ตอนที่ 8 : บทที่ 8
แม้ในวัยเด็กซือน่งจะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง แต่หลายครั้งที่ติดตามหวางเอี๋ยนซูไปที่ค่ายทหาร หญิงสาวคุ้นเคยกับสายตาชนิดนี้เป็นอย่างดี เป็นสายตาของพวกทหารที่มองมาที่ตนด้วยความปรารถนาและหื่นกระหาย ซือน่งจึงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นสายตาเช่นนี้ของผู้เป็นนาย หญิงสาวมองกลับไปที่ร่างของซูยีที่ตอนนี้เปรียบเสมือนตุ๊กตากระเบื้องที่แตกหักไม่สมบูรณ์ ‘ทำไมฝ่าบาทจึงมองแม่ทัพซูด้วยสายตาที่แสดงความปรารถนาเยี่ยงนี้ ทั้งที่ก่อนหน้าก็ไม่ทรงโปรดคู่นอนที่เป็นบุรุษ บางทีข้าอาจจะมองผิดไป’ ซือน่งไม่เข้าใจว่าทำไมหวางเอี๋ยนซูจึงมีความปรารถนาในตัวของบุรุษเลือดร้อนเฉกเช่นซูยี อีกทั้งเรือนร่างที่เปื้อนเปรอะไปด้วยเลือดจะกระตุ้นความต้องการได้เช่นไรกัน
หวางเอี๋ยนซูพยายามควบคุมอารมณ์ของตน แต่เมื่อซูยีลืมตาขึ้น นัยน์ตาทั้งสองคู่สบกัน ความรู้สึกที่พยายามกดทับอยู่แทบปะทุขึ้นมาในทันที ความเกลียดชังและความปรารถนาที่พวยพุ่งขึ้นทำให้องค์จักรพรรดิ์หนุ่มต้องการจะพุ่งเข้าไปในห้องขัง แล้วกระทำหยาบช้าจาบจ้วงย่ำยีร่างของคนผู้นั้นดูว่าจะยังดื้อดึงไปถึงเมื่อใด หวางเอี๋ยนซูกำหมัดแน่นเพื่อระงับความปรารถนาของตน ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับพร้อมออกคำสั่งกับสาวใช้ “พวกเรากลับ” ทิ้งให้ซูยีมองตามด้วยความประหลาดใจ
หวางเอี๋ยนซูไม่ได้ชมชอบคู่นอนที่เป็นชาย แม้ว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างบุรุษด้วยกันจะเป็นที่นิยมทั้งในแคว้นฉี และจินเหลียว ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่นิยมชมชอบ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ที่เห็นร่างที่ถูกทรมานของซูยีแล้วกลับกระตุ้นความต้องการทางเพศสร้างความตระหนกและขัดเคืองอยู่ไม่ใช่น้อย องค์จักรพรรดิ์หนุ่มพยายามคิดไปอีกทางว่าที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากเขามัวแต่ยุ่งในกิจการบ้านเมืองจนไม่ได้หาความสุขจากเหล่าบรรดาสนม ดังนั้นเมื่อกลับสู่วังหลวง พระองค์จึงเสด็จไปที่เรือนของพระสนมหยินที่ทรงเป็นที่โปรดปรานที่สุด
พระสนมหยินและนางกำนัลกำลังเล่นหมากรุกอยู่ เมื่อองค์จักรพรรดิ์เสด็จมาถึง หญิงสาวรีบลุกขึ้นรับเสด็จและขออนุญาตไปอาบน้ำแต่งกายให้สวยงาม แต่หวางเอี๋ยนซูกลับรั้งนางไว้ พระสนมหยินเป็นพระสนมที่องค์จักรพรรดิ์ทรงโปรดปรานมากที่สุด และด้วยไหวพริบที่มีเมื่อเห็นนัยน์ตาที่แสดงถึงความต้องการของอีกฝ่าย หญิงสาวจึงไล่เหล่านางกำนัลออกไป ก่อนจะชักชวนสนทนาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานและพาองค์จักรพรรดิ์เดินไปที่ห้องนอนในเรือนพัก
โดยปกติแล้ว พระสนมหยินจะสร้างความพึงพอใจให้กับหวางเอี๋ยนซู แต่ดูเหมือนวันนี้จะแตกต่างออกไป แม้จะมองใบหน้างดงามและรอยยิ้มพิมพ์ใจของนาง ใบหน้าของซูยีกลับมาซ้อนทับแทนที่ ทั้งที่ใบหน้าของคนผู้นั้นไม่งดงามยั่วยวนเช่นคนตรงหน้า แต่มักจะเต็มไปด้วยความเย็นชาและหยิ่งผยอง อีกทั้งริมฝีปากที่มักจะปิดเม้มสนิท ทั้งความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานก็ไม่อาจเปิดริมฝีปากนั้นได้ ความดื้อดึงเช่นนี้ทำให้รู้สึกเกลียดชังและเห็นอกเห็นใจไปพร้อม ๆ กัน
ชายหนุ่มจมอยู่ในภวังค์ความคิดจนไม่รู้ว่าพระสนมหยินได้ถอดเสื้อคลุมของเขาออกไปแล้ว ส่วนหญิงสาวนั้นตอนนี้เหลือเพียงชุดชั้นในสีแดงสดตัดกับผิวที่ขาวผ่องราวกับหิมะซึ่งยั่วให้ผู้พบเห็นต้องร่ำร้องต้องการ พระสนมหยินโปรยยิ้มหว่านเสน่ห์แล้วกล่าว “ช่วงนี้ฝ่าบาทมีภารกิจมากมาย หม่อมฉันคิดถึงฝ่าบาทเหลือเกิน” เมื่อกล่าวจบ หญิงสาวเอนกายเข้ากอดแขนด้วยกิริยายั่วยวน
หวางเอี๋ยนซูในเวลานี้ไม่ได้รู้สึกถึงความปรารถนาในตัวของพระสนมหยินแต่อย่างใด ยิ่งได้ฟังคำพูดอ่อนหวานก็ยิ่งนึกไปถึงบุคคลผู้หนึ่งที่เขาต้องการให้มาสยบอยู่แทบเท้า ทั้งที่พระสนมหยินเสนอร่างกายตนเองเพื่อให้เขาพึงพอใจแต่สิ่งที่เขาจะพอใจที่สุดในตอนนี้ก็คือการชนะใจคนผู้นั้นเท่านั้น เขาดันร่างอีกฝ่ายออกห่างตัวด้วยท่าทีเย็นชาแล้วสวมเสื้อคลุมกลับ เมื่อเห็นนัยน์ตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตะลึงจึงกล่าวอย่างปลอบโยน “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีภารกิจสำคัญ รักษาตัวด้วย เจ้าออกไปเล่นหมากรุกต่อเถิด ข้าเห็นว่าเจ้าสนใจกำไลหยก คืนนี้จะให้เสี่ยวชุนจื่อนำมามอบให้เจ้า” เมื่อกล่าวจบชายหนุ่มก็เดินจากไป ปล่อยพระสนมหยินที่ยิ้มกว้างอย่างชื่นบานกล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก
****
ซือน่งคิดว่าผู้เป็นนายเมื่อไปที่เรือนพระสนมคงจะอยู่ที่นั่นครึ่งค่อนวัน หญิงสาวจึงเดินไปหาซือหนานเพื่อพูดคุยสนทนา เมื่อหวางเอี๋ยนซูกลับมาไม่พบสาวใช้คนสนิทจึงเรียกใช้ซือหลิวแทน “เจ้าไปที่คุกนักโทษประหารแล้วนำซูยีมาที่นี่ ข้าต้องการสอบถามมันเป็นการส่วนตัว”
ซือหลิวรู้สึกประหลาดใจที่องค์จักรพรรดิ์จะสืบสวนผู้ที่เป็นศัตรูด้วยพระองค์เอง แต่ก็ไม่กล้ากล่าววาจาใดออกมา โดยเฉพาะเมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของผู้เป็นนาย หญิงสาวรีบเดินไปที่คุกนักโทษประหารและให้ผู้คุมนำซูยีมาส่งให้ที่วังหลวง หวางเอี๋ยนซูมีคำสั่งให้ทุกคนออกไป ซือหลิวรีบเอ่ยปากทัดทาน “ฝ่าบาท นี่ไม่นับเป็นเรื่องดี ซูยีมีวรยุทธ์สูงส่ง ถ้าเขาทำร้ายพระองค์...”
ก่อนที่หญิงรับใช้จะพูดจบประโยค หวางเอี๋ยนซูตะคอกใส่ “เขามีวรยุทธ์สูงขนาดไหนข้ารู้ดี ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว กล้าขัดคำสั่งของข้าเชียวหรือ?”
ซือหลิวรู้ดีว่าไม่อาจทัดทานอะไรได้จึงล่าถอยออกไป หญิงสาวรีบตามหาซือน่ง และซือหนาน “พวกเจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่ ไม่คอยเฝ้ารับใช้ฝ่าบาท”
ซือน่งหัวเราะคิกคัก “ฝ่าบาททรงกำลังสำราญพระราชหฤหัยอยู่ พวกเราไม่จำเป็นต้องอยู่รับใช้ เพราะตอนนี้พระองค์อยู่กับพระสนมหยิน”
ซือหลิวทำสีหน้าประหลาดใจแล้วกล่าว “เจ้าพูดเล่นเรื่องใดกัน ฝ่าบาทไม่ได้อยู่กับพระสนม พระองค์เพิ่งให้ข้าไปตามแม่ทัพซูเข้าพบที่วังหลวงบอกว่าจะสืบสวนเขาเป็นการส่วนตัว แม้แต่ข้าก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ด้วย” เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ ซือหลิวก็เห็นซือน่งทำตาเบิกกว้าง ส่วนซือหนานที่สงบเสงี่ยมที่สุดยังคงทำหน้าคล้ายตกตะลึง “ซือน่ง เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าฝ่าบาทคิดจะทำอะไร รีบบอกมา”
ซือน่งมีสีหน้าร้อนรน “ไม่ต้องกล่าวอะไรแล้วตอนนี้ พวกเราต้องรีบไปแล้ว” หญิงสาวรีบผุดลุกขึ้น ซือหนานกับซือหลิวมองหน้ากันแล้วเตรียมจะลุกขึ้นเดินตาม แต่ซือน่งก็พลันนั่งแปะลงที่เก้าอี้ตามเดิมพร้อมร้องคร่ำครวญ “พวกเราไปแล้วจะช่วยเหลืออะไรได้ แม่ทัพซูช่างน่าเวทนานัก ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นอะไรขึ้นมา เมื่อก่อนก็ไม่เคยเป็นแบบนี้”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

กรี๊ดดดด ตายแล้วววว หวางเอี๋ยนซูช่างน่ากลัว ชอบอะไรพยศๆหรอคะ รสนิยมร้ายกาจ แต่เลิกทำร้ายน้องได้แล้ว!
เป็นบ้าไง ทำไปได้ แม่ทัพไม่ได้ทำอะไรผิดจ่ะ เขาแค่ปกป้องบ้านเมืองเขา