คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 เทพบุตรหลงทาง? [100%]
ตอนที่ 1 เทพบุตรหลงทาง?
(อัพครั้งแรก พ.ค.58)
(แก้ไขคำผิด+ปรับเนื้อหาบางส่วนล่าสุด [1] 27/11/61)
“ที่นั่งตรงนี้ยังว่างอยู่ ผมขอนั่งด้วยได้ไหมครับ”
เสียงนุ่มทุ้มฟังดูอ่อนโยนคล้ายเสียงพากย์ของพระเอกในซีรีย์เกาหลีหรือหนังจีนกำลังภายในทำให้เธอลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มคู่สวยหลังแว่นกันแดดหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนเบาะนั่งข้างลำตัวขึ้นมาวางบนตักของตนเองแล้วย้ายสะโพกกระเถิบตัวนั่งชิดหน้าต่างมากขึ้น เพื่อเว้นที่นั่งให้เขาตามมารยาท ก็นี่มันรถบริการสาธารณะทุกคนที่จ่ายค่าโดยสารย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกัน เธอจะวางเฉยแกล้งไม่ได้ยินแกล้งหลับเพียงแค่ไม่อยากให้ใครมานั่งด้านข้างได้อย่างไร อีกอย่างพอรถออกวิ่งได้สักระยะก็จะมีผู้โดยสารขึ้นมาบนรถเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรเบาะนั่งด้านข้างของเธอก็ไม่ว่างอยู่ดีจะเป็นหญิงหรือชายก็ต้องมีสักคน ถ้าคนเยอะๆ อาจมีอีกสองถึงสามคนมานั่งข้างเธอ
“ขอบคุณครับ”
ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มให้เธอก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ ด้วยท่าทางตื่นเต้นราวกับเด็กน้อยเพิ่งเคยไปเที่ยวสวนสนุกเป็นครั้งแรก
‘นั่งรถเมล์ น่าสนุกขนาดนั้นเชียวเหรอ? สงสัยคงเพิ่งเคยขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่แน่นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณคิดจะขึ้นอีกก็ได้’
เธอยิ้มขำกับความคิดของตัวเองแล้วหันหน้าออกทางนอกหน้าต่าง
“เจียงของ เจียงของ รถจะออกแล้วเน้อ เจียงของ”
คุณป้ากระเป๋ารถเมล์ยังทำหน้าที่ของตนอย่างไม่ขาดตกบกพร่องจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนรถออกเดินทาง ท่านร้องเรียกผู้โดยสารเพื่อให้ได้จำนวนคนมากที่สุดและก็ได้ผล มีคนอีกจำนวนไม่น้อยวิ่งขึ้นมาบนรถ แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีที่นั่งว่างเหลืออยู่เลยก็ตาม อาจมีหลายคนที่ต้องยืนตลอดเส้นทางเป็นระยะเวลาเกือบสองชั่วโมงครึ่งกว่ารถจะถึงที่หมายก็เป็นได้
คนที่ขึ้นมาทีหลังคงคิดว่าน่าจะเป็นการดีกว่าหากต้องรอรถเที่ยวต่อไปออกจากชานชาลาในอีกหนึ่งช่วงโมงข้างหน้าช่วงเวลาห้าโมงเย็น แถมยังเป็นรถเที่ยวสุดท้ายของวัน จำนวนผู้โดยสารจะเยอะมากกว่าปกติ เพราะเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงาน ที่สำคัญวันนี้ยังเป็นวันศุกร์อีกด้วย บรรดาเด็กๆ ต่างอำเภอที่เข้ามาเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัดก็พากันกลับบ้านช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ คนมากเบียดเสียดกันจนไม่มีที่ว่างให้ยืนหรือแม้แต่จะให้กระเป๋ารถเมล์เดินเก็บเงินค่าโดยสารด้วยซ้ำ
“อ้าว ถอยเลย เลย ยาว ยาวเลย พอ มีรถมา อ้าวถอยแหม แหม หยุด!”
เสียงสัญญาณเตือนดังปิ๊บปิ๊บของรถประจำทางที่กำลังถอยหลังออกจากชานชาลาพร้อมเสียงร้องโบกรถให้สัญญาณบอกทางของคุณป้ากระเป๋ารถเมล์ดังอยู่ท้ายรถก่อนคนทำหน้าที่คุมท้ายจะรีบวิ่งตามรถที่เคลื่อนตัวเดินหน้าผ่านชานชาลาแล้วก้าวขากระโดดโหนราวประตูขึ้นมาบนรถอย่างชำนาญ
“เฮ้อ... รถออกสักที”
แม้จะย่างเข้าสู่ช่วงเวลายามเย็น ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงสายลมโบกพัดมาให้ได้ชื่นอกชื่นใจขึ้นบ้าง แต่ความร้อนอบอ้าวจากแสงอาทิตย์กลับไม่ได้เบาบางลงเลย อุณหภูมิในตอนนี้ยังคงร้อนไม่ต่างจากเที่ยงวัน จะโทษใครได้ที่โลกของเราร้อนขึ้นทุกวี่วันอย่างนี้ก็ล้วนเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งนั้น ฤดูกาลต่างๆ ผันเปลี่ยนแปรปรวนไปหมด ที่ที่ฝนเคยตกก็ไม่ตก ที่ที่ฝนไม่เคยตกก็ตกซัดกระหน่ำพายุพัดถล่มเกิดภัยพิบัติยากลำบากกันทั่วหน้า
สายตามองทอดยาวออกไป รถยนต์จำนวนมากมายกำลังจอดนิ่งยาวเหยียดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บนท้องถนน แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาไม่กี่นาที ไม่นานถึงยี่สิบสามสิบนาทีหรือเป็นชั่วโมงอย่างในกรุงเทพฯ แต่อากาศร้อนอบอ้าวแถมรถยังมาติดแหง็กอยู่กับที่ไปไหนไม่ได้อีก ถึงพยายามไม่คิดอะไรมากทำใจร่มๆ มันก็ยังรู้สึกหงุดหงิดตงิดๆ ขึ้นมาอยู่ดี ถ้ารถวิ่งฉิวสายลมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง มีฝนตกพรำๆ ลงมาให้อากาศเย็นขึ้นคงทำให้อารมณ์ดีกว่านี้ไม่น้อย
“อิจฉาคนกรุงเทพฯ จัง อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ฝนตกตลอดทุกวัน เชียงของฝนแทบไม่ตกเลย ร้อนจะตายอยู่แล้ว เฮ้อ”
เสียงบ่นงึมงำเบาๆ กับตัวเอง ถ้าใครได้ยินเข้าคงคิดว่าเธอเป็นพวกแปลกประหลาด ไหนจะสวมแว่นกันแดด หน้ากากอนามัยและเสื้อแจ๊คเก็ตตัวใหญ่โค่ง ปกปิดหน้าตาราวกับโจรลักขโมยเตรียมปล้นทรัพย์ ไหนจะพูดจาคนเดียวอีก คนอื่นคงคิดว่าเธอเป็นจิตไม่ปกติอย่างไม่ต้องสงสัย
รถประจำทางจอดรับผู้โดยสารที่โบกรถอยู่ข้างทางขึ้นมาเรื่อยๆ จำนวนผู้โดยสารบนรถก็เริ่มหนาแน่น เธอเห็นว่ามีคุณยายคนหนึ่งอายุน่าจะราวๆ เจ็ดแปดสิบปี ผมสีดอกเลาหลังค่อมโก่งยืนเกาะเบาะเก้าอี้ใกล้ๆ แต่ก็ไม่มีผู้อ่อนวัยกว่าที่นั่งอยู่คนไหนคิดจะทำหน้าที่เป็นพลเมืองดีสละที่นั่งให้ท่านเลยแม้แต่คนเดียว เห็นแบบนั้นแล้วเธอจึงขยับตัวเตรียมจะลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงนุ่มๆ เอ่ยออกมา
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมลุกเอง” ราวกับเขาจะรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ และเขาเองก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน
ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วสะกิดแขนคุณยายคนนั้น พร้อมประคองคนสูงวัยที่เดินงกเงิ่นโงนเงนจากการใช้กำลังขาอันน้อยนิดยืนหยัดเป็นเวลานานจนเกินไปให้นั่งลงข้างๆ เธอ แล้วตนเองก็ยืนจับราวอยู่ใกล้ๆ
“ขอบใจจาดนักเน้อ[1] อ้ายบ่าว[2] บุญก้ำบุญจู[3] มีน้ำอกน้ำใจ๋กับคนเฒ่า[4]”
พอนั่งลงคนสูงวัยก็พูดจ้อรัวติดกันจนชายหนุ่มฟังแทบไม่ทันพร้อมกับลูบแขนคนน้ำใจงามเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ขณะที่พลเมืองดีนั้นได้แต่ส่งยิ้มพร้อมทำตาปริบๆ แบบงงๆ ให้ท่าน
“ผ่อเลาะ[5] หน้าต๋าก้อจ้าดหล่อ[6] หล่อใบ้หล่อง่าว[7] นิสัยก่อดีแหม มีแฟนละกะ ถ้ายังบ่อมี ยายมีหลานสาว เอาเบอร์หลานยายก่อ”
คุณยายอมยิ้มพร้อมลวงเอาโทรศัพท์มือถือรุ่นฮีโร่อึดทนทานออกจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมา
“เนอะอีหล้า[8] อ้ายบ่าวนี่หล่อเนอะ[9]”
ท่านหันมาถามความเห็นของเธอหาแนวร่วมแล้วยิ้มร่าอย่างคนเพิ่งเจอของถูกอกถูกใจมากจนแทบไม่อยากปล่อยหลุดมือไป
เธอพยักหน้าหงึกๆ เชิงเห็นด้วยกับคุณยายผู้ต้องการเป็นกามเทพสื่อรักให้หลานสาว เห็นแล้วทำให้เธอนึกถึงรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่งทางช่องทีวีดิจิตอล ซึ่งเป็นเทปรายการตอนที่พาไปท่องเที่ยวยังเมืองหนึ่งของประเทศจีน เป็นเมืองที่ผู้สูงอายุมีกิจกรรมยามว่างแบบแปลกๆ นั่นคือการใช้เวลาว่างไปพบปะกันที่สวนสาธารณะเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลประวัติส่วนตัวหน้าที่การงานและทำหน้าที่จับคู่หาคู่นัดบอร์ดให้กับลูกหลานของตน
“ยายบอกว่าขอบใจคุณมาก คุณมีน้ำใจกันคนแก่ ขอให้บุญเกื้อหนุน แล้วก็ชมว่าคุณหน้าตาดี ท่านมีหลานสาว คุณอยากได้เบอร์ไหม ท่านจะให้เบอร์หลานสาวกับคุณ” เธอทำหน้าที่เป็นล่ามเฉพาะกิจแปลภาษาท้องถิ่นให้เขาฟัง
เขาพยับพะเยิบหน้าแล้วยิ้มเพิ่งเข้าใจในสิ่งที่คุณยายพูดออกมา แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกขำนั่นคือใบหน้าขาวๆ ของเขาเริ่มแดงระเรื่อลามไปถึงใบหูและลำคอ
'ผู้ชายขี้อายน่ารักดีเฮอะ' เธอเผลออมยิ้มกับท่าทางเช่นนั้นของเขา
“ไม่เป็นไรครับคุณยาย ขอบคุณครับ”
เขารีบยกมือขึ้นปฏิเสธพัลวันแล้วลูบท้ายทอยตัวเองก่อนหัวเราะอย่างเคอะเขิน
“มีแฟนแล้วกะ เฮ้อ เสียดายเนอะ บ่อเป็นหยัง แฟนเฮาโจกดีขนาด[10] ได้คนหล่อโตย[11] ดีโตย”
แม้จะยิ้มตอบแต่สีหน้าของคุณยายก็บ่งบอกได้ชัดว่าท่านเสียดายสุดๆ
“ฮื่อๆ กรี๊ด! อ้าย[12] จะนั่ง อิแม่อ้ายจะนั่ง”
เสียงเด็กหวีดร้องบนรถทำเอาผู้โดยสารทั้งตกใจ และระอาในคราเดียวกัน
“เงียบ ถ้าบ่อเงียบแม่ตี๋หนา[13]”
แม่เด็กหน้าม้านด้วยความอายที่ไม่สามารถทำให้ลูกน้อยของตนอยู่ในความสงบไม่สร้างความรำคาญให้แก่ผู้อื่นได้
“อ้ายจะนั่ง ฮื่อๆ” เด็กน้อยยังคงหวีดร้องสะอึกสะอื้นเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
“ก็มันบ่อมีตี่[14] นั่ง แล้วจะนั่งได้จะใด[15] มานี่มะเดียวแม่อุ้ม กำเดียวก็ได้ลงละ จะถึงบ้านเฮาแล้ว เงียบ! ถ้าบ่อเงียบแม่จะตี๋หนา”
พูดก็แล้วปลอบก็แล้ว ลูกน้อยก็ยังไม่หยุดส่งเสียงดัง คนเป็นแม่กลัวว่าลูกจะยิ่งสร้างความรำคาญให้คนอื่นๆ และสิ่งที่เลือกทำคือการยกมือขึ้นกลางอากาศขู่ว่าจะลงโทษหากลูกยังไม่หยุดเอาแต่ใจนั่นกลับยิ่งทำให้เด็กหวีดร้องเสียงดังมากขึ้นกว่าเดิม
“นั่งนี่ก็ได้เจ้า”
เธอขยับตัวลุกขึ้นให้เด็กน้อยนั่ง ขณะที่เขายืนอยู่ใกล้ๆ ถอยหลังเล็กน้อยเว้นที่ให้เธอยืน
“อิแม่นั่งโตยอ้ายมะ”
เด็กน้อยตบมือเปาะแปะกับเบาะเก้าอี้เรียกให้คนเป็นแม่นั่งลงด้วยกัน แม่เด็กส่งยิ้มเก้อเขินให้เธอ
“ขอบใจเน้อ[16] น้อง น้องบอล ตุ๊จ้าขอบคุณปี้[17] เปิ้น[18] ก่อนเร็ว ปี้เปิ้นลุกฮื้อ[19] น้องบอลนั่งน่ะคับ ตุ๊จ้า[20] เร็วๆ”
เด็กน้อยยกมือขึ้นพนมไหว้ขอบคุณเธอพร้อมกับยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันกระต่ายคู่หน้า และท่าทางน่ารักใสบริสุทธิ์ของเด็กเป็นภาพที่สามารถเรียกรอยยิ้มกว้างให้กับทุกคนที่ได้เห็น
‘เป็นเด็กก็ดีแบบนี้ เปลี่ยนอารมณ์ได้เร็วดี’
“ลงไหน? แยกปากตางเวียงชัย ซาวห้า[21] บาท ลงไหน?”
เสียงคุณป้ากระเป๋ารถเมล์เดินเก็บเงินค่าโดยสารใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงเขา
“อ้ายลงไหน”
“ผมลงเชียงของครับ”
“สุดสายท่ารถหน้ากาด[22] น้อ[23] เจ็ดสิบสองบาท”
ค่ารถขึ้นอีกแล้ว เธอนั่งรถสายนี้ตั้งแต่ค่าโดยสารสี่สิบสองบาท เมื่อไหร่กันนะที่คนไทยจะได้ซื้อน้ำมันราคาถูกลิตรละเจ็ดแปดบาทบ้าง
“แป๊บนะครับ”
หนุ่มหล่อลวงกระเป๋าเงินหนังแท้แบรนด์ดังขึ้นมาก่อนหยิบเอาธนบัตรสีเทายื่นให้คุณป้ากระเป๋ารถเมล์
“ใบพันไม่มีทอนหรอกคุณ”
น้ำเสียงคนปฏิเสธฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อย ขณะที่เธออดเสียมารยาทแอบเหลือบมองดูในกระเป๋าเงินของเขาอย่างเสียไม่ได้ก็เห็นว่าในนั้นมีแต่ธนบัตรแบงค์พันบาทกับบัตรเครดิตอีกหลายใบ
‘นึกว่าฉากแบบนี้จะมีให้เห็นแต่ในละครซะอีก’
“เจียงของ สองคนเจ้า”
เธอหยิบแบงค์ร้อยหนึ่งใบกับแบงค์ห้าสิบอีกหนึ่งใบยื่นให้คุณป้ากระเป๋ารถเมล์ นิ้วก็ชี้ที่ตัวเองและเขาแล้วรับเอาเงินทอนมา
“ขอบคุณครับ”
เธอเงยหน้าขึ้นหันมามองใบหน้าหล่อเหลาของคนข้างๆ ที่กำลังส่งสายตาสื่อความหมายว่าซาบซึ้งใจกับสิ่งที่เธอเพิ่งทำไปมากเหลือเกิน
“ไม่เป็นไร คุณลงที่เดียวกับฉัน ตรงนั้นมีร้านสะดวกซื้อ พอไปถึงแล้วคุณก็แลกเงินมาคืนฉันแล้วกัน”
“ครับ”
ยิ้มหวานจริงพ่อคุ๊ณ
เอี๊ยด! เสียงรถเบรกกะทันหันทำเอาคนที่ยืนอยู่บนรถเสียหลักกันระนาว รวมทั้งเธอเองก็ด้วย ถ้าหากไม่มีอกแกร่งๆ ของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอคอยรับเอาไว้ เธอคงหงายหลังล้มตึงร่วงลงไปกองกับพื้นแล้ว
“ขอโทษนะ ฉันจับราวไม่ถึง จับเบาะไม่มั่นเลยชนคุณ คุณเจ็บรึเปล่า”
เธอชนอกเขาเสียงดังอัก ถ้าเขาไม่สะท้านบ้างก็คงเป็นซูเปอร์แมนแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบแล้วก็ส่งยิ้มมาอีก แจกรอยยิ้มพร่ำเพรื่อจริง
‘หอมจัง ผู้ชายอะไรตัวห๊อม หอม’
ความใกล้ชิดที่เรียกได้ว่าแทบจะยืนเบียดกันอยู่แล้วทำให้เธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเขา ให้ความรู้สึกอบอุ่นคุ้นเคย เหมือน...เหมือนตอนได้อยู่ใกล้กับพ่อของเธอ
'ความรู้สึกเวลาอยู่ใกล้ชิดผู้ชายเป็นแบบนี้เองเหรอ'
เธอเพิ่งจะสังเกตเขาจริงจังและก็ได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ดูดีจริงๆ อย่างที่คุณยายชมนักชมหนา เขาสูงโปร่ง รูปร่างดี เพราะได้ปะทะเข้ากับหน้าอกแกร่งเมื่อครู่ทำให้เธอรับรู้ได้ว่าเขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสมชายชาตรี ใบหน้าของเขามีองค์ประกอบที่ลงตัว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอวบอิ่มได้รูป ดวงตาสีนิลเข้ากันได้ดีกับคิ้วคมเข้มดูดึงดูดน่าค้นหา ทรงผมได้รับการตัดและจัดแต่งให้รับกับรูปหน้า ผิวหน้าขาวเนียนละเอียดจนผู้หญิงอย่างเธอยังรู้สึกอิจฉา ยิ่งอยู่ในเครื่องแต่งกายราคาแพงแบบนี้ยิ่งขับให้บุคลิกภาพของเขาดูดีและโดดเด่นกว่าใคร
เธอถอนหายใจเบาๆ แอบเสียดายเสื้อเชิ้ตราคาแพงของเขาจริงๆ กว่ารถจะวิ่งถึงเชียงของเสื้อสีขาวสะอาดตาคงหมองลงไปมากเพราะฝุ่นและควัน
มันก็น่าแปลกที่เธอสะดุดตาเขา เพราะโดยปกติแล้วมนุษย์เพศชายทุกคนในสายตาเธอก็เหมือนๆ กันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าท่าทาง เธอไม่สามารถแยกแยะออกว่าใครแตกต่างกันอย่างไร ทุกคนในความรู้สึกของเธอก็ดูคล้ายกัน เหมือนมดเหมือนเม็ดข้าวสารที่อยู่รวมกันเยอะแล้วดูอย่างไรก็แยกแยะความแตกแต่งไม่ออก คงเป็นเพราะเธอไม่เคยคิดจะสนใจเพศตรงข้ามมากเท่าไหร่นัก มีผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เธอสามารถแยกแยะหน้าตาหรือมองออกว่าจุดเด่นของพวกเขาเหล่านั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร นั่นก็คือพ่อของเธอ ญาติๆ อีกไม่กี่คน และไอดอลที่ชื่นชอบอีกหนึ่งถึงสองคน แต่ตอนนี้คงต้องนับรวมผู้ชายคนนี้คนที่เพิ่งเจอเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเข้าไปอีกคนหนึ่ง
‘คงเป็นเพราะกลิ่น บ้าไปแล้วชมพูพิมพ์ เธอไม่ใช่สัตว์นะที่ดมกลิ่นฟีโรโมนแล้วแยกแยะใครต่อใครได้ แต่ก็นะ ผู้ชายคนนี้ดูสมบูรณ์แบบมากจริงๆ อย่างกับพวกเจ้าชายที่หลุดออกมาจากการ์ตูนวอลท์ดีสนีย์น่ะ’
เธอส่ายหน้ากับความคิดของตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นแอบมองเขาอีกครั้ง
“โฮ๊ะ ใกล้ถึงปากทางเวียงชัยหละ ยายลงล่ะเน้อ โชคดีอ้ายหนุ่ม โชคดีเน้ออิหล้า”
หลังจากที่คุณยายและคุณแม่พร้อมลูกชายตัวน้อยลงจากรถไปเมื่อถึงที่หมาย เบาะนั่งตรงนี้ก็กลับมาเป็นของเธอและเขาอีกครั้ง ผู้โดยสารบนรถเองบางตาลงไปมาก เพราะผู้คนเริ่มทยอยลงไปกันบ้างแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่ยังต้องยืนอยู่ เธอหวังว่าจุดหมายปลายทางที่พวกเขาจะลงนั้นคงอยู่อีกไม่ไกลมากนัก ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้ยืนกันจนขาแข็งแน่ๆ
พอนั่งลงได้ไม่นานนิสัยเดิมของเธอก็กำเริบอีกแล้ว นั่นคือนั่งรถไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็ตาม เธอนั่งนิ่งเงียบๆ ได้ไม่เกินห้านาทีความง่วงก็มาเยือน
ชายหนุ่มมองออกไปนอกตัวรถที่ตอนนี้เริ่มวิ่งเข้าสู่เขตชนบทมีขึ้นดอยลงดอยบ้าง ลดเลี้ยว เคี้ยวคดไปตามแนวเขา มีโคลงเคลงไปมาหลบเลี่ยงหลุมบ่อกลางถนนที่อาจชำรุดเพราะมีรถบรรทุกวิ่งเกินน้ำหนักตามกฎหมายจราจรกำหนด หรืออาจเป็นเพราะถนนเส้นนี้สร้างมานานหลายปีแล้วก็เป็นไปได้
ปึก! เสียงศีรษะของคนด้านข้างเอียงมาซบกับไหล่ของเขา ตามแรงโยกเอนไปมาของตัวรถ ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้สึกตัว เธอหลับสนิทจริงๆ ครั้นจะจับศีรษะเธอให้ตั้งตรงก็กลัวว่าจะทำให้เธอตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกกระดากอาย หรือหากรถโคลงเคลงไปมาอีกเขากลัวศีรษะของเธออาจจะชนเข้ากับกระจกหน้าต่างได้รับบาดเจ็บ เขาจึงทำตัวเป็นสุภาพบุรุษปล่อยเลยตามเลยให้เธอเอนซบไหล่ต่อไป
หลังจากอากาศร้อนอบอ้าวมาเป็นเวลานาน บรรยากาศเหมือนจะเย็นลงสายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างก็เย็นสบาย
‘เอ๊ะ ไม่ใช่แค่เย็น แต่ว่านี่มัน’
เธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าขณะนี้สภาพอากาศด้านนอกรถมีฝนตกหนักและน้ำฝนก็สาดกระเซ็นเข้ามาทางหน้าต่างตามแรงลมที่ปะทะกับความเร็วรถที่วิ่งอยู่จนทำให้เสื้อแจ๊คเก็ตของเธอเปียกชุ่ม
เธอพยายามปิดหน้าต่างลงก่อนที่ตัวเองจะเปียกปอนไปมากกว่านี้ แต่ก็ยากเต็มทีเพราะหน้าต่างเจ้ากรรมดันฝืดเหลือเกินคงเป็นเพราะอายุอานามที่มากของรถคันนี้ ยิ่งรีบปิดเท่าไหร่ก็ยิ่งรน พอยิ่งรนก็ยิ่งช้าปิดยากขึ้นกว่าเดิม
“ผมช่วยครับ”
เขายื่นแขนสองข้างมาทางด้านหลังเธอแล้วสอดมือรองตรงขอบล่างหน้าต่างยกขึ้นให้เธอบีบปลดตัวล็อคกระจกหน้าต่างทั้งสองด้านซ้ายขวา ด้วยท่าทางและความใกล้ชิดที่ดูเหมือนเป็นการโอบจากด้านหลังกลายๆ ทำให้เธอบีบตัวล็อคหน้าต่างทั้งสองข้างแล้วรีบปล่อยมือจากกระจกหน้าต่างทันทีด้วยความตกใจทำให้คนที่ไม่ทันตั้งตัวถูกบานหน้าต่างเลื่อนลงมาหนีบนิ้วมือทั้งสองข้างของเขาอย่างแรง
“คุณ” เธอร้องอุทานด้วยอารามตกใจ “คุณเป็นอะไรรึเปล่า” สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเลยคงเจ็บไม่น้อย
“ไม่เป็นไรครับ”
คนเจ็บปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร แต่ว่าสีหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดและมีเหงื่อซึมบนหน้าผากอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันขอดูมือคุณหน่อย” เธอรีบคว้ามือทั้งสองข้างของเขามาดู “แย่จริง คุณได้แผลมีเลือดออกด้วย แล้วเล็บมือก็ห้อเลือด เจ็บมากไหม เดี๋ยวนะ”
เธอหาอุปกรณ์ทำแผลให้เขา แต่ด้วยความไม่สะดวกเสื้อนอกที่สวมอยู่เปียกปอนกว่าครึ่งจึงถอดแจ๊คเก็ตพาดไว้กับเบาะเก้าอี้ด้านหน้า รวมทั้งแว่นกันแดดและหน้ากากอนามัยออกก่อนจะเร่งหาอุปกรณ์ทำแผลไม่ว่าจะเป็นยาใส่แผลเบตาดีนและพลาสเตอร์ปิดแผลที่มักพกติดตัวในกระเป๋าสะพายตลอดเวลาเพราะความซุ่มซ่ามเป็นประจำของตนเอง
“ล้างแผลก่อนนะแล้วค่อยใส่ยา ตอนที่คุณตกใจรีบชักมือออกคงจะโดนขอบกระจกบาดเอา”
‘ผู้ชายอะไรมือทั้งนุ่มทั้งสวย นิ้วมือก็เรียวยาวสวยยิ่งกว่ามือผู้หญิงอย่างเธออีก ดูท่าเขาคงไม่เคยทำงานหนัก หรือหยิบจับทำงานบ้านเลยแน่ๆ’
เธอหยิบถุงพลาสติกจากร้านสะดวกซื้อ ข้างในถุงมีขวดน้ำดื่มที่ยังไม่ได้เปิดขึ้นมาส่องดูว่ามีรูรั่วหรือไม่ เมื่อพบว่าไม่มีก็กางออกเพื่อใช้รองสำหรับล้างบาดแผลแล้วแกะแค็ปซีลหุ้มฝาขวดพลาสติกเปิดขวดน้ำดื่มออก จับมือทั้งสองข้างที่มีแผลของชายหนุ่มมาเทน้ำให้ไหลผ่านชำระล้างบาดแผลจนคิดว่าสะอาดดีแล้วถึงหยิบเอาทิชชูเปียกขึ้นมาซับเบาๆ ก่อนจะหยดเบตาดีนใส่แผลเพื่อฆ่าเชื้อโรค แม้จะเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องนัก แต่ ณ ตอนนี้ถือเป็นการประถมพยาบาลที่ดีที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
ชายหนุ่มสะดุ้งชักมือกลับเล็กน้อยเมื่อยาถูกบาดแผลเพราะอาการแสบร้อน
“แสบหน่อยนะ ทนอีกนิดเดี๋ยวก็เสร็จ โชคดีที่แผลไม่ลึกและไม่กว้างมาก”
เธอปิดแผลให้เขาด้วยพลาสเตอร์ลายการ์ตูนสีขาวรูปหมีแพนด้าจนครบทั้งสามนิ้วที่มีแผล
“ขอโทษนะที่ทำให้คุณเจ็บตัว”
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นอุบัติเหตุ เมื่อกี้ผมเองก็คงทำให้คุณตกใจด้วย”
เขาส่งยิ้มให้เธอคลายกังวล เป็นเพราะเขายื่นมืออ้อมเข้าทางด้านหลังของเธอเลยทำให้เธอตกใจก็เลยได้แผลนี้มา ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีอาการปวดตุบๆ ที่มือทั้งสองข้างนั้นเจ็บมากเอาการอยู่เหมือนกัน ดูเหมือนแผลเริ่มจะระบมขึ้นมาแล้ว
“คุณลองขยับนิ้วมือทั้งสองข้างดูสิว่าขยับได้ไหม” คนฟังก็ลองขยับนิ้วตามคำขอ “ยังขยับนิ้วได้กระดูกคงไม่เป็นอะไร แต่ว่านิ้วมือแล้วก็เล็บช้ำห้อเลือดด้วยแบบนี้”
เธอมองออกไปรอบๆ ว่าตอนนี้รถวิ่งถึงที่ไหนแล้ว
“อีกไม่เกินสี่สิบนาทีก็น่าจะถึงเชียงของแล้ว คุณทนเจ็บอีกหน่อยนะ เราจะแวะลงตรงหน้าโรงพยาบาลก่อนให้หมอตรวจเอ็กซเรย์มือแล้วก็ฉีดวัคซีนกันบาดทะยักด้วย”
“ครับ”
เขายิ้มรับด้วยสีหน้าเซียวๆ มองคนตรงหน้าด้วยอาการตกตะลึง เขาเพิ่งเห็นหน้าเธอชัดๆ เธอมีใบหน้าเล็กน่ารักจิ้มลิ้มเนียนใสปราศจากเครื่องสำอาง ดวงตากลมโต ใบหน้าอ่อนเยาว์ แก้มนวลขาวใสอมชมพูระเรื่อ ริมฝีปากบางแดงเป็นธรรมชาติ ผมดำหยักศกเงางามมัดรวบหางม้าสูงแผ่เป็นลอนสวยสยายอยู่กลางหลัง ปอยผมที่เปียกชื้นเพราะละอองน้ำฝนเมื่อครู่แนบติดขอบรูปหน้าเรียว ช่างน่ามองนัก รูปร่างของเธอนั้นก็ตัวเล็กน่ารักน่าทะนุทนอม
‘หน้าตาน่ารักอย่างกับตุ๊กตา’
คงเป็นเพราะรูปร่างน่าหน้าแบบนี้สินะเธอถึงแต่งตัวมิดชิดปกปิดหน้าตาซะขนาดนั้น เธอคงไม่ชอบสายตากะลิ้มกะเหลี่ยของพวกผู้ชายหูดำคิดไม่ซื่อ
“คุณปวดมากรึเปล่า ถ้าปวดมากฉันมียาแก้ปวดนะ คุณจะเอาไหม”
เสียงใสๆ ของเธอทำให้เขาหลุดจากภวังค์
“ไม่เป็นไรครับ ผมปวดไม่มากเท่าไหร่ แผลแค่นี้ทนได้ครับ”
ฝนตกอากาศก็เริ่มเย็นลง บวกกับประตูรถที่ยังเปิดอยู่เพื่อถ่ายเทอากาศบนรถพัดลมทำให้สายลมเย็นๆ พัดผ่านเข้ามาในตัวรถ เธอหันมาอีกทีก็พบว่าคนข้างกายหลับไปแล้ว เมื่อรู้สึกเมื่อยกำลังจะขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถปรับท่านั่งใหม่ศีรษะของเขาก็เอนมาซบไหล่เล็กของเธอ จะขยับตัวก็ทำไม่ได้เพราะน้ำหนักตัวของเขาที่เทลงมาบนหัวไหล่นั้นทำให้ขยับไปทางไหนไม่ได้ ทำได้แค่นั่งนิ่งตัวเกร็งอยู่ในท่าเดิม
'เฮ้อ... เมื่อยยิ่งกว่าเดิมอีก ทำไงได้เลยตามเลยแล้วกัน'
เธอแอบยกมือขึ้นทาบบนหน้าผากของเขาหลังจากรู้สึกว่ามีไอร้อนแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขา
“ตัวรุมๆ ไข้ขึ้นซะละ ทำไมเจ้าชายวอลท์ดีสนีย์ถึงได้อ่อนแอจัง”
เสียงริงโทนเรียกเข้าดังขึ้น เธอพยายามฟังว่าเป็นของใคร แต่ก็ไม่มีใครกดรับสายเสียทีจนคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เบาะถัดไปรอบตัวเริ่มหันเลิกลั่กกันเพราะชักจะรำคาญที่เสียงโทรศัพท์ไม่เงียบลงสักที
เสียงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง
คนข้างตัวเธอเหมือนเริ่มจะรู้สึกตัวตื่นงัวเงียพยายามล้วงมือที่ยังเจ็บอยู่เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วหยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับสาย
“ครับ”
“พี่ใกล้จะถึงแล้วครับ
ตอนนี้อยู่บนรถ นั่งรถก็สนุกดี”
นี่เขาบอกว่าสนุกอย่างนั้นหรือพ่อเทพบุตร
เพิ่งเจ็บตัวได้เลือดมาแท้ๆ
เธอมองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ
คนๆ นี้ ในความรู้สึกของเธอเขาแปลกไปจากผู้ชายคนอื่น แต่เธอก็ตอบไม่ได้ว่าแปลกยังไง หรือเพราะอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกแบบนั้น
เขาดูเหมือนพวกมองโลกในแง่ดีเอามากๆ ซึ่งคนพวกนี้อยู่ยากบนโลกใบนี้
‘เขาจะเป็นคนดีรึเปล่านะแล้ว...จะเป็นผู้ชายที่สามารถพึ่งพาได้ไหม’
นี่เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เมื่อสั่งให้สมองตัวเองหยุดสิ่งที่กำลังคาดหวังอยู่ได้แล้วก็เหลือบมองออกไปด้านนอกรถก็พบกับสิ่งที่ทำให้เธอต้องดีดตัวลุกขึ้นจากเบาะนั่งอย่างรวดเร็ว
“จอด”
เสียงตะโกนดังลั่นก้องทั่วทั้งรถ
คนขับตกใจเหยียบเบรกกะทันหันจนผู้โดยสารหัวคะมำกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายรูปงามแห่งวอลท์ดีสนีย์ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ก็ทำมือถือราคาแพงร่วงหลุดมือหล่นลงพื้น
“เฮ้อ เกือบจะเลยแล้วไหมล่ะ”
เธอพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ดีนะที่รถจอดทัน ไม่อย่างนั้นถ้ารถวิ่งผ่านหน้าโรงพยาบาลไปไกลแล้วคงต้องเสียเวลานั่งรถสามล้อเครื่องย้อนกลับมาอีกหนเสียเงินสองต่ออีกแน่ๆ
“น้องเหย บอกลุงจอดดีๆ ก่อได้ เอ็ก[24] ขึ้นมาลุงตกอกตกใจ๋สะดุ้งหมด ขับรถลงโม๊ง[25] ข้างตางจะว่าจะใด”
“ขอสุมาเตอะเจ้า[26]
ลุง น้องกลัวจะเลยหน้าโรงบาล”
เธอค้อมหัวขอโทษขอโพยกับคนขับรถและผู้โดยสารคนอื่นๆ
ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญอย่างไม่ตั้งใจแล้วหันมาก้มลงเก็บโทรศัพท์มือถือยื่นให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้ยังอยู่ในอาการมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“คุณ เราต้องลงจากรถกันแล้ว
ลุกขึ้นเร็ว” เธอรีบคว้าแขนของเขาให้ลุกขึ้นยืน “คุณมีกระเป๋าอยู่ข้างล่างด้วยใช่ไหม”
“ครับ”
เขารีบพยักหน้ารัวตามท่าทางรีบร้อนของเธอ
“ป้าเจ้ามีกระเป๋าใต้ท้องรถโตยเจ้า”
เธอรีบคว้าแขนเขาเดินลงจากรถเพราะต้องทำเวลา คงไม่มีผู้โดยสารคนไหนชอบให้รถจอดอยู่กับที่นานๆ
ใช่ไหมล่ะ ใครๆ ก็รีบอยากให้ถึงจุดหมายปลายทางเร็วๆ กันทั้งนั้น
ดังนั้นเราต้องเกรงใจคนอื่นจะทำอะไรชักช้าไม่ได้
รถโดยสารประจำทางสีแดงเส้นทางเชียงของ –
เชียงรายส่งเธอและเขาก่อนถึงจุดหมายปลายทางตรงจุดจอดรถหน้าตลาดสดเคลื่อนจากไปแล้ว
ตอนนี้เหลือเพียงคนทั้งคู่ที่ยืนอยู่บนถนนฝั่งตรงข้ามหน้าโรงพยาบาลประจำอำเภอและกำลังรอจังหวะข้ามถนน
เพราะถนนเส้นนี้เป็นถนนใหญ่ที่ผู้ขับขี่รถยนต์ใช้ความเร็วสูง หากไม่ระวังอาจได้นอนยอดน้ำข้าวต้มพักฟื้นยาว
“กระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้จะให้ยกไปคงไม่ไหว”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาหลังจากมองขนาดของกระเป๋าเดินทาง และเพิ่งสังเกตอีกว่าเมื่อเธอยืนเคียงข้างเขา ส่วนสูงของเธอนั้นสูงเพียงหน้าอกของเขาเท่านั้น
‘พ่อมหาจำเริญ พ่อจะสูงไปไหน’
ถ้าตอนเด็กเธอไม่เกลียดการดื่มนมเข้าไส้จนถึงขั้นแอบเอากล่องนมไปซ่อนไว้ใต้เตียงบ้าง
หรือเททิ้งบ้าง รับรองได้ว่าความสูงของเธอคงมากกว่านี้แน่นอน
คิดแล้วก็เจ็บใจตัวเองก่อนจะหลุบตาลงดูมือทั้งสองข้างของเขาที่ตอนนี้นิ้วเรียวงามบวมเป่งขึ้นมาจนน่ากลัว
“โชคดีที่มีล้อลาก มือคุณเจ็บทั้งสองข้างเดี๋ยวฉันลากกระเป๋าให้คุณเอง
แต่พื้นแถวนี้มันขรุขระหน่อย ฉันไม่รับรองว่าล้อกระเป๋าราคาแพงของคุณจะอยู่ในสภาพไหนหลังจากนี้”
“ไม่เป็นไรครับ
ผมต้องขอบคุณ คุณมากกว่าที่ต้องมาช่วยลากกระเป๋าให้ ทั้งที่ผมเป็นผู้ชายแท้ๆ”
“ไม่เป็นไร
รีบข้ามถนนกันเถอะ ไม่มีรถวิ่งผ่านมาแล้ว เร็ว”
เธอมองคนเจ็บที่ทำหน้าสลดราวกับว่าเขากลายภาระหนักอึ้งของเธอ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาพูดพร่ำหรือพูดจาขอบอกขอบใจอะไรกันมากมาย
“คนไข้เป็นอะไรมาคะ”
คุณพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ประจำตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินของโรงพยาบาลเดินเข้ามาถามไถ่อาการคนไข้
“หน้าต่างรถเมล์กระแทกมือนิ้วมือทั้งสองข้างเลยน่ะค่ะ
มีแผลถูกขอบกระจกบาด นิ้วกับเล็บมือห้อเลือดแล้วก็บวมแดงมากด้วย”
เธอบอกอาการของเขากับพยาบาล
“เดี๋ยวนั่งรอสักครู่นะคะ
ขอตรวจร่างกายคนไข้และสอบถามข้อมูลเบื้องต้น
รบกวนญาติช่วยทำไปบัตรให้คนไข้ที่ห้องทะเบียนตึกโน้นด้วยนะคะ”
“คุณนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนนะ
ฉันจะไปทำบัตรคนไข้ให้ อ่อ ต้องใช้บัตรประชาชน คุณเอาบัตรมาด้วยรึเปล่า หรือจะใช้ใบขับขี่ก็ได้”
เขาลุกขึ้นยืนแล้วพยายามล้วงมือไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังก่อนเลื่อนมาด้านหน้าทั้งสองข้างรวมทั้งกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอก
ดูจากท่าทางแล้วไม่ต้องเอ่ยปากพูดอะไรกันก็พอจะรู้ เขาหันมามองเธอด้วยท่าทางตื่นๆ
“ก่อนเดินทาง
คุณพกดวงมาด้วยรึเปล่า” จริงๆ เลย
ผู้ชายคนนี้อะไรจะโชคร้ายปานนั้น
“ผมไม่รู้ตัวเลยครับว่ากระเป๋าเงินหายไปตอนไหน
เท่าที่จำได้ตอนจะจ่ายค่าโดยสารก็ยังอยู่”
เขาทำหน้าครุ่นคิดและดูซึมลง ก็แน่ล่ะเป็นใครก็คิดหนัก
ถ้าเป็นเธอคงออกอาการมากยิ่งกว่าเขาอีก เพราะจำนวนเงินสดที่อยู่ในนั้นอย่างน้อยๆ
คงไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท ไหนจะบัตรอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะ
“ฉันว่าคุณถูกล้วงกระเป๋าบนรถ
คนร้ายคงเล็งไว้ตั้งแต่เห็นคุณกำลังจะจ่ายค่ารถ แล้วก็หาจังหวะดีๆ
ฉกตอนคุณเผลอ”
คนถูกชิงทรัพย์ตาปรอยๆ น่าสงสาร แบบไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
น่าเห็นใจจริงๆ
นึกแล้วเธอก็อดเคืองเจ้าหัวขโมยมือไวไม่ได้ อยากแช่งชักหักกระดูกนักที่ทำกับคนต่างถิ่นแบบนี้
เสียชื่อคนเมืองเหนือหมด แต่ก็อย่างว่าล่ะ ยุคงานหายากเงินก็หายาก
ไม่แปลกที่คนใจกล้าบ้าบิ่นจะใช้ความกล้าและสติปัญญาไปในทางที่ผิดคิดสั้นทำตัวเป็นโจร หากโชคดีก็ได้เงินใช้แบบสบายๆ ไปอีกหลายวัน ถ้าโชคร้ายก็แค่ไปกินข้าวแดงในคุกสบายไม่ต้องดิ้นรนต้องหาเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ คงคิดกันซะอย่างนี้ถึงได้มีพวกมิจฉาชีพเพิ่มขึ้นทุกวัน
“แต่คุณก็ยังโชคดีนะที่โทรศัพท์มือถือไม่โดนขโมยไปด้วยเลยพอจะติดต่อขอความช่วยเหลือจากใครได้บ้าง เอาแบบนี้ก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวคุณให้หมอตรวจรักษาให้เรียบร้อย เรื่องค่ารักษาพยาบาลฉันจะออกให้คุณเอง เสร็จจากตรงนี่ฉันจะพาคุณไปแจ้งความที่สถานีตำรวจลงบันทึกประจำวันเอาไว้”
“ขอบคุณครับ ขอบคุณมากจริงๆ”
เขายิ้มขอบคุณเธอ ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีที่ได้เจอคนดีมีน้ำใจ นับว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังเห็นใจเขาอยู่
รอยยิ้มของคนตรงหน้าเล่นทำเอาการทำงานของระบบร่างกายเธอแปรปรวนรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา หายใจติดขัดหัวใจเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติจนต้องรีบเบือนหน้าหนี ที่น่าตกใจกว่านั้นคือเขาขยับเข้ามาใกล้ใช้หลังมือทาบลงบนหน้าผากของเธอ
“หน้าคุณแดงมากเลย น่าจะให้หมอตรวจดูนะครับ ตอนนั่งรถมาคุณโดนละอองฝนผ่านทางหน้าต่างรถด้วย จะมีไข้รึเปล่าก็ไม่รู้”
เขาทาบมือบนหน้าผากสลับกับแก้มนวลของเธอเพื่อวัดอุณหภูมิด้วยความเป็นห่วงเหมือนอย่างที่เคยทำกับน้องสาวและหลานสาว แต่พอเห็นว่าบาร์บี้ตัวน้อยมีท่าทางตกใจดวงตากลมโตเบิกกว้างจึงรู้ว่าตัวเองเผลอเสียมารยาทกับผู้มีคุณเข้าให้ซะแล้ว
“เอ่อ ผมขอโทษครับ ผมเป็นห่วง... ก็เลยจะเช็คดูว่าคุณมีไข้รึเปล่า” เขาก้าวถอยหลังห่างจากเธอเล็กน้อย
“ฉะ...ฉันไม่เป็นไร คุณรีบบอกชื่อกับคุณพยาบาลเร็ว
ฉันจะได้เอาไปทำบัตรคนไข้ให้”
หลังจากรับกระดาษใบเล็กที่คุณพยาบาลจดรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อนามสกุลและประวัติเบื้องต้นของคนไข้ให้ญาตินำไปยื่นทำบัตรผู้ป่วย เธอก็รีบเดินไปยังห้องทะเบียนตึกตรงกันข้ามด้วยความรู้สึกสับสนไม่เป็นตัวของตัวเอง
‘ให้ผู้ชายถูกเนื้อต้องตัวได้ยังไงกันพิมพ์ เธอเป็นอะไรไป เห็นอยู่ว่าเขาจะจับทำไมถึงไม่หลบ...’
เธอยกมือขึ้นตบแก้มของตัวเองเบาๆ แล้วสะบัดหน้าซ้ายขวาแรงๆ เพื่อเรียกสติให้กลับคืนมาก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของเขาอีกครั้ง
“เฮ้อ ช่วยเขาแล้วก็คงต้องช่วยให้ถึงที่สุดล่ะนะ ในเมื่อวันนี้ฉันเจอคุณ ผู้ชายที่ไม่น่าจะมีพิษมีภัยอะไร แถมดูแล้วยังเหมือนเจ้าชายหลุดออกมาจากโลกนิยาย เวลาเจ้าชายลำบากก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือจริงไหม ฉันไม่ใช่อัศวินหรือองค์รักษ์ผู้พิทักษ์ แต่ฉันจะเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวปัดเป่าความโชคร้ายให้คุณเอง โอมเพี้ยง!”
เธอโบกมือทำท่าราวกับปัดเป่าความชั่วร้ายแล้วหัวเราะขำขันกับการกระทำของตัวเอง
เมื่อจัดการเรื่องเอกสารของเขาเสร็จเรียบร้อย และนำมันมายื่นให้กับคุณพยาบาลหน้าเคาน์เตอร์ตึกอุบัติเหตุแล้วเธอจึงนั่งรอเขาอยู่ตรงด้านหน้าห้องการเงิน เพื่อรอชำระเงินค่ารักษาพยาบาลและรอรับยา
เวลาผ่านไปได้ราวยี่สิบห้านาที เขาเดินออกมาพร้อมกับคุณพยาบาลแล้วตรงเข้ามาหาเธอก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ
“คุณหมอว่ายังไงบ้าง” เธอถามอาการเขาที่ตอนนี้ดูเพลียๆ
“คุณหมอบอกไม่เป็นอะไรมากครับ เอ็กซเรย์ดูแล้วกระดูกนิ้วมือไม่แตกหักหรือร้าว โชคดีมากที่แค่บวมและห้อเลือด ส่วนแผลก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หมอฉีดวัคซีนกันบาดทะยักให้เรียบร้อย ให้ยาทานแก้ปวดยาแก้อักเสบแล้วก็ครีมทาแก้ปวดอักเสบ อีกไม่กี่วันก็คงหาย”
เธอพยักหน้าให้แล้วเดินไปชำระเงินค่ารักษาให้เขาพร้อมกับรับเอาถุงยามายื่นให้
“คุณจะไปไหนต่อ มีที่พักรึยัง ได้จองโรงแรมไว้รึเปล่า”
เธอเอ่ยถามขณะพาเขาเดินออกมายังป้ายรถเมล์ด้านหน้าโรงพยาบาลเพื่อรอรถรับจ้างเข้าตัวเมือง
“ผมมีที่พักแล้วครับ เอ่อ...แต่ไม่แน่ใจว่าอยู่ตรงไหน โรงแรมอิงธาราน่ะครับ”
เขารู้แค่เพียงว่าโรงแรมที่พักชื่ออะไร แต่ไม่รู้ว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของ อ.เชียงของ ครั้นจะให้คนของทางโรงแรมมาคอยบริการรับส่งอย่างที่ฝ่ายนั้นได้เสนอมาเขาก็รู้สึกเกรงใจเพราะตัวเองเองไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร
ห้องพักที่ถูกจองเอาไว้เป็นสวัสดิการสำหรับสถาปนิกและวิศวกรร่วมทีมในโครงการก่อสร้างโรงแรมที่บริษัทของครอบครัวเขาประมูลโครงการได้ ทั้งสองโครงการ โครงการแรกคือโครงการของโรงแรมอิงธารา ระดับสี่ดาว ก่อสร้างตึกใหม่ขยายจำนวนห้องพักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และโครงการที่สองคือโครงการของโรงแรมชมนที ริเวอร์วิว รีสอร์ทแอนด์สปา ระดับห้าดาว ทั้งสองแห่งเป็นโรงแรมที่ก่อสร้างริมแม่น้ำโขงต้องใช้ความระมัดระวังและแม่นยำในการก่อสร้างทุกขั้นตอน
เขาเข้าใจความสำคัญของงานดีว่าเพราะเหตุใดพ่อและพี่ชายจึงส่งเขามาแทนคุณวิฑูรย์ สถาปนิกที่ดูแลโครงการอยู่ก่อนหน้าก่อนขอย้ายไปดูโครงการอื่นที่กำลังก่อสร้างอยู่ในกรุงเทพฯ แทนเพราะต้องการกลับไปดูแลภรรยาซึ่งใกล้ครบกำหนดคลอดลูกคนแรก หรือเลือกที่จะให้สถาปนิกคนอื่นบินมาดูหน้างานเป็นครั้งคราว
ความสำคัญของงานและความสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่าจ้างคนสำคัญไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่เขาถูกส่งมาแทนคุณวิฑูรย์ เพราะอันที่จริงแล้วบริษัทของเขามีสถาปนิกเก่งกาจมากฝีมืออยู่จำนวนไม่น้อย ตัวเลือกจึงไม่ได้มีแค่เขาแค่คนเดียว มีหรือแม่ของเขาจะเห็นด้วยกับพ่อให้ส่งเขามาหากไม่ใช่เพราะคนในครอบครัวต้องการหาที่พักผิงให้เขาได้สงบจิตใจมากกว่าต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ที่โน่น ถ้าบวกลบกันแล้วเหตุผลที่มีน้ำหนักมากกว่าน่าจะเป็นอย่างหลัง
“โรงแรมอิงธารา โรงแรมนี้ปรกติเขามีบริการพิเศษนี่ ถ้าคุณซื้อตัวเครื่องบินของสายการบินนกแอร์จะมีรถตู้รับส่งระหว่างสนามบินกับโรงแรมทำไมคุณไม่มาทางนั้นจะสะดวกกว่า หรือไม่ก็ให้รถเช่าจากสนามบินมาส่งที่โรงแรมเลยก็ได้”
เธอรู้สึกแปลกใจเดี๋ยวนี้ก็ยุค 4G แล้ว การสืบค้นข้อมูลการเดินทางจะเลือกเส้นทางไหนก็เป็นเรื่องง่าย อีกอย่างถึงเชียงของจะอยู่ห่างไกลเหนือสุดของชายแดนประเทศไทย แต่การเดินทางนั้นก็สะดวกสบาย สาธารณูปโภคเข้าถึงครบครัน จะขาดก็แต่ห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ทำไมเขายังเลือกเส้นทางที่ยุ่งยากหลายต่อหลายตอน แถมยังใช้เวลานานทั้งที่มีทางเลือกง่ายๆ แท้ๆ
“ถ้าเลือกให้รถไปรับไปส่งตั้งแต่แรกคุณอาจจะไม่เจ็บตัวหรือถูกล้วงกระเป๋าก็ได้”
“ผมไม่ได้วางแผนการเดินทางล่วงหน้าครับ รู้ตัวก็ถูกส่งมาแล้ว อีกอย่างคิดว่านั่งรถประจำทางก็คงได้เห็นอะไรดีๆ และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ เกือบตลอดระยะทางที่นั่งรถมาก็ได้เห็นภูเขาต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวได้รับลมเย็นๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายดีครับ"
เธอส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา “แล้วก็เจ็บตัวแถมเสียทรัพย์อีกต่างหาก” คนฟังถึงกับหัวเราะร่า
“แต่ผมก็โชคดีที่ได้เจอคนใจดีอย่างคุณนะครับ” เขาคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาว
“แต่ฉันก็ทำให้คุณต้องเจ็บตัว” แล้วเธอก็ไม่ได้คำตอบใดจากเขานอกจากรอยยิ้ม
‘จะยิ้มสยามให้ได้โล่เลยหรือพ่อเจ้าพระยาอมยิ้ม’
เสียงกระเพาะร้องประท้วงจนเธอต้องหันมองหน้าเขา
“คุณหิวมากไหม”
เขายิ้มอายลูบท้องตัวเองไปด้วย “ถ้าจำได้ตั้งแต่ลงจากเครื่องตอนใกล้จะบ่ายโมง ผมก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยครับ”
“นี่ก็จะทุ่มหนึ่งแล้ว อีกอย่างคุณต้องทานยาหลังอาหารด้วย เดี๋ยวฉันจะพาคุณไปหาอะไรทานแล้วค่อยไปแจ้งความที่โรงพักต่อก่อนเข้าโรงแรม พอดีเป็นทางผ่านกลับบ้านฉันอยู่แล้ว ที่น่าเป็นห่วงตอนนี้คือหน้าโรงพยาบาลไม่มีรถรับจ้างวิ่งผ่านเลย”
เธอลุกขึ้นยืนมองซ้ายมองขวาก็ไม่มีรถรับจ้างวิ่งผ่านมา จนเวลาผ่านไปได้สักพักเธอก็เห็นรถสามล้อเครื่องคันหนึ่งวิ่งมาจึงรีบโบก เขาเองก็ลุกมายืนข้างๆ ช่วยเธอโบกรถด้วยเช่นกัน
เมื่อรถวิ่งเข้ามาใกล้ๆ จึงเห็นว่าคนขับเป็นคนคุ้นเคยกัน ลุงธงชัยเป็นเพื่อนของพ่อเธอมีอาชีพขับรถสามล้อเครื่องนี่เอง
“อ้าวพิมพ์ มายะหยังตี่[27] โรงบาล มีไขย[28] เป็นอะหยังก่อ[29]”
ลุงคนขับสามล้อร้องทักเธอด้วยความแปลกใจ
“บ่อมีไขยเป็นอะหยังเจ้า พิมพ์พาเพื่อนมาหาหมอ ลุงธงจะไปไหน รถว่างก่อ ถ้าไม่รีบกลับบ้านพิมพ์เหมารถนะเจ้า ไปส่งพิมพ์กับเพื่อนหน่อย”
เธอรีบขอให้ลุงคนขับไปส่งเพราะถ้าไม่ได้ก็คงไม่มีรถกลับแล้ว
“ได้ก่าๆ[30] เดี๋ยวลุงเอาลาบปลาไปฮื้อ[31] เขาในโรงบาลกำเน้อ เขาฝากลุงไปซื้อ เดียวลุงจอดสามล้อไว้นี่หละ วิ่งเข้าไปกำเดียว พิมพ์เอากระเป๋าขึ้นแล้วนั่งรถบนรถเลยเดียวลุงมา”
พูดจบลุงแกก็รีบวิ่งเขาไปในโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว
“คุณขึ้นไปนั่งเลย”
เธอบอกกับเขาก่อนจะหันไปยกกระเป๋าขึ้นรถอันที่จริงกระเป๋าใบนี้ก็ไม่ได้หนักสักเท่าไหร่ขณะที่เขามองเธออย่างรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ฉันช่วย คุณไม่ต้องคิดมากว่าตัวเองไม่เป็นสุภาพบุรุษหรอก ถือซะว่าฉันไถ่โทษที่ทำหน้าต่างหล่นทับมือคุณแล้วกันนะ”
“ไป ขึ้นเลยพิมพ์” ลุงธงชัยวิ่งออกมาจากประตูหน้าโรงพยาบาลแล้วกระโดดขึ้นคร่อมสามล้อก่อนบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องรถแล้วหันมาถามเธอ
“พิมพ์ไปแวะตี่ไหน บอกลุงมาเลย”
“ลุงธงปา[32] พิมพ์ไปแวะโลตัสก่อนเน้อเจ้า เดียวพิมพ์จะปาเพื่อนไปกินข้าวก่อน แล้วก็ไปแวะโรงพักกำ[33] เพื่อนพิมพ์โดนลักกระเป๋าตังค์บนรถเมล์จะไปแจ้งความไว้ แล้วก็ไปแวะที่โรงแรมอิงธาราก่อนส่งพิมพ์ปิกบ้าน”
เธอบอกเส้นทางกับลุงคนขับเรียบร้อยก่อนหันมาหาเขา
“ที่โลตัสมีธนาคารกรุงเทพฯ แล้วก็กรุงศรี ถ้าในกระเป๋าคุณมีบัตรเอทีเอ็มหรือว่าบัตรเครดิตของสองธนาคารนี้แจ้งอายัดบัตรไว้เลยก็ดีนะ ส่วนธนาคารอื่นๆ แวะไปพรุ่งนี้ก็ได้ ไม่สิพรุ่งนี้วันเสาร์คุณคงต้องรอจนถึงวันจันทร์เลยล่ะ ในตัวเมืองมีอีกห้าธนาคารคือ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ออมสิน แล้วก็ธกส. พอไปถ่ายบัตรประชาชนใหม่ที่อำเภอเสร็จคุณค่อยเอาไปยื่นทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ เดี๋ยวถ้าผ่านหน้าที่ทำการอำเภอฉันจะชี้ให้คุณดู”
แล้วเธอก็ได้รอยยิ้มพร้อมกับคำขอบคุณจากเขาเช่นเคย หากรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้เปรียบดังลูกกวาดหรืออมยิ้มแสนหวาน วันนี้เธอคงได้รับขนมกองโตเท่าภูเขาชนิดที่ใหญ่กว่าบ้านขนมหวานของฮัลเซลกับเกรเทลเกือบสิบเท่า
ไม่กี่อึดใจรถสามล้อเครื่องก็วิ่งเข้าสู่ลานจอดรถหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ตชื่อดัง
“ถึงแล้ว ไปกันคุณ” เธอบอกให้เขาลงจากรถก่อนหันมาคุยกับคนลุงคนขับ
“ลุงธงไปกิ๋นข้าวกั๋นเจ้า”
คุณลุงคนขับรีบโบกมือปฏิเสธ “เอาเลยพิมพ์ ลุงเปิบลาบร้านลุงบุ้งมาแล้ว กั๊ดต๊อง[34] ขนาด ไปเลยบ่อต้องรีบ กิ๋นอิ่มๆ ลุงรอได้ ไปเตอะ”
“คุณอยากทานอะไร”
เธอหันมามองคนที่กำลังยืนตาแป๋วเหมือนเด็กน้อยกำลังง่วงเหงาหาวนอน เขาดูเพลียๆ อาการน่าเป็นห่วง
“อะไรก็ได้ครับ”
เขาตอบเสียงเนือยๆ เธอจับแขนของเขาถึงได้รู้ว่าตอนนี้เจ้าชายวอล์ทดิสนีย์กำลังไข้ขึ้นจึงพาเขาเดินไปนั่งพักที่โต๊ะในศูนย์อาหารแล้ววางกระเป๋าสะพายไว้บนโต๊ะก่อนจะเลือกเมนูอาหารตามสั่งสำหรับเธอและคนป่วย
ตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองมีอาการสะลึมสะลืออ่อนเพลีย คงเป็นเพราะบาดแผลและความเหมื่อยล้าจากการเดินทาง เขาได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างกระเป๋าสะพายของเธอหลายครั้ง เดาว่าคนที่โทรเข้ามาคงมีธุระด่วน หรือไม่ก็อาจเป็นคนในครอบครัวที่เป็นห่วงแม่บาร์บี้ตัวน้อยว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วยังไม่กับบ้าน แต่เขาก็ไม่กล้ายุ่งกับของส่วนตัวของเธอจึงเลือกปล่อยให้มันดังขึ้นแล้วก็เงียบไปหลายครั้งหลายครา
“คุณพิมพ์ครับ โทรศัพท์คุณมีสายเข้าหลายครั้ง คนที่โทรมาน่าจะมีธุระด่วน”
เขารีบบอกกับเธอเมื่อเธอกลับมาพร้อมกับถาดอาหารในมือ
เธอวางถาดอาหารที่มีข้าวเปล่าอยู่สองจานลงพร้อมกับท่าทางชะงักเล็กน้อย
“คุณ...รู้ชื่อฉันได้ยังไง? แล้ว... ได้รับโทรศัพท์ฉันรึเปล่า”
ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่มีท่าทางแปลกใจและดูเหมือนเริ่มจะระแวงเขาขึ้นมา
“เอ่อ ผมขอโทษครับที่เสียมารยาทเรียกชื่อคุณ พอดีผมได้ยินคุณลุงคนขับรถเรียกชื่อคุณ ส่วนโทรศัพท์ผมไม่กล้าละลาบละล้วงหรอกครับ พอดีเห็นมันดังอยู่หลายครั้ง”
เธอพยักหน้าเข้าใจแล้วเปลี่ยนท่าทีวางตัวสบายๆ กับเขาเช่นเดิม
“ไหนๆ คุณก็รู้ชื่อฉันแล้ว แล้วคุณล่ะชื่ออะไร”
เพื่อไม่เป็นการเสียเปรียบอย่างน้อยเธอก็ควรจะรู้ชื่อเขาด้วยไม่ใช่หรือ เจ้าชายแจกอมยิ้มให้เธออีกแล้ว แม้จะดูไม่หวานหยดย้อยเท่าครั้งแรกเพราะปริมาณน้ำตาลในเลือดที่ลดลงตามอาการอ่อนเพลียของร่างกาย แต่อย่างไรก็ยังคงหวานหยดกว่าส้มสายน้ำผึ้งกับส้มสีทองรวมกัน
“ผมชื่อ 'รังสฤษฏ์' ครับ เรียกผมว่า 'รัมย์' ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักและขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือทุกอย่างในวันนี้นะครับ”
“ฉันชื่อ 'ชมพูพิมพ์' คุณจะเรียกฉันว่า 'พิมพ์ใจ' หรือ' พิมพ์' เฉยๆ ก็ได้
กับข้าวน่าจะเสร็จแล้วรอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันไปยกมาก่อน”
ชมพูพิมพ์กลับมาที่โต๊ะพร้อมกับแกงจืดเต้าหู้หมูสับ ผัดคะน้าหมูกรอบ และยำไข่เค็ม เมื่ออาหารวางอยู่ตรงหน้าพร้อมแล้วแต่เธอเห็นเขายังไม่แตะมันเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทำท่าเหมือนพยายามจะจับช้อนส้อมแต่ก็จับไม่ได้ เธอลืมไปว่ามือเขาเจ็บ
‘จะทำยังไงดีล่ะทีนี้’ เธอหันซ้ายหันขวามองดูว่ามีคนรู้จักอยู่แถวนี้หรือไม่ โชคดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนในศูนย์อาหารเลยรวมถึงคนที่รู้จักเธอด้วย
‘แบบนี้ก็คงต้องป้อนใช่ไหม’ ถอนหายใจกับตัวแล้วขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้เขา เลื่อนจานข้าวของเขามาตรงหน้าตัวเองแล้วหยิบช้อนจากมือเขาตักข้าวและกับข้าวคำเล็กยื่นไปป้อนเขา แต่คนป่วยก็ไม่ยอมทานสักทีปล่อยให้เธอถือช้อนค้างในมือ
“ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้แกล้งเจ็บให้ฉันป้อน ถ้าเกรงใจหรือว่าอายที่ต้องให้ผู้หญิงมานั่งป้อนข้าวทั้งที่คุณตัวโตขนาดนี้แล้ว คุณก็ควรจะรีบๆ ทานให้อิ่มนะ ใช่ว่าฉันเองจะไม่อาย ฉันเชื่อว่าคุณกลับไปที่โรงแรมก็คงไม่มีใครมานั่งป้อนข้าวคุณอยู่ดี”
ชมพูพิมพ์ยื่นช้อนแตะริมฝีปากเขาอีกครั้ง เขายอมอ้าปากทานแต่โดยดีด้วยใบหน้าแดงกล่ำอย่างเขินอาย 'ผู้ชายคนนี้มองออกง่ายจัง ดูเป็นคนซื่อไม่มีเล่ห์เหลี่ยม'
“แล้วคุณพิมพ์ไม่ทานเหรอครับ” เพราะเห็นเธอเอาแต่ตักกับข้าวป้อนเขา เขาห่วงว่าเธออาจหิวจนเป็นโรคกระเพราะเอาได้
“ฉันยังไม่หิว เดี๋ยวกลับไปทานที่บ้านก็ได้ เอาผัดคะน้าหมูกรอบหน่อยไหม” เธอก็ง่วนอยู่กับการตักข้าวป้อนเขาอยู่ได้พักใหญ่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ต๊าย ดูสิ พอฟ้าเริ่มมืดก็มานั่งป้อนข้าวผู้ชายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่อายฟ้าอายดินในที่สาธารณะ ไม่แคล้วอีกเดี๋ยวพอตะวันตกดินไปแล้วคงได้พอกันเข้าไปพั่บๆ ต่อในโรงแรม”
เสียงแหลมพูดจากกระแนะกระแหนกระแทกแดกดันมาแต่ไกลทำให้รังสฤษฏ์และชมพูพิมพ์พร้อมกันหันไปดู
เมื่อเห็นผู้หญิงร่างอวบอ้วนจวนจะกลายเป็นนางยักษ์ดั่งหน้าตาและวาจาที่เปล่งออกมาเดินเข้ามายืนอยู่ข้างโต๊ะที่เขาและเธอนั่งอยู่ รังสฤษฏ์หันมองชมพูพิมพ์และเดาว่าผู้หญิงตรงหน้าน่าจะเป็นคนรู้จักของเธอ
ชายหนุ่มเห็นแวววูบไหวในดวงตากลมโตคู่นั้นและมือที่เกร็งจากการออกแรงบีบช้อนส้อมจนแน่น เป็นใครได้ยินคำสบประมาทเช่นนี้ก็คงทนไม่ได้ เพียงครู่เดียวที่เธอหลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่เขาก็พบว่าดวงตาคู่นั้นฉายแววเย็นชาไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด แต่หากใครเผลอมองสบตาตรงๆ ก็อาจทำให้รู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาได้ทีเดียว
“ผมกับคุณพิมพ์...”
“พิมพ์ว่าคงมีแต่คนคิดอกุศลเท่านั่นล่ะค่ะ ที่คิดว่าพิมพ์จะทำเรื่องแย่ๆ อย่างที่พี่ชันพูด
คนที่เขาฉลาดพอและมองด้วยเหตุด้วยผล เขาคงไม่ตาบอดจนมองออกเห็นว่ามือคุณรัมย์เพื่อนของพิมพ์มีผ้าพันแผลพันเอาไว้เพราะบาดเจ็บอยู่
เขาคงเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะอะไรพิมพ์ถึงต้องป้อนข้าวผู้ชาย
และไม่คิดเลยเถิดไปถึงเรื่องบนเตียงหลังตะวันตกดิน”
รังสฤษฏ์มองคนตัวเล็กที่กำลังพูดจากับสาวร่างท้วมตรงหน้าด้วยท่าทีเยือกเย็นน้ำเสียงราบเรียบ แม้เธอจะทำหน้าตายไม่ยี่หร่ากับสิ่งใด แต่คนฟังกลับรู้สึกได้ถึงพลังกดดันบางอย่าง คำพูดของเธอที่เปล่งออกมานั้นทำเอาคนตั้งใจมาหาเรื่องเป็นฝ่ายโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสียเอง
“เหอะ ทำเป็นพูดดีไปเถอะ” นางยักษ์จำแลงในร่างหญิงท้วมพูดขึ้นมาก่อนจะหันมามองรังสฤษฏ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“จะว่าไปไอ้ผู้ชายคนนี้ก็น่าตาดีใช้ได้นี่ ระวังมันจะหลอกเจาะไข่แดงแกจนท้องป่องเหมือนแม่แกล่ะ แม่ที่ไปเอากับผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่ผัวตัวเองอย่างอาดินแล้วหนีตามชู้รักไปพร้อมกับลูกในท้องของมัน ทิ้งให้แกอยู่กับป้าบัวส่วนอาดินก็ทนอับอายขายขี้หน้าคนเขาไม่ไหวหนีไปบวชจนป่านนี้ยังไม่ยอมสึก พระท่านคงทนไม่ไหวที่ต้องกลับมาเจอหน้าลูกสาวที่ยิ่งโตก็ยิ่งถอดแบบแม่ออกมาไม่ผิดเพี้ยนอย่างแก”
ผู้หญิงใจดำคนนี้เหมือนสะใจมากที่ได้ขุดเอาภูมิหลังของคนอื่นขึ้นมาพูดตอกย้ำซ้ำเติม รังสฤษฏ์อดรนทนไม่ไหวจนผุดลุกขึ้นเพื่อจะพูดบางอย่างโต้ตอบหล่อนกลับไปบ้าง แต่ต้องหยุดเพราะแรงฉุดรั้งให้นั่งลงจากคนข้างๆ ชมพูพิมพ์จับแขนเขาเอาไว้แล้วสบตาเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
“คุณอิ่มรึยัง”
รังสฤษฏ์พยักหน้ารับ
“ถ้าอิ่มแล้วเดี๋ยวเราไปโรงพักกันต่อ”
ชมพูพิมพ์จัดการรวบช้อนส้อมเรียบร้อยบนจาน เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าสะพายและโทรศัพท์มือถือลุกขึ้นไม่พูดไม่จาแล้วเดินออกจากโต๊ะมาโดยมีเขาเดินตามหลัง แต่ก็ยังไม่วายมีเสียงกระฟัดกระเฟียดของคนใจร้ายส่งตามมาติดๆ เช่นกัน
“ยัยพิมพ์ฉันพูดความจริงเรื่องแม่แกแค่นี้ แกจะไปแจ้งความให้ตำรวจมาจับฉันเลยเหรอ เออ...เรียกมาเลยฉันไม่กลัวหรอก อย่างดีก็เสียค่าปรับแค่ห้าร้อย ฉันมีเงิน แค่นี้ขนหน้าแข้งฉันไม่ร่วงหรอก”
รังสฤษฏ์ลอบมองดวงหน้าน้อยของชมพูพิมพ์ที่หยุดเดินพร้อมส่ายหน้าเบาๆ แล้วมีเสียง ‘หึ’ รอดออกมาจากริมฝีปากบาง ‘หัวเราะสินะ’ เขาหวังว่าเธอคงไม่เก็บเรื่องไม่ดีมาใส่ใจ เธอดูเป็นผู้หญิงที่สงบเยือกเย็นหรือควรจะเรียกว่าเย็นชาดี
หลังออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตไปยังสถานีตำรวจจนถึงโรงแรม รังสฤษฏ์กับชมพูพิมพ์แทบไม่ได้พูดคุยกันเลย เขาดีรู้ว่าเธอคงอยากอยู่เงียบๆ มากกว่าระบายเรื่องไม่สบายใจกับคนแปลกหน้าต่างถิ่นที่เพิ่งพบเจอกันได้ไม่กี่ชั่วโมงอย่างเขาฟัง แต่อย่างไรช่วงเวลาแห่งการบอกลาก็ต้องมีคำพูดจากใจแสดงความขอบคุณ
“คุณพิมพ์ครับ” เขาเรียกหญิงสาวขณะที่เธอก้าวลงจากรถสามล้อเครื่องก่อนเขา
“คะ” เธอหันตามเสียงเรียกขณะพยายามลากกระเป๋าของเขาลงมาด้วย
“บ่อเป็นหยัง[35] เดียวลุงยกไปวางที่ล็อบบี้ฮื้อ” คุณลุงคนขับรถบอกก่อนยกกระเป๋าเข้าไปวางไว้ให้ตรงหน้าเคาน์เตอร์ล็อบบี้ด้านในโรงแรมเปิดโอกาสให้เขาได้พูดคุยกับเธอ
“ผมขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณพิมพ์ช่วยเหลือผมเอาไว้ในวันนี้มากนะครับ แล้วก็... เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ที่ผู้หญิงคนนั้นพูด” เขามีท่าทีอึกอักคิดว่าควรจะพูดดีหรือไม่
“ผู้หญิงคนเมื่อกี้เป็นญาติห่างๆ ของฉันเองค่ะ คุณไม่ต้องเก็บเอามาใส่ใจหรอกนะคะ และถ้าจะเอาไปพูดต่อก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะยังไงมันก็เป็นความจริง คนเราหนีภูมิหลังตัวเองไม่ได้หรอกจริงไหมคะ แล้วก็นี่...ฉันช่วยคุณ ไหนๆ จะช่วยแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
เธอยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เขา แม้จะไม่มากแต่เธอคิดว่าเขาจำเป็นต้องใช้มัน
รังสฤษฏ์มองสิ่งที่เธอยื่นให้เขา “ผมรับไม่ได้หรอกครับคุณพิมพ์ วันนี้คุณช่วยผมมามากพอแล้ว ต่อจากนี้ผมจะหาทางเองครับ ผมเป็นผู้ชายจะให้รับเงินจากคุณได้ยังไง ผมเกรงใจครับ”
เขาปฏิเสธเสียงหนักแน่น สิ่งที่เขาได้รับจากเธอในวันนี้ น้ำใจอันงดงามและการให้ความช่วยเหลือคนโชคร้ายคนหนึ่งเช่นเขาอย่างที่คนทั่วไปไม่คิดจะทำมันก็มากเกินพอแล้วจริงๆ
ชมพูพิมพ์เองก็ไม่ยอมแพ้เอาเงินจำนวนนั้นสอดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของเขา
“คุณรับไว้เถอะค่ะ ถือว่าฉันช่วย อย่างน้อยก็เป็นค่าอาหารกับค่าเดินทางไปติดต่อธุระเรื่องทำบัตรประชาชนใหม่กับทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคาร อย่าลืมสิคะว่าเหลือเวลาอีกตั้งสองวันกว่าจะถึงวันจันทร์"
“แต่...” เขายังคงตั้งท่าปฏิเสธ
“ไม่มีแต่ค่ะ อย่างน้อยคุณก็ควรจะรับน้ำใจจากเพื่อนร่วมโลกคนนี้ ฉันเองก็ไม่ได้ช่วยเหลือใครแบบนี้เสมอไปหรอกนะคะ ที่ฉันช่วยเพราะฉันเห็นว่าคุณเป็นคนที่ควรค่าแก่การช่วยเหลือ ฉันถึงช่วย”
เธอทำให้เขาจำต้องรับเงินจำนวนนี้ที่มีค่าเท่ากับน้ำใจของเธออย่างเลี่ยงไม่ได้
เขารู้สึกประทับใจในตัวเธออยากขอบคุณและตอบแทนเธอบ้างหากมีโอกาส
“ถ้าอย่างนั้นผมขอเบอร์โทรศัพท์กับเลขบัญชีของคุณได้ไหมครับ ผมอยากใช้คืน”
ชมพูพิมพ์ส่ายหน้า “อย่าเลยค่ะ ที่ฉันช่วยคุณเพราะครั้งหนึ่งฉันก็เคยเจอสถานการณ์คล้ายๆ กับคุณตอนลงไปกรุงเทพฯ หากคุณไม่สบายใจคราวหน้าถ้าคุณได้เจอคนที่กำลังลำบากอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กันก็อย่าลืมช่วยเขาต่อนะคะ แล้วก็นี่ค่ะ ขนมปังกับนม ฉันซื้อในเซเว่นก่อนขึ้นรถเมล์ คุณเอาไว้ทานนะคะ คุณเพิ่งจะทานข้าวได้ไม่กี่คำก็เกิดเรื่องซะก่อน ฉันกลัวว่าคุณจะหิวตอนดึกๆ อีกอย่างไม่รู้ว่าครัวของโรงแรมปิดกี่โมงด้วย"
ชมพูพิมพ์เปิดกระเป๋าของตัวเองหยิบถุงขนมที่ซื้อไว้ตุนก่อนขึ้นรถประจำทางในร้านสะดวกซื้อให้เขาและชายหนุ่มก็รับไปด้วยความเกรงใจ
"โชคดีนะคะ ฉันต้องกลับแล้ว” เธอเดินหันหลังเตรียมจะเดินขึ้นรถตามลุงคนขับรถไป
"คุณพิมพ์ครับ ถ้าผมอยากจะขอถ่ายรูปคู่หน่อยได้ไหมครับ”
เธอมีสีหน้าลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตกลง
“ฉันหวังว่าคุณคงไม่เอารูปฉันไปสร้างกระแสอะไรในโลกโซเชียลนะคะ”
“ไม่หรอกครับ ผมแค่... อยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก ช่วยยิ้มหน่อยได้ไหมครับ”
เขาขยับไปยืนด้านหลังของเธอ และย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนใช้โทรศัพท์กดบันทึกภาพ
“ขอบคุณครับ” รังสฤษฏ์กดดูรูปที่เพิ่งถ่ายไป
“เคยมีคนบอกคุณไหมครับ ว่าคุณพิมพ์เป็นผู้หญิงที่ยิ้มสวยมาก คงจะดีไม่น้อยถ้าคุณยิ้มแบบนี้บ่อยๆ”
แม้ว่าตอนนี้ท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีนิลแล้ว อะไรที่เคยสว่างไสวเริ่มถูกความมืดเข้าบดบัง แต่เขากลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนนี้แก้มใสๆ ของเธอกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
“ฉันกลับล่ะค่ะ อ้อ...อย่าลืมทานยาหลังอาหารนะคะ ขอให้หายไวๆ โชคดีค่ะ”
“หวังว่าเราจะได้พบกันอีกนะครับ”
“เชียงของเป็นเมืองเล็กๆ ถ้าคุณอยู่ที่นี่อีกนานยังไงซะก็คงได้เจอกันสักวันหนึ่งค่ะ”
ชมพูพิมพ์รีบก้าวขึ้นรถโดยที่รังสฤษฏ์ยังคงแจกยิ้มโบกมือลาให้เธอตามหลังรถสามล้อเครื่องที่วิ่งออกจากหน้าโรงแรมจนลับตา
แสงไฟในตัวบ้านยังเปิดสว่างไสวอยู่
โดยปรกติแล้วป้าบัวบงกชของเธอมักจะเข้านอนแต่หัวค่ำ ชมพูพิมพ์จึงก้าวขึ้นบันไดเรือนไม้หลังน้อยเข้าไปข้างใน
“พี่คำ เป๋นหยังยังไม่นอนกันเจ้า แล้วนี่กิ๋นข้าวแลงเรียบร้อยกันแล้วกาเจ้า”
ชมพูพิมพ์ถามพี่เลี้ยงสาวชาวลาวที่อยู่กับเธอมาหลายปีดีดักตั้งแต่สมัยเธอยังเป็นเด็กหญิงน้อยวัยหกขวบ พี่แสงคำมาจากเมืองห้วยซาย แขวงบ่อแก้วของประเทศลาว ฝั่งตรงกันข้ามแม่น้ำโขงรับจ้างทำหน้าที่ดูแลบ้านและเป็นผู้ดูแลป้าของเธอที่มองไม่เห็น ดวงตาทั้งสองข้างของท่านบอดสนิทเพราะป่วยเป็นโรคต้อหินจากการตรากตรำทำงานหนักตั้งแต่สมัยยังสาวๆ พี่แสงคำนับว่าเป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งในครอบครัวเล็กๆ ของเธอ
ส่วนป้าบัวบงกช แม้ท่านจะไม่ใช่ป้าแท้ๆ ของเธอหากลำดับนับญาติทางสายเลือด ป้าบัวบงกชเป็นป้าสะใภ้ ท่านแต่งงานกับลุงวายุซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของบิดาเธอซึ่งอายุห่างจากน้องชายนับยี่สิบปี
ลุงวายุรับราชการเป็นปลัดอำเภอ ท่านย้ายไปประจำตามจังหวัดต่างๆ จนได้พบรักกับป้าบัวบงกชสาวเมืองขนมหวานที่เพชรบุรี หลังแต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกันลุงวายุตัดสินใจทำเรื่องขอย้ายกลับมาประจำที่บ้านเกิดเพื่อดูแลปู่กับย่า เพราะน้องสาวทั้งสองคนต่างพากันแต่งงานสร้างครอบครัวแยกย้ายออกจากบ้านใหญ่ไป ส่วนน้องชายคนเล็กอย่างบิดาของเธอนั้นก็ออกท่องโลกกว้างเพื่อหาประสบการณ์ชีวิตเดินทางลงใต้ไปหางานทำในกรุงเทพฯ
หลังจากลุงวายุย้ายกลับมาอยู่ดูแลปู่กับย่าได้เพียงห้าปี ท่านทั้งสองก็เสียชีวิตไล่เลี่ยกันโดยที่ปู่เสียได้เพียงหกเดือนหลังจากนั้นย่าก็เสียตามท่านไป
ลุงวายุและป้าบัวบงกชทั้งสองท่านไม่มีลูก เมื่อบิดาของเธอเลิกลากับมารดาและได้สูญเสียน้องชายวัยสี่ขวบของเธอไป ท่านก็พาเธอกลับมาบ้านเกิดมุมานะทำงาน แต่งงานมีครอบครัวใหม่แล้วก็ผิดหวังในรักและการครองชีวิตคู่อีกครั้ง จึงตัดสินใจออกบวชไม่ศึกตลอดชีวิต ส่วนเธอก็ได้ลุงวายุและป้าบัวบงกชช่วยเลี้ยงดูมาจนโต กระทั่งเมื่อแปดปีก่อนลุงวายุเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอด ครอบครัวของเธอจึงเหลือแค่เธอ ป้าบัวบงกชและพี่แสงคำเท่านั้น
“กิ๋นแล้วเจ้าน้องพิมพ์ ป้าบัวยังไม่นอนเพราะเห็นว่าน้องพิมพ์ยังไม่กลับ เปิ้นเลยรอเจ้า"
“พิมพ์กลับมาแล้วเหรอ ทำไมกลับค่ำๆ มืดๆ ล่ะลูก แล้วนี่ทานข้าวทานปลามารึยัง”
ป้าบัวของเธอเดินออกมาจากห้องนอนยื่นมือมาข้างหน้าคลำทางเดินเข้ามาหาเธอ
ชมพูพิมพ์รีบปราดเข้าจับมือประคองท่านเอาไว้
“พี่คำไปนอนเตอะเจ้า เดี๋ยวพิมพ์คุยกับป้าแล้วก็จะปิดบ้านให้ค่อยเดินกลับบ้านพิมพ์”
เธอหันไปบอกกับพี่สาวผู้ดูแลแล้วประคองป้าของเธอไปนั่งบนเตียงในห้องนอนของท่าน
“ทำไมยังไม่นอนคะ”
“ป้ารอพิมพ์ กลับดึกนะลูก ไปไหนมา”
“วันนี้พิมพ์ไปรับพาสปอร์ตลูกค้าที่เชียงรายมาค่ะ ขากลับเจอเจ้าชายผู้โชคร้ายบนรถเมล์ พิมพ์ทำมือเขาเจ็บแถมกระเป๋าเงินเขาก็โดนขโมยด้วย พิมพ์เลยพาเขาไปทานข้าวไปแจ้งความที่โรงพักแล้วก็พาไปส่งโรงแรม”
ชมพูพิมพ์เล่าเหตุการณ์ที่ได้ทำมาในวันนี้ให้ป้าของเธอฟัง เว้นเสียแต่เรื่องที่เจอพี่อัญชันเพราะกลัวว่าท่านจะคิดมากและไม่สบายใจเช่นเคย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ญาติผู้พี่ของเธอปฏิบัติกับเธอแบบนี้และทุกครั้งคนที่คิดมากก็เห็นจะเป็นคุณป้าบัวบงกชแสนใจดีของเธอ
“ป้าจ๋า พิมพ์เหนื่อยจังเลย” เธอก้มลงนอนหนุนตักท่าน
“ทำความดีมาทำไมถึงเหนื่อยล่ะลูก ต้องสดชื่นแจ่มใสเพราะได้บุญสิพิมพ์”
ท่านเย้าขณะลูบหัวเธอเบาๆ
ความรักที่ส่งผ่านสองมืออ่อนโยนเป็นกำลังใจอย่างดีสำหรับเธอ
ความเหนื่อยเหมื่อยล้าทำให้เธอเผลอหลับไปบนตักอ่อนนุ่มแสนอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้นขณะที่รังสฤษฏ์ใช้ความพยายามอย่างมากในการไดร์ผมจนแห้งหลังเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ ทั้งที่มือเจ็บ เขาใช้เวลาในการอาบน้ำครั้งนี้มากกว่าครั้งไหนๆ ในชีวิต เพื่อให้มั่นใจว่าตัวเองชำระล้างร่างกายได้สะอาดหมดจดและมือที่สวมถุงมืออนามัยไว้ไม่สัมผัสถูกน้ำเข้าจนอาจจะทำให้แผลเกิดอักเสบขึ้นมา
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพบว่ามีสายวิดีโอคอลเรียกเข้าจากหลานสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบครึ่ง น้องน่ารักลูกสาวของพี่ชายเขา
“ว่าไงคะคนเก่ง คิดถึงอารัมย์ไหม” เขายิ้มทักทายสาวน้อยผ่านทางหน้าจอสมาร์ทโฟน
“คิดถึงที่สุดเลยคะ อยากให้อารัมย์กลับมาเล่านิทานให้น่ารักฟังทุกคืนเลย”
เสียงใสเจื้อยแจ้วส่งมาทำให้คนเป็นอายิ้มกว้าง
“คิดถึงอารัมย์เพราะอยากให้อาเล่านิทานให้ฟังเหรอคะ” คุณอาแกล้งน้อยใจ
“ไม่ใช่ๆ ค่ะ คิดถึง อยากกอด อยากหอม ไม่ได้เจอแล้วคิดถึง”
เด็กน้อยรีบปฏิเสธเอาใจก่อนคนเป็นพ่อจะอุ้มลูกสาวขึ้นนั่งบนตัวเองแล้วโอบไหล่ภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ ให้เข้ามาในโฟกัสของกล้องโทรศัพท์
“น้องรัมย์เป็นไงบ้างคะ ที่โน่นห้องพักดีไหม แล้วนี่ทานอะไรรึยัง”
วิรงรองพี่สะใภ้ของเขายังคงแสนดีอยู่เสมอ
“ที่พักสะดวกสบายดีครับพี่วิ”
“แกพักผ่อนให้สบายใจสักสองวันนะ วันจันทร์ค่อยเข้าไปคุยรายละเอียดแล้วก็ประชุมงานร่วมกับทีม ว่าแต่มือนายเป็นอะไรเมื่อกี้ฉันเห็นผ้าพันแผลแวบๆ”
เพราะสายตาอันว่องไวของพี่ชายอย่างรังสิมันตุ์ทำให้เขาต้องตอบคำถามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อุบัติเหตุนิดหน่อยครับ ถ้าไม่ได้คนใจดีช่วยเอาไว้วันนี้ผมคงแย่จริงๆ กระเป๋าเงินก็โดนขโมย โชคดีที่เธอช่วยผมเอาไว้ตั้งแต่ขึ้นรถ เธอพาผมไปโรงพยาบาล เลี้ยงข้าว พาไปแจ้งความลงบันทึกไว้ที่สถานีตำรวจแล้วมาส่งผมที่โรงแรม”
เขายังรู้สึกซาบซึ้งใจกับน้ำใจที่ได้รับจากหญิงสาวไม่หาย
“แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่านายรัมย์ ไปวันแรกก็ได้เรื่องเจ็บตัวเลยนะ จะทำอะไรก็ต้องรู้จักระมัดระวังให้มากเอาสติสตังไปไว้ไหนหมด มาคิดดูแล้วฉันส่งนายไปผิดวันรึเปล่าวะ นายถึงได้ซวยแบบนี้”
“พี่รันพูดคล้ายๆ คุณพิมพ์เลยครับ เธอถามผมว่าก่อนเดินทาง ผมพกดวงมาด้วยรึเปล่า”
พูดแล้วเขาก็หัวเราะขำๆ ตัวเอง
“คุณพิมพ์?” พี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาพูดพร้อมกันแล้วก็พากันหัวเราะ
“ครับ คนที่ช่วยผมไว้เธอชื่อชมพูพิมพ์”
“พี่สาวใจดีเค้าสวยไหมค่ะ อารัมย์”
น้องน่ารักหรือเด็กหญิงรวิสราจ้องเขาผ่านกล้องตาแป๋ว
ขณะที่พี่ชายของเขามองมาเหมือนจะจ้องจับผิด
“สวยครับ เดี๋ยวอารัมย์ส่งรูปบาร์บี้แองเจิ้ลของอารัมย์ให้ดูนะครับ”
“ทำไมพี่เค้าถึงเป็นบาร์บี้ล่ะคะ” เด็กน้อยเอียงคอถามด้วยความสงสัย
“อีกเดี๋ยวน้องน่ารักได้เห็นรูปต้องร้องอ๋อแน่นอนค่ะ”
“รัมย์ เรื่องรถนาย พี่จะให้เจ้าชลขับไปให้ที่โน่นนะ วันพรุ่งนี้ตอนเย็นๆ ก็คงจะถึง เดี๋ยวจะฝากเงินสดไปให้ใช้ด้วย วันนี้นายก็ไปพักผ่อนได้แล้ว รายละเอียดเรื่องอื่นไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
น้องน่ารักลูก บายอารัมย์ก่อนเร็ว เดี๋ยววันนี้พ่อจะเล่านิทานก่อนนอนให้หนูฟังแทนอารัมย์เอง”
“บาย บาย ค่าอารัมย์ จุ๊บๆ ฝันดีนะคะ” หลานสาวผู้น่ารักส่งจูบให้เขาผ่านทานหน้าจอ
“จุ๊บ ฝันดีนะครับหลานสาวตัวน้อยของอา”
“บายไอ้น้องชาย” พี่ชายของเขาส่งท้ายก่อนวางสาย
หลังวางสายจากพี่ชายไปได้ครู่หนึ่ง รังสฤษฏ์ก็กดส่งรูปภาพผ่านทางแอพพลิเคชั่นสนทนายอดนิยมให้กับหลานสาวตามที่ได้สัญญาไว้
“อารัมย์ส่งให้แล้วนะครับน้องน่ารัก”
เขาล้มตัวลงนอนมองรูปของคนที่ส่งยิ้มหวานพิมพ์ใจสมชื่อในมือถือแล้วผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียและฤทธิ์ยาที่กินเข้าไป
วิรงรองเห็นลูกสาวเอาแต่จับๆ จิ้มๆ โทรศัพท์ทั้งที่วางสายจากคุณอาแสนรักและฟังนิทานเรื่องโปรดจบไปนานแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมนอนเลยขยับเข้าไปดูลูกสาวใกล้ๆ
“น้องรักดูอะไรอยู่คะลูก นอนได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้หนูต้องตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนสอนดนตรีนะคะ”
เธอเข้าไปโอบแล้วหอมที่แก้มลูกสาวหนึ่งที
“อารัมย์ส่งรูปบาร์บี้แองเจิ้ลของอารัมย์มาให้น้องรักดูค่าคุณแม่” ว่าแล้วเด็กน้อยก็ยื่นโทรศัพท์ให้คุณแม่
“สวยจังเลยค่ะ น้องรักชอบพี่สาวคนนี้ น้องรักจะบอกให้อารัมย์จีบ จีบพี่สาวเลยค่ะคุณแม่”
คนเป็นแม่ส่ายหน้ายิ้มๆ ตายแล้วลูกสาวเธอแก่แดดจริง
“รีบนอนได้แล้วนะลูก ฝันดีนะคะ”
วิรงรองจัดการห่มผ้าให้ลูกสาวแล้วปิดไฟ พอเดินออกมาจากห้องนอนของลูกสาวตัวน้อยก็เจอสามียืนรออยู่หน้าห้องนอนของลูกสาว
“วิว่าคุณไม่ต้องเป็นห่วงน้องรัมย์แล้วล่ะค่ะ”
รอยยิ้มของภรรยาทำให้คนเป็นสามีอย่างรังสิมันตุ์อดสงสัยไม่ได้จนต้องเอ่ยปากถามออกมา
“ทำไมล่ะครับ”
“นี่ไงคะ ไม่แน่ว่าน้องผู้หญิงคนนี้อาจจะ...” เธอมองหน้าสามีสื่อความหมายเข้าใจตรงกัน
“ร้ายนะไอ้เสือ”
รังสิมันตุ์มองรูปในโทรศัพท์ที่น้องชายส่งมาพร้อมหัวเราะร่า พรุ่งนี้คงต้องให้พ่อกับแม่ดูด้วยซะแล้ว ลูกสาวบ้านไหนเนี่ยจะได้ให้พ่อกับแม่รีบไปสู่ขอมาดามอกน้องชายผู้น่าสงสาร
>>> กำเมือง <<<
[1]ขอบใจจาดนักเน้อ = ขอบใจมากนะ
[2] อ้ายบ่าว = พี่ชาย, ผู้ชาย
[3] บุญก้ำบุญจู = บุญค้ำบุญชู
[4] มีน้ำอกน้ำใจ๋กับคนเฒ่า = มีน้ำจิตน้ำใจกับคนแก่
[5] ผ่อเลาะ = ดูสิ
[6] หน้าต๋าก้อจ้าดหล่อ = หน้าตาหล่อมาก
[7] หล่อใบ้หล่อง่าว = หล่อมากเกินบรรยาย
[8] เนอะอีหล้า = เห็นด้วยไหนน้อง, หลานสาว
[9] อ้ายบ่าวนี่หล่อเนอะ = ผู้ชายคนนี้หล่อเนอะ, พี่ชายคนนี้หล่อเนอะ
[10] แฟนเฮาโจกดีขนาด = แฟนเราโชคดีมาก
[11] โตย = ด้วย
[12] อ้าย = พี่ชาย, หรือผู้ชายบางคนเรียกใช้เรียกแทนตัวเองกับผู้อาวุโสกว่า
[13] ถ้าบ่อเงียบแม่ตี๋หนา = ถ้าไม่เงียบแม่จะตี
[14] ตี่ = ที่
[15] จะใด = ยังไง, อย่างไร
[16] เน้อ = นะ
[17] ปี้ = พี่
[18] เปิ้น = เธอ, คุณ
[19] ฮื้อ = ให้
[20] ตุ๊จ้า = ขอบคุณ, หรือไหว้สาธุ
[21] ซาวห้า = ยี่สิบห้า
[22] กาด = ตลาด
[23] น้อ = เนอะ
[24] เอ็ก = ร้องตะโกน
[25] โม๊ง = หลุม, บ่อ
[26] ขอสุมาเตอะเจ้า = ขอโทษ, ขอขมา
[27] ยะหยังตี่ = ทำอะไรที่
[28] ไขย = ใคร
[29] อะหยังก่อ = อะไรไหม
[30] ได้ก่า = ได้สิ
[31] ฮื้อ = ให้
[32] ปา = พา
[33] กำ = เดี๋ยว, แป๊ป
[34] กั๊ดต๊อง = แน่นท้อง, อิ่มมาก
[35] บ่อเป็นหยัง = ไม่เป็นไร
ความคิดเห็น