ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [WINNER] still {Minho x Taehyun} - end

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1: คุณคนเล็ก

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 58


    Still001

     

     

     

    สำหรับเช้าวันอาทิตย์คงเป็นเช้าที่สดใสสำหรับใครหลายคนเมื่อวันหยุดพักผ่อนสุดสัปดาห์มาถึง แต่ก็คงไม่ใช่กับเจ้าของบ้านไม้ริมชานเมืองหลังนี้ มองรอดเข้าไปยังหน้าต่างบานเล็กที่ถูกเปิดไว้ให้ผ้าม่านสีอ่อนพลิ้วไหว

     

    จะพบกับห้องนั่งเล่นที่ถูกตกแต่งด้วยสไตล์ยุโรปโบราณและวินเทจเก่าผสมผสานอย่างลงตัวซึ่งคงพอจะบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี เก้าอี้ยาวสีฟ้าอ่อนและเก้าอี้เลาจน์ชุดเดียวกันตั้งอยู่ใจกลางห้อง ด้านหน้าเป็นเตาผิงขนาดเล็กกับทีวีติดผนังที่ไม่เคยถูกเปิดใช้งาน

     

    ภาพของเจ้าของร่างขาวซีดราวกับกระดาษกำลังนั่งจมจ่อมอยู่กับกองดอกคัตเตอร์สีขาวขนาดมหึมาของเขา งานอดิเรกที่ร่างเล็กยินดีจะทำมันทุกวันแก้เหงาเมื่อตนเองอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ สายลมอ่อนที่พัดเข้ามาในตัวบ้านแผ่วเบาจากบานหน้าต่างที่ถูกเปิด ส่งผลให้ผมสีดำขลับปลิวไหวตามแรง

     

    สวยงาม เป็นภาพที่สวยงาม...

     

     

     

    “ขยันแต่เช้า”

     

     

     

    เสียงทักทายของคุณพี่เลี้ยงอย่างคังซึงยุนดังขึ้น เขาเอ่ยอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับวางน้ำผลไม้สดที่ตนเพิ่งจะคั้นมาให้กับคุณหนูของตนเอง คุณหนูที่สั่งให้เขาเรียกชื่อห้วนๆได้ คุณหนูที่ไม่ชอบให้เขาเรียกว่าคุณหนู

     

     

     

    “แทฮยอน”

     

    “...”

     

    “รีบทานมันนะ เดี๋ยวจะชืดหมด”

     

    “ครับ พี่ซึงยุน”

     

     

     

    เสียงหวานนั้นเอ่ยตอบแผ่วเบา ส่งยิ้มจางให้เขาเล็กน้อยก่อนจะสนใจกองดอกคัตเตอร์ต่อ จมูกโด่งถอนหายใจออกมามองดูงานอดิเรกของคนตัวเล็กแล้วก็อดยิ้มขำไม่ได้ แทฮยอนนั่งจัดช่อดอกไม้ได้เป็นวัน แต่กับแค่กายภาพบำบัดเล็กๆน้อยกลับไม่ยอมทำ

     

     

     

    “น่าจะอีกสองวัน วีลแชร์ตัวใหม่คงมาถึง”

     

    “ขอโทษนะที่ทำให้ลำบาก” เสียงใสนั้นเอ่ยบอก ใบหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นมองคนที่อยู่ในผ้ากันเปื้อนสีอ่อนซึ่งขัดกับบุคคลิกที่เป็นผู้ชายทั้งแท่งอย่างสิ้นเชิง ซึงยุนยักไหล่สั่นหัวแทนคำตอบให้กับแทฮยอน มันเป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว

     

    พี่เลี้ยงเด็กคนนี้...

     

     

     

    “แล้วนี่คนของคุณพ่อเราจะมาเมื่อไหร่ พี่จะได้เตรียมห้องไว้ให้ถูก” ซึงยุนเอ่ยถามขึ้นมา เขาเห็นแทฮยอนชะงักไป ก่อนที่จะได้ยินเสียงถอนหายใจตามมา ดูเหมือนว่าเขาจะจับอารมณ์ไม่พอใจจากอีกฝ่ายได้

     

    “ไม่รู้หรอก เมื่อวานกดตัดสายท่านก่อน ไม่อยากฟัง”

     

     

     

    เอ่ยตอบตามความเป็นจริงจนคนฟังถึงกับต้องหลุดขำเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย แต่มันก็จริงอย่างที่แทฮยอนว่า คนตัวเล็กไม่อยากฟัง เขามีคังซึงยุนคอยดูแลอยู่แล้วทั้งคน เขาไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวายเพิ่ม

     

    แค่แทฮยอนเดินไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นภาระ

     

    ริมฝีปากบางคว่ำลง

     

     

     

    “งั้นพี่ไปเตรียมห้องรอเขาก่อนก็ได้”

     

    “ตามใจ” เอ่ยบอกอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ซึงยุนก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นเป็นคำสั่งจากเบื้องบนและเขาควรจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เจ้าของร่างโปร่งเดินถือถาดแก้วของเขาออกมาจากห้องนั่งเล่นอย่างอารมณ์ดี

     

     

     

    ยังไม่ทันที่ขายาวจะได้สาวพาตัวเองไปถึงห้องครัวตามที่หวัง เสียงจากด้านนอกก็ดังขึ้นเรียกความสนใจเขาไว้เสียก่อน

     

     

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อก

     

    ที่เคาะประตูแบบโบราณที่ซึงยุนคิดว่าจะไม่มีวันได้ยินเสียงมันก็ดังขึ้น ขายาวหยุดลงก่อนจะมองเจ้าของร่างสูงของบุคคลผู้มาใหม่อย่างสงสัย คิ้วสวยขมวดเข้าหากันหลังจากพินิจในความคิดอยู่นานหลายวินาที

     

    บ้านหลังนี้ไม่เคยต้อนรับแขก...

     

    แล้วเสียงหวานๆของคนในห้องนั่งเล่นที่เดินไม่ได้ตะโกนออกมาดังเรียกสติของเขาเอาไว้ก่อน

     

     

     

    “ใครมาหรอพี่ซึงยุน??

     

     

     

     

     

     

     

     

    แก้วกาแฟดำถูกวางลงข้างกายชายแปลกหน้าซึ่งเป็นแขกของเราในวันนี้ เจ้าของร่างสูงใหญ่ในเสื้อแขนยาวสีเลือดหมูเข้มกับกางเกงขายาวสีดำของเขาและรองเท้าผ้าใบธรรมดาที่ขับให้ผู้ชายคนนี้ดูดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเพียงยืนเท้าระเบียงหลังบ้านของเราก่อนจะลอบถอนหายใจออกมา

     

    ยังไม่มีบทสนทนาใดระหว่างเรา

     

    คังซึงยุนได้แต่มองแขกผู้มาเยือนอย่างสงสัย ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเอ่ยก่อน

     

     

     

    “คุณเป็นคนที่คุณท่านส่งมาเหรอ?”

     

    “หมายถึงนายใหญ่หรือไง” เสียงทุ้มต่ำนั้นถามกลับ ซึงยุนรู้สึกได้ว่าแม้แต่น้ำเสียงของเขาเองก็ยังดูดีจนน่าใจหาย ผู้ชายคนนี้ดูดีไปทุกอย่างและทั้งหมดจริงๆ

     

    แต่เขาก็ต้องพับความน่าชื่นชมเหล่านั้นไว้ก่อน

     

     

     

    “ถ้าคุณหมายถึงพ่อของแทฮยอนก็ใช่” ซึงยุนเอ่ยบอกถึงเจ้าของบ้านหลังนี้ เขาไม่ได้ให้คนแปลกหน้าพบกับแทฮยอนก่อน คุณท่านสั่งเอาไว้หากใครไปมาให้ซึงยุนดูความเหมาะสมก่อนว่าสมควรเข้าพบแทฮยอนมากน้อยเพียงใด

     

    จิตใจร่างเล็กไม่ปกติ เขาไม่อยากให้แทฮยอนรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้

     

    ชายตรงหน้าซึงยุนพยักหน้าแทนคำตอบ

     

     

     

    “เขาส่งผมมาที่นี่”

     

    “ถ้าอย่างนั้นก็มีอะไรหลายอย่างที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับแทฮยอนเยอะเลย” ซึงยุนว่าพร้อมกับถอนหายใจออกมา

     

     

     

    เขาทิ้งตัวลงเอนพิงผนังไม้ของบ้านพร้อมกับมองหน้าของชายแปลกหน้าที่หันมาเลิกคิ้วใส่เขาเป็นเชิงสงสัย ซึงยุนยกยิ้มบางบนมุมปาก ก่อนที่อีกฝ่ายจะหมุนตัวกลับมาพร้อมกับยื่นฝ่ามือไปด้านหน้าคนที่กำลังกอดอกอยู่

     

     

     

    “ซงมินโฮ”

     

    ซงมินโฮ ชื่อของชายแปลกหน้าในวันนี้

     

     

     

    ลมพัดอ่อนยามสายยังเป็นของคู่กันกับบ้านหลังนี้ เจ้าของดวงตาคมทั้งสองดวงลอบมองต้นดอกคัตเตอร์ที่ไหวเอนตามลมน้อยๆอย่างผ่อนคลาย

     

    มินโฮยืนพิงกำแพงบ้านอยู่ข้างกับซึงยุน เขาฟังร่างสูงโปร่งนั้นเล่าเรื่องของแทฮยอนตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ซึงยุนบอกว่าเขามาที่นี่เพราะเขามาสมัครงานง่ายๆที่เงินเดือนดี ด้วยความที่หมอนี่ไม่มีครอบครัวไม่มีประวัติล้ำลึกและน่าสงสัย ซึงยุนจึงถูกเลือกโดยนายใหญ่อย่างไม่ต้องมีพิธีรีตองให้ปวดหัว

     

    ครั้งแรกที่เขาเจอแทฮยอน ร่างเล็กกำลังป่วยหนักจากอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน แทฮยอนกับมารดาเกิดเหตุถูกลอบฆ่าโดยศัตรูของบิดา นายใหญ่ไม่ได้นั่งรถคันนั้นพี่ชายของแทฮยอนก็ด้วย มีเพียงแค่แทฮยอนกับแม่

     

    แต่คนที่รอด คือแทฮยอน...

     

     

    สภาวะกดดันทางจิตใจส่งผลให้แทฮยอนเป็นโรคจิตเภท ร่างเล็กบอกกับใครต่อใครว่าเขาเดินไม่ได้เขาสูญเสียความรู้สึกที่ขา แต่เมื่อหมอตรวจกับไม่พบความผิดปกติใด นายใหญ่ร้อนใจก่อนที่เขาจะพบว่าจิตแพทย์ช่วยเราได้

     

    จิตแพทย์รายงานกับเราว่าแทฮยอนเดินได้ตามปกติ แต่เพราะภาวะทางจิตใจและผลกระทบจากการสูญเสียมารดาส่งผลให้เขาเป็นแบบนี้

     

    รู้สึกสูญเสียมันไป

     

    ขาของตนเอง

     

     

     

    “แล้วนายก็ดูแลแทฮยอนที่เป็นแบบนี้มาถึงสองปี ?” มินโฮเอ่ยถามเมื่ออีกฝ่ายเล่าเรื่องมาถึงตรงนี้ เจ้าของใบหน้าอิ่มนั้นพยักเล็กน้อย ซึงยุนเองก็ใจหายเหมือนกันที่เขาดูแลแทฮยอนมาสองปีแล้ว รอยยิ้มบางถูกแต่งแต้มบนใบหน้าชายหนุ่ม

     

    “แล้ววิธีแก้ล่ะ ?” มินโฮเอ่ยถาม

     

     

     

    หัวใจของเขาไหววูบ หากวันนั้นเป็นเขาที่อยู่ข้างแทฮยอน อยู่ใกล้ร่างเล็ก เขาจะไม่ยอมให้อาการป่วยทางจิตเข้าครอบคลุมอีกฝ่าย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่ความคิดและความรู้สึกที่ขา แทฮยอนยังคงปกติทุกอย่าง

     

    แต่ถ้าเป็นมินโฮที่อยู่ใกล้กันแต่แรก เขาคงไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

              นายใหญ่ส่งเขามาช้าไป

     

     

     

    “ต้องให้กำลังใจเขามากๆ ทำเหมือนกายภาพบำบัดทุกวันแล้วชมเขาเยอะๆ เขาจะรู้สึกหายขาดเหมือนผู้ป่วยในโรงพยาบาลธรรมดา”

     

    “มันไม่ดีขึ้นเลยเหรอ” มินโฮเอ่ยถามอย่างสงสัย คิ้วหนาของเขาขมวดเข้าหากัน เพราะหากเป็นคนปกติหรือคนที่เป็นโรคแบบนี้ ก็ไม่ควรใช้เวลารักษานานขนาดนั้น เพราะมันมีผลข้างเคียงมินโฮเคยได้ยินมา

     

    มันอาจจะมีโรคประสาทหรือโรคจิตบางตัวแทรกซ้อนขึ้นมาอีกได้

     

    ซึงยุนถอนหายใจพร้อมส่ายหน้า

     

     

     

    “บางครั้งผมก็ได้ยินแทฮยอนพูดคนเดียว...แต่ผมไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคุณท่าน ผมเคยคิดว่าตัวเองหูฝาดแต่ก็ไม่ใช่”

     

    “เขาพูดว่าอะไร...”

     

    “เขาพูดถึงดอกคัตเตอร์กับใครบางคน... แล้วก็อีกหลายๆเรื่อง ทุกอย่างดูเหมือนว่าอะไรๆจะไม่ดีขึ้นเลย” ซึงยุนว่าอย่างเหนื่อยใจ เขาอ่อนล้าและหวังว่ามินโฮจะเข้าใจในสิ่งที่เขาแบกรับอยู่ตอนนี้ หัวทุยเอนลงกับผนังบ้านอย่างแรง เปลือกตาของซึงยุนค่อยๆปิดลง

     

    “นายทำมันมาแล้วสองปีนี่” มินโฮเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่ซึงยุนทำมันมาตั้งสองปีแต่ก็น่าแปลกที่แทฮยอนกลับไม่หายดีขึ้นบ้างเลย

     

    ดูเหมือนจะแย่ลงไปกว่าเก่าอีก

     

     

     

    “คุณไม่เข้าใจหรอก คุณท่านน่ะทำร้ายจิตใจแทฮยอนบ่อยๆ”

     

    “...”

     

    “อย่างเช่นการส่งคุณมาในวันนี้ก็ด้วย” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเบาเพราะไม่อยากทำร้ายจิตใจมินโฮแต่กับแทฮยอนที่เขาดูแลทุกวันมันก็สำคัญ มินโฮขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ฟังประโยคนั้นจากซึงยุน คนข้างกายไม่เอ่ยอะไรต่อ มือยาวนั้นเอื้อมมาตบบ่าเขาเบาๆอย่างให้กำลังใจ

     

    ซึงยุนรู้ดีว่าถ้าแทฮยอนเกลียดอะไรมันรุนแรงขนาดไหน ชายหนุ่มเอ่ยออกมาแผ่วเบาก่อนที่เขาจะสาวเท้ากลับเข้าบ้านไป

     

     

     

    “ผมจะไปเตรียมห้องให้ คุณก็ลองไปคุยกับแทฮยอนก่อนก็ได้”

     

     

     

    สิ้นประโยคนั้น มินโฮก็พยักหน้ารับคำโดยไม่ต้องพูดอะไรอีก

     

    ซึงยุนไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับอะไร ไม่ว่าจะดอกคัตเตอร์หรือว่าเรื่องของแทฮยอนกับดอกคัตเตอร์ ซึงยุนไม่รู้และมินโฮยินดีที่จะปล่อยไปแบบนั้น

     

    หัวใจของเขาหวิวเบา เมื่อได้ยินอีกคนบอกว่าแทฮยอนพูดคนเดียวพูดถึงอะไร นั่นมันเป็นสัญญาณที่ดี สัญญาณที่ดีของความทรงจำระหว่างเรา...

     

    เขารอให้ซึงยุนไปทำงานของตนเองระหว่างที่ขายาวก็ก้าวเข้าไปในตัวบ้านช้าๆ บ้านหลังนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่ความอบอุ่น ไม่มีอะไรที่มินโฮสัมผัสได้เหมือนตอนที่เรายังเป็นเด็ก ไม่มีเลย เขาถอนหายใจออกมา มือหนาลูบไปตามกำแพงบ้านแผ่วเบา

     

    ความรู้สึกในวันวานกลับมาอีกครั้ง

     

    เรื่องราวของเราในวัยเด็ก ที่ส่งผลให้หัวใจของมินโฮเต้นแรงเสมอ...

     

    สองเท้าของเขาหยุดลงหน้าห้องนั่งเล่น มองภาพเจ้าของร่างขาวที่ไม่สดใส ใบหน้านั้นหมองหม่นราวกับมีบางอย่างในใจ รูปร่างผอมซีดกับผมดำขลับ ฝ่ามือเรียวที่กำลังบรรจงจัดช่อดอกคัตเตอร์ตรงหน้าจนลืมสนใจอะไร

     

    แม้ภาพนั้นจะไม่สดใสและสร้างความหมองหม่นให้กับคนมอง แต่มันก็สวยงามเสียจนก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของมินโฮเต้นแรง เขาเอื้อมมือขึ้นมากุมหน้าอกตนเองเอาไว้ พร้อมกับมองภาพของคนตรงหน้า

     

    คนที่มินโฮเฝ้าคิดถึงมาตลอดหลายปี

     

     

     

    “ทำอะไรอยู่เหรอครับ?”

     

    “...”

     

    “คุณคนเล็ก”

     

     

     

    เสียงทุ้มต่ำที่แสนคุ้นเคยส่งผลให้มือเล็กที่กำลังเสียบช่อดอกคัตเตอร์อยู่สั่นเทา ริมฝีปากเรียวแดงเม้มเข้ากัน ในขณะที่คิ้วสวยขมวดขึ้น เปลือกตาบางหลับลงก่อนจะสูดลมหายใจลึก เมื่อใครบางคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา

     

    หัวใจดวงเล็กเต้นแรง จมูกร้อนผ่าว ลำคอแห้งผาก กลิ่นดอกคัตเตอร์และทุ่งหญ้าโชยมาแตะปลายจมูก นัมแทฮยอนไม่กล้าแม้แต่จะลืมตา

     

    กลัวว่ามันจะเป็นความคิดถึงที่ทำให้เขาเผลอได้ยินเสียงและสรรพนามในวันวานของใครบางที่เคยเอ่ยเรียกตนเองมันเป็นแบบนี้ทุกครั้งและค่อนข้างบ่อยครั้ง เมื่อแทฮยอนอยู่คนเดียว... ร่างเล็กสูดลมหายใจพึมพำแผ่วเบา

     

     

     

    “หูฝาดอีกแล้วแน่ๆเลย”

     

     

    “...”

     

    “ไม่ได้ยินคำนี้มานานมากแล้ว” เสียงใสนั้นว่า ก่อนที่ใบหน้าขาวจะค่อยๆก้มลง หัวใจเหมือนถูกบีบรัด แทฮยอนรู้ตัวดีว่าเขาหมายถึงอะไร เขารู้ดีว่าเขาได้ยินเสียงทุ้มต่ำโทนนี้บ่อยในความคิดแค่ไหน

     

    “คุณคนเล็กครับ”

     

     

     

    มันดังขึ้นอีกรอบและอีกครั้ง ศีรษะเล็กสั่นไปมาปฏิเสธความคิดของตัวเอง แทฮยอนไม่ลืมตาและไม่เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า ปฏิกิริยาของแทฮยอน ทุกอย่างที่กำลังแสดงออกในตอนนี้บอกชายหนุ่มได้เพียงอย่างเดียว

     

    แทฮยอนคิดถึงเขามาตลอด

     

    คิดถึงมากมาตลอด

     

     

     

    หนสุดท้ายน้ำเสียงที่เอ่ยเรียกก็ไม่มีผล ฝ่ามืออุ่นจำเป็นต้องยื่นออกไปประคองแก้มใสที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าหวานนั้นกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา สัมผัสอบอุ่นของฝ่ามือและปลายนิ้ว แทฮยอนคิดว่าเขากำลังฝันกลางวันอยู่

     

    แต่เปล่า...

     

    สัมผัสนี้เป็นของจริงเมื่อเขาลืมตา

     

     

    ม่านน้ำตาบังภาพชายหนุ่มตรงหน้า หากแต่มันก็เลือนหายไปและชัดเขนขึ้นเมื่อปลายนิ้วปาดหยาดน้ำตานั้นออกอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ภาพของคนที่แทฮยอนทนคิดถึงจนเก็บไปคิดและได้ยินเสียงอีกฝ่ายอยู่บ่อยๆปรากฏขึ้นตรงหน้า

     

     

     

    “...มินโฮ”

     

     

     

    ปากแดงเอ่ยเรียกชื่อนั้นแผ่วเบา มีเพียงรอยยิ้มกับสายตาอ่อนโยนที่ส่งกลับมาให้เช่นในวันวาน หัวใจที่เหี่ยวเฉากลับมาเบ่งบานอีกครั้ง ฝ่ามือบางของแทฮยอนทาบลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่มินโฮกระทำอยู่

     

    ใบหน้าเรียบเนียนและอบอุ่น ดวงตาคมกับจมูกโด่งสันและคิ้วเข้มสวย ไฝเล็กๆที่ปลายจมูกของอีกคนกลับรอยยิ้มที่ชัดเจนเหลือเกินตรงหน้า ริมฝีปากหยักแคบ

     

    ทุกอย่างเป็นของจริง

     

     

     

    “ผมไม่ได้บ้าใช่ไหม”

     

    “...”

     

    “นี่มินโฮของจริงใช่ไหม”

     

    “ครับคุณคนเล็ก ผมเองครับ” มินโฮเอ่ยตอบนั่นยิ่งทำให้คนที่กำลังร้องไห้อยู่เผยรอยยิ้มออกมา เหมือนกับสิ่งที่รอคอยมาตลอดหลายปีสิ้นสุดลง หัวใจที่เกือบตายไปเพราะความสูญเสียซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ากลับมามีชีวิตอีกครั้ง

     

    “อย่าทิ้งผมไปไหนอีกนะมินโฮ”

     

    “ไม่ครับ ไม่ทิ้งแล้ว ไม่ทิ้งคุณคนเล็กขี้แยของผมแล้ว”

     

    “ฮึ...” แทฮยอนหลุดขำออกมากับคำที่อีกฝ่ายใช้เรียก หยาดน้ำตาถูกปาดออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนที่นั่งคุกเข่าเช็ดน้ำตาให้กับเขาในวันนี้ เหมือนกับผู้ชายที่เคยเช็ดน้ำตาให้แทฮยอนเมื่อตอนเด็ก ภาพในความทรงจำซ้อนทับเข้ามา

     

     

    ตอนเด็กแทฮยอนเป็นแผล มันเป็นแผลนอกกาย แต่วันนี้มันเป็นแผลในใจ แผลที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ว่ามันจะเป็นแผลอะไร แต่มันก็ยังคงเป็นผู้ชายคนนี้ คนเดียวกับที่เคยเช็ดน้ำตาให้แทฮยอนในวัยเด็ก

     

     

     

    “คิดถึง...พี่มินโฮ”

     

    “คิดถึงครับ คิดถึงคุณคนเล็กมาก”

     

     

     

    น้ำเสียงนั้นเอ่ยบอกด้วยความสัตย์จริงและเต็มหัวใจ ฝ่ามือหนาที่แนบแก้มใสละออกมากอบกุมมือบางที่แนบกับใบหน้าของเขาอยู่ มือบางแต่นุ่มละมุน มือบางที่เขาคิดถึงเสมอมา เปลือกตาของมินโฮหลับพริ้มรับสัมผัสอ่อนโยนของอีกฝ่าย

     

     

     

    “แต่ว่า... ผมกลัว กลัวตัวเองจะเป็นภาระ” แทฮยอนเอ่ยบอกเสียงแผ่ว มือบางนั้นทำท่าจะชักกลับหนีสัมผัสอีกฝ่ายเพราะความกลัว กลัวในสิ่งที่ตนเองกำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ กลัวจะถูกทอดทิ้งเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

     

    “ผมไม่เคยพูดกับคุณคนเล็กแบบนั้นเลยสักครั้ง”

     

    “...”

     

    “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ที่เราเจอกันผมไม่เคยพูด” มินโฮลืมตาขึ้นมา ดวงตาคมสบตรงมองเข้าไปในตาเรียวสวยของแทฮยอน ฝ่ามือหนารั้งมือบางเอาไว้ไม่ให้ถอยหนีเขาไปไหนได้อีก หากแต่เจ้าของร่างเล็กก็ยังคงเลือกจะเบือนใบหน้าหลบหนีแทน แทฮยอนได้แต่เม้มริมฝีปากแน่น

     

    “มองผมสิครับคุณคนเล็ก”

     

    “...”

     

    “ผมอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าคุณคนเล็กไม่ไปไหนแล้ว”

     

     

     

    มินโฮยกฝ่ามือขาวขึ้นจูบแผ่วเบา หลังจากใช้ถ้อยคำชโลมหัวใจที่บอบช้ำของเขา การกระทำนั้นยังคงหลอมละลายหัวใจของแทฮยอนได้เสมอ ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจตนเองที่มันแรงขึ้น หากแต่ว่า...

     

    แทฮยอนก็ยังคงกลัว เขายังกลัวการถูกทอดทิ้งที่ทำให้ตัวเขาเองไม่เหลือใครอีกเหมือนอย่างวันนี้ ที่เขามีเพียงแค่ซึงยุน...

     

     

     

    “ผมเอาแต่ใจ” แทฮยอนเอ่ยบอก แต่มันก็เสี้ยววินาทีก่อนที่มินโฮจะรีบตอบอีกฝ่ายกลับมาให้ใจพองโต

     

    “ผมรู้มาตั้งแต่คุณคนเล็กยังเป็นเด็กแล้ว”

     

    “ผมไม่ชอบทานข้าวเยอะๆ”

     

    “เพราะคุณคนเล็กชอบทานของว่าง”

     

    “ผมชอบหนีเที่ยว”

     

    “ผมก็จะไปตามคุณคนเล็กกลับมา”

     

    “แต่ว่าตอนนี้ ผมเดินไม่ได้”

     

     

     

    แทฮยอนเอ่ยบอก ใบหน้าหวานสลดลง เขากลัวกลัวสิ่งที่จะได้ยินจากปากมินโฮหากมันเป็นถ้อยคำทำร้ายจิตใจ อีกฝ่ายเงียบไป นั่นยิ่งทำให้แทฮยอนใจไม่ดี ปากเรียวแดงเม้มเข้าหากันแน่น ไม่กล้าสบตา

     

    หรือมองหน้า ก็ไม่กล้า...

     

     

     

    “ผมก็จะอุ้มคุณคนเล็กเอง” แล้วเสียงทุ้มต่ำที่ตอบกลับมาก็ทำให้หัวใจของคนฟังพองโตจนเกือบจะระเบิด พวงแก้มใสซับสีเลือดอ่อนบนใบหน้า แทฮยอนเอ่ยเถียงอีกฝ่ายเสียงแผ่วเบา

     

    “แต่ผมมีวีลแชร์นะ..”

     

    “ผมจะเป็นวีลแชร์ให้คุณคนเล็กเอง”

     

    “...”

     

    “ให้ผมอุ้มคุณคนเล็กตลอดทั้งชีวิตผมก็ได้”

     

    “...”

     

    “อย่าพูดว่าตัวเองเป็นภาระอีกนะครับ”

     

     

    แทฮยอนพยักหน้ารับกับถ้อยคำยืนยันจากคนตรงหน้า ฝ่ามืออุ่นที่ยังคงถ่ายทอดความรู้สึกส่งผ่านมาทำให้แทฮยอนมั่นใจ ก่อนที่ร่างเล็กนั้นจะเอ่ยออกมาแผ่วเบา




    “ถ้าอย่างนั้นผมจะโทร.บอกพ่อว่าเราไม่ต้องการวีลแชร์แล้ว”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    UP 10.04.15

    เป็นฟิคที่ค่อนข้างดูดพลัง....................

    เป็นมินโฮมุมอ่อนโยนที่ดูดพลังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยแต่งมุมนี้

    แต่จะพยายามให้กินใจที่สุดนะคะ ; w ;

     

    อย่าคาดหวังนะคะ เพราะเค้ากลัวทำออกมาไม่ดี ฮือ

    ขอบคุณนักอ่านทุกคนเหมือน ซังรังเง 

    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×