เรื่อง soap opera(เจไอซ์)
“เออ...ให้มันได้อย่างนี้สิโว้ย” เสียงแหบเครือด้วยวัยชราไม่ใช่อุปสรรคในการแผดเสียงแม้แต่น้อย “นี่ไง...กูว่าแล้ว อีนี่มันตอแหล ตบมันเลย”
พาริสหรี่ตามองแผ่นหลังงองุ้มที่กำลังเหวี่ยงมือขึ้นเหนือศีรษะด้วยอาการสะใจอย่างประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังบ่นปวดหลังปวดเอวอยู่เลย
“ยาย ละครเรื่องนี้มันฉายซ้ำมากี่รอบแล้ว”
ใบหน้าเหี่ยวย่นหันกลับมามองหลานชายแล้วค้อนประหลับประเหลือก “กี่รอบก็ช่างกู”
“พล๊อตก็เดิม ๆ ยังจะมีอารมณ์ร่วมกับเขาได้ทุกรอบ” เด็กหนุ่มพูดงึมงำกับตัวเอง “เมื่อไหร่ละครไทยจะหลุดไปจากวังวนนางเอกยากจนที่ตอนหลังพิสูจน์ตัวได้ว่าเป็นทายาทอัครมหาเศรษฐี”
“ไอซ์โว้ย” เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากเบื้องนอก เขามองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะผลุนผลันลุกออกจากเก้าอี้
“ยาย ฝากบอกแม่ด้วยว่า คืนนี้ไอซ์กลับดึกนะ”
ใบหน้าเหี่ยวย่นหันไปมองหลานชาย แววกังวลปรากฏอยู่ลาง ๆ “ไปกับพวกไอ้เจษฎ์ใช่ไหม?”
พาริสชะงัก ก่อนจะเดินเข้าไปกอดทางด้านหลังของผู้สูงวัย “จ้ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ไอซ์ไม่ทำเรื่องไม่ดีหรอก”
“กูรู้อยู่แล้วว่ามึงไม่ทำหรอก แต่ระวังพวกมันก็แล้วกัน มีแต่พวกเหลือขอทั้งนั้น”
คำพูดของยายนั้นไม่ได้เกินจริงไปสักเท่าใดนักหรอกที่บอกว่าพวกเขานั้นส่วนใหญ่เป็นพวกเหลือขอ เพราะในชุมชนแออัดเล็ก ๆ แบบนี้จะมองหาอนาคตอันสดใสได้ที่ไหนกัน แค่พวกเขาเรียนจบการศึกษาภาคบังคับนอกระบบโรงเรียนนี่ก็บุญโขแล้ว วันนี้เป็นวันฉลองการสำเร็จการศึกษาแบบไม่เป็นทางการของกลุ่มเด็กในชุมชน หากพาริสรู้ว่าคืนนี้จะต้องจบอย่างไร เขาคงขอตัวกลับบ้านไปหลังจากที่จบการรับประทานอาหารร่วมกันในร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่เพราะเพื่อนส่วนหนึ่งลงความเห็นว่าจะไปสนุกสนานต่อในสถานบันเทิง ทำให้เขาเกิดความลังเล
“ไปด้วยกันเหอะ ร้านนี้กูมีคนรู้จัก เขาลดราคาให้เป็นพิเศษ” คนที่ชวนอย่างแข็งขันกลับเป็นเจษฎา คนที่เขม่นกันมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็ตาม พาริสคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจึงอาจจะไม่ติดใจเรื่องความขัดแย้งที่เคยมีมาในอดีต
แต่บางครั้งเขาก็ไว้ใจคนจนเกินไป จนไม่คิดว่าบางคนนั้นร้ายจนคาดไม่ถึง
“เห็นมึงชวนมันยิก ๆ กูนึกว่ามึงจะไม่เผาผีกับมันเสียอีก นี่ดีกับมันแล้วใช่ป่ะ?” ชายร่างเตี้ยพูดตะโกนแข่งกับเสียงเพลงของสถานบันเทิงขณะปรายตามองคนที่ถูกพูดถึงบนโซฟาตัวแคบ
“กูควรจะดีกับมันหรือไงไอ้ติว” สายตาของคนที่พูดนั้นแสดงอาการไม่ยินดียินร้าย ก่อนที่สีหน้าจะเข้มขึ้นด้วยโทสะที่อัดแน่น “มึงคิดว่าคนที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ตำรวจจนพี่กูต้องติดคุกข้อหาค้ายาเสพติด กับคนที่ทำให้มายต้องเลิกกับกูนี่ กูจะเอามันไว้หรือไง”
ชายร่างเตี้ยหรือไอ้ติวขมวดคิ้ว “หมายความว่าไงวะ?”
“เดี๋ยวมึงคอยดู ไอ้คนที่คิดว่ามันเป็นคนดีศรีสังคม หรือมือที่สามอย่างมัน รับรองว่าจะต้องได้รับบทเรียนที่เจ็บไปจนตายเลยมึง”
“กูว่ามึงกำลังเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ที่พี่แจ๊คติดคุกเพราะนายใหญ่เขาพลาดเอง ไอ้ไอซ์มันก็แค่ผิดตรงที่ไม่บอกพวกเราตอนที่ตำรวจเข้ามา ส่วนที่มายเลิกกับมึงเกี่ยวกับมันที่ไหนกัน เห็นไหมว่าพอมึงเลิกกัน มันก็ไม่ได้คบกับมายสักหน่อย”
“แต่มันเป็นต้นเหตุทุกอย่าง ถ้ามันพูดเรื่องตำรวจกับเราก่อน พี่แจ๊คก็หนีทัน แล้วที่สำคัญมันเป็นชนวนที่ทำให้มายบอกเลิกกับกู” ชายหนุ่มพูดอย่างเจ็บใจ ก่อนจะลุกขึ้นไปดึงแขนคนที่กำลังหลับไหลด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ พร้อมกับพยักหน้าเรียกเพื่อน “มาช่วยกูดึงมันขึ้นหน่อย”
“มึงจะทำอะไรวะ?”
ไม่มีคำตอบ แต่ความพยายามดึงร่างสูงโปร่งนั้นเป็นไปด้วยความสะดวกเมื่อมีคนประคองถึงสองคน ทั้งสามคนมายืนอยู่บนฟุตบาทหน้าสถานบันเทิง ตลอดแนวถนนนั้นพบว่าเป็นอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นด้านมืดของมนุษย์ ภาพรถยนต์ที่ชะลอจอดและพูดคุยต่อรองราคากับคนที่ยืนอยู่ริมฟุตบาทในเงามืด แม้จะไม่ประเจิดประเจ้อแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ปกปิดกัน
“มึงอย่าทำอะไรบ้า ๆ นา ไอ้ไอซ์มันก็เพื่อนเรานะ” ชายร่างเตี้ยอ้าปากค้างเมื่อรถยนต์คันหนึ่งจอดเทียบฟุตบาทข้างตัว
*****
“ร้านไหนกันแน่วะ นี่มาถึงแถวนี้แล้ว แต่งร้านเหมือน ๆ กันทั้งแถบแบบนี้จะรู้ไหมว่าร้านไหน” เจ้าของรถยนต์คันหรูที่คุยกับปลายสายโทรศัพท์ชะลอความเร็วของยานพาหนะให้จอดรถอยู่หน้าร้านสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ก่อนจะมองภาพชายหนุ่มสามคนที่ยืนคุยกับคนในรถยนต์คันข้างหน้าด้วยความสงสัย เขาไม่ได้ยินหรอกว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าใดนัก
“ทั้งสามคนเลยไม่ได้หรือน้อง พี่ชอบแบบหมู่” เสียงสั่นพร่าดังมาจากที่นั่งคนขับ
“ไม่ตกลงโว้ย ไอ้วิปริต” ชายหนุ่มร่างเตี้ยด่าเจ้าของรถ ก่อนจะหันไปทางเพื่อน “ไปเหอะมึง พวกนี้มีแต่คนหื่น ๆ ทั้งนั้น ถ้ามึงทำแบบนี้กับมันก็เหี้ยแล้ว ปล่อยมันไปเหอะ”
ชายหนุ่มผู้มีโทสะจริตอยู่กับตัวไม่สนใจคำทัดทานจากเพื่อน เดินตรงไปยังรถยนต์อีกคันที่จอดต่อท้ายอยู่
กฤษณภูมิสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะกระจก เขาเห็นเป็นหนี่งในสามคนที่ยืนอยู่บนฟุตบาท ท่าทางการแต่งตัวเหมือนพวกวัยรุ่นเที่ยวกลางคืนทั่วไป แต่เพื่อความไม่ประมาทจึงลดกระจกลงแค่พอให้ได้ยินเสียง
“พี่...ผมมีของมาเสนอ”
เจ้าของรถยนต์คันงามขมวดคิ้ว “ว่าไงนะ?”
“ไอ้นั่นน่ะ คนตัวสูง ๆ คนนั้นพี่สนใจไหม?” เหมือนเกรงอีกฝ่ายจะเห็นไม่ชัด เจ้าตัวจึงเดินกลับไปลากตัวคนที่พูดถึงมาให้ดูใกล้ ๆ
ชายหนุ่มเขม้นมองคนที่ประคองตัวให้ยืนอยู่ได้เพราะแรงพยุงของคนที่ขนาบสองข้างอย่างงุนงง แต่ก็เห็นเพียงปลายผมที่ปรกปิดใบหน้า “พี่ว่า เพื่อนน้องเมาอยู่นะ พากลับไปนอนเถอะ”
ไอ้ติวมองหน้าคนพูดอย่างคาดไม่ถึง ตอนนี้เพื่อนของเขาที่มีแต่ความโกรธแค้นคงไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้นแล้ว แต่ถ้าจะช่วยไอ้คนที่เมาไม่ได้สติให้พ้นจากเรื่องทุเรศนี้ อย่างน้อยเจ้าของรถคันนี้ก็ดูเป็นคนจิตใจดีกว่าคนเมื่อครู่ที่มองพวกเขาสามคนด้วยสายตาหื่นกระหาย
“ว่าไง? ตกลงว่าจะเอาหรือไม่เอา จะได้ไปหาคนอื่น” เจษฎาถามอย่างเคือง ๆ
“โทษทีน้อง พี่คิดว่าน้องน่าจะเข้าใจอะไรผิด” พูดจบก็เลื่อนกระจกรถยนต์ขึ้นเพื่อปิดการสนทนา แต่กระจกก็ถูกเคาะรัวอีกครั้ง ชายหนุ่มลดกระจกลง ก่อนจะพบว่าคนเคาะกระจกเป็นชายหนุ่มร่างเตี้ย เขาจึงยืนยันประโยคเดิม “พี่บอกว่าไม่สนใจครับน้อง”
“พี่ช่วยเพื่อนผมที ผมไหว้ล่ะ ถ้าพี่ไม่ช่วย มันแย่แน่ ๆ” คนตัวเตี้ยที่ยืนประคองร่างอ่อนพับพูดด้วยความเร่งร้อนพร้อมทำหน้าอ้อนวอน หางตาเหลือบไปมองเพื่อนที่กำลังเดินไปทาบทามรถยนต์อีกคันที่จอดรออยู่ด้านหลัง
แม้จะไม่รู้เรื่องราวต่าง ๆ อย่างกระจ่างนัก แต่ท่าทีกระวนกระวายใจของคนที่ยืนอยู่นั้นทำให้เขาใจอ่อนขึ้นมาบ้าง “ช่วยอะไร?”
“พี่ช่วยพาเพื่อนผมไปจากตรงนี้ก่อน ผมขอร้องล่ะ”
“แล้วมันเรื่องบ้าอะไรกัน เล่าให้ฟังก่อนสิ”
“นะพี่ รับมันไปก่อน ถ้ามันถูกส่งไปให้คนอื่นต้องแย่แน่ ๆ” ชายร่างเตี้ยหันไปตะโกนเรียกเพื่อน “เฮ้ย...มึง พี่เขาตกลงแล้ว”
เจ้าของรถยนต์มีทีท่าลังเลอยู่ครู่หนี่งก่อนตัดสินใจปลดล๊อคประตูรถยนต์ ทันทีที่ประตูรถเปิดออก ร่างปวกเปียกอ่อนแรงก็ถูกดันให้เข้าไปนั่งข้างคนขับ ซึ่งชายตัวเตี้ยยังมีแก่ใจโผล่ศีรษะเข้าไปในรถแล้วรัดเข็มขัดให้เพื่อนเพื่อความปลอดภัย
“ขอบคุณนะพี่ที่ใช้บริการ” ไอ้คนตัวสูงกว่าพูดด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง “ส่วนเรื่องเงินนี่ก็ตกลงกันเอาเอง ถ้าคุยกันรู้เรื่องนะ แต่ไม่แน่นะ ถ้าถูกใจก็อาจจะฟรีก็ได้”
กฤษณภูมิขมวดคิ้วอย่างสงสัยในคำพูดนั้น แต่อีกฝ่ายก็รีบปิดประตูรถทันทีพร้อมโบกมือลา
“มึงทำแบบนี้ ถ้าไอ้ไอซ์มันรู้สึกตัวขึ้นมา เรื่องใหญ่แน่” เพื่อนตัวเตี้ยพูดเตือนสติ ทั้งที่รู้ว่าสายเกินไปแล้ว เพราะรถยนต์คันหรูแล่นออกไปจนมองเห็นไฟท้ายอยู่ไกลลิบ ๆ
คู่สนทนายักไหล่ “กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าถึงพรุ่งนี้มันจะกล้าออกมาพูดอะไรได้ และถ้ามึงไม่พูด กูไม่พูด เรื่องนี้ไม่มีใครรู้หรอก นี่ถือว่ากูยังปรานีเลือกไอ้คนที่หน้าตาดี ๆ ให้มันนะ”
*****
“กูไม่ไปแล้วนะ ร้านที่มึงว่ามาน่ะ” ชายหนุ่มพูดกับสมาร์ทโฟนที่ตอนนี้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ของยานพาหนะ ทำให้ไม่เป็นภาระที่ต้องยกขึ้นมาถือให้เสี่ยงต่ออันตรายขณะขับขี่
((มึงเบี้ยวอีกแล้วนะ ไอ้ห่ะคุณชาย)) เสียงของเพื่อนสนิทดังผสานกับเสียงดนตรีในสถานบันเทิง
“เฮ้ย...ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ที่จริงกูก็ไปถึงแถวนั้นแล้วนะ แต่ดันเกิดเรื่องเสียก่อน”
((มีอะไรวะ เดี๋ยวกูไปช่วยเคลียร์ให้))
“ก็ไม่มีอะไรมาก เออ...นี่กูถามหน่อยสิ สงสัยกูคงห่างไกลจากเรื่องพวกนี้ไปนาน แถวหน้าร้านที่มึงไปน่ะ มีพวกเด็ก ๆ มาขายกันริมถนนด้วยหรือวะ”
((ไม่ใช่เฉพาะแต่เด็ก ๆ หรอก มีทุกเพศทุกวัยแหละวะ))
“อื้อ คุยอะไรกัน เสียงดัง” ร่างที่นอนนิ่งมานานเริ่มส่งเสียง พร้อมพยายามขยับตัวแต่เนื่องจากถูกล๊อคไว้ด้วยเข็มขัดนิรภัยจึงได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัด
((เสียงใครวะ? อ้อ...กูรู้แล้วที่มึงไม่มาเพราะอะไร)) เสียงหัวเราะดังลั่นมาตามคลื่นโทรศัพท์
“มึงอย่าเดามั่ว กูจำใจรับเขามาว่ะ” ชายหนุ่มเล่าเรื่องที่ประสบมาให้เพื่อนผู้ชาญโลกีย์ได้ทราบโดยคร่าว ๆ ซึ่งอีกฝ่ายก็ฟันธงทันที
((มึงโดนหลอกแล้วว่ะ กูว่านะ แก๊งค์เดียวกันหมดแหละ คงเป็นวิธีการยัดเยียดขายแบบใหม่))
“แต่คนที่นั่งรถกูอยู่นี่มันนอนไม่ได้สติเลยนะ”
((แน่ใจนะ เมื่อกี้กูยังได้ยินเสียงอยู่เลย))
คำเตือนสติของเพื่อนทำให้ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ เขาเหลือบมองร่างที่นอนหลับอย่างระแวง “แล้วกูทำไงดีวะ?”
((คนที่นั่งรถมากับมึงนี่หน้าตาดีไหม?))
“ถามทำไมวะ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนจะชะลอความเร็วของรถยนต์และเบนเข้าจอดที่ข้างทางเพื่อรับฟังคำแนะนำของเพื่อนสนิทที่มากประสบการณ์ เขาเอนตัวไปมองคนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างพิจารณา ก่อนจะยอมรับอย่างอ้อมแอ้ม “ก็...หน้าตาดีอยู่”
((ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว จัดแม่งเลย))
“สัด แนะนำดีเหลือเกินมึง กูบอกมึงหรือยังว่าเขาเป็นผู้ชาย”
((อ้าว...คุยกันมาตั้งนาน นี่มึงรับผู้ชายขึ้นรถหรือวะ))
“กูไม่ได้รับ บอกแล้วไงว่าถูกยัดเยียดมา”
((จะยังไงก็ช่างมึง ถ้าให้แนะนำนะ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงผู้ชายก็ไม่ต่างกันหรอก จัดสักดอกแล้วจ่ายเงินให้จบ ๆ ไป ถ้ารู้สึกดีก็เบิ้ลได้ แต่ระวังหมดแรงแล้วเผลอหลับ เออ...ถ้าเพลียมึงก็หลับได้นะแต่มึงต้องตื่นก่อนมัน ถ้าตื่นทีหลังระวังโดนยกเค้าหมดตัว))
กฤษณภูมิกุมขมับ “กูเลิกคุยกับมึงแล้ว แนะนำแต่ละอย่างดี ๆ ทั้งนั้น”
((อย่าลืมนะโว้ย ด้วยความปรารถนาดี ใช้ถุงด้วย))
ชายหนุ่มกดวางสายโทรศัพท์จากเพื่อน แล้วหันไปมองคนที่นั่งคอพับคออ่อนอยู่ที่เบาะข้าง ๆ อย่างใช้ความคิด
“นี่...เราน่ะ” เขาลองเรียก แต่การตอบรับคือความเงียบ เขาจึงถามซ้ำ “แกล้งหลับหรือเปล่า”
“หนาว” เสียงงึมงำดังขึ้นพร้อมกับร่างที่พยายามจะห่อตัวแต่ก็ทำไม่ได้เพราะติดเข็มขัดนิรภัย
“แกล้งทำใช่ไหม?” คำถามเดิม คราวนี้เพิ่มประโยคขู่ที่คิดว่าถ้าอีกฝ่ายแกล้งหลับก็ควรจะตื่นได้แล้ว “ถ้าไม่ตอบ จะพาไปทำเรื่องสนุก ๆ แล้วนะ”
คำตอบที่ได้คือความเงียบ
ชายหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาโดยแรงอย่างอับจนปัญญา ก่อนจะเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้นมาอีกครั้งแล้วบังคับยานพาหนะให้ไปยังจุดหมายตามที่ตั้งใจไว้
*****
หน่วยตากลมใต้เปลือกตาบางเผยอเปิดขึ้นเห็นเป็นรอยพับสองชั้นชัดเจน นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนส่อแววง่วงงุนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอะใจที่สภาพแวดล้อมนั้นไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย เจ้าตัวพยายามเค้นความทรงจำที่ผ่านมาแต่พบว่าภายหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไปเพียงสองแก้วจากการคะยั้นคะยอของเพื่อนร่วมชุมชน เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นคืออะไร ถ้าคาดเดาในทางที่ดีก็คือเพื่อนคนใดคนหนึ่ง ไม่ไอ้เจษฎ์ก็ไอ้ติวคงจะพาเขากลับมานอนที่บ้าน
แต่เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าเป็นบ้านใครคนใดคนหนึ่งก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะบ้านในชุมชนแออัดนั้นมีสภาพย่ำแย่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก แต่ที่เขาเห็นตรงหน้านี้พบว่าเฟอร์นิเจอร์ถูกจัดวางเป็นอย่างดี โดยเฉพาะเตียงนอนขนาดใหญ่ที่อีกฝั่งหนึ่งนั้นเห็นเป็นรอยบุ๋มบนหมอนหนุน แสดงว่าเจ้าตัวน่าจะเพิ่งลุกออกไป มือบางเอื้อมไปพิสูจน์ พบว่าข้างตัวนั้นยังคงมีไออุ่นเหลืออยู่เล็กน้อย สายตาของพาริสไล่มองจากเตียงนอนที่เขาสัมผัสไปยังมือของตน ราวกับไม่เคยเห็นมาก่อน จากข้อมือสายตาก็ขยับเลื่อนเป้าหมายขึ้นเป็นท่อนแขนและไล่กลับมายังหัวไหล่ที่เปล่าเปลือยของตนเอง
เสื้อของเขาหายไปไหน?
ด้วยอารามตกใจทำให้ร่างกายที่อยู่ในอาการง่วงงุนดีดตัวขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถจากนอนเป็นนั่งในเสี้ยววินาที ผ้าห่มนวมตกรั้งตามแรงโน้มถ่วงโลกมากองที่หน้าตัก พาริสก้มลงมองก็พบว่าไม่เพียงแต่เสื้อที่ไม่อยู่ติดกับร่างกาย แต่ที่หายไปยังมีกางเกงของเขาที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ชายหนุ่มรู้สึกว่าน้ำลายฝืดจนลำคอแห้งผากขึ้นมาทันที และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเย็นของเครื่องปรับอากาศหรือความคิดบางอย่างที่ทำให้ขนอ่อน ๆ ตามตัวลุกซู่
ความคิดที่ปั่นป่วนอยู่ในหัวทำให้เขารีบกวาดสายตาไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว พบว่าเสื้อและกางเกงของเขานั้นกองยับยู่ยี่อยู่ที่ข้างเตียงนอนอีกฟาก จึงก้าวลงจากเตียงเดินอ้อมไปยังเป้าหมาย ขณะก้มลงหยิบเสื้อผ้าสายตาก็ปะทะกับกระเป๋าธนบัตรใบหนึ่ง
หัวใจเต้นแรงรัวเร็ว คาดหวังว่าเจ้าของมันอาจจะเป็นเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเขา
มือสั่นเทาของพาริสหยิบกระเป๋าธนบัตรบนโต๊ะข้างเตียงออกมาเปิดอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นเงินสดจำนวนหนึ่งและบัตรต่าง ๆ เขาหยิบบัตรประจำตัวประชาชนที่ปรากฏชื่อเจ้าของว่า กฤษณภูมิ
รูปถ่ายที่ปรากฎอยู่ก็ไม่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าจะหยิบไปนี่ขอเหลือไว้สักสองร้อยนะ เอาไว้ซื้อกาแฟกิน” เสียงนั้นแว่วมาจากทิศทางที่เขามั่นใจว่าเป็นห้องน้ำ พร้อมกับเจ้าตัวคนพูดที่เดินสวมผ้าเช็ดตัวผืนเดียวคาดไว้ที่เอวอย่างหมิ่นเหม่ ใบหน้านั้นยังคงพราวไปด้วยหยดน้ำ มือข้างหนึ่งก็เช็ดผมที่เปียก
คนที่ถือกระเป๋าธนบัตรตกใจราวกับจับเผือกร้อนรีบโยนมันลงบนโต๊ะเหมือนเดิม ก่อนจะหันไปทางคนพูดด้วยอาการตื่นตระหนก “ผะ...ผมไม่ได้...”
เมื่อคืนที่ผ่านมานั้น กฤษณภูมิยอมรับว่าคนที่นอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนเตียงกับเขานั้นหน้าตาจัดอยู่ในขั้นดี แต่ในตอนนี้ที่มีแสงแดดยามเช้าสาดส่องผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่เข้ามากระทบร่างตรงหน้า ด้วยส่วนสูงที่ไล่เลี่ยกันกับเขา หากแต่ยืนห่อตัวจนเหมือนเด็กน้อยที่หวาดกลัวการถูกลงโทษ แล้วยิ่งทำหน้าตาเลิ่กลั่กด้วยใบหน้าและดวงตากลมโตแบบนี้จะเรียกว่าน่าเอ็นดูหรือน่ารักเขาก็ยังสับสนอยู่
คนแปลกหน้าสองคนยืนมองกันอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เจ้าของห้องจะตั้งสติได้แล้วผายมือไปทางห้องน้ำ “ไปอาบน้ำก่อนดีไหม?”
พาริสมองสายตาของคนตรงหน้าที่จ้องมองตนขึ้นลงจากเดิมที่หวาดหวั่นก็กลายเป็นขุ่นเคือง เพราะนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย จึงถลึงตาใส่แล้วรีบหอบเสื้อผ้าเดินเร็ว ๆ จนแทบเป็นวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ โดยมีเสียงอีกฝ่ายดังแว่ว ๆ
“มีแปรงสีฟันสำรองในตู้หลังกระจก ผ้าเช็ดตัวอยู่บนชั้น”
*****
อย่างน้อยการคุยกันเมื่อสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทำให้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเท่ากับก่อนหน้านี้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สนิทใจอยู่ดี เพราะการที่ตื่นนอนมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในห้องรโหฐานกับคนแปลกหน้า โดยที่จำไม่ได้ว่าคืนก่อนหน้าเกิดอะไรขึ้น
“ขอบคุณที่ให้ยืมใช้ห้องน้ำ” พาริสพูดเสียงอุบอิบในลำคอ
“เตียงด้วย” เจ้าของห้องที่ตอนนี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยเหมือนพร้อมจะออกไปทำงานพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
คิ้วเรียวขมวดมุ่น เพราะเดาทางไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดจริงจังหรือแค่เป็นคนกวนตีนคนหนึ่ง “แล้ว...เมื่อคืนผมทำอะไรคุณ หรือคุณทำอะไรผมหรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นกล้า ๆ กลัว ๆ อีกทั้งสีหน้านั้นก็เหมือนกับไม่อยากฟังคำตอบเท่าใดนัก
นัยน์ตาใต้กรอบตายาวเรียวหรี่ลงคล้ายกับกำลังครุ่นคิด ก็ยิ่งทำให้คนที่กำลังรอฟังคำตอบร้อนใจมากขึ้น
“นี่...ว่ายังไง?”
ใครจะมีอะไรกับคนที่หลับใหลไม่ได้สติแบบนั้นได้ เขาเองก็ไม่ใช่พวกโรคจิตพรรค์นั้น แต่พอเห็นคนตรงหน้าทำหน้าตาเป็นกังวลขนาดนั้นก็จุดยิ้มที่มุมปาก
พาริสเบิกตากว้าง สายตาแบบนั้น และรอยยิ้มแบบนั้นหมายความว่าอะไรกันวะ
*****
“เห็นบอกว่าจะกลับดึก แต่กลับมาเช้าเลยนี่” ยายของเขาเอ่ยทักเมื่อเห็นร่างของหลานชายเดินด้วยอาการเลื่อนลอยเข้ามาในบ้าน
“ไอซ์เห็นว่าดึกแล้ว เลยค้างบ้านเพื่อน” พาริสพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ
“แล้วไม่โทรศัพท์มาบอกก่อน แม่เราเขาเป็นห่วงนะ”
“เดี๋ยวไอซ์โทรไปบอกแม่ตอนเวลาพักก็แล้วกัน” ผู้เป็นหลานบอกเจตนารมณ์ เนื่องจากมารดานั้นทำงานเป็นพนักงานจัดสินค้าในห้างขายส่งขนาดใหญ่ซึ่งไม่สามารถรับโทรศัพท์ได้ตลอดเวลา แต่วันนี้ก่อนที่เขาจะโทรศัพท์ไป ผู้เป็นมารดาก็โผล่หน้าเข้ามาในบ้านก่อน
“อ้าว...วันนี้ลาครึ่งวันหรือมึง?” ยายทักลูกที่เดินหน้าตาตื่นเข้ามาในบ้าน
“แม่ ฉันเจอพ่อน้องไอซ์แล้ว” น้ำเสียงของผู้เป็นลูกสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น
ยายของเขาอุทานเสียงดัง “หา...ไอ้หวัดน่ะรึ?”
“จ้ะ เขาประกาศในหนังสือพิมพ์ เรื่องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเขาไม่ค่อยสบายเลยมาตามหาลูกเมีย”
“แล้วมันเป็นอะไรมากหรือเปล่า?” ผู้สูงวัยเป็นกังวลในอาการป่วยของลูกเขยอยู่ไม่น้อย
“ในหนังสือพิมพ์ไม่ได้บอก ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน พรุ่งนี้ฉันว่าจะพาน้องไอซ์ไปหาพ่อเขา”
“งั้นข้าไปตลาดก่อน จะฝากของไปเยี่ยมมันด้วย” ยายพูดจบก็กุลีกุจอลุกขึ้นจากเก้าอี้นอนตัวโปรด
พาริสมองยายกับแม่ที่พูดคุยกันสลับไปมาด้วยอาการสับสน “เดี๋ยว...แม่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
แม่ของเขาบีบต้นแขนแล้วพูดเสียงเข้ม “พ่อเขาตามหาน้องไอซ์อยู่ เดี๋ยวแม่พาไปหานะ”
*****
หน้ารั้วบ้านสูงตระหง่าน มนุษย์สองคนแหงนมองผ่านรั้วเหล็กไปยังลานน้ำพุที่พุ่งน้ำเป็นฟูฝอย สายตามองระเรื่อยไปจนถึงบ้านสีขาวหลังใหญ่มหึมา หูของพาริสได้ยินเสียงเพลงบ้านทรายทองดังแว่วอยู่ในหู นี่ขาดแค่ชะลอมผลไม้เท่านั้นเอง แต่ก็ทดแทนด้วยลังกระดาษใส่เบียร์สีน้ำตาลที่ขอซื้อมาจากร้านของชำในตลาด ภายในนั้นอัดแน่นด้วยเสื้อผ้าก่อนจะมัดปิดปากลังด้วยเชือกพาสติกสีเขียว
ชายหนุ่มเหลือบมองผู้เป็นมารดาที่มีสีหน้ามาดมั่น ก่อนจะถามอ้อมแอ้ม “แม่แน่ใจนะว่าพวกเราจะไม่โดนน้ำสาดไล่”
“แน่ใจสิ จำไว้ให้ดี ไอซ์เป็นลูกคุณสวัสดิ์สุโข พรหมสุขศานตินิรันดร์”
“แต่แม่เคยบอกว่าพ่อชื่อหวัดไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นแหละ คนเดียวกัน ไอ้หวัดที่อยู่ดี ๆ ก็หนีพวกเราไป มันกลับมาอยู่บ้านนี้หลังจากทนความลำบากไม่ไหว” น้ำเสียงและสีหน้าของผู้เป็นแม่เต็มไปด้วยความขมขื่น
ที่จริงแล้วพาริสจำหน้าของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายหายไปตั้งแต่เขายังจำความไม่ได้ รู้แค่ว่าเวลาที่แม่คิดถึงพ่อทีไรก็ด่าไอ้คนที่ชื่อหวัดตลอดจนเขาซึมซับชื่อนี้ไปได้เอง ที่จริงเขาเองก็ไม่รู้สึกว่าตนเองขาดความรักแต่อย่างใด ถึงไม่มีพ่อ แต่ก็มีแม่กับยายคอยเลี้ยงดู
“มาหาใคร?” ชายวัยกลางคนร่างเล็กเดินมาเกาะรั้วถามด้วยสีหน้าขึงขัง หลังจากที่เห็นสองคนยืนเก้ ๆ กัง ๆ ที่หน้ารั้วบ้าน
“สวัสดีจ้ะพี่ ฉันมาตามประกาศจ้ะพี่” แม่ของเขาตอบอย่างอ่อนหวาน แต่ที่ได้รับกลับมาคือสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย แถมยังถามซ้ำอีก
“แน่ใจนะ?”
“แน่ใจจ้ะพี่ ฉันนี่แหละเมียไอ้หวัด เอ้ย คุณสวัสดิ์สุโข นี่ก็ลูกของเขาชื่อน้องไอซ์”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วทำหน้าไม่เชื่อ แถมท่าทางลังเลว่าจะเปิดประตูรั้วให้ดีหรือไม่ จนมีเสียงร้องถามมาจากด้านใน
“นั่นใครหรือพี่หมาน” พร้อมกับหญิงร่างท้วมในชุดเสื้อขาวคอบัวและผ้าถุงสีน้ำเงินเดินออกมาสมทบ
“สองคนนี้เขาบอกว่าเป็นลูกเมียคุณท่านว่ะนังแวว”
ถ้าให้พาริสทาย สองคนนี้ต้องเป็นคนสวนกับแม่ครัวของบ้านแน่นอน แถมต้องเป็นผัวเมียกันอีกต่างหาก เขาเคยเห็นแพทเทิร์นนี้ทางโทรทัศน์ที่เคยดูกับยายมาหลายเรื่องแล้ว
แม่บ้านที่ชื่อแววมองสองร่างแปลกหน้าที่มีรั้วกั้นขวางอยู่ด้วยสีหน้าตื่นตระหนกแล้วหันไปซุบซิบปรึกษากับชายร่างเล็ก “แบบนี้ไม่เคยเจอนะพี่ เคสนี้ต้องไปถามข้างในก่อนไหม”
“เออก็ดี แกเข้าไปถามก่อนว่าจะให้เข้าไปไหม”
ลับหลังร่างท้วม ๆ ของคนชื่อแวว พาริสหันไปมองหน้ามารดาที่กำลังเยิ้มไปด้วยเหงื่อ เพราะแดดข้างนอกร้อนจัด ยิ่งเห็นพุ่มไม้เขียวไสวเป็นดงหลังรั้วก็ให้คิดถึงลมเย็น ๆ ที่พอจะบรรเทาอากาศอันอบอ้าวนี่ลงไปได้บ้าง “ลุงครับ ถ้ายังไงให้ผมกับแม่เข้าไปรอข้างในได้ไหมครับ ข้างนอกมันร้อน”
ชายที่ชื่อหมานทำสีหน้าเห็นใจ “เอ่อ...ลุงก็อยากให้เข้าไปหรอกนะ แต่ถ้าคุณท่านรู้ว่าให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ลุงจะเดือดร้อนเอาได้”
“ไม่เป็นไรจ้ะพี่ พวกฉันอยู่ข้างนอกนี่แหละ” แม่ของเขายังคงยิ้มทั้งที่หน้าซีดเพราะความอบอ้าว ทำให้พาริสต้องขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคืองใจ
“แล้วที่มานี่ มีอะไรมาแสดงตัวกับเขาล่ะ?” ชายร่างเตี้ยชวนคุย
ผู้เป็นแม่จับต้นแขนบุตรชายหลวม ๆ “ก็มีน้องไอซ์นี่แหละ ลูกเขาทั้งคน”
“แล้วพวกสร้อย พวกปานล่ะ มีหรือเปล่า?”
พาริสหัวเราะอย่างอดไม่ได้ “เรื่องแบบนั้นไม่ได้มีแต่ในนิยายหรือลุง”
“อุวะ ก็คนอื่นเขามีนี่หว่า” ลุงหมานขมวดคิ้ว
“มีคนอื่นด้วยหรือลุง?”
“ประกาศหราทางหน้าหนังสือพิมพ์ขนาดนั้น ก็มีมาหมดแหละ จะเอาอะไรล่ะ สร้อยก็มี ปานดำ ปานแดง ขี้แมลงวัน ไฝ หูด ตาปลา มีทุกอย่าง”
“ไหนยะ ลูกเมียคุณพี่สวัสดิ์” เสียงแหลมปรี๊ดดังมาก่อนตัว ก่อนที่ร่างของหญิงวัยกลางคนที่แต่งชุดสีเขียวปีกแมลงทับราวกับหลุดมาจากละครโทรทัศน์ ผมฟูสุดฤทธิ์สุดเดชราวกับจะออกไปงานเลี้ยงกาล่าที่ไหนสักแห่ง จนพาริสกลัวว่ามันจะไปเกี่ยวกับกระถางกล้วยไม้ที่ห้อยระย้าอยู่ริมทางเดินในสวน
“คนนี้ชื่อคุณมณฑา เป็นน้องสะใภ้คุณสวัสดิ์สุโข” ชายร่างเล็กกระซิบบอกคนที่อยู่นอกรั้ว
พอได้ยินดังนั้น พาริสและมารดาก็ยกมือไหว้อัตโนมัติ แต่สิ่งที่ได้รับก็คือสายตาที่มองเขาทั้งสองคนราวกับสิ่งปฏิกูล
“นี่ก็อีกรายล่ะสิ วัน ๆ ฉันไม่ต้องทำอะไรแล้ว ต้องมาคอยไล่พวกสิบแปดมงกุฎอย่างพวกนี้” คุณมณฑาบ่นพึมพำ ก่อนจะหันไปดุลุงหมาน “ที่จริงไม่ต้องไปถามฉันแล้ว เพราะสองคนนี่มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ แล้วทำไมยังไม่ไล่ไปอีก”
“อ้าว...ป้า พูดอย่างนี้ได้ยังไง?” พาริสอุทาน
“แกเรียกใครว่าป้า” คุณมณฑาโกรธจนตัวสั่น กรีดร้องเสียงแหลม “ไอ้หมาน ไล่มันไปเลย”
เสียงร้องของคุณมณฑาเรียกให้คนในบ้านเดินเข้ามาสมทบ หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่สวมชุดวาบหวิวราวกับชุดนอน “มีอะไรคะ คุณแม่”
“คนนี้ชื่อคุณมาริษาเป็นลูกสาวคุณมณฑา” ลุงหมานกระซิบบอกพาริสอีกรอบ
คุณมณฑาอธิบายเหตุการณ์ให้ลูกสาวฟังด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ไอ้สองคนนี้มาแอบอ้างเป็นลูกลุงสวัสดิ์”
“ก็เราเจอพวกเขาแล้วไม่ใช่หรือคะคุณแม่ แล้วอีกอย่าง...” สาวสวยปรายตามองสองคนที่อยู่นอกรั้วแล้วเบะปาก “สารรูปแบบนี้ยังจะกล้ามาอ้างเป็นลูกเมียลุงสวัสดิ์อีก ไปส่องกระจกดูตัวเองก่อนไป๊”
พาริสก้มมองดูตนเองและมารดาก็เห็นแต่งตัวเรียบร้อยดี “เธอนั่นแหละที่ต้องไปส่องกระจก ใส่เสื้อผ้าเหมือนไม่ได้ใส่ เสื้อเปิดจนจะเห็นนมปลอมแล้ว”
คราวนี้คนกรีดร้องกลับเป็นตัวบุตรสาว “ลุงหมานเปิดประตู ฉันจะออกไปตบมัน”
“คุณษาใจเย็น ๆ ครับ” ลุงหมานต้องคอยห้ามผู้เป็นนาย
ปึ้น!
เสียงแตรรถดังขึ้นหนึ่งครั้งเหมือนระฆังที่เคาะเพื่อหยุดความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ได้ผลอยู่ไม่น้อย เพราะทุกคนต่างก็หันไปมองยานพาหนะคันหรูสีขาวที่ชะลอจอดหน้าประตูรั้ว สักพักหน้าต่างกระจกรถด้านคนขับก็ลดระดับลงจนเห็นใบหน้าของคนขับชัดเจน
“ไอ้หมอนั่น” พาริสเบิกตากว้าง ตัวเย็นเยียบราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น
“คุณชาย” ชายร่างเล็กอุทาน แล้วรีบกดปุ่มเปิดประตูรั้ว ให้รถยนต์คันนั้นแล่นเข้ามาในบ้าน เมื่อจอดสนิทเจ้าของรถก็ก้าวลงมาจากรถ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกับที่คุณมาริษาที่รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับร้องเรียกเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พี่ชายขา”
“ลุงหมาน มีเรื่องอะไร” แทนที่จะถามคนที่วิ่งมาเกาะแขน ชายหนุ่มกลับหันไปถามชายร่างเล็กแทน
“คือคุณสองคนนี้เขามาแสดงตัวว่าเป็นลูกเมียคุณท่านตามประกาศครับ แต่คุณมณฑากับคุณมาริษาบอกว่าไม่ใช่แน่นอน แล้วจะไล่กลับ”
นัยน์ตาใต้กรอบตายาวรีแสดงอาการสนใจเมื่อหันไปเห็นคนที่ถูกเอ่ยถึง ก่อนจะถามคุณมณฑาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ทำไมถึงแน่ใจว่าไม่ใช่ล่ะครับคุณน้า?”
“คุณชายก็เห็นอยู่กับตาแล้วยังจะมาถามน้าอีก แล้วอีกอย่างเราก็เพิ่งเจอตัวลูกเมียตัวจริงของคุณพี่สวัสดิ์เมื่อครู่นี่เอง” คุณมณฑารีบกวักมือเรียกใครบางคนที่อยู่ในเงาร่มไม้ให้เดินออกมาสมทบ
หญิงสาววัยรุ่นในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งกางเกงยีนส์เข่าขาด พร้อมตัดผมสั้นแบบทอมบอยเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมซีดหน้าตาอมทุกข์
“นี่ไง คุณชายคิดว่าใครน่าจะเป็นลูกของคุณพี่สวัสดิ์มากกว่ากัน ระหว่างหนูทัดดาวกับไอ้หน้าฝรั่งนั่น”
กฤษณภูมิแอบอมยิ้มเมื่อเห็นไอ้หน้าฝรั่งที่คุณมณฑาพูดถึงยืนหน้าบูด แถมถลึงตาใส่เขาอีก
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครอ่ะลุง?” พาริสแอบกระซิบถามลุงหมาน แต่สายตายังคงชำเลืองมองไปทางร่างสูงที่ยืนอยู่ท่ามกลางสาว ๆ ด้วยสายตาไม่ไว้วางใจ
“หม่อมราชวงศ์กฤษณภูมิ เป็นลูกชายของคุณสุรัสวดีลูกสาวคนโตของบ้านนี้ คุณศรีสมรที่เป็นแม่ของคุณสวัสดิ์สุโขเป็นยายของคุณชาย”
พาริสพยายามลำดับขั้นแฟมิลี่ทรีในหัว พ่อของเขาเป็นลูกชายคนที่สองของคุณศรีสมร ส่วนแม่ของไอ้คุณชายนี่เป็นลูกสาวคนโต ถ้าเขาเป็นหลานย่า หมอนี่ก็เป็นหลานยาย
ว่าแต่เขาจะได้มาเกี่ยวดองเป็นญาติได้อย่างไรกัน ในเมื่อคนที่นี่ไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่าเขาเป็นบุตรชายของคุณสวัสดิ์สุโข
“แม่...เอาไงดี” เขากระตุกชายเสื้อของมารดา เมื่อเห็นร่างผอมสูงของคุณชายเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับยกมือไหว้มารดาของเขาอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับคุณน้า”
“คุณชาย!”
“พี่ชาย!”
คุณมณฑาและมาริษาอุทานเมื่อเห็นชายสูงศักดิ์ยกมือไหว้คนที่อ้างว่าเป็นเมียของคุณสวัสดิ์สุโข
“เขาเป็นลูกชายคุณน้าสวัสดิ์หรือครับ?” แม้จะเอ่ยปากถามผู้สูงวัยกว่า แต่นัยน์ตายาวเรียวคู่นั้นกลับมองสบกับนัยน์ตากลมโตอย่างเอ็นดู
“จะเป็นไปได้ยังไงคะพี่ชาย ในเมื่อคนนี้เขาเป็นผู้ชาย” มาริษาชี้ไปทางมารดาของพาริส “แล้วเขาจะมีลูกได้ยังไงกันคะ”
แม่ของเขาเม้มริมฝีปากอย่างอดกลั้น จ้องมองกลุ่มคนเบื้องหน้าอย่างเจ็บปวด “ไอซ์เป็นลูกไอ้หวัดจริง ๆ เป็นลูกของพี่สาวฉันเอง”
ใช่แล้ว แม่ที่เลี้ยงดูเขามาเป็นผู้ชาย แต่พาริสก็คิดว่าไม่เห็นจะแปลกตรงไหน เพราะแม่ก็ไม่เคยปิดบังอะไรกับเขา แม่บอกว่าคนที่คลอดเขานั้นก็คือพี่สาวของแม่ แต่เสียชีวิตตั้งแต่วันที่เขาเกิด ถ้านับญาติกันจริง ๆ แล้ว แม่ของเขาก็คือน้าชายแท้ ๆ ของเขาเอง
*****
“พี่หวัด”
“ไอ้หวัด”
แค่คำเรียกขานคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงก็แตกต่างกันแล้ว พาริสไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและแม่ของเขาอยู่ในรูปแบบใด เพราะถ้าตามสายตาคนนอกแล้ว ระหว่างหญิงวัยกลางคนรูปร่างผอมบางปานจะปลิวตามลมที่ถลาไปนั่งแปะอยู่ข้างเตียงแล้วร่ำไห้โฮ ๆ ด้วยอาการห่วงใย กับชายวัยกลางคนในชุดพนักงานร้านขายส่งที่ยืนนิ่ง ๆ มองคนบนเตียงด้วยสีหน้าที่ระคนไปด้วยความรักและความแค้นอัดแน่นอยู่
ใครกันที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนที่นอนอยู่บนเตียง
คล้ายกับรู้ว่ามีคนมาเยี่ยมเยียน คุณสวัสดิ์สุโขลืมตาขึ้นมาอย่างงง ๆ
“พี่หวัด” เสียงระคนสะอื้นของคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงทำให้เขาเหลียวไปมองก่อน สายตานั้นว่างเปล่าจนหญิงผู้นั้นหน้าเสีย “พี่หวัดจำฉันไม่ได้หรือคะ”
“เอ่อ...” ชายที่อยู่บนเตียงค่อย ๆ ถดตัวขึ้นมานั่ง
“ฉันยุพาไงคะ นี่ลูกของเรา ทัดดาว” พูดจบก็ดึงร่างของสาวน้อยทอมบอยเข้ามาใกล้ “จำได้หรือยังคะ?”
สายตานั้นยังคงแสดงความสงสัย จนกระทั่งคุณมณฑาต้องเข้าไปช่วย “พี่หวัดจำแม่ยุพาได้ไหมคะ นี่เขาเอาแหวนมาให้เป็นหลักฐานด้วยว่า พี่ให้เขาตอนที่จากเขามา”
แหวนสลักนามสกุลยาวเฟื้อยถูกวางบนฝ่ามือหนา
“แหวนนี้พี่หวัดให้ฉันกับลูกไว้ไงคะ”
“แม่ เรามีของแบบนี้หรือเปล่า?” พาริสแอบกระซิบถามผู้เป็นแม่ เหลือบตามองผ่านตัวมารดาก็เห็นคนตัวสูงข้าง ๆ ยิ้มให้ เขาจึงสะบัดหน้าไปอีกทาง
“มันไม่เคยให้อะไรพวกเราหรอก” แม่ของเขาตอบเสียงเบา ก่อนจะเดินเอาถุงผลไม้ที่ยายฝากมาวางไว้ที่ปลายเตียง แล้วพูดเสียงเข้ม “แม่เขาฝากของมาให้มึงนะ ไอ้หวัด บอกว่าให้หายเร็ว ๆ”
สายตาของคนป่วยจับจ้องที่คนพูดแล้วขยับปากเรียกโดยไม่มีเสียงลอดออกมา
มาริษาเดินมาจีบนิ้วจับถุงผลไม้แล้วเบะปาก “ของถูก ๆ” ก่อนจะหันไปทางหญิงรับใช้ “ป้าแวว เอาไปทิ้ง เอ้ย...เก็บในครัวไป”
แต่ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับดึงถุงผลไม้ไปจากมือของญาติผู้น้อง แล้วทำสายตาตำหนิ “ให้เขาปอกมาให้คุณน้า”
“พี่ชาย” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง
“น้ำใจของคน ถ้าเขาให้ก็ต้องรับไว้ทั้งนั้น อย่ารานน้ำใจของใคร” ชายหนุ่มสอนเสียงอ่อนโยน ก่อนจะหันไปทางผู้เป็นน้าที่นั่งอยู่บนเตียง “คุณน้าสวัสดิ์จำใครได้ไหมครับ?”
สายตานั้นดูเลื่อนลอยคล้ายตกในภวังค์ ก่อนจะส่ายศีรษะไปมา
เสียงร่ำไห้ของแม่ยุพาดังโฮใหญ่ ส่วนอีกคนนั้นเม้มริมฝีปากแน่น แล้วจ้องหน้าชายบนเตียงเขม็ง
*****
“อาการเป็นอย่างนี้มาพักหนึ่งแล้ว บางทีก็จำได้ บางทีก็จำไม่ได้” คุณมณฑาอธิบายให้หลานชายฟัง “แต่น้ามั่นใจว่าแม่ยุพากับลูกนี่แหละของจริง คุณชายว่ายังไงคะ”
“ผมคงตัดสินใจอะไรไม่ได้หรอกครับ ต้องรอให้คุณน้าสวัสดิ์มีสติจนจำความอะไรได้เป็นคนบอกพวกเราเองดีกว่า” ชายหนุ่มหยุดไปครู่หนึ่งก่อนถามคำถามสำคัญ “แล้วคุณน้าจะทำอะไรกับคนที่มาอ้างสิทธิล่ะครับ?”
“ก็ถ้าคุณชายคิดว่าต้องรอให้คุณพี่สวัสดิ์จำความอะไรได้เอง ก็คงต้องให้แม่ยุพากับลูกพักอยู่ที่นี่ก่อน”
“แล้วสองคนนั้น?”
“น้าว่าไม่ใช่แน่นอน ไล่กลับไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าคุณพี่สวัสดิ์จำได้ว่าเป็นแม่ยุพากับลูกก็จบ แต่ถ้าจำได้ว่าไม่ใช่ก็ค่อยเรียกให้สองคนนั้นมาอีกหน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเป็นเชิงไม่เห็นด้วย “ไม่ดีมั้งครับ ผมว่าควรให้พักทั้งหมดนี่แหละ ไม่ควรเลือกที่รักมักที่ชัง”
“จะได้อย่างไรกันคุณชาย สองคนนั้นก็ผู้ชายทั้งคู่ แถมยังหนุ่มยังแน่น ส่วนที่บ้านก็มีแต่คุณพี่ที่นอนป่วยกับลุงหมานที่อายุมากแล้ว นอกนั้นก็มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ถ้าสองคนนั้นเป็นมิจฉาชีพจะทำยังไงกันคะ”
“ถ้าอย่างนั้นพี่ชายมาพักด้วยกันดีไหมคะ” มาริษาออกความเห็น “นะคะ มาพักอยู่ด้วยกัน จะได้ช่วยดูแม่ลูกสองคู่นั้นด้วย”
*****
“ฉันขอไม่อยู่ เพราะที่มานี่ก็แค่พาน้องไอซ์มาส่งคืนพ่อเขาเท่านั้น”
หลังจากแจ้งเรื่องทั้งหมดแล้ว ผู้เป็นมารดาได้แต่ปฏิเสธท่าเดียว
“ถ้าแม่ไม่อยู่ ไอซ์ก็ไม่อยู่นะ” พาริสก็ปฏิเสธเสียงแข็งเช่นกัน
“ไม่ได้ ไอซ์เป็นลูกไอ้หวัด ก็ต้องอยู่กับมัน แต่แม่ต้องกลับไปดูยาย”
“จะเป็นลูกเขาจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ มาเกี่ยงกันอยู่อย่างนี้” คุณมณฑาพูดขึ้นมาลอย ๆ “งั้นก็ไม่ต้องอยู่กันทั้งหมดแหละ”
“ไม่ได้” ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบพนักงานร้านขายส่งรีบโพล่งขึ้นทันควัน “จะแยกพ่อแยกลูกกันไม่ได้”
“แล้วจะแยกไอซ์กับแม่กับยายได้ยังไง ตอนแม่ไปทำงานแล้วใครจะดูแลยาย”
ชายหนุ่มที่ยืนฟังเรื่องราวอยู่รอบนอกกระแอมเรียกความสนใจ ก่อนจะนำเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นไปรับคุณยายมาอยู่ด้วยกันทั้งหมดนี่ ดีไหม?”
“คุณชายคะ น้าไม่เห็นด้วย” คุณมณฑาโวยวายด้วยความงก “มาอยู่กันทั้งครอบครัวแบบนี้ กี่ปากกี่ท้องกันแล้วนี่”
“ไม่เป็นไรครับคุณน้า ค่าใช้จ่ายของครอบครัวนี้ ผมจะรับผิดชอบเอง”
คุณมณฑามีสีหน้าดีขึ้นทันตา “ถ้าคุณชายพูดอย่างนี้ น้าก็ไม่ขัดแล้วกัน”
“ที่จริงพวกเราไม่ได้คิดมารบกวนเลย เพราะถึงอยู่ที่นี่ฉันก็จะไปทำงานเหมือนเดิม” ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารดาของพาริสพูดกับชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า “คุณชายไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายของพวกเราหรอก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เพราะช่วงนี้ผมก็มาอาศัยอยู่ที่นี่เหมือนกัน” กฤษณภูมิยิ้มพร้อมประเมินลักษณะนิสัยใจคอของคนตรงหน้า เห็นว่าเป็นคนที่ไม่คิดเอาเปรียบใคร จึงนึกนับถือน้ำใจของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย “จะพาพวกคุณไปอยู่ที่พักของผม ก็จะทำให้พวกคุณไม่ได้ใกล้ชิดกับคุณน้าสวัสดิ์”
“คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” พาริสจ้องหน้าอีกฝ่าย
ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงเป็นเชิงตอบรับ “เดี๋ยวผมพาพวกคุณไปรับคุณยายมาที่นี่เลยดีไหมครับ?”
*****
“ไหนคุณบอกว่างานง่าย ๆ ไงคะ” เสียงของยุพาดังขึ้นขณะที่สองแม่ลูกอยู่ตามลำพังกับคุณมณฑา
“แล้วฉันจะไปรู้ไหมล่ะว่าจะมีคนมาอ้างว่าเป็นลูกเมียเขาอีก” คุณมณฑามีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด “ไม่รู้ว่าคุณชายจะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ด้วย พวกเธอต้องทำตัวให้เนียนเข้าไว้”
“หนูขอถามอะไรได้ไหมคะ?” สาวน้อยทัดดาวยกมือราวกับเด็กนักเรียน
“มีอะไร?”
“เอ่อ คุณชายนี่เขารวยไหมคะ”
“รวยสิยะ รวยกว่าบ้านนี้อีก ขนาดห้องชุดที่เขาอยู่ตอนนี้ยังราคาสูงกว่าบ้านหลังนี้เสียอีก แกถามทำไม?”
สาวน้อยทัดดาวตาลุกวาว “หนูก็สนใจสิคะ เผื่อพลาดจากการเป็นลูกสาวคุณท่าน หนูอาจจะได้เป็นเมียคุณชาย ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้หนูชอบจัง”
“สำรวมหน่อยย่ะ คีพคาเรกเตอร์สาวน้อยวัยใสด้วย และถ้าแกสามารถทำให้ไอ้หน้าฝรั่งนั่นหลุดจากตำแหน่งลูกคุณพี่สวัสดิ์ไปได้ ฉันจะสมนาคุณเงินให้มากขึ้นอีก”
“แต่หนูว่า หนูไม่อยากเป็นลูกคุณท่านแล้ว หนูอยากเป็นเมียคุณชายมากกว่า” สาวน้อยทัดดาวทำหน้าเพ้อฝัน “เหมือนนางเอกละครไงคะ ตอนจบก็ได้กับคุณชายที่เป็นพระเอก”
*****
กฤษณภูมิอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางกล้า ๆ กลัว ๆ ของใครบางคนที่จะขึ้นรถของเขา
“แม่นั่งข้างหน้ากับคุณชายก็แล้วกันนะ” พูดจบก็รีบเปิดประตูด้านหลังขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วราวกับกลัวใครจะมาแย่งที่นั่ง
ชายหนุ่มเปิดประตูให้ชายผู้แก่วัยกว่าขึ้นนั่งด้านข้างคนขับ สายตาเหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือลูกปัดตกอยู่บนเบาะจึงรีบหยิบออกมาก่อน “ขอโทษครับ ผมลืมทิ้งไว้”
นัยน์ตาคู่นั้นมองตามเครื่องประดับชิ้นนั้นอย่างลืมตัว “เหมือนของน้องไอซ์เลย”
“ของตลาดมันก็มีขายทั่วไปแหละแม่” พาริสรีบแก้ตัว หันไปสบตากับชายหนุ่มที่เข้านั่งประจำที่คนขับผ่านกระจกมองหลัง
เมื่อรถยนต์เคลื่อนตัวออกไปสักพัก เจ้าของรถจึงชวนคนที่นั่งด้านข้างพูดคุย
“คุณ...” กฤษณภูมิชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มอย่างเป็นมิตร “ให้ผมเรียกคุณน้าว่าอะไรครับ”
“ฉันชื่อนลัท เรียกว่าลัทก็ได้”
“ครับ น้าลัท” ชายหนุ่มเหลือบมองกระจกหลัง “แล้วผมเรียกลูกชายน้าลัทว่าน้องไอซ์ได้ใช่ไหมครับ”
“ไม่ได้” พาริสรีบตอบแทน แต่ก็โดนมือของผู้เป็นแม่ตวัดมาตีเบา ๆ ที่หน้าขา
“ได้สิ ก็น้องไอซ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายจริง ๆ นี่นา”
กฤษณภูมิสะอึกเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ระดับเครือญาติ
*****
ชายหนุ่มจอดรถยนต์ไว้ที่หน้าตลาดก่อนจะเดินเท้าเข้าไปในซอยเล็ก ๆ สู่ชุมชนที่ดูแล้วก็สามารถสรุปฐานะของคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี
“ที่จริงฉันก็คิดว่าสักปีหรือสองปีอาจจะพาน้องไอซ์ออกไปอยู่ข้างนอก เพราะข้างในนี่สังคมไม่ค่อยดีเท่าไหร่” นลัทเอ่ยปากเมื่อเห็นชายหนุ่มมองไปโดยรอบ “นี่น้องไอซ์เพิ่งจบการศึกษาภาคบังคับ ฉันอยากส่งให้เรียนวิทยาลัยต่อ แต่ตอนนี้ยังไม่พร้อม พอดีรู้ข่าวไอ้หวัด เอ้อ...คุณน้าสวัสดิ์ของคุณชายนั่นแหละ เลยคิดว่าถ้าได้ไปอยู่บ้านหลังนั้น จะได้ไม่ลำบากเรื่องเรียนหรือเรื่องชีวิตในวันข้างหน้า”
“แต่น้าลัทก็เก่งนะครับ เลี้ยงน้องไอซ์มาได้ขนาดนี้” เขาหันไปสบตากับเจ้าของนัยน์ตากลมโต
“เขาเองก็ทำงานพิเศษช่วยบ้าง”
กฤษณภูมิขมวดคิ้ว หรือว่าจะเป็นงานที่เขาเจอเมื่อคืนก่อน
ดูเหมือนพาริสจะเดาใจอีกฝ่ายถูกว่าคิดอะไรอยู่ จึงรีบขยายความ “งานที่ร้านสะดวกซื้อในตลาด”
พูดจบก็รีบเดินนำไปยังบ้านที่เป็นเรือนแถวให้เช่า ก่อนจะเปิดประตูและตะโกนเรียกผู้ที่อยู่ในบ้าน
“ยาย”
กฤษณภูมิเดินตามเข้าไปในบ้านซึ่งเป็นเรือนแถวหลังเล็ก ๆ ยิ่งพอเปิดประตูเข้าไปข้างในก็ยิ่งดูคับแคบ ในนั้นมีเก้าอี้พับที่มีสภาพเหมือนเก้าอี้ที่ใช้นั่งบนชายหาดซึ่งมีหญิงชราร่างผอมเกร็งเอนกายอยู่
“ว่ายังไง เจอไอ้หวัดไหม มันเป็นยังไงมั่ง” ปากของผู้เป็นยายถามไถ่ทันทีที่เห็นหลานชาย ก่อนจะเขม้นมองเมื่อพบว่ามีคนแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาในบ้าน “อ้าว...แล้วนี่ใคร?”
“คุณชายเขาเป็นหลานไอ้หวัด” นลัทอธิบายสั้น ๆ “เขาจะมารับพวกเขาไปอยู่บ้านนั้น”
“โอ๊ย...กูไม่ไปไหนหรอก” หญิงชราตะโกนลั่น “กูชอบที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
พาริสมองหน้าชายหนุ่มที่นิ่งขึงอยู่ แล้วสนับสนุนทันที “เห็นไหมว่าไม่มีใครอยากไปอยู่บ้านนั้นสักคน ให้พวกเราอยู่ที่นี่แหละ คุณชายกลับไปเหอะ”
กฤษณภูมิถอนใจยาวด้วยความหนักอก เขาเองก็พอรู้มาบ้างว่าคนชราส่วนใหญ่มักจะติดที่ ให้ย้ายไปที่อื่นก็คงยาก แต่ถ้าปล่อยคนแก่ไว้ที่นี่ อีกสองคนคงจะไม่ยอมไปอยู่ที่บ้านนั้นเช่นกัน
“ทำไมถึงไม่อยากไปล่ะครับ” เขาถามหญิงชราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แหม...ฉันดูละครมา ฉันก็พอรู้แหละน่า บ้านนั้นมันต้องมีตัวอิจฉาคอยแกล้งอยู่แน่ ๆ”
คดีพลิกเสียอย่างนั้น ชายหนุ่มแอบหัวเราะเมื่อได้ฟังเหตุผลของหญิงชรา “ไม่มีหรอกครับ นั่นมันในละคร”
“ละครมันก็มาจากเรื่องจริงนี่แหละพ่อคุณ ฉันเดาไว้เลยที่บ้านนั้นต้องมีคนที่อยากได้มรดก แล้วก็มีผู้หญิงที่ชอบแต่งตัวโป๊ ๆ ส่งเสียงกรี๊ด ๆ พวกคนใช้ที่ชอบนินทาเจ้านาย มีคนสวนกับแม่ครัวที่เป็นผัวเมียกัน”
พาริสหัวเราะเมื่อนึกภาพตามที่ยายพูด ผิดกับคุณชายที่ทำหน้าเจื่อน ๆ ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากบุคคลที่สาม
“ไปเถอะแม่ ถ้าแม่ไม่ไป น้องไอซ์ก็จะดื้อไม่ยอมไป” นลัทพูดห้วน ๆ
“อ้าวทำไมล่ะ มึงเป็นลูกไอ้หวัด ก็ต้องไปอยู่กับมันสิ”
“แต่ไอซ์เป็นหลานยายก็ต้องอยู่กับยายเหมือนกัน”
“พูดยากจังมึงนี่ ไอ้ลัทไปช่วยกูเก็บของ”
บทจะง่ายก็ง่ายเกินคาด แต่กฤษณภูมิก็รู้ว่าทำไมทั้งสองคนจึงยอมตามไปอยู่ด้วยทั้งที่ในใจไม่ต้องการ เป็นเพราะรักและคาดหวังอนาคตที่ดีกว่าสำหรับเด็กตรงหน้าจนยอมทุกอย่าง
“ยายกับแม่เขารักน้องไอซ์มากเลยนะ” ชายหนุ่มเปรยขึ้นมาเบา ๆ แล้วเหลือบตามองคนที่นั่งซึมอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะถามคำถามที่คาใจ “ทั้งที่ทางบ้านก็เดือดร้อนเรื่องเงิน ทำไมตอนนั้นถึงไม่รับเงิน”
“ผมไม่ได้ขาย”
“แสดงว่าให้ฟรี ใจบุญจังเลยนะ” หม่อมราชวงศ์กฤษณภูมิประชด ก่อนจะโน้มกายเข้าใกล้พร้อมกระซิบ “แล้วถ้าอยากได้อีก ต้องทำยังไง?”
นัยน์ตากลมโตคู่นั้นวาวโรจน์ด้วยความโกรธ ก่อนจะแบมือไปตรงหน้า
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “คราวต่อไปจะคิดเงินหรือไง?”
“เอาสร้อยข้อมือคืนมา แล้วลืมเรื่องทั้งหมดไปซะ”
คำตอบนั้นทำให้ชายหนุ่มคาดไม่ถึง “ทำไม?”
“ถึงอธิบายอะไรไป ถ้าคุณชายปักใจเชื่อว่าผมเป็นคนอย่างนั้นไปแล้ว มันก็คงจะเสียเปล่า คุณชายอยากจะคิดว่าผมเป็นอะไรก็ตามใจคุณชายเถอะ”
พาริสเดินไปช่วยแม่และยายเก็บข้าวของในบ้านโดยไม่หันกลับไปมองยังทิศทางที่ชายหนุ่มนั่งอีก เขารู้ว่าอีกฝ่ายยังคงเข้าใจอะไรผิด ๆ อยู่ แต่เขาเองก็เหนื่อยเกินกว่าจะแก้ความเข้าใจผิดนั้น
“น้องไอซ์ไปซื้อลังกระดาษที่ร้านยายแจ่มให้สักสองลังซิ” ผู้เป็นมารดาบอกบุตรชาย
“ผมไปด้วย” ชายหนุ่มที่นั่งรอรีบเดินตามไปติด ๆ ก่อนจะกระซิบบอก “ที่จริงไม่ต้องเก็บข้าวของพวกนี้ไปหรอก เดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่”
“ของบางอย่างมันมีค่าทางจิตใจ” พาริสตอบเสียงห้วน “สิ่งที่คุณชายเห็นว่าไม่มีค่า มันอาจจะมีค่าสำหรับบางคนก็ได้”
มือใหญ่คว้าข้อมือบางให้หยุดเดิน “นี่โกรธอะไร?”
“ผมไม่ได้โกรธ แต่เหนื่อยที่จะพูดกับคุณชาย พวกเรามันแตกต่างกันเกินไป สิ่งที่คุณชายเห็นว่าไม่มีค่า ไม่จำเป็น แต่มันคือทุกอย่างของเราแล้ว”
“เรื่องอะไร เรื่องเมื่อคืนก่อนใช่ไหม?” ชายหนุ่มอยากจะจับร่างตรงหน้าเขย่าให้พูดสิ่งที่เขาต้องการฟังออกมาให้หมด แต่ทันใดนั้นนัยน์ตาคู่สวยก็เบิกกว้างเหมือนเห็นเป้าหมายบางอย่าง
“ไอ้เจษฎ์” เสียงของพาริสคำรามก้อง พร้อมกับโผนเข้าหาชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า ก่อนจะระดมหมัดใส่ด้วยความเคืองแค้น แต่อีกฝ่ายพอตั้งหลักได้ก็สู้กลับเช่นกัน
กฤษณภูมิกับไอ้ติวพยายามแยกคนทั้งคู่ออกจากกัน
“เป็นเหี้ยอะไรวะ?” เจษฎาตะโกนใส่หน้าคู่แค้นหลังจากโดนดึงตัวให้ห่างจากกัน
“มึงสิเป็นเหี้ยอะไร ถึงได้ทำกับกูได้ขนาดนี้” พาริสตะโกนกลับพร้อมกับดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมแขนของชายหนุ่มที่พยายามรั้งตัวของเขาไว้ไม่ให้พุ่งไปหาคู่กรณี
เจษฎาชะงักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายอยู่กับใคร ชายหนุ่มสะบัดแขนจนหลุดจากมือของชายร่างเตี้ย แล้วหัวเราะลั่น “ที่แท้โกรธกูเรื่องเมื่อคืนก่อน แหม...กูอุตส่าห์หาผัวให้มึงนะ เลือกที่หน้าตาดี ๆ แถมเงินหนาอีก มึงยังไม่สำนึกบุญคุณกูอีก ว่าไงพี่ ลีลามันเด็ดไหมล่ะ” ตอนท้ายมันยักคิ้วให้ชายหนุ่มหน้าตี๋ “ติดใจล่ะสิถึงได้ตามมาถึงบ้าน”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “น้องไม่ควรทำกับเพื่อนแบบนี้”
“มึงไม่ใช่เพื่อนกู” พาริสตะโกนสวนทันควัน
“เออ มึงก็ไม่ใช่เพื่อนกูเหมือนกัน เพื่อนที่ไหนวะ พาตำรวจมาจับพี่กู แถมยุให้มายเลิกกับกูอีก”
พาริสชะงัก “กูไม่ได้ทำ”
“เพราะมึงนั่นแหละ ทำให้บ้านกูลำบากกันหมด ขาดไอ้แจ๊คไปคนหนึ่ง พ่อก็ด่าทุกวันเพราะไม่มีใครหาค่าเหล้าให้พ่อ ส่วนแม่ก็ร้องไห้ทุกครั้งที่คิดถึงไอ้แจ๊ค กูเบื่อบ้านแบบนี้ ส่วนมึงก็ระวังตัวไว้เถอะ เดี๋ยวกูจะพาไปขายอีก หรือตอนนี้ติดใจแล้ว ขายเอง...”
เสียงกำปั้นกระทบใบหน้าอย่างแรง ทำให้คำพูดนั้นหยุดชะงัก เพราะร่างผอม ๆ นั้นทรุดลงกับพื้น เจษฎาชี้หน้าชายหนุ่มหน้าตี๋ที่ทำร้ายตน
“มึงชกกู”
“สิ่งที่น้องได้รับอาจจะฟังดูแย่ แต่ก็ไม่ควรทำร้ายคนอื่นแบบนี้” ชายหนุ่มถือโอกาสสั่งสอน ก่อนจะดึงมือของพาริสเดินไปอีกทาง โดยไม่ฟังเสียงโวยวายที่ดังลั่นไปทั้งซอย
“ไอ้ไอซ์ มึงบอกผัวมึงเลยว่ากูจะคิดบัญชีกับมันแน่ ถ้ามาเดินให้เห็นแถวนี้อีก”
“ไอ้เจษฎ์มันคงแค้นมาก” พาริสช้อนตามองคนที่เดินจูงเขาอยู่ ก่อนจะชนกับแผ่นหลังคนข้างหน้าที่หยุดเดินกะทันหัน “นี่คุณชาย ถ้าจะหยุดก็บอกกันก่อน...”
“ทำไมไม่เล่าให้ฉันฟังตั้งแต่แรก” อีกฝ่ายหันมาพร้อมคำตำหนิ
“เหมือนคุณชายจะฟังอย่างนั้นแหละ” น้ำเสียงแสดงอาการน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วถ้าคนที่รับเราขึ้นรถไม่ใช่ฉัน จะเป็นยังไง?” เขากระชากเสียง ไม่เข้าใจความรู้สึกของตนเองแม้แต่น้อยว่าทำไมถึงโกรธได้มากขนาดนี้
“ไม่รู้ แต่ก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ” นัยน์ตากลมโตฉายแววเจ็บปวด
“ต่างกันสิ ก็ไอ้พวกนั้นมันคง...” แน่นอนล่ะว่าเขาไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับร่างที่ไร้สติของคนตรงหน้า แต่หัวใจกลับเดือดดาลเมื่อนึกไปว่าถ้าเป็นคนอื่นล่ะ แค่คิดก็แทบอยากจะฆ่าคน ๆ นั้นขึ้นมาทันที
“มันก็ทำเหมือนคุณชายนั่นแหละ แต่อาจจะดีกว่าเพราะคงไม่ได้เจอกันเพื่อตอกย้ำกันอีกแบบนี้” พาริสตวัดเสียงแล้วเดินนำไปอีกทาง
*****
รถยนต์คันหรูที่ตอนนี้กลายเป็นรถขนของไปแล้วนั้น ท่ามกลางข้าวของมากมาย ที่เบาะหลังนอกจากร่างของหญิงชราที่กำลังหลับใหลด้วยความเหนื่อยจากการเก็บข้าวของ ที่นั่งข้างคนขับกลับเป็นพาริส เนื่องจากผู้เป็นมารดาบอกว่าต้องกลับไปทำงานเนื่องจากลางานเพียงครึ่งวัน
หม่อมราชวงศ์กฤษณภูมิเหลือบตามองดวงหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างกายเป็นระยะ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นเขาเองที่ผิด เขาไม่ควรทำให้คน ๆ นี้เข้าใจคลาดเคลื่อนจนไม่สบายใจ แต่ทั้งที่รู้ดีว่าควรจะต้องรีบอธิบาย เขากลับเห็นแก่ตัวเพราะรู้สึกว่าการที่อีกฝ่ายเข้าใจว่าเขากระทำการเกินเลยไปนั้นกลับกลายเป็นเครื่องผูกมัดชนิดหนึ่ง
“เดี๋ยวแวะเก็บของที่ห้องฉันสักครู่นะ” เขาพูดเสียงเรียบพร้อมเหลือบมองคนนั่งข้าง ก่อนจะเลี้ยวรถเข้าจอดที่ลานจอดรถของอาคารชุดสุดหรู
“คุณขึ้นไปคนเดียวนะ” พาริสบอกความจำนง “ผมจะอยู่เป็นเพื่อนยายในรถ”
แต่คนที่ถูกพูดถึงกลับส่งเสียงดังเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ารถจอดสนิท “ถึงแล้วเรอะพ่อคุณ?”
“ยังครับ แต่ผมมาเก็บเสื้อผ้าไปนอนที่บ้านนั้นด้วย”
“เออ...งั้นฉันขอแวะเยี่ยวหน่อยเถอะ”
“ยาย” พาริสพยายามห้าม “ทนอีกนิด ไว้ไปเข้าห้องน้ำที่ปั๊ม”
“กูอั้นไม่ค่อยไหวแล้ว ที่นี่เขาห้ามเยี่ยวเรอะพ่อ?” ตอนท้ายหญิงชราหันไปถามเจ้าของรถ
“ไม่ได้ห้ามครับ ไปเข้าห้องน้ำที่ห้องผมก็ได้ครับ” คุณชายยิ้มจนตาหยี ก่อนจะเดินอ้อมไปเปิดประตูรถให้หญิงชรา แล้วพาขึ้นลิฟต์ไปยังห้องของตน
“แม่เจ้าโว้ย ห้องใหญ่เหลือเกิน” หญิงชราอุทานเมื่อเปิดประตูลิฟต์มาก็เจอห้องชุดขนาดใหญ่ ตรงหน้าเป็นลานกว้างเปิดไปสู่ระเบียง ส่วนฝั่งซ้ายเป็นห้องรับแขกและห้องนอนขนาดใหญ่ ฝั่งขวาเป็นห้องนอนเล็กและห้องครัว ชายหนุ่มเปิดประตูฝั่งขวาแล้วพาหญิงชราเดินไปยังห้องน้ำขนาดใหญ่
“นี่ห้องน้ำครับคุณยาย เดี๋ยวผมไปเก็บของที่ห้องก่อนนะครับ ตามสบายเลย”
“ไอซ์มึงไปช่วยคุณเขาเก็บของสิ” ยายโบกมือไล่หลานชาย
“ไอซ์จะอยู่กับยายตรงนี้แหละ ยายรู้เหรอว่ากดน้ำตรงไหน”
“ทำไมกูจะไม่รู้ กูเคยไปเยี่ยวที่ห้างมาก่อน กูรู้น่าว่าทำยังไง แล้วมึงจะมาดูกูเยี่ยวทำไม มึงไปช่วยเขาเก็บของไป” พูดจบก็ปิดประตูใส่
พาริสเดินคอตกไปยังโถงกว้าง ก่อนจะมองคนที่กวักมือเรียกเขาอย่างเคือง ๆ
“มีอะไร?”
“ยายให้มาช่วยเก็บของไม่ใช่หรือครับ?”
“แล้วให้ช่วยอะไรบ้างล่ะ?” พาริสพยายามไม่มองไปทางเตียงกว้างให้แสลงใจ
“หยิบเสื้อสีเทาในตู้ให้ที”
พาริสเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วขมวดคิ้ว “มีสีเทาตั้งหลายตัว จะเอาตัวไหน?”
“ตัวนี้ครับ” เสียงนั้นดังอยู่ข้างหู พร้อมปลายจมูกที่เฉียดผ่านแก้มเนียนจนเจ้าตัวสะดุ้ง
“คุณชาย!”
คนที่ถูกตะโกนใส่หน้ากลับหัวเราะเบา ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตามองอย่างเคือง ๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะชื้นไปด้วยหยาดน้ำที่ค่อย ๆ เอ่อขึ้นมา จนทำให้คนที่คิดจะหยอกเล่นถึงกับตกใจ
“ร้องไห้ทำไม?”
ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วพูดเสียงสั่น “คุณชายรังแกคนที่ไม่ทางสู้ เห็นสภาพผมเป็นแบบนี้แล้วคุณชายคงดีใจมากใช่ไหม”
“น้องไอซ์” น้ำเสียงคล้ายจะปรามให้ลดเสียงลง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
“ทำไมต้องทำแบบนี้กับผม” เจ้าตัวร้องโวยวายและเริ่มฟูมฟายเหมือนเด็กเล็ก ๆ จนกระทั่งถูกดึงตัวเข้าไปกอด ตอนแรกก็ดิ้นรน แต่เมื่อเห็นว่าคงไม่สามารถสลัดหลุดจากอ้อมแขนแข็งแรงได้ เจ้าตัวจึงเริ่มจะสงบลง
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ”
“คุณชายรังแกผม สนุกที่เห็นผมเป็นแบบนี้” พาริสพูดทั้งที่ใบหน้ายังเกลือกกับหัวไหล่แข็งแรง
มือใหญ่ลูบแผ่นหลังบางไปมาคล้ายจะปลอบขวัญ จมูกโด่งกดที่กระหม่อมแล้วสูดความหอมของเส้นผมที่มีกลิ่นของแชมพูเบาบาง ก่อนจะเผลอใจไล้ปลายจมูกกดแนบไปกับขมับชื้นเหงื่อ “พี่ขอโทษครับ”
สัมผัสแปลกใหม่และน้ำเสียงที่อ่อนโยนทำให้คนที่กำลังหัวร้อนอยู่ถึงกับชะงักไปชั่วครู่ นัยน์ตากลมโตช้อนขึ้นมองสบ พร้อมกับเสียงหัวใจที่เต้นแรงขึ้น ด้วยบรรยากาศและอารมณ์ในตอนนี้ดึงดูดให้ริมฝีปากสองคู่เคลื่อนเข้าหากันอย่างช้า ๆ
“เก็บของเสร็จหรือยังหือ?” เสียงหญิงชราดังขึ้นที่หน้าประตู
พาริสรีบผลักอกอีกฝ่ายออกห่างตัวโดยแรง จนทำให้ร่างของคุณชายถึงกับเซ
“ทำอะไรกันอยู่?” ผู้เป็นยายเดินเข้ามาในห้องแล้วมองไปรอบ ๆ “ห้องของพ่อคุณนี่ใหญ่ดีเนอะ อยู่คนเดียวหรืออยู่กับเมีย”
“อยู่คนเดียวครับ” กฤษณภูมิยิ้มกว้าง ก่อนจะมองตามร่างสูงโปร่งอย่างไม่ให้คลาดสายตา เขาเพิ่งรู้ว่าเวลาคนตกหลุมรักอะไรบางอย่าง ก็อยากจะเห็นสิ่งนั้นอยู่ในสายตาตลอดเวลา “คงจะไม่มีเมียแล้วมั้งครับ”
“ทำเป็นพูดดีไป เหมือนไอ้หวัดนั่นแหละ ตอนแม่ของน้องไอซ์ตายใหม่ ๆ ก็บอกว่าจะไม่มีเมียอีกแล้ว แต่ไม่กี่วันก็ปล้ำไอ้ลัทเสียอย่างนั้น”
ผู้ฟังทั้งคู่ถึงกับอ้าปากค้าง “คุณยายว่ายังไงนะครับ?”
“ตกใจล่ะสิ ตอนที่กูได้ยินพวกมันบอกกันว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว กูนี่ตกใจยิ่งกว่าเสียอีก เพราะเหมือนไอ้สองคนนี่มันไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่ ทะเลาะกันประจำตั้งแต่ก่อนที่แม่ของน้องไอซ์จะตายด้วยซ้ำ”
“แล้วคุณยายรับได้หรือครับ ที่น้าลัทต้องเป็นแบบนี้”
“แบบนี้มันแบบไหนล่ะพ่อคุณ ไอ้ลัทมันก็เป็นคนดี ทำงานสุจริตหาเลี้ยงทั้งบ้านมาได้ถึงขนาดนี้ จะโกรธมันไปทำไม แถมเรื่องของมันกับไอ้หวัดก็เป็นเรื่องของคนสองคน พวกคนนอกถ้าไปยุ่งก็ถือว่าเสือก”
*****
พาริสไม่รู้ว่าทำไมในละครน้ำเน่าต้องมีฉากเปิดตัวนางเอกแบบเว่อร์วัง ชนิดเดินลงมาจากห้องชั้นบนด้วยชุดฟูฟ่อง แต่เมื่อเขากลับเข้ามาที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง ดูเหมือนว่าทัดดาวจะเปลี่ยนไป เพราะตอนนี้เจ้าตัวกำลังเดินลงมาตามบันไดในชุดเดรสสีชมพูฟรุ้งฟริ้ง พร้อมกับใบหน้าที่แต่งแต้มเฉิดฉาย และที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคงจะเป็นหน้าอกขนาดมหึมาที่นึกไม่ออกว่าในยามที่เจ้าตัวแต่งชุดทอมบอย เจ้าตัวเอาไปเก็บซ่อนไว้ที่ตรงไหน
“มองตาไม่กระพริบเลยนะ” พาริสพูดลอดไรฟันเมื่อเห็นสายตาของคุณชายที่จ้องมองเป้าหมายเดียวกัน
“ก็แปลกตาดี” คุณชายกฤษณภูมิพูดยิ้ม ๆ
เหมือนกับว่าหญิงสาวตั้งวัตถุประสงค์ใดไว้ในใจแล้ว เมื่อเดินลงจากบันไดมาถึงพื้นราบ เจ้าตัวก็เดินเฉียดไปทางพาริส
“ว้าย...คุณน้องไอซ์” น้ำเสียงอ่อนหวานอุทานเสียงดัง พร้อมกับร่างบาง ๆ ที่อยู่ดี ๆ ก็หมุนตัวควงสว่านแล้วทรุดฮวบลงกับพื้น ราวกับโดนชนอย่างแรง
พาริสสาบานได้เลยว่าไม่ทันถูกเนื้อต้องตัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย นัยน์ตากลมโตหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนมองพวกเขาราวกับกำลังชมรายการแสดงจำอวดอะไรสักอย่าง
เสียงซุบซิบจากสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างบ่งบอกว่าตอนนี้เขากำลังสวมบทบาทนางร้าย ไอซ์ อภิษฎา ไม่ใช่นางเอกไอซ์ ปรีชญา
พล็อตทวิสต์เสียแบบนี้ พาริสนึกไปถึงบทบาทของนางร้ายในละคร เขาต้องทำยังไงบ้างวะ
“เจ็บจังเลย” เสียงงุงิของสาวน้อยทัดดาว ทำให้พาริสเขม้นมองชายหนุ่มตรงหน้าว่าจะมีปฏิกริยาอะไร
ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้แล้วก้มลงถามหญิงสาวที่ทรุดตัวอยู่ “เป็นอะไรมากไหม?”
“ข้อเท้าพลิกค่ะ แต่ทัดดาวผิดเองที่เดินไม่ดูทาง” หญิงสาวพูดเสียงอ่อนหวาน พร้อมกับชูมือสองข้างขึ้นเตรียมโดนอุ้มด้วยท่าเจ้าสาว
แม่งเอ๋ย น่าให้ยายมาเห็น เหมือนละครที่ดูเปี้ยบ เว้นแต่ไอ้คุณชายมันคงไม่เคยดูละครโทรทัศน์ เพราะกวักมือเรียกสาวใช้ที่ยืนอยู่ให้เข้ามาช่วยประคองร่างบาง ๆ นั้นขึ้นมาจากพื้นที่นั่งพับเพียบอยู่ เขาแอบได้ยินสาวน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความเสียดาย
เอาละ คราวนี้ก็ถึงตาเขาแล้ว นางร้ายนี่ต้องยั่วนิด ๆ บดหน่อย ๆ ด้วยหรือวะ
พาริสเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มแล้วเกาะต้นแขน “วันนี้ว่างไหมครับ?”
“พอมีเวลาอยู่บ้าง”
“งั้นคุณชายพาน้องไอซ์ไปกินข้าวข้างนอกนะครับ” พยายามเบียดหน้าอกแบนราบกับต้นแขนที่เกาะอยู่ ก็รู้อยู่หรอกว่ามันคงไม่ได้อารมณ์อะไรเท่าไหร่นักหรอก แต่เจ้าของต้นแขนไม่จำเป็นต้องกลั้นยิ้มจนตาเป็นสระอิขนาดนี้ได้หรือเปล่า
“ได้ครับ” รับคำพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอ แล้วก้มกระซิบให้ได้ยินกันสองคน “อันนี้จากละครเรื่องอะไร?”
เจ้าของนัยน์ตากลมโตบึนปาก แล้วหันไปทางสาวน้อยอดีตทอมบอยที่มองเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด เสียใจด้วยนะแม่ทัดดาว
“มองอะไร?” ที่จริงเขาก็ถามไปตรง ๆ นั่นแหละ แต่บรรดาคนใช้ในบ้านดันเห็นเป็นการหาเรื่องไปเสียนี่ ถึงขั้นหันไปซุบซิบกันเสียงดัง
“ต๊าย ร้ายจริง”
“เหมือนนางอิจฉาในละครเมื่อคืนเป๊ะเลยนะเธอ”
ก็แหงละ ดูเรื่องเดียวกันนั่นแหละ ก๊อปปี้เสิ่นเจิ้นเกรดเอเลยทีเดียว
*****
พาริสเห็นยายทำลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่ในห้องนอนของคุณสวัสดิ์สุโข จึงโผล่หน้าเข้าไปถาม
“ยายหาอะไร?”
“ว้ายหกตกคะเมน” หญิงชราอุทานด้วยความตกใจ “มึงทำกูตกใจ นี่ถ้าหัวใจวายไปกูจะกลายเป็นผีมาหักคอมึง”
“แล้วยายมาทำอะไรในห้องนี้ล่ะ?”
“ก็ว่าจะมาเยี่ยมไอ้หวัดมันสักหน่อย”
“เขาก็นอนอยู่บนเตียง แล้วยายมาทำอะไรที่โต๊ะหนังสือ”
ผู้เป็นยายทำหน้ามีเลศนัย ก่อนจะป้องปากกระซิบ “ในห้องนี้มีกรอบรูปหรือกล่องดนตรีหรืออะไรแปลก ๆ ไหมวะ”
“ยายจะเอาไปทำอะไร”
“แหม มึงไม่เคยดูละครหรือไง บางทีไอ้หวัดอาจจะซ่อนภาพถ่าย หรือจดหมาย หรืออะไรที่สำคัญ ๆ ไว้ในนั้น”
“มันจะเป็นไปได้ยังไงกันเล่า” บางครั้งพาริสก็อยากให้ยายลดการดูละครโทรทัศน์ลงไปบ้าง “ยายจะไปเยี่ยมพ่อก็รีบทำเถอะ เดี๋ยวไอซ์ลงไปหาคุณชายก่อน”
“เออ มึงจะไปไหนก็ไปเถอะ”
หญิงชราเดินงก ๆ เงิ่น ๆ ไปยังเตียงนอนผู้ป่วย มองแก้วน้ำ และขวดยาประดามี ยกขึ้นดมบ้าง วางบ้าง ส่องกับแดดบ้าง แล้วพึมพำ “พวกมันคงไม่วางยามึงหรอกนะไอ้หวัด” แล้วหรี่ตามองคนบนเตียงอย่างสังเกต “มึงนี่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยนะ อย่างว่าแหละ กินดีอยู่ดีเลยแก่ช้า ดูไอ้ลัทสิ ทำงานงก ๆ จนแทบจะแก่กว่ากูแล้ว”
เปลือกตาของชายบนเตียงขยับไหว พร้อมกับเปิดขึ้นช้า ๆ “ลัทเขาลำบากขนาดนั้นเลยหรือแม่”
หญิงชราสะดุ้งโหยง “ไอ้หวัด นี่มึงแกล้งป่วยหรือไง?”
คุณสวัสดิ์สุโขขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้แกล้ง แต่อาการดีขึ้นแล้ว”
“วันก่อน ไอ้ลัทบอกว่ามึงยังจำอะไรไม่ได้อยู่เลย”
“ก็ตอนที่ฉันเจอหน้ามันเมื่อวาน ฉันก็กลัวว่ามันจะโกรธ เลยแกล้งบอกว่าจำไม่ได้ นี่มันยังโกรธฉันอยู่ไหม?”
“มึงก็ทำตัวเองไม่ใช่เหรอ ตอนนั้นมึงบอกว่าชอบมันมาก แล้วทำไมถึงทิ้งมันกับลูกไป”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ตอนนั้นแม่ของฉันให้คนมาตามตัวกลับมา เพราะพ่อป่วยมาก พอพ่อฉันเสีย ฉันก็เลยต้องดูแลคนที่นี่แทน พอเข้าที่เข้าทาง แม่ก็มาเสียอีก”
“มึงก็ดูแลแต่คนทางนี้ แล้วไอ้ลัทกับลูกมึงล่ะ ไม่สนใจบ้างเลยหรือไง?”
“ฉันก็คิดถึงอยู่ทุกวัน”
หญิงชรายกมือขึ้นเขกศีรษะลูกเขยตัวดี “แค่คิดถึงแล้วคนทางนั้นเขาจะสบายขึ้นไหม มึงรู้ไหมว่ากว่าไอ้ลัทจะเลี้ยงลูกมึงโตมาได้ขนาดนี้มันเหนื่อยขนาดไหน”
“ก็พอจะวาดภาพออกอยู่หรอก ฉันนี่มันเลวจริง ๆ ทิ้งลัทกับลูกได้ลงคอ”
“แม่!”
“ยาย!”
เสียงประสานกันของนลัทและพาริสทำให้หญิงชราสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเหลียวหน้ากลับไปพบว่าลูกชายและหลานชายของตนกำลังยืนมองอยู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังขา
“แม่คุยกับไอ้หวัดอยู่หรือ?” นลัทหรี่ตามองอย่างจับผิด
“กูจะคุยกับมันรู้เรื่องได้ยังไง มันยังจำอะไรไม่ได้สักนิด เมื่อกี้ถามมันว่ากินข้าวหรือยัง มันยังตอบว่าเพิ่งขี้ไปอยู่เลยเนี่ย อีกหน่อยกูว่ามันคงจะละเลงขี้เล่นได้แล้วแหละ”
คุณสวัสดิ์สุโขมองหน้าแม่ยายตนเองอย่างเคือง ๆ ที่แอบด่าเขาต่อหน้า โดยที่เขาไม่มีโอกาสแก้ตัวเลยแม้แต่น้อย
“ต๊าย...ยกโขยงมาอยู่ตรงนี้กันนี่เอง” เสียงแหลมปรี๊ดของคุณมณฑาดังขึ้นพร้อมกับร่างอวบในชุดสีสดใสเดินนำหน้าแม่ยุพากับทัดดาวเข้ามาในห้อง “คุณพี่เริ่มจำอะไรได้บ้างหรือยังคะ รู้สึกคุ้น ๆ กับแม่ยุพากับหนูทัดดาวไหมคะ”
คุณสวัสดิ์สุโขมองคนที่อยู่โดยรอบอย่างกระอักกระอ่วน โดยเฉพาะสายตาของคนที่เคยร่วมเรียงเคียงหมอนกันมา ที่ตอนนี้เขม้นมองราวกับเสือที่คอยตะครุบเหยื่อ
ขณะที่ทุกคนกำลังจับตามองคุณสวัสดิ์สุโขอยู่นั่นเอง คุณมณฑาก็แกล้งเลื่อนนิ้วไปเขี่ยกรอบรูปบนหัวเตียงจนหล่นลงกับพื้น
เพล้ง!!
“ว๊าย ขอโทษที ฉันนี่ซุ่มซ่ามเหลือเกิน” คุณมณฑาพยายามจะก้มลงเก็บ แต่ด้วยรูปร่างที่ท้วมทำให้ทำได้ลำบาก บุตรสาวจึงก้มลงหยิบขึ้นมา
“คุณแม่คะ ในกรอบรูปนี่มีรูปเก่าซ่อนอยู่ด้านหลังอยู่ด้วยนี่คะ”
“ตายจริง กรอบรูปนี่อยู่ในห้องมาตั้งนาน เพิ่งรู้ว่าคุณพี่สวัสดิ์แอบซ่อนรูปลูกเมียตัวเองไว้ในนี้ด้วย”
“คุณแม่คะ ษายังไม่ได้บอกเลยว่าเป็นรูปอะไร ทำไมคุณแม่ถึงรู้” บุตรสาวหรี่ตามองมารดาของตนด้วยความสงสัย
“แหม แม่ก็เดาไปอย่างนั้นเองแหละ ก็รูปอยู่ในห้องของคุณพี่สวัสดิ์ถ้าไม่ใช่รูปที่มีความสำคัญ ทำไมถึงต้องแอบเก็บด้วยล่ะ” คุณมณฑาพยายามตีเนียน “แล้วเป็นรูปอะไรล่ะจ๊ะ”
มาริษาชูรูปนั้นขึ้นมา เป็นรูปของชายหนุ่มสองคนที่กำลังอุ้มเด็กทารกวัยน่ารักคนหนึ่ง
“รูปไอ้ลัทกับไอ้หวัดกับลูกนี่เอง” หญิงชราหัวเราะชอบใจ
“เป็นรูปนี้ได้ยังไงกัน” แม่ยุพาอุทาน พร้อมกับหันไปทางคุณมณฑาซึ่งตอนนี้มีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
“อ้าว แล้วมึงจะให้เป็นรูปอะไรล่ะจ้ะ?” หญิงสูงวัยลอยหน้าลอยตาถาม “มันก็ต้องเป็นรูปลูกเมียไอ้หวัดนี่แหละจ้า เอ้า...ใครที่ไม่ใช่ลูกเมียเขาก็ออกไปได้แล้ว ถ้าอยู่ก็ถือว่าเสือกเรื่องชาวบ้าน”
หญิงชราเดินหัวเราะออกไปจากห้องเป็นคนแรก ก่อนที่คนอื่นจะทยอยเดินตามออกไปจนกระทั่งเหลือเพียงพาริสและมารดา
“น้องไอซ์ออกไปก่อน ขอแม่คุยกับไอ้หวัดตามลำพัง”
*****
“พ่อจะเป็นอะไรไหม?” พาริสมองประตูห้องที่ปิดอยู่อย่างเป็นห่วง
“น้าลัทดุมากหรือไง?” กฤษณภูมิกุมมือคนรักไว้หลวม ๆ
“ก็ไม่เคยเห็นแม่โกรธขนาดนี้มาก่อน”
“แต่ก็สมควรโกรธหรอกนะ ที่คุณน้าสวัสดิ์ทิ้งน้าลัทกับน้องไอซ์ให้ดิ้นรนอยู่ตามยถากรรมกันแบบนั้น” กฤษณภูมิพยายามปลอบขวัญ “แต่รับรองนะว่าพี่ไม่มีทางทิ้งน้องไอซ์แน่นอน”
“ระวังเถอะ ไอซ์จะทิ้งคุณชายไปก่อน”
“ไม่มีทาง ถ้ารู้ล่วงหน้า พี่จะพาไปขังที่เกาะ แล้วปล้ำทุกคืน”
“คุณชายดูละครโทรทัศน์กับเขาด้วยหรือครับ?” พาริสทำหน้าสงสัย
กฤษณภูมิแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “นี่พล๊อตละครหรือครับ พี่ไม่เห็นรู้เลย”
THE END
ชอบจังเลยค่า เหมือนได้ดูละครในทีวีเหมือนย่าน้องไอซ์เลยค่า อินจริงๆ 555
ฮื้อออ ชอบจังเลยค่ะ 5555555 น้องไอซ์ช่างแสนน่ารัก ล้อกับพลอทละครไทยได้ดีมากเลยค่ะ ประทับใจทุกชอตเลย คนพี่ก็เป็นพระเอกที่ไม่ได้ซื่อบื้อเหมือนในละคร แถมน้องไอซ์เรายังก้อปเสิ่นเจิ้นไอซ์อภิษฏาอีก แต่ช่างน่าร๊ากกกอ่ะ ฮื้ออออ อ่านแล้วยิ้มกว้างตลอดเรื่องเลยค่ะ รู้สึกมันเขี้ยวมากๆ ชอบความคุณยายมากเลยชอบประโยค "ถ้าอยู่ก็ถือว่าเผือกเรื่องชาวบ้าน" อุแงงง คุณยายคะ มายไอดอลมาก เยิ้ฟฟฟฟ รอติดตามงานชิ้นต่อๆไปนะคะ
ชชอบความเอาพล็อตละครมาเขียนแงง สนุกมากน่าสนใจอ่านแล้วมีช่วงพีทใจกรตุก ติดตามนะคะดีใจที่ไร์ทยังแวะมาเดินเรือ
ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี แต่ชอบความที่ทุกอย่างมันดันบังเอิญไปเหมือนกับละครหลังข่าว 55555555555555 ชอบความพยายามเป็นนางรว้ายของน้อง เปรียบเทียบกับสาวไอซ์ทั้งสองซะเห็นภาพน้ำตากามเทพลอยมาเลย แง้ อยากให้มีต่อจังค่ะ จำเลยอั๊ยไรงี้ ส่วนคุณชายนี่ก็แอบดูละครมาใช่มั้ยคะ รู้ทุกเรื่องรู้ทุกพล็อต 555555555
55555 ชอบพล๊อตเรื่องมากเลย Soap Operaสุดฤทธิ์ คุณชายกฤษณภูมิกับน้องไอซ์คือดูละครกันทั้งคู่สินะ ชอบตอนน้องไอซ์เป็นนางร้าย เอ็นดูความพยายามยั่วๆบดๆของน้อง 55555 แล้วนี่เป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย อยากให้มีตอนต่อจังค่ะ ชอบมาก ^^