เกิดขึ้น แต่ก็มีอีกหลายวิธีที่จะทำได้
‘คอยดูถึงทีฉันเมื่อไหร่จะเอาให้หนักเป็นสิบเท่า ผู้ชายบ้า’
ความคิดเห็น