ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (bts) sf/os - how yoongi survive when- (vga/kookga/etc)

    ลำดับตอนที่ #14 : osf/ truly, madly, officially missing you (yoongi's side)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.85K
      114
      20 ก.พ. 62

    T
    B

    title: os/sf – truly, madly, officially missing you | friends
    paring: taehyung/yoongi
    bgm: geeks – officially missing you
    note: เป็นฟิคที่เคยลงไว้ในบล็อก แต่ตัดสินใจเอามาลงในเด็กดี เพราะอยากเขียนต่อค่ะ ฮา
    note2 : ที่ไม่ได้ระบุว่าเป็น sf หรือ os เพราะว่า.. ไม่รู้จะระบุยังไงค่ะ lol เอาเป็นว่าลองอ่านดูก่อนเนาะ ฮือ

     

     

     

     


    1.

     

                    มีสุภาษิตของชาวโปรตุเกสกล่าวไว้ว่า มีสามสิ่งบนโลกนี้ที่ห้ามไม่ได้ มันคือการไอ, ควันไฟ

                    และความรัก

     

                    อ่า

                    ให้ตายสิ ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวเขาหลังจากได้อ่านประโยคข้างต้นนั้นคือ ใครคือไอ้ห่าชาวโปรตุเกสนั่น แต่มันก็เท่ไม่หยอกหรอกที่จะใช้สัญชาติแทนชื่อประหลาดๆ เพราะถ้าคนไทยหยิบประโยคนี้ไปเขียน เขาคงไม่อินกับคำว่าสมพงษ์ ยงใจยิ่ง หรืออะไรเทือกนั้น

     

                    ส่วนสิ่งที่สี่ที่ห้ามไม่ได้คือ ความหล่อของกู” เพื่อนสนิทข้างกายของเขาพูดขึ้นหลังจากที่มันหยิบโทรศัพท์เครื่องบางของเขาไปอย่างหน้าด้านๆ พร้อมกับออกความคิดเห็นที่ไม่มีใครขอขึ้นหลังจากอ่านประโยคบนแอพลิเคชั่นนกสีฟ้าที่เขาเปิดค้างไว้

     

                    กับความไร้มารยาทของมึงด้วย โฮซอก” เขาพูด แบมือออกเพื่อขอโทรศัพท์ของตัวเองคืน โฮซอกเบะปาก ก่อนที่เจ้าตัวจะยื่นโทรศัพท์คืนเขาตามคำขอ สาบานเลยก็ได้ว่ามันไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับคำกล่าวว่าของเขาหรอก เราสนิทกันเกินที่จะเอาประโยคหยุมหยิมแบบนี้มาคิด

     

                    แล้วเรื่องคอร์สเลขอ่ะ เอาไง”

     

                    มินยุนกิถามพร้อมกับกดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ เงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่ทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ออกมาเสียดื้อๆ และนั่นทำให้เขาพอจะรู้คำตอบที่กำลังจะออกมาจากปากมันได้โดยไม่ต้องรอฟังคำตอบด้วยซ้ำ

     

                    แม่กูไม่ให้ไปอ่ะ บอกเรียนเอ็นคอนจบแล้วค่อยไปลงเพิ่ม” เขาพยักหน้าตามคำตอบที่ได้รับ ดูเหมือนว่าคอร์สเลขที่เพิ่งลงไว้ล่าสุดจะต้องเผชิญชะตากรรมคนเดียว “แต่เชื่อเถอะ นางแค่อยากให้กูอยู่เฝ้าร้านอ่ะ งี้แหละ ปล่อยให้ออกไปไหนไม่ได้เลย กลัวสาวติด”

     

                    เขากลอกตาบน และนั่นคลอด้วยเสียงหัวเราะดังๆตามประสาคน positive ให้ตายสิ เขาเคยสงสัยมากๆว่าแม่ของโฮซอกเลี้ยงลูกชายตัวเองยังไงให้เป็นคนคิดบวกขนาดนี้ หักลบกับคำว่าประสาทนั่นก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่เขาอิจฉาอยู่ดี เชื่อเถอะว่าเขาพูดจริง

     

                    มึงเถอะจะขยันไปไหน เลิกเรียนก็ต้องไปชมรม ชมรมเสร็จก็เรียนพิเศษอีก ผีเข้ามึงปะเนี่ยยุนกิ” โฮซอกพูดก่อนจะทำทีว่ามีสิ่งมหัศจรรย์เข้าสิงเขาจริงๆ แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างสงบได้ด้วยนิ้วกลางของเขาที่ส่งตรงให้กับเพื่อนสนิทด้วยความรัก “อ่ะทีงี้โหด ปกติมึงงอแงเอาแต่จะนอน”

     

                    มึงเหอะ มันจะสอบแล้วมั้ยวะ อีกปีนึงเนี่ย” เขาตอบ อันที่จริงแม่เขาอยากให้หยุดเรื่องกิจกรรมชมรมไปเลยด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่มินยุนกิยื่นคำขาดคือขอเข้าชมรมสัปดาห์ละครั้งสองครั้งแทนที่จะหายขาดไปเลย อย่างน้อยเสียงดนตรีก็ยังทำให้เขาผ่อนคลายได้เสมอ

     

                    เออกูรู้ละ เก่งรอบด้านก็งี้แหละมึงอ่ะ รับผิดชอบความฉลาดของตัวเองวนไปจ้า อันนี้กูไม่ได้ประชดนะ กูพูดจริงๆ”

                  

                    โฮซอกพูด และนั่นทำให้เขาแค่นหัวเราะ ถึงมันจะไม่แก้ตัวเขาก็พอเข้าใจกับสิ่งที่มันกำลังจะสื่ออยู่หรอก เขาอยากเข้าสถาปัตย์ แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายที่พระเจ้ามอบความสามารถทางด้านดนตรีอีกหยิบมือหนึ่งมาให้เขาด้วย และยุนกิเองก็ไม่ได้ปฏิเสธหรอก เขาชอบมัน

                    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความจริงมันต้องมาก่อนความฝันเสมอ

     

                    พูดถึงเรื่องนี้ละกูนึกถึงนัมจุนห้องหนึ่งเลยอ่ะ” โฮซอกพูด ก่อนจะกล่าวถึงคิมนัมจุน ประธานนักเรียนของเทอมนี้ที่มินยุนกิรู้สึกถึงประกายความเจิดจรัสแปลกๆแม้ว่าโฮซอกจะพูดถึงเขาเพียงแค่ชื่อก็ตาม “วันนั้นกูนั่งรอมึงอยู่หน้าห้องชมรมใช่ปะ ไอ้หมอนั่นแม่งวิ่งจากห้องชมรมไปห้องครูใหญ่ประมาณสิบสองรอบในสองชั่วโมง อันที่จริง กูเลิกนับตั้งแต่รอบที่สิบ บางทีมันอาจจะวิ่งไปมาประมาณสิบแปดรอบ”

     

                    มันบอกกูแค่สิบหก มึงอ่ะเวอร์” เขาหัวเราะ นัมจุนเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมดุริยางค์ เจ้าตัวเล่น bass drum นอกจากนั้นนัมจุนยังเป็นคนที่เพิ่มเมโลดี้ของเพลงมาร์ชโรงเรียนให้ไพเราะขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ และตลกร้ายคือไอ้หมอนี่มันไม่ได้อัจฉริยะในด้านดนตรี นัมจุนเป็นที่หนึ่งในด้านการเรียนด้วย

     

                    อ่ะ สิบหกก็สิบหก วิ่งไปมาละทำหน้างี้” โฮซอกพูด ก่อนจะทำท่าทางเร่งรีบให้เหมือนกับนัมจุนในบ่ายวันนั้นให้ได้มากที่สุด สาบานเถอะว่าถ้าใบหน้านั่นเกิดโดยนัมจุน เขาจะสงสาร แต่พอมันมาอยู่บนหน้าโฮซอกนั่นทำให้มินยุนกิรู้สึกสมน้ำหน้าแปลกๆ “ประมาณรอบที่สี่อ่ะ แม่งวิ่งออกมาพร้อมไม้กลอง”

     

                    เป็นกูจะให้อาจารย์มาหาเองตั้งแต่รอบที่สามละ หงุดหงิดแทนชิบหาย” เขาตอบตามความคิดเห็นที่วนอยู่ในหัว และเชื่อสิว่านั่นทำให้โฮซอกขำได้เสมอ มันบอกว่าชอบคาร์แรคเตอร์ง่วงๆ ซึมๆของเขา อ่า อันที่จริงเขาก็ไม่ได้อยากจะจำอะไรแบบนี้หรอกนะ แต่มันพูดบ่อยเกินกว่าที่มินยุนกิจะเพิกเฉย

     

                    เออ รำคาญแทนจริง แต่กูโคตรอิจฉามันเลยอ่ะ” โฮซอกพูดออกมา ประโยคที่โคตรจริงใจโดยไม่มีความคิดร้ายแฝงอยู่นั่นทำให้มินยุนกิขำ เอาเถอะ ไม่ใช่แค่โฮซอกคนเดียวที่อิจฉานัมจุนหรอก เขาเองก็รู้สึก ไม่สิ อาจจะเป็นนักเรียนทั้งสายชั้นเลยก็ได้ที่คิดอย่างนั้น “อย่างน้อยก็แบ่งเศษเสี้ยวมาให้กูก็ได้อ่ะ พระเจ้าแม่งลำเอียง”

     

                    พระเจ้าไม่ได้ลำเอียงหรอก เขาเลือกคนให้”

                    อ่ะ ด่ากูเลยก็ได้งี้”

     

                    เขาหัวเราะ และไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวนั้นด้วย นัมจุนเป็นคนดี ดีมากจนมินยุนกินึกสงสัยว่าคนเราจะมีทุกอย่างครบไปขนาดนี้เพื่ออะไร นัมจุนเคยหงุดหงิดไหมกับคำว่าสมบูรณ์แบบของเจ้าตัว เขาเคยดูภาพยนตร์มามากที่ตัวเอกที่มีครบทุกอย่างแต่กลับไม่พอใจกับสิ่งที่มี แต่ดูเหมือนว่านัมจุนจะไม่มีปัญหากับเรื่องพวกนี้เลย

     

                    ละมึงจะเข้าชมรมอีกปะเนี่ย” โฮซอกพูด มือขวายกขึ้นมาเพื่อดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา มินยุนกิส่ายหัว เขาใช้โควตาสำหรับสัปดาห์นี้ไปแล้วตั้งแต่วันจันทร์ และตั้งแต่วันนี้เขาคงต้องโหนรถไฟฟ้าไปที่ใจกลางเมืองแทนที่จะเป็นการขึ้นรถเมล์ตรงดิ่งไปที่บ้านอย่างเคย

     

                    ความแน่นขนัดของผู้คนจำนวนมากทำให้เขาแทบจะหายใจไม่ออก มินยุนกิอยากจะตีตัวเองให้ตายที่ลืมหยิบหูฟังออกมา อย่างน้อยเขาจะได้ละความสนใจจากความอึดอัดนั่นเป็นเมโลดี้เพราะๆในโสตประสาท

                    มินยุนกิถอนหายใจ ก่อนที่มือขาวจะหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาที่ไม่ได้ใช้งานมากนักตามนิสัยของเจ้าตัว นิ้วกดเปิดอินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้สมัครโปรไว้อย่างคนอื่นๆ ก่อนจะเปิดแอพลิเคชั่นไลน์ที่มีข้อความค้างไว้ประมาณสามสี่ข้อความ-- ภาวนาให้ไม่ใช่โฆษณาเถอะ เขาเบื่อเกินกว่าที่จะมานั่งหงุดหงิดกับการเสียเงินค่าโทรศัพท์กับรูปลิปสติกหลายเฉดสีนี่

                    และให้ตายสิ เขาเดาผิดซะที่ไหน

     

                    มินยุนกิถอนหายใจดังกว่าเก่า มือเกือบจะกดปิดอินเทอร์เน็ตไปแล้วถ้าโฮซอกไม่ส่งข้อความมาด้วยสติกเกอร์ประหลาดๆของเจ้าตัว และความเบื่อหน่ายนั่นทำให้มินยุนกิเลือกที่จะกดอ่านถึงแม้ว่าโฮซอกจะส่งมาเพียงแค่สติกเกอร์จากพรีวิวแชทที่เด้งขึ้นมา

     

                            อะไร?’

     

    มึงตอบไลน์กูภายในหนึ่งนาที กูขออนุญาตร้องไห้’

     

                                ‘-_-’

     

    ไม่จอยอีกละ’

    เออๆๆๆๆ เล่าละ กูจะบอกว่า’

    ก่อนลับเราคุยเรื่องนัมจุนกันใช่ปะ แม่งเอ้ย กูเชื่อในความบังเอิญละ มึงรู้มั้ยกูเจอใคร’

    ตอนกลับบ้านกูเจอนัมจุนห้องหนึ่งเว้ย อยู่บนรถเมล์ มันบอกว่าจะไปเรียนเลข อิเหี้ย เด็กโออย่างมันต้องเรียนเลขด้วยหรอวะ’

     

                                    เรียนดิ ขยันมากด้วย’

                                    ชีทเลขที่กูเคยถ่ายส่งให้มึงก่อนสอบก็ของมัน’

     

    กูว่าละ แม่งเทพชิบหาย มีจดทริคไว้ด้วย’

    เออ แต่ประเด็นไม่ใช่เรื่องนั้น’

     

                    มินยุนกิเลิกคิ้วกับประโยคล่าสุดของเพื่อนสนิท ดูเหมือนว่าการพูดถึงนัมจุนจะเป็นการเกริ่นเรื่องเพียงเท่านั้น และนั่นทำให้มินยุนกิเลือกที่จะไม่พิมพ์อะไรกลับไปก่อนที่โฮซอกจะเล่าเอง

     

    กูจะบอกว่า มึงไม่ต้องเหงาแล้วเพื่อนรักกก’

    แทฮยองห้องหนึ่งก็เรียนคอร์สเดียวกับมึง สยามอ่ะ’

                  

                    แทฮยอง?

                    ใบหน้าของบุคคลในความคิดฉายขึ้นมาทันทีเมื่ออ่านข้อความสุดท้ายจบ แทฮยองเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มของนัมจุน และเป็นหนึ่งในสมาชิกวงดุริยางค์เช่นกัน เพียงแต่เขากับเจ้าตัวไม่ได้คุยอะไรกันมากนักเพราะสไตล์ของเราต่างกันราวฟ้ากับเหว

                    และถ้าจะให้เลือกว่าใครเป็นเหว? แหงล่ะ หวยมันต้องตกมาที่เขาอยู่แล้ว

     

                                    แค่นี้?’

                                    ถ้ามึงคิดอีกซักนิด มึงจะรู้ว่าว่ากูกับแทฮยองไม่เคยคุยกันเลย’

     

                    มินยุนกิถอนหายใจ สาบานเลยว่าการที่คิมแทฮยองเรียนคอร์สเดียวกับเขานั่นไม่ได้ทำให้มินยุนกิอุ่นใจมากขึ้นเลยซักนิด เจ้าตัวเล่น alto saxophone และด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาตั้งแต่เป็นเด็กนั่นทำให้หลายๆคนออกความเห็นว่า ‘ถ้าในทีมไม่มีคิมนัมจุน แทฮยองคงเป็นเอชของทีมไปแล้ว’ และใช่ มินยุนกิเห็นด้วย อย่างไม่มีข้อโต้แย้งเลยล่ะ

     

    เอออออ กูรู้น่า’

    แต่แทฮยองนิสัยดีนะเว้ย กูเคยคุยกับมัน มันทักกูก่อนด้วยซ้ำอ่ะ’

     

                ทันทีที่เขาอ่านประโยคสุดท้ายของโฮซอกจบ มินยุนกิเลือกที่จะกดล็อกหน้าจอลงเมื่อได้ยินเสียงประกาศว่าอีกไม่นานนักจะถึงสถานีที่เข้าต้องลง (ถึงแม้ว่าเขากำลังยืนจังก้าอยู่ใกล้ๆประตูระหว่างโบกี้ก็ตาม) มือขาวยัดโทรศัพท์เครื่องบางไว้ที่กระเป๋ากางเกง ได้ยินเสียงแจ้งเตือนไลน์ดังขึ้นประมาณสองสามครั้งและเดาว่านั่นคงจะมาจากโฮซอกอีกนั่นแหละ

                    ให้ตายสิ แทฮยองเอาอะไรซื้อโฮซอกมันวะ

     

                    ยุนกิคิด เขามีเพื่อนสนิทคนเดียว และนั่นก็คือโฮซอก การมีโฮซอกเป็นเพื่อนสนิทเพียงแค่คนเดียวนั่นทำให้เขาตัวติดกับมันราวกับตังเม แล้วโฮซอกไปทำความรู้จักกับแทฮยองเมื่อไหร่นั่นกลายเป็นคำถามที่เขาไม่สามารถทราบได้

     

                    พลั่ก!

     

                    และด้วยความน่าสงสัยนั่นทำให้มินยุนกิเดินเหม่อจนชนเข้ากับอีกคนที่ออกจากขบวนคนละโบกี้จนโทรศัพท์ของเจ้าตัวกระเด็นไปเกือบเมตรนั่นแหละมินยุนกิถึงได้เบิกตาโพลงในรอบเดือน ก้มลงเอื้อมหยิบโทรศัพท์ของเจ้าตัวโดยไม่สนใจว่าจะมีคนอีกกี่ร้อยที่แออัดอยู่ในบริเวณนั้น

                    มินยุนกิเม้มปากระหว่างการใช้มือขาวพลิกดูสัญฐานวิทยารอบโทรศัพท์ของผู้โชคร้ายว่ามีตรงไหนเสียหายไหม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อไม่เห็นว่าจอที่แตกร้าวนั่นเป็นเพราะฟิล์มกระจกที่เจ้าของเครื่องติดไว้ เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทที่เส้นผมบางส่วนบนใบหน้าลู่เข้าเพราะหยาดเหงื่อที่แตกพลั่กจากความซุ่มซ่ามที่เกิดขึ้นเอี้ยวตัวมาหาบุคคลโชคร้ายที่กำลังยืนค้ำเขาอยู่ข้างหลัง

     

                    ยุนกิ?”

     

                    อ่า ให้ตายสิ เขาเริ่มจะเชื่อคำว่าบังเอิญที่เพิ่งเกิดขึ้นกับโฮซอกไปหมาดๆแล้วล่ะ

     

                    เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไรไประหว่าง ‘อ้าว แทฮยองเองหรอ บังเอิญจังเนอะ’ หรือ ‘เอ่อ เราขอโทษกับเรื่องนี้นะ เราซุ่มซ่ามเองอ่ะ’ และนั่นทำให้สิ่งที่เขาส่งยิ้มแห้งๆ กลับไปแทนที่จะเป็นประโยคในตัวเลือกทั้งสองข้อ และเชื่อเถอะว่านั่นทำให้บรรยากาศมาคุสุดๆ

     

                    มินยุนกิเม้มริมฝีปากล่าง ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ในมือให้กับแทฮยอง เจ้าตัวเผลอร้องออกมาเมื่อเห็นว่าหน้าจอแตกเป็นทาง ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าสิ่งที่แตกเป็นเพียงแค่ฟิล์มกระจก มินยุนกิรู้ดี เขาคิดว่าตัวเองในสามนาทีก่อนคงจะทำหน้าเหมือนแทฮยองนั่นแหละ

     

                    คือ.. เราขอโทษนะ เดี๋ยวเราแวะเปลี่ยนฟิล์มให้ตอนนี้เลยก็ได้ คือเรา..” ให้พระเจ้ามาตีปากเขาตอนนี้เลยก็ได้ว่ามินยุนกิกำลังพูดปด อีกห้านาทีก็จะถึงเวลาเริ่มคลาสแล้วด้วยซ้ำ

     

                    และดูเหมือนว่าแทฮยองน่าจะดูออก เจ้าตัวเลยฉีกยิ้มกว้างๆส่งให้เขาแทนที่จะทำหน้าดุแล้วฝากให้เขาทำตามที่เกริ่นออกมาจากปาก “เห้ย ไม่เป็นไร เป็นงี้เท่ดีออก ดูดิ เหมือนลายกราฟฟิคเลย”

     

                    เท่กับผีดิ โทรเข้าโทรออกกระจกก็บาดหูพอดี” เขาตอบ และอย่างที่เขาเคยบอก โฮซอกเป็นมนุษย์คนแรกที่บอกเขาด้วยใจจริงว่าที่เจ้าตัวหัวเราะกับคำพูดของเขาบ่อยๆเพราะว่าคำพูดของเขามันเหมาะกับนิสัยที่เขากำลังสวมคาร์แรคเตอร์อยู่

                    และ—ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่แค่โฮซอกคนเดียวที่คิดแบบนั้น

     

                    เออ จริงด้วยว่ะ” แทฮยองหัวเราะออกมา มือหนากดล็อกหน้าจอก่อนจะเก็บมันเข้ากับกระเป๋าเป้แทนที่จะเป็นกระเป๋านักเรียน ให้เดา มินยุนกิคิดว่าแทฮยองคงทำเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าตัวเผลอหยิบโทรศัพท์ให้กระจกบาดมือเล่นๆ “ยุนกิตลกจริงๆด้วยว่ะ”

     

                    หา?” เขาตอบไปแทบจะทันที และนั่นทำให้แทฮยองหัวเราะออกมาเพียงเพราะว่าเขาทำหน้าตาสงสัยเพียงเท่านั้น ให้ตาย “ใครมันบอก”

     

                    โฮซอกห้องสอง” นั่นไง มันอีกแล้ว สาบานกับสถานีสยามเลยว่าพรุ่งนี้เขาต้องเอาเลือดหัวมันออกให้ได้ “แต่โฮซอกสนิทกับยุนกิหนิ ใช่ปะ”

     

                    อือ แต่พอได้ยินงี้ก็อยากเลิกสนิทแล้ว” ยุนกิพูดก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น พูดจริงๆนะ เขาอาจจะไม่รอวันพรุ่งนี้เลยก็ได้ คลาสเรียนไม่สำคัญเท่ากับการยอมเสียเงินค่าโทรไปด่าจองโฮซอกที่น่าจะกำลังตีป้อมอยู่ด้วยความสนุกสนานในตอนนี้

     

                    เห้ย เราล้อเล่น จริงๆโฮซอกบอกแค่ว่า ยุนกิไม่ได้น่ากลัว แต่ยุนกิตลก” แทฮยองแก้ตัว และเชื่อสิว่านั่นทำให้เขาขมวดคิ้วมากกว่าเดิม เออ ไม่ได้น่ากลัว แต่ตลก เอากับเขาดิ “ขมวดคิ้วอีกแล้ว เราไม่ได้หมายความว่ายุนกิไม่ดีเลยนะ”

     

                    ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเราเข้าใจ” เข้าใจกับผีดิ คำว่าตลกกับน่ากลัวนั่นเป็นความหมายในทางที่ดีซะที่ไหน ต่อให้เอาโฮซอกมายืนอยู่ตรงนี้มันก็ยังบอกว่าแทฮยองกำลังว่าเขา และใช่ มินยุนกิเองก็ไม่สนิทกับแทฮยองมากพอที่จะเอาความคิดหยุมหยิมแบบนี้ไปคิดเช่นกัน

                    และนั่นทำให้ยุนกิเริ่มที่จะออกเดิน รองเท้านักเรียนของเขาสาวตรงไปยังตึกที่สมัครคอร์สเลขไว้เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่เขาจะมองเห็นปลายรองเท้านักเรียนอีกคู่ข้างกายเขาที่รีบสาวเท้ามาเดินข้างๆ อย่างรวดเร็ว

     

                    ยุนกิไม่เข้าใจหรอก เรารู้” แทฮยองพูดขึ้น นั่นทำให้เขาเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย “เออ ดูเหมือนเราต้องเล่าอ่ะ คือตอนนั้นเราถามโฮซอกว่า ยุนกิเป็นคนยังไง”

     

                    น่ากลัวไหม? แบบนี้อ่ะหรอ”

                    มันก็ใช่อ่ะ แต่นั่นก็คือตอนนั้นไง ตอนที่เราเข้าชมรมมาได้แค่สามสัปดาห์อ่ะ” แทฮยองแก้ตัว ใบหน้าคมขมวดคิ้วเข้าหากันราวกับกังวลไปด้วยว่าเขาจะโกรธ และนั่นทำให้มินยุนกิรู้สึกประหลาดใจไม่มากก็น้อย อันที่จริง แทฮยองไม่ควรจะเครียดกับเรื่องบ้าๆ นี่ขนาดนั้น “คือตอนนั้นมันใกล้แข่งไง ไม่แปลกที่ยุนกิจะเครียดอ่ะ เราก็เลยถามโฮซอกไป แต่ก็รู้ว่ามันไม่จริง”

     

                    อ๋อ”

     

                    เขาพยักหน้ารับไป โอเค หวังว่าแทฮยองจะไม่ได้คิดว่าเขาน่ากลัวอย่างที่เจ้าตัวพูดจริงๆ และมินยุนกิเองก็ไม่ใช่ประเภทที่จะหันหน้าไปถามด้วยว่า ‘แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไง’ หรืออะไรเทือกนั้น สิ่งที่เขาทำจึงมีเพียงแค่การสาวเท้าไปยังตึกกวดวิชาพร้อมๆกับคิมแทฮยองที่ดูผ่อนคลายขึ้นเยอะหลังจากที่พูดประโยคข้างต้นออกมา

                  

                    แต่ยุนกิก็ตลกจริงๆนะ” แทฮยองพูด ก่อนที่เจ้าตัวจะฉีกยิ้ม “ในทางที่ดีอ่ะ ยุนกิดูเป็นตัวเองไง เราชอบนิสัยยุนกิว่ะ อยู่ด้วยแล้วรู้สึกดี”

     

                    ให้ตายสิ เขาควรจะรู้สึกยังไงกับคำสารภาพนี้กัน

     

     

     

    กูพูดจริงๆนะ แม่งนิสัยไม่เข้ากับหน้าอ่ะ คือมันบ้าจี้มากมึง มันหัวเราะมุกของซอกจินความยาวประมาณห้านาที’
    ไอ้มุกเทเลทับบี้อ่ะ ที่มึงทำหน้านิ่งตอนได้ยิน’

    อ่ะ แม่ง อ่านละไม่ตอบ ทิ้งกูระหว่างทางอีกละ’

     

                                    โทษๆ มีเรื่องนิดนึง’
                                    กูถึงที่เรียนละ สอนดีอยู่นะ เดี๋ยวกูซีร็อกโจทย์ให้ๆ’

     

    ดี’
    แต่มีเรื่องไรวะ มึงไปทำไรมา’

     

                                    จอโทรศัพท์แตกๆ’

     

    ของมึง????’

     

                                    ไม่ๆ ของแทฮยอง’

     

    เดี๋ยว แทฮยอง?’
    เดี๋ยวนะ มึงไปทำอีท่าไหนวะยุนกิ’

     

                                    คือตอนนั้นกูเหม่อๆอ่ะ แทฮยองก็รีบมั้ง กระเด็นไปเกือบเมตรกลางบีทีเอสสยาม’

     

    เชี่ยยยยยย มันไม่โกรธหรอวะนั่น’

     

                                    อ๋อ ไม่ๆ แตกแต่ฟิล์มอ่ะ’
                                    ตอนเลิกเรียนกูก็แวะเปลี่ยนฟิล์มให้แล้วโว๊ย’

     

    อ๋อ’
    แสดงว่าคุยกันแล้วอ่ะดิ กับแทฮยองอ่ะ’

     

                                    อือ’
                                    มันแม่งบ้าจี้จริงๆด้วยว่ะ’

     

     

    2.

     

                    มินยุนกิไม่เคยมีแฟน อันที่จริง เขาแทบจะไม่รู้จักคำว่าความรักในเชิงชู้สาวเลยด้วยซ้ำ

                    แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคในการรับชมภาพยนตร์ สิ่งแรกๆนอกจากการนอน ฟลูต ก็เป็นการดูหนังนี่แหละที่เขาชอบ เขาชอบทุกอย่างที่ทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย และรู้สึกสบายไปด้วย ถึงแม้ว่าฟลูตอ่านจะไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้มามันก็พอจะหักลบสิ่งที่เสียไปได้อยู่มากโข

     

                    เพราะอย่างนั้น การได้รับการความใส่ใจจึงกลายเป็นสิ่งประหลาดสำหรับเขา

     

                    ยุนกิมาแล้วๆๆๆ”

     

                    กลายเป็นคิมแทฮยองที่ทักทายเขาเป็นคนแรกหลังจากที่เขาเปิดประตูชมรมออก มินยุนกิเลิกคิ้วกับท่าทีประหลาดๆของแทฮยองก่อนที่เขาจะสาวเท้าไปที่เก้าอี้ตัวโปรด และแทฮยองเองก็เห็นจุดนั้นเป็นเป้าหมาย เจ้าตัวยื่นถุงอะไรบางอย่างที่มินยุนกิคุ้นเคยกับกลิ่นหอมนั่นอย่างประหลาด

     

                    ขนมปัง?”

     

                    อือ ที่ยุนกิชอบไง เราซื้อมาฝาก ทางผ่านๆ”

     

                    อ๋อ ขอบใจนะ”

     

                    ถ้าเป็นบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเขา มันก็จะจบลงเพียงเท่านี้แหละ โฮซอกบอกกับเขาเสมอว่าเขาพูดห้วนเกินไป ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช่คนชอบชวนคุยจริงก็คงขี้เกียจที่จะขุดเรื่องร้อยแปดมาคุยกันเขาไปแล้ว และก็นั่นแหละ เขาไม่เห็นท่าทีนั่นกับแทฮยองเลยซักนิด เจ้าตัวไม่ได้ชวนคุยต่อ แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าหงุดหงิดอะไรกับการตอบรับแบบส่งๆของเขา

                    อ่า ให้ตายสิ รู้สึกผิดเลยนะเนี่ย

     

                    วันนี้ยุนกิมาสายว่ะ” นัมจุนพูด และนั่นทำให้ยุนกิยิ้มแห้ง พวกเราเป็นสมาชิกวงดุริยางค์ที่ต้องบรรเลงเพลงมาร์ชกับเพลงชาติทุกเช้าก่อนเข้าแถว เพราะอย่างนั้นการมาเรียนสายจึงไม่เป็นเรื่องอภิรมย์นักสำหรับเขา

     

                    โทษที ลืมตั้งนาฬิกาปลุกว่ะ” ยุนกิตอบ นัมจุนมีฐานะเป็นหัวหน้าทีม อันที่จริงเขาค่อนข้างจะสนิทกับนัมจุนเพราะอยู่ชมรมดุริยางค์ด้วยกันมาตั้งแต่มอต้น และนั่นทำให้นัมจุนไม่ได้ดุเขาเท่าไหร่นักที่เขามาสาย

     

                    โห ซวยเลยดิ” นัมจุนบอก ก่อนจะหันไปมองคิมแทฮยองที่กำลังนั่งเช็คแซกโซโฟนตัวโปรดของเจ้าตัว “เออทีหลังให้ไอ้แทโทรปลุกดิ แม่งตื่นโคตรเช้าอ่ะ”

     

                    หือ?” แทฮยองเลิกคิ้วขึ้น พร้อมกับมินยุนกิที่กำลังทำหน้าเอ่ออ่า นัมจุนอาจจะคิดว่าเขากับแทฮยองสนิทกันเพราะบังเอิญลงเรียนเลขคอร์สเดียวกันถึงขั้นโทรปลุกไม่ได้นะ สาบานได้เลยว่ามันไม่ได้ใกล้เคียง และเขาเองก็หวังว่าแทฮยองคงไม่บ้าจี้ไปตามคำพูดคิมนัมจุน “โทรปลุกหรอ เอาดิ”

     

                    ให้ตาย นัมจุน กูแค่เกือบมาสาย แค่เกือบ” มินยุนกิถอนหายใจ ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญหน้ากับนัมจุนที่กำลังฉีกยิ้มอยู่ พูดมันออกมาเบาๆเพราะไม่อยากหักหน้าของแทฮยองที่ดูกำลังงงๆกับแซกโซโฟนในมือ

     

                    ไม่เห็นเป็นไร ไอ้แทมันมีโปรโทรฟรีตอนเช้า” นัมจุนพูด ก่อนจะพยักเพยิดไปทางคิมแทฮยองที่กำลังเลิกคิ้วขึ้น พลางสบถออกมาว่านัมจุนรู้ได้ยังไงว่าเจ้าตัวกำลังใช้โปรโมชั่นแบบนั้นอยู่ “ให้มันใช้โปรหน่อย ทุกวันนี้ไม่ได้โทรหาใครนอกจากแม่”

     

                    นัมจุน ไอ้สัด”

     

                    แทฮยองหัวเราะออกมา และเมื่อเสียงบรรเลงของแซกโซโฟนดังขึ้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคิมแทฮยองกำลังเข้าโลกของตัวเองไป และนั่นทำให้มินยุนกิทำได้เพียงถอนหายใจก่อนจะจ้องนัมจุนตาเขม็ง

     

     

     

                    ได้ข่าวว่าวันนี้มึงมาสาย”

                  

                    มินยุนกิเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินประโยคของจองโฮซอก และนั่นแปลได้ว่าเขาต้องการประโยคที่ยาวกว่านี้ในการขยายความหมาย “แทฮยองมันบอกกูไง ว่าวันนี้มึงมาสาย”

     

                    แล้ว?”

     

                    แล้วนัมจุนก็บอกว่า หลังจากนี้ไอ้แทมันต้องโทรปลุกมึง” ยุนกิถอนหายใจออกมาแรงๆ ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น เขาควรจะไลน์ไปบ่นให้นัมจุนฟังดีไหมว่าการกลั่นแกล้งของมันดังมาถึงจองโฮซอกห้องสอง และนั่นไม่ตลก สาบานได้เลยว่ามันไม่ตลก “แม่งบ้าชิบหาย”

     

                    เออ มันเป็นบ้า”

     

                    ไอ้แทเนี่ยบ้า ห่า ถามว่าปกติมึงตื่นกี่โมง มันบอกว่าปกติมันตื่นเช้ามากเลยไม่อยากโทรปลุกตอนมันตื่นเลย กลัวมึงบ่น” โฮซอกพูดขึ้น และเชื่อสิว่าประโยคมันมีความเป็นไปได้เท่ากับศูนย์นั่นทำให้มินยุนกิขมวดคิ้วมุ่น “กูมีแชทนะ ถ้ามึงกำลังด่ากูในใจว่ากูมั่ว”

     

                    เป็นอะไรกันไปหมดวะ ไอ้นัมจุนมันแค่อยากแกล้งกูเหอะ” ยุนกิพูด ก่อนจะนั่งลงกับเก้าอี้แรงๆเพื่อระบายความหงุดหงิด เขาไม่ใช่เด็กๆที่ต้องโดนทำโทษด้วยการให้เพื่อนร่วมทีมโทรปลุกนะ มันบ้าไปแล้ว “งั้นก็ฝากบอกเพื่อนมึงด้วยว่าไม่เอา กูตื่นเองได้”

     

                    โหยุนกิ นี่กูนะ จองโฮซอก กูรู้จักมึงมาทั้งชีวิต กูบอกมันไปละว่ามึงไม่เอาด้วยหรอก อะไรที่แม่งรบกวนคนอื่นมึงไม่เอา ขนาดฝากกูซื้อปากกาก่อนเข้าสอบมึงยังไม่กล้าเลย” โฮซอกพูด ก่อนจะยกมือขึ้นมากอดอก “ละแม่งก็ตอบว่า ไม่เป็นไร มันบอกว่าไม่รบกวนมันหรอก”

     

                    แค่นี้?”

     

                    เออ แล้วนั่นไรวะ”  โฮซอกถาม ในขณะที่เจ้าตัวกำลังละความสนใจไปที่ถุงขนมปังที่ขึ้นเป็นไอร้อนรอบๆ มินยุนกิเลิกลั่ก เขาไม่คิดว่าการพูดว่าคิมแทฮยองเป็นคนซื้อมาฝากและจุดประเด็นถึงแทฮยองอีกเป็นครั้งที่สองนั่นเป็นเรื่องที่ดี

     

                    เพื่อนซื้อมาฝาก คือ— มันบอกว่าทางผ่าน” ยุนกิพูด ก่อนจะหยิบถุงขนมปังนั่นเข้ากระเป๋าเป้ ภาวนาว่าโฮซอกจะไม่ถามอะไรประหลาดๆขึ้นมา

     

                    เพื่อนในชมรม?”

     

                    เออ กูมีเพื่อนเยอะที่ไหนอ่ะ”

     

                    เออ เพราะมึงมีเพื่อนไม่เยอะนี่ไงถึงได้สงสัย” โฮซอกพูดขึ้น พลางหันหน้ามาจ้องเขาตาเขม็ง และนั่นทำให้มินยุนกิโคตรรู้สึกประหม่ากว่าเดิม ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกสอบสวนเพียงเพราะว่าแทฮยองซื้อขนมปังมาฝากด้วยวะ “ไอ้แทหรอ?”

     

                    หา?” มินยุนกิร้อง ให้ตายสิ เขาคิดว่าโฮซอกน่าจะเกริ่นด้วยชื่อของนัมจุนเสียมากกว่าการพูดชื่อแทฮยองออกมาเป็นคนแรก และตลกร้ายคือมันถูกเผง “ทำไมคิดงั้น”

     

                    ช่วงนี้พวกมึงดูสนิทกัน” โฮซอกตอบ ดูพึงพอใจกับประโยคของเขา และเพราะว่าการเป็นเพื่อนกันมานานนี่แหละทำให้โฮซอกรู้ว่าเจ้าตัวคิดถูก “เอาจริงๆปะ เหมือนแทฮยองมันชอบมึงอ่ะ”

     

                    มึงเป็นบ้าหรอ” ยุนกิพูดก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น และนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากโฮซอกจนเจ้าตัวแทบสำลัก

     

                    มึงจะไม่บอกว่ากูบ้าหรอก ถ้ามึงรู้ว่าบ้านไอ้แทอยู่ทองหล่อ” “และไอ้ร้านขนมปังมึงนี่มันอยู่อนุเสาวรีย์ไงมินยุนกิ”

     

                    โฮซอกยิ้ม และนั่นกลายเป็นมินยุนกิเองที่ยิ้มไม่ออก

     

     

     

    3.

     

                    มินยุนกิเคยอ่านนิยาย เขาหมายถึง การ์ตูนที่เขาติดงอมแงมมีภาคนิยายออกมา และด้วยความเป็นทาสที่ภักดี นั่นทำให้ยุนกิกรีดกระเป๋าสตางค์ของตัวเองซื้อมาแม้ว่าเขาจะไม่สันทัดกับการอ่านนิยายเท่าไหร่นัก

     

                    และเพราะว่านั่นเป็นครั้งแรก เขาเลยสงสัยกับคำว่า ‘เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ในท้อง’ ของตัวเอก ให้ตายสิ ครั้งแรกที่เขาอ่าน เขารู้สึกหวาดกลัวด้วยซ้ำ ผีเสื้อไม่ใช่สัตว์ที่น่ากลัวก็จริง แต่การมีมันอยู่ในท้องมันไม่ใช่เรื่องประหลาดหรือไง ทำไมถึงใช้ประโยคนี้ในการเทียบเคียงกับความรักกันวะ

     

                    แต่ก็ช่างมันเถอะ มินยุนกิเองก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไมเขาถึงคิดถึงทฤษฎีบ้าบอในคาบพลศึกษาแบบนี้ ประโยคหวานหยดเยิ้มนั่นดูไม่เข้ากับเสียงลูกบาสที่กำลังกระทบพื้นตามประสาวัยรุ่นชายที่กำลังบ้าเลือด สาบานเถอะว่ามันจริง เขาสามารถใช้จอนจองกุกห้องหนึ่งเป็นกรณีศึกษาได้

     

                    คาบพละเป็นคาบเดียวที่ชั้นเรียนของเขาให้นักเรียนสองห้องเรียนพร้อมกันได้ นั่นอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับคุณครูผู้สอนกับหลายๆคนที่มีเพื่อนสนิทอยู่ต่างห้องอยู่มากโข ซึ่ง – ตอนแรกมินยุนกิก็ไม่เข้าใจหรอก จนได้รู้จักกับแทฮยอง และนั่นหมายความว่าเขาก็เริ่มจะรู้จักกลุ่มเพื่อนๆของแทฮยองที่มีนับสิบให้ทำความรู้จัก

     

                    กูพบความไม่เพอร์เฟ็คหนึ่งเดียวของไอ้นัมจุนละ” จู่ๆบุคคลข้างกายของเขา โฮซอกพูดขึ้นมาพลางพยักเพยิดใบหน้าไปทางขวา คิมนัมจุนที่กำลังตบตีกับลูกบาสที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวคงกำลังคุมแรงไม่อยู่ และนั่นทำให้ลูกบาสกระทบกับแป้นแทนที่จะลงห่วงไป

     

                    ไม่แย่หรอก มันตัวสูง ถ้าเล่นจริงมันคงเป็นพวกดั๊งค์ลูกอ่ะ ไม่มายืนชู้ตหรอก” ยุนกิพูด อันที่จริงการสอบชู้ตบาสเป็นการสอบของเมื่อสัปดาห์ก่อนและดูเหมือนว่าประธานนักเรียนจะทำมันไม่ดีเท่าไหร่นัก เจ้าตัวเลยต้องมายืนชู้ตบาสแทนที่จะฝึกวิ่งส่งลูกเป็นคู่ที่เป็นการสอบของสัปดาห์นี้

     

                    หรอๆ แล้วไอ้แทอ่ะ”

     

                    แทฮยองชู้ตแม่น ส่งลูกกับจองกุกก็ดี ไม่ชู้ตติ้งการ์ดก็พ้อยการ์ด” ยุนกิพูด พลางละความสนใจไปที่คิมแทฮยองที่กำลังฝึกวิ่งส่งลูกคู่กับจอนจองกุกห้องหนึ่งอยู่ตอนนี้ “มันตัวสูงด้วย กูเคยเห็นมันดั๊งค์ครั้งนึง”

     

                    นั่นนน มีความจดจำ” โฮซอกยิ้มล้อ และนั่นทำให้ยุนกิถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ

     

                    อันที่จริง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่โฮซอกทำท่าทีแบบนี้ มันเริ่มตั้งแต่ที่แทฮยองโทรปลุกเขาทุกเช้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่องอย่างที่เจ้าตัวว่า และนั่นก็ยาวนานมาถึงเดือนที่สามแล้วด้วย บทสนทนาในตอนเช้าของเราจึงไม่ได้มีเพียงแค่ ‘เช้าแล้วๆ ตื่นๆ’ แต่มักจะกลายเป็นคำถามเช่น ‘หายง่วงยัง’ ‘เช้านี้กินไร’ หรืออะไรเทือกนั้นแทน

     

                    และเชื่อสิ ความสม่ำเสมอนั่นทำให้มินยุนกิชินชาไปกับมันจนได้ เขาคุ้นเคยกับนิสัยประหลาดๆเฉกเช่นการโทรปลุกทุกเช้าของเจ้าตัวไปแล้ว และนั่นทำให้โฮซอกหยิบยกเรื่องนี้มาล้อมันทุกครั้งที่เขาเถียงว่าเขากับแทฮยองเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน

     

                    อันนี้กูไม่ได้ขี้ชิปเลยนะ แต่มึงไม่สงสัยหรอ” โฮซอกเกริ่นก่อนเข้าเรื่อง ให้ตายสิ มินยุนกิเกลียดตัวเองที่เริ่มชินชากับคำศัพท์แปลกๆที่มันยัดเยียดมาให้เขาแล้วล่ะ “ขนาดกูเป็นผู้ชายกูยังกล้าบอกได้เต็มปากเลยนะว่ามันหล่ออ่ะ”

     

                    แล้ว?”

     

                    ทำไมมันไม่มีแฟนเลยซักคนวะ”

     

                    ยุนกินิ่ง เขาละสายตาจากจองโฮซอกไปที่คิมแทฮยอง โฮซอกพูดไม่ผิด แทฮยองเป็นคนหน้าตาดี ให้ตายสิ เขาไม่รู้จะจำกัดความผู้ชายคนนี้ยังไง แต่มินยุนกิก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันที่นัมจุนบอกว่าแทฮยองไม่มีแม้แต่คนที่กำลังดูใจด้วย เขาหมายถึง – คนคุยหรืออะไรทำนองนั้น

     

                    กูไม่ใช่แทฮยองมั้ยวะ” ยุนกิตอบ แต่เขาเองก็มีทฤษฎีที่น่าจะมีเหตุผลพออยู่บ้าง “แต่ถ้าให้เดา มันคงมีความสุขกับชีวิตของมันตอนนี้อ่ะ”

     

                    แบบ ตื่นมาตอนเช้าก็คุยกับมึงเป็นคนแรก?” โฮซอกหัวเราะ และรีแอคชั่นของเขาก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขานิ่ง โฮซอกคงชินแล้วล่ะ “เออๆ โทษๆ กูไม่เข้าใจนี่ ความสุขอะไรวะ”

     

                    ก็ -- แซกโซโฟนคือชีวิตของมันอ่ะ” ยุนกิตอบ เขาค่อนข้างมั่นใจว่าแทฮยองน่าจะเรียนต่อทางด้านดนตรีแทนที่จะเบนสายไปทำอย่างอื่นเฉกเช่นเขา “คือ มันโคตรศิลปินอ่ะ กูไม่รู้จะอธิบายยังไง”

     

                    ช่างเหอะ กูขี้เกียจเข้าใจคนแบบแม่งจริงๆ” โฮซอกพูด ก่อนจะหันมาเอามือเขย่าเขาเมื่อเห็นว่าแทฮยองกำลังถือลูกบาสเดินมาทางนี้ ให้ตายสิ เขาหวังว่าแทฮยองจะรู้นะว่าเขากำลังขมวดคิ้วมุ่นเพราะโฮซอก ไม่ใช่หงุดหงิดเจ้าตัว “แทฮยองเดินมาหามึงอ่ะ”

     

                    โฮซอก มึงแม่ง” ยุนกิบ่น และดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะเข้าไปในโสตประสาทของบุคคลที่เดินมาใหม่พอดี แทฮยองเลิกคิ้ว ก่อนจะหยุดปลายเท้ามาอยู่ตรงหน้าเขา มือหนายกขึ้นมายีกลุ่มผมสีดำสนิทของเขาเบาๆ อย่างทุกครั้ง และนั่นทำให้มินยุนกิชะงักไม่ต่างจากครั้งแรกเลย

     

                    งอแงอะไรอ่ะยุนกิ” แทฮยองพูด และก็เป็นเขาอีกนั่นแหละที่สะบัดหัวให้มือของแทฮยองหลุดไปแทบทุกครั้ง เขาไม่ชินกับสายตาของคนอื่นที่กำลังจ้องมองด้วยความสนใจเลย และยังมีจองโฮซอกที่กำลังพร้อมจะเก็บข้อมูลมาล้อทุกสามวินาทีแบบนี้แล้วยิ่งแย่เข้าไปใหญ่

     

                    มันงอแงเพราะมึงอ่ะแทฮยอง” โฮซอกพูด ให้ตายสิ มันไม่สนใจสายตาอาฆาตของเขาเลยด้วยซ้ำ “ละมาทำไร ไม่ซ้อมหรอมึงอ่ะ”

     

                    นี่ไง กำลังซ้อม” แทฮยองยิ้มร่า พลางยื่นลูกบาสให้เขา และด้วยสัญชาติญาณนั่นทำให้เขารับลูกบาสสีอิฐมาด้วยความงุนงง “ปะยุนกิ ไปซ้อมกัน”

     

                    เดี๋ยวๆครับพี่น้อง นั่นคู่กูไหมวะ” โฮซอกโวยวาย และเชื่อเถอะว่าการกระทำปุบปับของแทฮยองนั่นทำให้เขาตามเกมส์ไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็โดนแทฮยองคว้าข้อมือให้ลุกออกจากอัฒจรรย์จนได้ “คู่มึงนู่น ไอ้จองกุก กูเห็นนะ มึงซ้อมแล้ว มึงจะมาแย่งเพื่อนกูแบบนี้ไม่ได้!”

     

                    ไอ้กุกมันไม่สอบแล้ว ครูให้เกรดสี่แม่งตั้งแต่เห็นหน้าละ เผื่อมึงไม่รู้ ส่วนไอ้นัมจุนก็นู่น ยังสอบชู้ตไม่ผ่าน” แทฮยองหัวเราะ เขารู้สึกว่ามือหนาๆนั่นกุมข้อมือเขาแน่นขึ้นกว่าเก่า “ยืมเพื่อนมึงหน่อย เดี๋ยวเอามาคืนนะ”

     

                    ให้ตายสิ เขารู้สึกว่าหยาดเหงื่อกำลังเกาะกุมฝ่ามือของตัวเองด้วยความประหม่า

                    เหมือนมีผีเสื้อบินวนอยู่ที่ท้องเลยว่ะ

     

     

    4.

     

                    เขาว่ากันว่า ถ้าหากเรากำลังมองไปในกลุ่มคนที่หนาแน่น แต่เรากลับมองเห็นเขาเป็นคนแรก

                    นั่นคือวิธีง่ายๆ ที่ใช้เช็คกันว่า เรากำลังตกหลุมรักเขาหรือเปล่า

     

                    เหรอ?

                    มันดูเป็นเรื่องที่น่าเชื่อถือนะ แต่มินยุนกิคิดว่า มันอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ถ้าโฮซอกไปยืนอยู่กลางทัวร์จีน เขาก็ต้องมองเห็นมันเป็นคนแรกถูกไหม และเขาก็ไม่ได้ชอบมันแบบนั้นด้วย เพราะอย่างนั้น เขาสามารถใช้สถานการณ์นี้ในการโต้แย้งได้

                    ก็บ้า

     

                    ยุนกิๆๆ”

                    เป็นแทฮยองที่โบกมือเรียกเขาเพิ่งจะเลิกเรียนคาบที่สี่เมื่อสามนาทีก่อน -- ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เขา มินยุนกิ มนุษย์ที่จองโฮซอกเคยขบคิดอย่างจริงจังว่าเขาจะต้องแลกเฟรนด์ชิฟให้โฮซอกกับนัมจุนเขียนแค่สองคนจากทั้งเล่ม ตอนนี้มีเพื่อนนับสิบเพียงเพราะการได้รู้จักกับแทฮยองจากการบังเอิญลงเรียนคอร์สเลขที่เดียวกัน และนั่นเป็นเวลากว่าหกเดือนได้แล้ว

     

                    นึกว่าจะเดินผ่านไปละ” แทฮยองพูด และนั่นทำให้มินยุนกิยิ้มแห้ง ให้ตายสิ เขาจะกล้าบอกได้ยังไงว่าเขาเห็นแทฮยองเป็นคนแรกท่ามกลางคนมากมายในโรงอาหารในเวลานี้เลยด้วยซ้ำ

     

                    อ่ะเอาเลย คิดซะว่ากูไม่อยู่ตรงนี้เลยก็ได้” โฮซอกพูดขึ้น และนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนที่มีมากที่สุดในชีวีตที่มินยุนกิเคยมีมาจนได้ สิ่งที่แย่คือการที่เขารู้สึกประหม่าทุกครั้งเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหกเดือนกว่าแล้ว “ไอ้นี่ก็เอาแต่เขิน”

     

                    เขินพ่อง” เขาตอบกลับในทันควัน ให้ตายสิ เขาเกลียดเสียงหัวเราะของจองโฮซอกที่ตลกกับคำพูดของเขาโคตรๆ เขากำลังจริงจังนะ “ลุกดิวะ ไปซื้อข้าว”

     

                    ของยุนกิไอ้แทซื้อเผื่อละ” จองกุกพูดขึ้น พลางขยับจานข้าวมันไก่พร้อมกับวางขวดน้ำเย็นมาวางไว้ตรงหน้าเขา “ข้าวพร้อม น้ำพร้อม หลอดพร้อม นี่เพื่อนหรือพ่อ”

     

                    มึงมั่นใจว่าเพื่อน?” มินกยูห้องหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะพยักเพยิดหน้าไปทางคิมแทฮยองที่กำลังหัวเราะกับประโยคของเจ้าตัว ก่อนที่แทฮยองจะมอบนิ้วกลางให้เป็นของขวัญ

     

                    ดูดิยุนกิ ความสองมาตรฐานของไอ้แทมัน” มินกยูเบะปากก่อนจะหันหน้ามาทางเขาราวกับต้องการจะฟ้อง “กูรู้จักมันครั้งแรกตอนม.สี่ มันด่ากูว่าไอ้เวรครั้งแรกหลังจากที่เรารู้จักกันสามวัน”

                  

                    และกับยุนกิที่โทรปลุกกันทุกเช้า..”

     

                    ตอนนี้กูมึงใส่กันยัง ถามจริง”

     

                    เสือก” และนั่นก็ยังเป็นแทฮยองที่ตอบคำถามพวกนั้น การกระทำของของเขามันช่างไร้ค่าเพราะรอยยิ้มของแทฮยองอาจจะเป็นเหตุผลที่กลุ่มเพื่อนของเจ้าตัวไม่หยุดล้อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแทฮยองซักที

     

                    มินยุนกิก้มหน้างุด เขาเลือกที่จะทานข้าวไปเงียบๆแทนที่จะเข้าร่วมบทสนทนาที่จะทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ติดอ่างไปเสียดื้อๆ เขาไม่ได้บอกว่าเพื่อนของแทฮยองแย่หรอกนะ ทุกคนนิสัยดีเพียงแต่เขาไม่ชอบที่แต่ละคนพยายามโยงทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาเข้ากับคิมแทฮยอง และนั่นก็ทำให้เขากลายร่างเป็นใครซักคนที่ไม่ใช่มินยุนกิ

     

                    ตึ๋ง!

     

    โอเคไหม?’
    ถ้ามันมากไป บอกเราได้นะ เดี๋ยวเราบอกพวกมันเอง แม่งก็ปากหมางี้แหละ’

     

                เสียงแจ้งเตือนของแอพลิเคชั่นไลน์ดังขึ้นพร้อมกับหน้าพรีวิวแชทจากบุคคลใกล้ตัวที่ควรจะอยู่ร่วมบทสนทนากับกลุ่มเพื่อนสนิททำให้เขาชะงัก และนั่นทำให้เขาเงยหน้ามองคิมแทฮยองที่กำลังฉีกยิ้มให้เขาอยู่พอดีโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ

     

                    ให้ตายสิ

                    เขาลืมไป ว่าไม่ได้มีแค่กลุ่มเพื่อนของแทฮยองที่ทำให้เขากลายเป็นใครซักคนที่ไม่ใช่มินยุนกิ

     

                                    อ๋อ ช่างมันเถอะ’
                                    โฮซอกมันพูดทุกวันอ่ะ เราชินละ’

     

                    ใครมันชินวะ ถามจริง มินยุนกิสาบานได้เลยว่าเขาโกหก และดูเหมือนว่าแทฮยองจะเข้าใจ เจ้าตัวหลุดขำออกมากับข้อความล่าสุดที่เขาส่งไป ก่อนที่ร่างสูงจะรัวแป้นพิมพ์ตอบกลับมา

     

    อันที่จริง เรามีเรื่องจะบอก’

     

                    มินยุนกิเลิกคิ้ว เขาสาบานได้เลยว่าครั้งแรกที่เขาเคยได้รับข้อความแบบนี้นั่นคือตอนที่โฮซอกกำลังทะเลาะกับแม่ ครั้งที่สองคือการที่โฮซอกกำลังสารภาพว่าเผลอลบไฟล์งานกลุ่มของเราทิ้ง ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่มินยุนกิไม่คิดว่าแทฮยองจะสามารถพิมพ์มันออกมาในทีท่าสบายๆแบบนี้ได้

     

                                    จริงจังมากไหม?’

     

    ก็’
    นิดนึง’
    แต่อาจจะไม่มาก’
    ไม่รู้ดิ’
    ช่วยเราหน่อยได้ปะ เราพึ่งใครไม่ได้เลยเนี่ย นอกจากยุนกิอ่ะ’

                  

                    รอยยิ้มของแทฮยองที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าทำให้มินยุนกิกลายเป็นใครซักคนที่ไม่ใช่ตนเองอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าควรจะทำหน้าตายังไงกับข้อความของแทฮยอง และสิ่งที่เขาเลือกจะทำคือการแสดงความมีน้ำใจตามประสากัลยาณมิตรที่พึงมีออกไป

                                  

                                    ได้ดิ ทำไมจะไม่ได้อ่ะ 5555555’

     

     

                    และนั่นทำให้เขารู้ว่า นั่นเป็นทางเลือกที่ตลกสัดที่สุดในชีวิต

     

     

    ‘5555555555 ยุนกิแม่งน่ารักจังวะ’
    อย่าล้อเรานะ’
    คือเรากำลังจีบจีมินห้องยุนกิอยู่ว่ะ’

     

     

    5.

     

                 อย่างที่บอก ยุนกิไม่ได้สัมผัสคำว่าความรักมากนัก

                    อันที่จริง มันเรียกว่าความเข้าใจผิดจะถูกต้องกว่า เขากลายเป็นมินยุนกิธรรมดาๆ นักเรียนวงดุริยางค์ ที่มีเพื่อนสนิทรองจากจองโฮซอกเป็นคิมแทฮยองที่โทรปลุกทุกเช้า ฝากขนมปังเจ้าโปรดมาให้พร้อมบอกว่าเป็นทางผ่าน

                    และล่าสุด เขากลายเป็นที่ปรึกษาไปแล้ว

     

                    นั่นไง มินยุนกิบอกแล้วว่ามันตลกสัด

     

                    ด้วยความสัตย์จริง เขาไม่คิดหรอกว่าการที่แทฮยองทำดีกับเขามาตลอดหกเดือนเพียงแค่ต้องการเขาเป็นทางผ่านเพื่อต้องการจะจีบจีมิน อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนคนเดียวที่แทฮยองสามารถเล่าเรื่องราวต่างๆได้แทบทุกเรื่องเพียงเพราะว่าเราต่างมีเส้นกั้นบางอย่างกั้นไว้ เขารู้สึกได้อย่างนั้น และนั่นทำให้แทฮยองยัดเยียดบทบาทที่เขาเกลียดที่สุด และตลกร้ายที่เขาไม่สามารถปฏิเสธมันออกไปได้เลย เพียงเพราะเขาชอบแทฮยอง

     

                    ใช่ มินยุนกิชอบแทฮยอง

                    ชอบจนแทบบ้า

     

                    และนั่นเป็นสิ่งที่วนอยู่ในความคิดของเขาทุกวันนี้ เขานึกอิจฉาแทฮยองทุกครั้งที่เจ้าตัวเล่าเรื่องต่างๆที่ทำพลาดไปกับจีมินให้เขาฟัง ทั้งสิ่งดูเหมือนจะดี และสิ่งที่ดูเหมือนจะแย่ แทฮยองเล่าให้เขาฟังได้ทุกเรื่อง

     

                    แต่เขาเล่าให้ใครฟังไม่ได้เลย

     

                    เชื่อสิ ทุกวันนี้โฮซอกยังล้อเขากับแทฮยองอยู่เลย แทฮยองยังทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง โทรปลุก ซื้อขนมปัง ซื้อน้ำ ซื้อข้าว ทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงแต่แทฮยองด้นดั้นให้มินยุนกิสนิทกับเจ้าตัวไปอีกขั้น ขั้นที่สามารถเล่าทุกเรื่องให้ฟังได้นั่นแหละ

     

                    เขาอยากจะบอกให้แทฮยองรู้ว่า เขาชอบแทฮยองจนไม่สามารถฟังได้อีกแล้วว่าจีมินใกล้จะใจอ่อนหรือยังเลยด้วยซ้ำ

     

    6.

     

                    มินยุนกิสอบติดคณะสถาปัตกรรมศาสตร์ตามที่หวังไว้

     

                    มินยุนกิยังคงสนิทกับจองโฮซอกอยู่ เพียงแต่เจ้าตัวเรียนคณะมนุษย์ที่คณะห่างกันเป็นวา และนั่นบีบบังคับให้เขารู้จักเพื่อนใหม่ รู้จักสังคมใหม่ๆ

     

                    และถ้าเกิดจะไม่พูดถึงคิมแทฮยองเลยก็ไม่ได้

     

                    อันที่จริง แทฮยองแทบจะเป็นจุดใหญ่ๆที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาในตอนนั้นเลยก็ว่าได้

     

                    แทฮยองเลิกโทรปลุกเขาทุกเช้าหลังจากที่จีมินใจอ่อน อันที่จริง มันเป็นความคิดของเขาเองนั่นแหละที่บอกให้แทฮยองเลิกโทรปลุกเขา มินยุนกิไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องลำบากนักหรอกที่ต้องแหกตาตื่นเองด้วยระบบปฏิบัติการของโทรศัพท์ เขาสามารถตั้งให้เสียงปลุกดังกว่าน้ำเสียงทุ้มๆของแทฮยองได้เป็นร้อยเท่า

     

                    แทฮยองเลิกซื้อขนมปังมาฝากเขาเพราะเจ้าตัวต้องไปรับจีมินทุกเช้า และใช่ มินยุนกิไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องเสียหายตรงไหนที่เขาจะแวะซื้อขนมปังนั่นด้วยตัวเอง เพียงแค่ต้องตื่นเช้าขึ้นก็เท่านั้น

     

                    ยุนกิเลิกไปนั่งร่วมโต๊ะกับแทฮยอง เพียงเพราะว่าจีมินเข้ามานั่งแทน -- เขาสาบานได้เลยว่าทุกคนคงไม่ได้ตั้งใจให้จีมินมานั่งแทนที่เขาหรอก เพียงแค่มินยุนกิในตอนนั้นสะเออะไปนั่งตรงข้ามคิมแทฮยองก็เท่านั้นเอง และการซื้อน้ำซื้อข้าวเองก็ไม่ได้ทำให้ขนหน้าแข้งเขาร่วงหรอก เพียงแค่เขาจะอดทานข้าวมันไก่ในวันที่อาจารย์ปล่อยช้าก็เท่านั้น

                  

                    เวลาผ่านไป มินยุนกิรู้ตัวเองดี นิสัยเขาเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน เขาคุยกับผู้คนมากขึ้น เขารู้จักเข้าสังคมมากขึ้น

     

                    แต่แทฮยองก็ยังเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากสำหรับเขาเสมอ ไม่ว่าจะตอนไหนก็ตาม

                    ไม่ใช่ว่าเขาชอบใจหรอกนะ

                    มินยุนกิก็เป็นคน เขาไม่ได้มีความสุขเลยซักนิด เขาเองก็ชอบแทฮยองไม่แพ้กัน

                    แต่ทำยังไงได้ล่ะ

     

                    ในทุกครั้งที่เรากล่าวถึงชีวิตวัยมัธยมปลายที่น่ารำคาญนั่น แทฮยองเป็นสิ่งแรกที่เขาคิดถึงเสมอ

     

     

     

     

    (yoongi’s side ended)



    talk
    ทุบ แบบนี้มันต้องทุบบบบบบบบบบ
    มาลงในเด็กดีเพราะอยากเขียนต่อค่ะ หัวใจชิปเป้ออย่างเรา ไม่สามารถเข็นฟิคคู่ชิปให้จบแบดเอนด์ไม่ได้ (เหรอ)
    5555555555555555555 อันที่จริง เรียกว่าอยากเขียนให้จบโดยไม่รู้สึกค้างคามากกว่า
    เพราะงั้น... ต่อค่ะ หยั่งงี้มันต้องมีต่อชั่ยมะ!

    next : taehyung's side


    hashtag #วิธีเอาตัวรอดของมินยุนกิ
    twt @sugayeaplease


    ขอบคุณค่ะ <3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×