[Short Fiction] Love Story [Yunho - Jaejoong] - [Short Fiction] Love Story [Yunho - Jaejoong] นิยาย [Short Fiction] Love Story [Yunho - Jaejoong] : Dek-D.com - Writer

    [Short Fiction] Love Story [Yunho - Jaejoong]

    ผมมักคิดเสมอ สวรรค์ลิขิตไว้ ว่าคนที่รักกันนั้น... องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือลักษณะนิสัยที่คล้ายๆกันของคนทั้งสอง แต่น่าแปลกนะ สำหรับผมกับเจ้านั้น...มันออกจะตรงข้ามกันในทุกๆเรื่อง...

    ผู้เข้าชมรวม

    1,359

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.35K

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 มิ.ย. 50 / 18:23 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ง่า เรื่องนีม่ะด้ายแต่งเองนะฮะ
    เอามาลงเฉยๆ ยังไงก็ฝากเม้นด้วยนะฮะ
    เราอยากรุ้ว่าชอบเหมอนที่เราชอบมั้ย เป็น
    นิยาย Y นะฮะ ชาย-ชาย อ่า
    ยังไงก็ฝากด้วยนะฮะ

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      [Short Fiction] :::::::: Love Story :::::::: [Yunho - Jaejoong]

      ผมมักคิดเสมอ สวรรค์ลิขิตไว้ ว่าคนที่รักกันนั้น...
      องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือลักษณะนิสัยที่คล้ายๆกันของคนทั้งสอง
      แต่น่าแปลกนะ สำหรับผมกับเจ้านั้น...มันออกจะตรงข้ามกันในทุกๆเรื่อง...


      -------------------------------------------------------------------------------------------

      ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ปี2004

      "....เป็นไงบ้างแจจุง......แม่ว่าห้องนี้ก็พอใช้ได้นะ ถ้าไม่ติดว่ามันเล็กไปหน่อยก็เถอะ................"

      แม่หันมาถามในขณะที่ผมยังคงเดินสำรวจห้องไปมา
      ห้องอพาร์ทเม้นท์ขนาดกลาง ในสุดเปิดเข้าไปก็เจอกับห้องนอนเล็กๆ
      ตกแต่งโทนสีด้วยสีครีม ที่ผมว่ามองทีไรก็รู้สึกสบายตาไปซะทุกครั้ง
      แต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบห้องนี้มาก สงสัยคงจะเป็นหน้าต่างบานเล็กตรงนั้นละมั้ง
      ที่พอมองลงไปก็เจอกับสวนหญ้า ตรงกลางดูเหมือนจะมีบ่อน้ำอยู่กลายๆ...

      มันให้ความรู้สึกสงบร่มรื่น ช่างแตกต่างกับสภาพโดยรอบเสียจริงๆ
      ตึกสูงที่ตั้งตระหง่าน รถยนต์นับหลายพันคันที่วิ่งขับกันจนดูวุ่นวายนั้น

      ผมได้แต่อมยิ้มเมื่อหันไปมองหน้าแม่ ที่ดูท่าจะรู้คำตอบของผมดี
      และมันก็ใช่จริงๆ แม่เดินออกไปตกลงเซ็นสัญญาอะไรสักอย่าง
      กับชายหนุ่มมีอายุที่เป็นผู้ขายห้องๆนี้ให้ผม......

      ผมแอบดีใจลึกๆที่แม่ยอมให้ผมออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
      ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบชีวิตที่เคยเป็นอยู่หรอกนะ มันก็ดี วิเศษเลยทีเดียวล่ะ
      แต่จู่ๆผมก็รู้สึกว่า..นี้ผมกำลังทำตัวเป็นลูกแหย่อยู่รึเปล่า...
      เพื่อนๆผมบางคนมันย้ายออกมาอยู่ห้องเช่ากันตั้งแต่เริ่มขึ้นมอต้นแหนะ...
      แล้วผมล่ะ ตอนเช้าให้คนขับรถมาส่ง จะทานเข้าทีก็ต้องกินจากข้าวกล่อง
      ที่แม่ผมกำชับนักกำชับหนาว่าจะต้องทานเพียงแต่อาหารปิ่นโตนี้
      พอเลิกเรียนก็มีรถขับมารับ มันจะไม่ดูสบายไปหน่อยเหรอ....

      ผมยังเคยนึกสงสัยอยู่หลายที..ทำไมพวกพี่สาวของผม..ไม่เห็นจะเป็นแบบผมกันมั่งเลยนะ
      ทั้งๆที่พวกเค้าน่าจะได้รับการดูแลนี้มากกว่าผมซะด้วยซ้ำ
      เพราะว่าเป็นผู้หญิง..ผิดกับผมที่เป็นผู้ชาย...
      ..มันน่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรอ....

      อาทิตย์ก่อนผมเลยตัดสินใจได้ ผมจึงบอกแม่ว่าจะขอย้ายออกมา
      พอได้ฟังเท่านั้นล่ะ หล่อนพยายามอย่างมากที่จะหาเหตุผมร้อยแปดพันอย่าง
      มาหลอกล่อพูดให้ผมเปลี่ยนใจให้ได้.......

      แต่ยังไงซะสุดท้าย วันนี้แม่ก็ยอมออกมาดูอพาร์ทเม้นท์ที่ผมเคยร้องบอกเอาไว้จนได้...

      "....เอาของออกมาหมดแล้วใช่มั้ยลูก....นี้แจจุง แน่ใจนะว่าอยู่ได้...ถ้ามีไรโทรหาแม่นะรู้มั้ย.......ดูแลตัวเองดีๆด้วยรู้เปล่า....."

      ให้ตายเถอะ นี้ผมพยักหน้าไปกี่ครั้งกันนะสำหรับคำถามของแม่ ที่วกแต่จะถามคำถามเดิมๆ
      ตอนนี้ผมได้แต่โบกมือให้ เมื่อรถสีดำขลับขับเคลื่อนตัวออกไปเรื่อยๆ จนริบหายไปกับถนนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา

      เอาล่ะ..ต่อจากนี้ชีวิตอิสระที่ผมต้องการกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว........
      ขอให้มีแต่ความทรงจำดีๆด้วยเถอะ.....

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      ผมเงยหน้ายิ้มรับกับแสงแดดอ่อนๆที่ส่องลงมา แปลกนะที่ผมมักไม่ค่อยชอบแสงแดดสักเท่าไหร่เลย
      เพราะว่ามันทำให้ร้อนและแสบตาจะตายไป แต่ ณ ตอนนี้ไม่รู้ทำไม รู้สึกไปเองรึเปล่า
      แสงแดดนั้นเหมือนต้องการจะต้อนรับกับชีวิตใหม่ของผมที่นี้

      มันไม่ร้อนเหมือนทุกทีและไม่แรงมากจนทำให้แสบตา
      แต่มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
      ชอบความรู้สึกแบบนี้จริงเชียว.........

      ..เหมือนจะเห็นรอยยิ้มน้อยๆของคุณพระอาทิตย์เลย...นี้ผมคงต๊องไปแล้วแน่ๆ....

      แล้วความคิดที่ทำให้ชวนฝันจินตนาการไปไกลนั้นก็ต้องหยุดลง
      เมื่อมีเสียงแตรดังร้องเตือนอยู่ที่ด้านหลังของผม......
      ผมได้แต่สะดุ้ง ยืนนิ่งอยู่กับที่ พลันหันหลังกลับไปมองว่าที่ต้นเสียงๆนั้น

      ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดฟอร์มของพนักงานร้านไหนสักแห่ง
      ที่นั่งขี่อยู่บนเวสป้าสีฟ้าอ่อน ในแวบแรกที่เห็น ผมว่าเค้าดูเป็นคนเท่ดีนะ...

      แต่ติดตรงที่ว่า ถ้าไม่มีใบหน้าคมที่เฉยชา
      กับสายตาไม่พอใจที่ส่งออกมาจากดวงตาเล็กคู่นั้น
      เค้าอาจจะดูดีมากกว่านี้ ให้ตาย...

      ถ้าให้ผมคิด เค้าคงไม่พอใจที่ผมมายืนขวางทางเค้าอยู่แน่ๆ...
      ผมได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้..ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปที่ฟุตบาทด้านซ้ายมือ

      ".........คนกำลังรีบๆ เกะกะขวางทางอยู่ได้.... .............."

      คำพูดนั้นไม่พ้นหูผม กระทบไปเต็มๆเลย
      ..หมอนี้ปากเสียชะมัด...แค่ขวางทางแค่นี้ ต้องว่ากันถึงขนาดนั้นเลย.....

      คุณลุงคนขายบอกว่าคนที่เช่าห้องอยู่ที่นี้
      ล้วนแต่นิสัยดี มีน้ำใจ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันละกัน
      สงสัยจะยกเว้นแค่หมอนี้คนเดียวละมั้ง....
      หน้าตาดีแต่นิสัยแบบนี้ก็ไม่ไหวหรอก.....

      ก่อนที่ขายาวจะเดินกลับเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ ร่างบางรู้สึกได้
      กับตาขวาที่กระตุกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นมาบนห้อง

      ..น่าจดจำมั้ยล่ะ กับการเจอกันครั้งแรกของเราทั้งสองคน...

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      "........เอ่อ อรุณสวัสดิ์ครับ.......คุณคือคนที่มาเช่าห้องใหม่ใช่มั้ย...... ....."

      เสียงทุ้มต่ำที่แฝงไว้ด้วยความใจดีนั้น เอ่ยทักผมขึ้นมา
      ผมเหลือบสายตาขึ้นมามองคนตรงหน้า
      หลังจากง้วนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้ามาได้สักพัก
      ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มที่ดูเป็นมิตรมาให้
      ท่าทางลักษณะเค้าน่าจะอายุแก่กว่าผมสักสองสามปีได้
      ก็ดูจากชุดทำงานที่เห็นได้ทั่วไปที่เค้าใส่สิ

      เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปิดทับด้วยสูทสีเข้มกับกางเกงขายาวที่ดูเข้ากัน
      "... .ใช่ครับ ผมคิมแจจุง ต่อไปนี้ยังไงผมก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ...."

      ผมลุกขึ้นก็จะโค้งทำความรู้จักกับคนตรงหน้า
      ยิ้มบางๆไปให้ หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มแนะนำตัวเองบ้าง
      ...'ยูชุน'..เค้าอยากให้ผมเรียกเค้าสั้นๆแค่นั้น..
      เค้าแก่กว่าผมสองปีจริงๆด้วย
      ทำงานเป็นพนักงานบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับมือถือ

      เป็นครีเอทีฟนักคิดออกแบบ จึงไม่แปลกใจเลยที่เค้าจะต้องมีกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวไว้
      ถ้าเดาไม่ผิด ผมว่าในนั้นมันคงเป็นกระดาษสเก็ตร่างภาพเหมือนพวกเบื้องหลังโฆษณาที่เค้าทำกัน
      แต่ก็นั้นละ ผมได้แต่เดาเอาจากที่ผมเคยดูละครหลังข่าวในทีวีทุกคืน...

      ผ่านไปได้สักพัก ผมว่าเราคุยถูกคอกันนะ เค้าเป็นคนดีคนนึงทีเดียวเลยล่ะ
      ทำให้ผมอดที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับหมอนั้นเสียไม่ได้ คนปากจัดเมื่อวานยังไงล่ะ...

      "...แล้วนี้แจจุงจะออกไปทำอะไรแต่เช้าล่ะเนี่ย แต่งตัวแบบนี้ ถ้าให้เดานะ ออกไปเดินเล่นที่สวนชวนเลย....."

      เค้าเดาถูก ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มรับ "...ผมไปก่อนนะยูชุน......"
      ด้วยความที่เราสองคนคุยกันเพลิน ผมเลยอดคิดถึงเวลาที่มีจำกัด
      เพราะตอนนี้ก็ปาไปแปดโมงแล้ว ยิ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ด้วยแล้ว
      ยิ่งใกล้สายๆคนจะยิ่งเยอะคุณลุงคนขายบอกผมมา...
      ยูชุนส่งยิ้มบางๆที่ดูใจดีในสายตาผมเหมือนเคยมาให้

      ขาของผมกำลังจะก้าวออกไป แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงของยูชุนรั้งตัวผมเอาไว้
      "...อ่าว พอดีเลย....ยุนโฮแกก็จะไปที่สวนนั้นเหมือนกันใช่มั้ย แจจุงก็ติดรถมันไปสิ..........."

      ยูชุนพยักเพยิดหันไปหาบุคคลที่สามที่เพิ่งเปิดประตูออกมา
      ประตูที่ถัดจากห้องแจจุงออกไป...ที่ห้องข้างๆกัน...
      ที่ดูท่าเจ้าตัวจะตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกพูดขึ้นโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว
      ผมหันหลังกลับมามอง เพิ่งรู้ว่าเค้าตัวสูงกว่าผมเพียงเล็กน้อย
      เสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับกางเกงนักกีฬาขาสามส่วนสีน้ำตาล
      บวกกับรองเท้าผ้าใบสีดำ..ผมสีธรรมชาติที่ถูกยีอย่างลวกๆนั่นอีก...

      ...ยุนโฮ..นี้คือชื่อเค้าใช่มั้ย...วันนี้ยุนโฮดูสปอร์ตแมนเสียจริง....
      น่าแปลก ที่วันนี้สายตาดุดันที่ส่งกลับมามันดูอ่อนลงกว่าเมื่อวานมากนัก..
      ติดก็แค่ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยไว้เหมือนเดิม...ราวกับไร้ความรู้สึกใดๆ....

      ".....นี้พวกนายสองคน รู้จักกันรึยัง........." เสียงยูชุนปลุกผมให้ออกจากความคิด
      ผมส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อนๆ ส่วนหมอนั้นได้แต่เบนสายตามองไปทางอื่น

      "..เอาเถอะ ต่อไปนี้ถือว่ารู้จักกันแล้วนะ นี้ยุนโฮ นี้แจจุง...อายุรุ่นเดียวกันน่าจะพึ่งพากันได้...ไปๆรีบๆไปได้แล้ว...."

      มือใหญ่ผลักทั้งคู่ให้เดินลงบันไดไป
      ก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินตามลงมา ร่ำลาทั้งคู่แล้วขับรถเก๋งขนาดเล็กออกไป...
      แจจุงที่ตอนนี้ได้แต่ปิดปากเงียบเดินตามหลังยุนโฮอย่างช้าๆ
      เหลือบไปเห็นว่ายูชุนขับรถออกไปแล้ว ก็หยุดฝีเท้าลง...

      "...เอ่อ ฉันไปก่อนนะ...................." เสียงเล็กดังแว่วออกมาอย่างแผ่วเบา

      รู้สึกอึดอัดเป็นบ้า ขืนให้ผมไปกับหมอนี้ มันก็คงจะใช่เรื่อง
      สู้ให้เดินไปเองอย่างสบายใจไม่ดีกว่าหรอ.........
      พูดจบก็หันหลังกลับจะเดินออกจากที่จอดรถ

      ".....นี่นายอย่าเรื่องมากนักได้มั้ย....หรือว่านายชินเส้นทางแล้ว ก็โอเค จะไปก็ไป.........."

      คำพูดที่ไร้ซึ่งความห่วงใยถูกถ่ายทอดออกมาจากปากบางของยุนโฮ
      ส่งผลให้คนที่ฟังอยู่ต้องหยุดชะงักลง....

      มันก็ถูกของหมอนั้น จริงๆผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องถนนหนทางในโซลนี้เท่าไหร่เลย
      ก็ดูสิ มันเยอะจัดแล้วมันก็คล้ายๆกันจะตายไป เลยไม่คิดที่จะจดจำสักเท่าไหร่...
      จะเอาไงดีนะ ตอนนี้ไม่อยากจะเห็นหน้าของหมอนั้นเลย คงจะมองอย่างดูถูกแน่ๆ..

      ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้ รถเวสป้าสีฟ้าที่คุ้นตาดีก็มาจอดรออยู่ตรงหน้า
      พร้อมกับเจ้าของรถคนเดิมที่นั่งอยู่ ซีกหน้าด้านข้างของเจ้าตัวกับสายตาที่ทอดมองไปไกล
      การกระทำที่ดูเหมือนจะใส่ใจ....

      รถมอไซด์แล่นออกจากที่จอดรถ โผล่ขึ้นมาที่ถนนใหญ่ด้านบน
      เคลื่อนตัวไปช้าๆ แจจุงได้แต่นั่งนิ่งซ้อนอยู่ด้านหลัง

      เหมือนห่างออกจากตัวเมืองไป ดูเหมือนว่ารถจะเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม
      ยุนโฮตะโกนแข่งกับเสียงลมสั่งให้แจจุงเกาะเอวเอาไว้
      โดยอ้างบอกว่า...เค้ายังไม่อยากทำให้ใครต้องตาย......

      ในตอนแรกร่างบางเหมือนจะไม่ยอมอยู่ในที ก็ดูคำพูดของคนขับสิ
      พูดร้องขอดีๆเป็นมั้ยนะ กะอีแค่ให้เอามือจับเอวเค้าไว้อย่างนี้..ไม่มีหรอก...

      สุดท้ายแล้วก็ต้องจำยอม เพราะความเร็วที่ดูน่ากลัวขึ้นนั่นเอง
      โดยที่มีสายตาของคนขับที่เหลือบมองกระจกด้านข้างเป็นระยะๆ
      และรอยยิ้มมุมปากที่ยกขึ้นอย่างลืมตัวนั้น............

      ครั้งที่สองที่เราเจอกัน มันไม่ค่อยน่าจดจำอีกนั่นแหละ แต่ผมว่า มันดีกว่าครั้งแรกมากนะ....

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      "......เรื่องเมื่อวาน...........ชั้นอารมณ์ไม่ค่อยดี ต้องขอโทษด้วยละกัน................."

      คำพูดที่ดูอ่อนโยนในรอบสองวันแรกที่เจอกันของยุนโฮ
      ทำเอาผมที่กำลังเดินขึ้นบันไดต้องชะงักขึ้นมาทันที
      แปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆเค้าก็ขอโทษผมแบบนี้

      จริงๆไอ่เรื่องเมื่อวาน ผมก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากหรอก แค่อารมณ์เสียเพียงเท่านั้น
      แล้วพอขึ้นมาจัดเก็บห้องก็ลืมไปเสียสนิทเลย จะเป็นเพราะเหนื่อยก็คงใช่....

      เค้ายังคงปริปากพูดต่อ...เมื่อเห็นว่าผมยังเงียบ.......

      "...จริงๆฉันก็ทำแบบนั้นกับทุกคนล่ะนะ...แต่เมื่อวานจู่ๆฉันก็คิดไม่ตกถึงตอนที่ว่านาย...รู้แต่ว่าต้องขอโทษ ไม่เข้าใจตัวเองเลย..."

      จบคำพูดนั้น เค้าที่เดินไล่หลังผมอยู่ก็ก้าวขึ้นบันไดยาวๆ
      เดินผ่านไปผมขึ้นไป...แวบนึงที่ผมเห็นใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น
      เป็นใบหน้าที่ดูเหมือนคนที่ทำผิดแล้วรู้สำนึกขึ้นมา แค่แวบเดียวเท่านั้นจริงๆ...

      จริงๆแล้วหมอนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เห็นเลยสักนิด ติดแค่ตรงที่ว่า..
      นิสัยขวางๆที่ไม่ยอมใครละมั้งเลยทำให้ดูเป็นคนที่มีบุคลิกแบบนั้น...
      ก็แค่เด็กผู้ชายตัวสูงๆคนนึง แค่นั้นเอง....

      จู่ๆก็รู้สึก บรรยากาศที่อึดอัดนั้น มันหายไปตอนไหนกันนะ
      เหลือเพียงแต่ลมที่พัดพามาอย่างมาแผ่วเบา ให้ความรู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก...

      ".......นี้นาย อาบน้ำเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร ก็มานั่งเล่นเกมส์ที่ห้องฉันได้นะ......"

      ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดออกไป ในขณะที่ยุนโฮกำลังไขกุญแจเข้าห้อง
      เค้าค่อยๆหันหน้ามาทางผมที่ยืนอยู่ สายตาดุดันฉายแววเป็นประกายขึ้นมาทันใด
      ก่อนที่รอยยิ้มที่ผมไม่เคยได้เห็นจะผุดขึ้น รอยยิ้มเล็กๆที่ดูสว่างสดใสในสายตาผม
      แล้วเค้าก็พยักหน้าลง ก่อนจะหายเข้าไปในห้อง.......

      รอยยิ้มแบบนั้นทำไมถึงได้ต้องตาผมนักนะ
      แล้วนี้ผมเผลอยิ้มออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่รู้ตัวเลย
      กะอีแค่ได้พูดดีๆกับหมอนั้น ราวกับผมมีเรื่องที่สุขใจมากอย่างงั้นล่ะ...

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      ย่างเข้าฤดูหนาว ปี2004

      ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราสองคนมักจะนอนด้วยกันที่ห้องนอนของผม
      ตั้งแต่คืนวันที่ยุนโฮมานั่งเล่นเกมส์แล้วเผลอหลับไป

      มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว ว่าจะต้องมียุนโฮมานอนข้างๆแบบนี้เสมอ
      แรกๆผมก็ตกใจในการกระทำที่เค้าทำ ที่พอตกดึกเค้ามักจะละเมอ
      และฉวยเอาตัวผมไปกอด ผมรู้สึกอยากจะผลักไสเต็มที่
      แต่พอนานวันเข้ามันก็รู้สึกชิน ชินจนกลายเป็นสิ่งที่ต้องการทุกคืน
      มันช่วยให้ผมหายหนาวและมันก็เพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวผมเป็นอย่างดี
      จะดีมากถ้าหากไม่มีเสียงกรนน้อยๆของเจ้าตัวที่ดังจนหนวกหูผม.....

      หลังจากที่เราเริ่มคุยกันจนคุ้นเคยกันมากขึ้น ผมก็เพิ่งจะรู้
      ยุนโฮอยู่กับพี่ชายอีกคนที่จะไม่ค่อยชอบอยู่ห้องสักเท่าไหร่
      และมักจะเป็นคู่กัดกันอยู่ตลอดเวลา พี่ชายของยุนโอชื่อฮันกยอง
      ฮันกยองชอบบ่นเรื่องที่ยุนโฮไม่ยอมไปเรียน และลาออกมาทำงาน
      เป็นพนักงานคิดตังค์ที่ร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ถัดไปอีกสี่ซอย
      และต้นเหตุที่ทำให้ยุนโฮเป็นคนที่มีนิสัยโมโหหงุดหงิดง่าย
      ก็คงไม่พ้นพี่ชายตัวดีคนนี้ล่ะ ที่นำพาเอาแต่เรื่องมาให้ยุนโฮไม่เว้นแต่ละวัน

      บางครั้งผมรู้สึกชื่นชมยุนโฮพร้อมกันนั้นก็รู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ
      ที่เค้าสามารถมีชีวิตที่ตนเองเลือกได้ คิดจะทำอะไรก็ทำ เป็นคนที่ดูมีความมุ่งมั่นมาก
      พวกเราชอบเล่นเกมส์แข่งรถกัน พนันกันว่าถ้าใครแพ้จะต้องเอาถุงขยะ
      ของทั้งห้องผมและห้องยุนโฮลงไปทิ้งข้างล่าง และมักจะเป็นผมเสมอ
      ที่ต้องนำลงไปทิ้ง ก็ยุนโฮน่ะขี้โกงชอบแกล้งทำให้หมดเสียสมาธิอยู่เรื่อย..

      ข้อดีของยุนโฮที่ผมเห็นในตัวเค้าก็คือ ถ้าใครพูดคุยกับเค้าแล้วถูกจุด
      เค้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยล่ะ แตกต่างจากครั้งแรกที่ได้พบกันมากๆ
      ผมชอบที่จะมองรอยยิ้มของเค้า เดี๋ยวนี้เค้ายิ้มบ่อยมากขึ้นแล้ว ผมชอบจริงๆเลย
      มันทำให้ผมเผลอยิ้มตามได้ทุกทีสิน่า....

      ใกล้จะคริสตมาสแล้ว ผมไม่มีแพลนจะไปเที่ยวไหนเลย
      จริงๆแม่ผมก็ชวนไปไต้หวันนะ แต่ว่าปีนี้ผมรู้สึกอยากอยู่ฉลองในห้องมากกกว่า
      อาจจะเป็นเพราะว่า ยุนโฮที่บอกกับผมตั้งแต่เนิ่นๆว่าปีนี้เค้าก็จะไม่ไปเที่ยวไหนเหมือนกัน
      ผมเลยโทรบอกปฏิเสธแม่ไป.....

      ตอนนี้เราสองคนกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ที่โซฟา เรากำลังแย่งรีโมตกันอยู่
      ยุนโฮอยากดูแข่งขันบาสเกตบอล แต่ผมกลับอยากดูละคร..
      ผมพยายามใช้แขนของตัวเองยื้อรีโมตในมือเรียวของข้างๆมาให้ได้
      ไม่เป็นผล ผมเลยได้แต่นั่งกอดอกจ้องมองลูกบาสที่ถูกส่งไปมาโดยนักกีฬา
      ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ผมได้แต่คิด...

      พรุ่งนี้มันก็มีฉายเทปซ้ำยุนโฮจะเลื่อนไปดูไม่ได้รึยังไง
      แต่ของผมนี้สิ ละครน่ะไม่มีออนแอร์ซ้ำหรอกนะ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย...

      เกมส์ผ่านพ้นไปจนถึงพักครึ่งแรก ผมค่อยๆเหลือบสายตามองเค้า
      รอดูปฏิกิริยาว่าเค้าจะเปลี่ยนช่องให้ผมได้ดูมั้ย แล้วก็ต้องดีใจขึ้นมาทันที
      เมื่อมือเรียวของยุนโฮหยิบรีโมตขึ้นมา กดลงไปเบาๆ
      แต่ให้ตายเถอะ...เค้าย้ายมาดูอีกช่องที่เป็นการแข่งขันฟุตบอลแทน......
      จะรู้มั้ย มันทำให้ผมต้องโมโหมากขึ้นไปอีก อีตาบ้าเอ้ย!!!....

      "....นี้! นายไปหยิบพุดดิ้งมาให้กินหน่อยดิ เกมส์กำลังมันส์เลยมันเสมอกันอยู่ ฉันไม่อยากลุก......."

      ตาโตเป็นไข่ห่านขึ้นมาเมื่อได้ยิน ใบหน้าที่หงิกงออยู่แล้วยิ่งหงิกเข้าไปใหญ่
      ลุกสะบัดตัวขึ้นเดินจ้ำอ้าวไปที่ตู้เย็น โดยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มกว้างของคนที่นั่งอยู่...

      มือเล็กกระแทกพุดดิ้งเสียงดังลงบนโต๊ะกลางตรงหน้า ก่อนจะนั่งจุ้มปุ๊กลงในท่าเดิม
      แล้วแจจุงที่นั่งงอนอยู่ก็ต้องสะดุ้ง ริมฝีปากของคนข้างๆยื่นมาสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม
      ที่เริ่มจะมีสีระเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้....

      สายตาที่ออดอ้อนของยุนโฮมันทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นท่า
      ".....................หายงอนได้แล้ว...แค่แกล้งเล่น......"
      เสียงแหบทุ้มเล็ดลอดออกมา ใบหน้าของยุนโฮตอนนี้มันใกล้ซะจน
      ผมเผลอปิดตาอย่างลืมตัว.....กลัวจนใจสั่น.......

      แล้วผมก็ต้องตกใจมากกว่าเก่า เมื่อมีน้ำหนักกดลงมาที่บ่าขวา
      พลันรู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่วๆที่รดต้นคอผมอยู่..
      หลับไปแล้ว...หลับไปง่ายๆเฉยเลย.............

      ตลอดทั้งคืนนั้นผมได้แต่นั่งนิ่งยอมให้หมอนั้นซบจนเผลอหลับตามไปเหมือนกัน
      ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง กับแขนยาวที่กอดผมเอาไว้ และยุนโฮที่พยายามซุกตัวเบียดให้แนบชิดมากกว่าเก่า..

      ผมได้แต่สับสน แต่ในใจลึกๆกลับรู้สึกดีกับมัน....
      อ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้สัมผัส...

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      "....ขอโทษนะ ไม่คิดเลยว่าจะคนเยอะขนาดนี้ ไม่น่าพานายมาเลย............."

      คำพูดที่ออกมาพร้อมกับไอสีขาวจางๆ มือเรียวได้แต่ถูกันไปมาเพื่อขับไล่ความเย็นที่เกาะกุมอยู่
      ใบหน้าหวานดูมีสีแดงเปร่งปลั่งมากกว่าทุกที ชวนให้ใครบางคนต้องหลงใหล.....

      แย่ชะมัดเลย วันนี้ผมกับยุนโฮตั้งใจจะมาดูต้นคริสตมาสกัน ขึ้นชื่อว่าแถวย่านนี้ที่พวกผมอาศัยอยู่
      ตอนกลางคืนจะประดับไฟต้นสนสวยมาก และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่า
      คนเยอะจนทำให้มองไม่ค่อยเห็นทัศนียภาพที่สวยงามนั้น ผมได้แต่รู้สึกเสียดาย
      ยุนโฮเลยบอกให้เราสองคนมานั่งพักที่นั่งไม้ยาวตรงใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณที่ผู้คนบางตาลง

      ผมสังเกตยุนโฮที่นั่งห่อตัวอยู่ข้างๆ วันนี้เค้าดูเหมือนมีสีหน้าลำบากใจยังไงยังงั้นเลย
      ผมว่า เค้าต้องไม่พอใจที่ผมพาเค้ามาที่นี่แน่ๆ คนก็เยอะ หนาวก็หนาว.........

      จู่ๆเค้าก็ดึงมือผมที่ลืมใส่ถุงมือมาไปจรดอยู่ตรงปากเค้า ผมได้แต่มองตามอย่างประหลาดใจ
      ไอพ่นบางๆถูกส่งออกมาผมรู้สึกใจเต้นกับการกระทำของเค้าอีกครั้ง
      ก่อนที่มือของผมจะไปซุกอยู่ในเสื้อหนาวตัวหนาที่เค้าสวมใส่อยู่ ที่ซึ่งมีมือเค้ากุมซ้อนเอาไว้อีกที

      ผมชอบสัมผัสแบบนี้ที่สุดเลย ชอบให้เค้าทำกับผมแบบนี้...
      ไม่ได้ดูหวานจนเลี่ยนเกิน แค่รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านมา...

      ".....นายอาจจะหาว่าประหลาดก็ได้....แต่ฉันรู้สึกว่าอยากปกป้องนาย....เพราะงั้น เราคบกันนะ......."

      แปลกนะ ยุนโฮไม่ได้ตะโกนพูด แต่ทำไมในหัวของผม
      ทุกอย่างมันชัดเจน มันดังกังวานไปทั่ว..

      ผมได้แต่นั่งสับสน ทำไมถึงอยากจะปกป้องผมละ...ทำไมกันนะ.....
      ...จะใช่สิ่งนั้นที่ผมหวังไว้มั้ย....คำตอบมันจะตรงกับที่ผมคิดรึเปล่า.......

      "....ไม่ใช่แค่อยากปกป้องแต่อยากดูแลไปตลอด......นายจะเข้าใจมั้ย....ฉันรักนาย.........."

      น้ำตาระรื้นที่ตาเล็กทั้งสองข้าง
      แค่คำพูดสุดท้าย...ใช่ มันใช่เลย.....สิ่งที่ผมหวังเอาไว้...........

      "................ขอโทษ..ขอโทษ ฉันจะไม่เอ่ยถึงมันอีกก็ได้ นายหยุดร้องเถอะ....."
      มือเรียวเช็ดน้ำตาออกให้อย่างลวกๆ ใบหน้าของยุนโฮดูผิดหวังมากมาย..

      "...ขอโทษทำไม...............................เสียใจที่ฉันก็รักนายรึไง......."
      แจจุงกล่าวออกไป ปากบางเม้มเข้าเหมือนระคนน้อยใจ

      ส่วนคนที่ได้ฟังอย่างยุนโฮเหมือนกับตกใจในสิ่งที่ได้ยิน
      ขุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคลี่ยิ้มที่แจจุงชอบเป็นนักหนาออกมา
      รอยยิ้มที่เรียกรอยยิ้มของใครอีกคนนึงได้...รอยยิ้มที่ดูเป็นสุขนั้น....

      ตลอดทางกลับห้องวันนี้ บรรยากาศดูท่าจะเปลี่ยนไป
      มือที่กอบกุมกันเอาไว้แน่น แสดงถึงความสัมพันธ์บางอย่างที่จะมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน

      ที่ผมบอกว่ารักเค้าไปไม่ใช่ใจง่าย
      แต่เพียงแค่หัวใจของผมมันว่ายังไงตั้งหากล่ะ..........

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      ย่างเข้าฤดูร้อน ปี2005

      "......อันนี้ดีมั้ยแจจุง นายว่าไง.................."

      เสียงของยูชุนหันเหความสนใจของผมจากทีวีมาที่ตัวเค้า

      เดี๋ยวนี้ยูชุนมักมาหาผมที่ห้องบ่อยๆ
      สาเหตุก็เป็นเพราะแบบงานที่ส่งไปเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะสิ ที่ผมช่วยคิดไป
      เพราะเห็นว่าแพลนงานอันเก่าที่วางไว้มันดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่
      กลับกลายเป็นว่า โฆษณาตัวนี้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น..สร้างชื่อเสียงให้กับยูชุนมากเข้าไปอีก...

      หลังจากนั้น ยูชุนจึงมักจะมานั่งที่ห้องผมและให้ผมช่วยคิดค้นแพลนงานต่อๆมา
      ระหว่างที่เราสองคนคุยกัน ผมรับรู้ได้ ยุนโฮไม่เคยแวะมาที่ห้องผมเลย..

      ยุนโฮเป็นคนโมโหง่าย ส่งผลให้เค้ายิ่งเป็นคนขี้หึงง่าย
      เราสองคนเคยผิดใจกันเพราะเรี่องนี้มาแล้ว
      มันมักจะจบด้วยคำพูดของผม
      ที่ทำให้ยุนโฮหายโกรธได้ทุกครั้ง

      ".......เชื่อใจกันหน่อยสิ ตอนนี้รักแค่นายคนเดียว.............."

      มันไม่ใช่คำพูดที่ดีเลิศ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสื่อถึงเค้าได้
      ..ใช่..คนรักกันควรจะเชื่อใจกัน......

      "......... .แจจุง เห้! เป็นไรไป.................." ยูชุนสะกิดผมเบาๆ
      อีกครั้ง ที่เสียงของเค้าทำให้ผมหลุดออกจากห้วงความคิด

      สองทุ่มแล้ว แพลนงานอันใหม่เพิ่งจะเสร็จ ความจริงตัวผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรยูชุนมากนักหรอก
      แค่เหมือนพูดจุดประกายให้เค้าคิดตาม เพราะยูชุนน่ะ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองไม่เป็น
      เรียบเรียงออกมาแล้วไม่สวย..ผมแค่ช่วยให้มันเป็นระเบียบมากขึ้น..ก็แค่นั้นเอง...

      เสียงประตูปิดลงพร้อมๆกับยูชุนใจดีคนนั้นได้ขอตัวลากลับห้องไป
      ผมได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ที่โซฟา ละครที่ติดนักหนาในตอนนี้กลับไม่คิดจะใส่ใจเลยสักนิด
      ให้ตายเถอะ ตั้งแต่คบกันมาปีนึง ผมไม่คิดว่ายุนโฮจะเป็นคนที่ขี้งอนได้ถึงขนาดนี้
      แค่เรื่องเล็กน้อย เค้ายังเก็บมาคิดเลย...ครั้งนี้คงเป็นอีกครั้งที่ผมต้องเดินไปง้อเค้าที่ห้องอีกสินะ...

      คิดได้แค่นั้น แจจุงก็เดินไปยังตู้เย็น หยิบพุดดิ้งของโปรดของคนที่งอนเป็นเด็กๆไปง้อตามเคย
      เสียงออดดังขึ้นที่ประตูห้องถัดมาของร่างบาง...

      ประตูใหญ่ถูกเปิดขึ้น ยุนโฮในชุดนอนสีฟ้าดูน่ารักในสายตาของคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเสียเหลือเกิน
      แต่ก็อีกนั่นล่ะ ใบหน้าที่เจอกันครั้งแรกมันกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง

      "....ไม่มีคนกินพุดดิ้ง........ฉันจะเอาไปทิ้งล่ะนะ.............."

      "........................ก็ทิ้งไป ใครสน..........."

      ห้วนมาก็ห้วนกลับ ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าดังลั่น..

      ครั้งนี้ร่างบางรู้สึกเหนื่อยใจจึงพูดออกไปอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ตัว...
      คำพูดเหล่านั้น ยิ่งเพิ่มความน้อยใจให้คนร่างสูงเข้าไปอีก...

      -------------------------------------------------------------------------------------------

      ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แจจุงได้แต่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
      ที่คืนนี้เป็นครั้งแรกในรอบเดือน ที่ไม่มีอ้อมกอดของคนรักที่คุ้นเคยให้คลายความหนาว
      ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นมาท่ามกลางความมืด พลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนจะเข้ามาในห้อง
      รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่เริ่มเอ่อคลอขึ้นมา

      ทำไมผมถึงได้พูดอย่างนั้นออกไปได้นะ น่าจะง้อขอคืนดียุนโฮดีๆ
      ไม่งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องเหงาแบบนี้หรอก...

      เตียงผมมันใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว...
      รู้สึกคิดถึง เกลียดกับการอยู่คนเดียว มันอ้างว้างไป...........

      เช้าแล้ว วันนี้เปิดเทอมวันแรก ทำไมถึงรู้สึกว่ามันจะดูน่าเบื่อนะ
      ไม่สิ แค่คิดที่ลุกไปอาบน้ำยังรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลย

      ร่างบางแต่งตัวในชุดฟอร์มของโรงเรียน เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสีน้ำเงินเข้ม
      ที่อกมีปักตราโรงเรียนบอกไว้..มือเล็กเอื้อมไปบิดกลอนประตูช้าๆ..
      ใบหน้าดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด คงเป็นเพราะการที่นอนไม่พอ
      กว่าจะหลับไปได้เมื่อคนก็ปาไปตีหนึ่ง...เพราะนายคนเดียว ยุนโฮ.......

      โดยไม่ลืมที่จะวางพุดดิ้งไว้ที่หน้าประตูห้องข้างๆ

      เปิดเทอมวันแรกยังไม่ค่อยมีเรียนอะไรมากมาย เวลาว่างส่วนใหญ่แจจุงจึงได้แต่งีบหลับ
      ออดเลิกเรียน นักเรียนมอปลายทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน

      ".....แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ แจจุง............" เด็กหนุ่มตาโตชิม ชางมินบอกลากับร่างบาง

      ตัวคนฟังได้แต่พยักหน้ายิ้มรับบางๆ ชางมินดูออกว่ายิ้มที่ส่งมามันฝืนขนาดไหนกัน
      ".........ร่าเริงหน่อยสิ...ไม่สมกับเป็นนายเลยแจจุง..........."
      มือเรียวตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

      นั่นสินะ ไม่ร่าเริงสมกับเป็นตัวผมเลยจริงๆ ถึงจะยิ้มออกมาได้
      แต่มันก็ดูฝืนเหลือเกินในเวลานี้ เพียงแค่นึกถึงเสี้ยวหน้าของร่างสูง
      กำลังใจที่เคยมีเมื่อกี้กลับถดถอยลงไปทันตา....

      เพราะอะไรยุนโฮถึงมีอิทธิพลต่อตัวเค้าถึงขนาดนี้
      เพราะว่ารักใช่มั้ย...เพราะว่าคนนั้นคือยุนโฮที่ผมรักใช่มั้ย....

      ขายาวก้าวเท้าเรื่อยๆกลับห้อง แล้วก็ต้องแปลกใจ
      รถเวสป้าสีฟ้าที่จอดอยู่หน้าโรงเรียนทำไมถึงดูคุ้นตานักนะ
      ไม่ต้องสงสัยให้เสียเวลา ยุนโฮที่สูบบุหรี่เดินก้าวเข้ามาหา
      ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม..

      ทำเอาแจจุงที่ได้เห็นใจชื้นขึ้นมาแต่ก็ดีใจได้ไม่นานนัก
      เมื่อได้ฟังคำพูดของยุนโฮที่กล่าวออกมา

      "....มีลูกค้าให้มาส่งของที่นี่.....เห็นว่าอยู่แถวโรงเรียนนายเลยแวะมาดู..........."

      ถ้าไม่มีลูกค้าให้มาส่งของก็คงไม่มาสินะ แค่ทางผ่านเองสินะ...
      รอยยิ้มน้อยๆส่งไปให้ จะสังเกตรึเปล่าว่ามันเศร้าจนน่าใจหาย
      ก่อนที่แจจุงจะก้าวเดินผ่านไป เดินขึ้นฟุตบาทไป........

      ยุนโฮที่จ้องมองถูกกระทำได้แต่ตกใจ สีหน้าฉายแววเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
      ปากบางเม้มเข้าหากัน คิ้วขมวดมุ่นเหมือนใช้ความคิด

      "..................ขึ้นรถมา..........แจจุง!!!..........."

      เรียกชื่อด้วยความตกใจ เมื่อขับรถไปดักที่ด้านหน้าของร่างบาง
      หยดน้ำตามากมายที่ไหลลงมาเปรอะเปื้อนใบหน้าใสนั้น
      กับมือเล็กที่พยายามปาดมันออกอย่างลวกๆ
      ก้มหน้าหลบสายตาของยุนโฮที่มองมาอย่างรู้สึกผิด

      ลุกออกจากเวสป้าที่นั่งอยู่ สาวเท้าเข้าไปใกล้แจจุงที่ยืนหันหลังให้อยู่

      แขนยาวโอบรอบตัวรั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้ พลางจับหัวเล็กให้ซบลงที่อกตัวเอง
      ยุนโฮรับรู้ได้ถึงแรงสั่นของไหล่คนในอ้อมกอดที่มากขึ้น ลูบปลอบประโลมเบาๆ
      จนไหล่นั้นหยุดนิ่งลง...มือเล็กผละออกจากอ้อมกอด....

      สิ่งแรกที่ยุนโฮเห็นคือรอยยิ้มบางๆที่คล้ายกันกับเมื่อกี้ที่แจจุงส่งมาให้

      "...ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น....เชื่อใจฉันเถอะ.....ฉันขอโทษนะ ขอโทษจริงๆนายอย่าโกรธเลยนะ...."

      แค่ไม่มีอ้อมกอดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไร
      ไม่รู้เลยจริงๆ..........

      น้ำตาที่หดหายไปแล้ว ค่อยๆเอ่อไหลลงมาอีกรอบ
      แต่คราวนี้กลับเป็นริมฝีปากบางของยุนโฮที่จูบซับให้
      ".........หยุดร้องเถอะ.........ที่ทำแบบนี้ก็เพราะรัก..........เข้าใจรึเปล่า..."

      คนในอ้อมกอดพยักหน้าอย่างเข้าใจ
      ก่อนจะเขย่งตัวประกบปากกับคนตัวสูงอย่างรวดเร็ว
      "..............ต่อไปนี้ ต้องเชื่อใจกันนะ..............ยุนโฮ.."

      ไม่รู้ว่าผมทำแบบนั้นลงไปได้ไงกัน...
      ผมไม่อายเลยสักนิด ผมแค่รู้สึกอยากจูบยุนโฮมากก็เท่านั้น
      ผมก็เลยทำลงไป แต่ดูเค้าสิ....ยังก้มหน้ามองเหม่ออยู่อย่างนั้นล่ะ...

      ".....................เล่นกันทีเผลอรึยัง คิมแจจุง....."

      ใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่กลับกลายเป็นใบหน้าเด็กชายธรรมดาคนนึง
      ที่มีความประหม่าเขินอาย...

      แจจุงที่สังเกตมองดูได้แต่หลุดหัวเราะออกมา
      นานๆทีคนตัวโตตรงหน้าจะหมดฟอร์มให้ผมได้เห็นมั้ง
      ชอบจังเลยน้า ยุนโฮคนที่ดูเป็นธรรมชาติเนี่ย........

      "....สมน้ำหน้า ไอ่หมีเก๊กแตก ฮ่าๆ............อ๊ะ!!......."

      สิ้นเสียงก็ถูกมือเรียวจับปากมาประกบให้หายแค้น
      ลุกล้ำหาความหวานอย่างรุนแรง
      แต่ก็ปิดท้ายด้วยความนุ่มนวลจนทำเอาแจจุงเคลิ้บเคลิ้มตามได้

      "..........................ฉันรักนาย........."

      ผละออกมายังไม่ทันจะอ้าปากพูด ยุนโฮก็แย่งพูดประโยคเด็ดออกมา
      และยิ่งแย่ไปกว่านั้น เมื่อเด็กนักเรียนที่อยู่แถวละแวกใกล้เคียง
      ได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องแซวกันไม่หยุด ทำเอาคนที่ถูกแกล้งได้แต่ชะงักทำอะไรไม่ถูก
      นึกสรรหาคำด่าก็ไม่ออก หน้าเรียวสวยเกิดอาการเลือดฝาดนิดๆ

      นึกได้แต่หนทางสุดท้ายที่พอจะทำได้
      ...หนี..ขายาวหันหลังก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว.....

      ท่ามกลางรอยยิ้มกว้างของยุนโฮที่มองไล่หลังไป...

      .
      .
      ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจในอะไรบางอย่างมากขึ้น ว่าความรักน่ะ
      มีสิ่งสำคัญเพียงแค่สองสิ่งคือ..ความเข้าใจและความเชื่อใจกัน...


      The End

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×