[Short Fiction] Love Story [Yunho - Jaejoong]
ผมมักคิดเสมอ สวรรค์ลิขิตไว้ ว่าคนที่รักกันนั้น... องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือลักษณะนิสัยที่คล้ายๆกันของคนทั้งสอง แต่น่าแปลกนะ สำหรับผมกับเจ้านั้น...มันออกจะตรงข้ามกันในทุกๆเรื่อง...
ผู้เข้าชมรวม
1,359
ผู้เข้าชมเดือนนี้
2
ผู้เข้าชมรวม
ง่า เรื่องนีม่ะด้ายแต่งเองนะฮะ
เอามาลงเฉยๆ ยังไงก็ฝากเม้นด้วยนะฮะ
เราอยากรุ้ว่าชอบเหมอนที่เราชอบมั้ย เป็น
นิยาย Y นะฮะ ชาย-ชาย อ่า
ยังไงก็ฝากด้วยนะฮะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[Short Fiction] :::::::: Love Story :::::::: [Yunho - Jaejoong]
ผมมักคิดเสมอ สวรรค์ลิขิตไว้ ว่าคนที่รักกันนั้น...
องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือลักษณะนิสัยที่คล้ายๆกันของคนทั้งสอง
แต่น่าแปลกนะ สำหรับผมกับเจ้านั้น...มันออกจะตรงข้ามกันในทุกๆเรื่อง...
-------------------------------------------------------------------------------------------
ย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ ปี2004
"....เป็นไงบ้างแจจุง......แม่ว่าห้องนี้ก็พอใช้ได้นะ ถ้าไม่ติดว่ามันเล็กไปหน่อยก็เถอะ................"
แม่หันมาถามในขณะที่ผมยังคงเดินสำรวจห้องไปมา
ห้องอพาร์ทเม้นท์ขนาดกลาง ในสุดเปิดเข้าไปก็เจอกับห้องนอนเล็กๆ
ตกแต่งโทนสีด้วยสีครีม ที่ผมว่ามองทีไรก็รู้สึกสบายตาไปซะทุกครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมชอบห้องนี้มาก สงสัยคงจะเป็นหน้าต่างบานเล็กตรงนั้นละมั้ง
ที่พอมองลงไปก็เจอกับสวนหญ้า ตรงกลางดูเหมือนจะมีบ่อน้ำอยู่กลายๆ...
มันให้ความรู้สึกสงบร่มรื่น ช่างแตกต่างกับสภาพโดยรอบเสียจริงๆ
ตึกสูงที่ตั้งตระหง่าน รถยนต์นับหลายพันคันที่วิ่งขับกันจนดูวุ่นวายนั้น
ผมได้แต่อมยิ้มเมื่อหันไปมองหน้าแม่ ที่ดูท่าจะรู้คำตอบของผมดี
และมันก็ใช่จริงๆ แม่เดินออกไปตกลงเซ็นสัญญาอะไรสักอย่าง
กับชายหนุ่มมีอายุที่เป็นผู้ขายห้องๆนี้ให้ผม......
ผมแอบดีใจลึกๆที่แม่ยอมให้ผมออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบชีวิตที่เคยเป็นอยู่หรอกนะ มันก็ดี วิเศษเลยทีเดียวล่ะ
แต่จู่ๆผมก็รู้สึกว่า..นี้ผมกำลังทำตัวเป็นลูกแหย่อยู่รึเปล่า...
เพื่อนๆผมบางคนมันย้ายออกมาอยู่ห้องเช่ากันตั้งแต่เริ่มขึ้นมอต้นแหนะ...
แล้วผมล่ะ ตอนเช้าให้คนขับรถมาส่ง จะทานเข้าทีก็ต้องกินจากข้าวกล่อง
ที่แม่ผมกำชับนักกำชับหนาว่าจะต้องทานเพียงแต่อาหารปิ่นโตนี้
พอเลิกเรียนก็มีรถขับมารับ มันจะไม่ดูสบายไปหน่อยเหรอ....
ผมยังเคยนึกสงสัยอยู่หลายที..ทำไมพวกพี่สาวของผม..ไม่เห็นจะเป็นแบบผมกันมั่งเลยนะ
ทั้งๆที่พวกเค้าน่าจะได้รับการดูแลนี้มากกว่าผมซะด้วยซ้ำ
เพราะว่าเป็นผู้หญิง..ผิดกับผมที่เป็นผู้ชาย...
..มันน่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรอ....
อาทิตย์ก่อนผมเลยตัดสินใจได้ ผมจึงบอกแม่ว่าจะขอย้ายออกมา
พอได้ฟังเท่านั้นล่ะ หล่อนพยายามอย่างมากที่จะหาเหตุผมร้อยแปดพันอย่าง
มาหลอกล่อพูดให้ผมเปลี่ยนใจให้ได้.......
แต่ยังไงซะสุดท้าย วันนี้แม่ก็ยอมออกมาดูอพาร์ทเม้นท์ที่ผมเคยร้องบอกเอาไว้จนได้...
"....เอาของออกมาหมดแล้วใช่มั้ยลูก....นี้แจจุง แน่ใจนะว่าอยู่ได้...ถ้ามีไรโทรหาแม่นะรู้มั้ย.......ดูแลตัวเองดีๆด้วยรู้เปล่า....."
ให้ตายเถอะ นี้ผมพยักหน้าไปกี่ครั้งกันนะสำหรับคำถามของแม่ ที่วกแต่จะถามคำถามเดิมๆ
ตอนนี้ผมได้แต่โบกมือให้ เมื่อรถสีดำขลับขับเคลื่อนตัวออกไปเรื่อยๆ จนริบหายไปกับถนนที่ยาวสุดลูกหูลูกตา
เอาล่ะ..ต่อจากนี้ชีวิตอิสระที่ผมต้องการกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว........
ขอให้มีแต่ความทรงจำดีๆด้วยเถอะ.....
-------------------------------------------------------------------------------------------
ผมเงยหน้ายิ้มรับกับแสงแดดอ่อนๆที่ส่องลงมา แปลกนะที่ผมมักไม่ค่อยชอบแสงแดดสักเท่าไหร่เลย
เพราะว่ามันทำให้ร้อนและแสบตาจะตายไป แต่ ณ ตอนนี้ไม่รู้ทำไม รู้สึกไปเองรึเปล่า
แสงแดดนั้นเหมือนต้องการจะต้อนรับกับชีวิตใหม่ของผมที่นี้
มันไม่ร้อนเหมือนทุกทีและไม่แรงมากจนทำให้แสบตา
แต่มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ชอบความรู้สึกแบบนี้จริงเชียว.........
..เหมือนจะเห็นรอยยิ้มน้อยๆของคุณพระอาทิตย์เลย...นี้ผมคงต๊องไปแล้วแน่ๆ....
แล้วความคิดที่ทำให้ชวนฝันจินตนาการไปไกลนั้นก็ต้องหยุดลง
เมื่อมีเสียงแตรดังร้องเตือนอยู่ที่ด้านหลังของผม......
ผมได้แต่สะดุ้ง ยืนนิ่งอยู่กับที่ พลันหันหลังกลับไปมองว่าที่ต้นเสียงๆนั้น
ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดฟอร์มของพนักงานร้านไหนสักแห่ง
ที่นั่งขี่อยู่บนเวสป้าสีฟ้าอ่อน ในแวบแรกที่เห็น ผมว่าเค้าดูเป็นคนเท่ดีนะ...
แต่ติดตรงที่ว่า ถ้าไม่มีใบหน้าคมที่เฉยชา
กับสายตาไม่พอใจที่ส่งออกมาจากดวงตาเล็กคู่นั้น
เค้าอาจจะดูดีมากกว่านี้ ให้ตาย...
ถ้าให้ผมคิด เค้าคงไม่พอใจที่ผมมายืนขวางทางเค้าอยู่แน่ๆ...
ผมได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้..ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปที่ฟุตบาทด้านซ้ายมือ
".........คนกำลังรีบๆ เกะกะขวางทางอยู่ได้.... .............."
คำพูดนั้นไม่พ้นหูผม กระทบไปเต็มๆเลย
..หมอนี้ปากเสียชะมัด...แค่ขวางทางแค่นี้ ต้องว่ากันถึงขนาดนั้นเลย.....
คุณลุงคนขายบอกว่าคนที่เช่าห้องอยู่ที่นี้
ล้วนแต่นิสัยดี มีน้ำใจ มีอะไรก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันละกัน
สงสัยจะยกเว้นแค่หมอนี้คนเดียวละมั้ง....
หน้าตาดีแต่นิสัยแบบนี้ก็ไม่ไหวหรอก.....
ก่อนที่ขายาวจะเดินกลับเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์ ร่างบางรู้สึกได้
กับตาขวาที่กระตุกอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ขึ้นมาบนห้อง
..น่าจดจำมั้ยล่ะ กับการเจอกันครั้งแรกของเราทั้งสองคน...
-------------------------------------------------------------------------------------------
"........เอ่อ อรุณสวัสดิ์ครับ.......คุณคือคนที่มาเช่าห้องใหม่ใช่มั้ย...... ....."
เสียงทุ้มต่ำที่แฝงไว้ด้วยความใจดีนั้น เอ่ยทักผมขึ้นมา
ผมเหลือบสายตาขึ้นมามองคนตรงหน้า
หลังจากง้วนอยู่กับการผูกเชือกรองเท้ามาได้สักพัก
ชายหนุ่มคนนั้นส่งยิ้มที่ดูเป็นมิตรมาให้
ท่าทางลักษณะเค้าน่าจะอายุแก่กว่าผมสักสองสามปีได้
ก็ดูจากชุดทำงานที่เห็นได้ทั่วไปที่เค้าใส่สิ
เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวปิดทับด้วยสูทสีเข้มกับกางเกงขายาวที่ดูเข้ากัน
"... .ใช่ครับ ผมคิมแจจุง ต่อไปนี้ยังไงผมก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ...."
ผมลุกขึ้นก็จะโค้งทำความรู้จักกับคนตรงหน้า
ยิ้มบางๆไปให้ หลังจากนั้นเค้าก็เริ่มแนะนำตัวเองบ้าง
...'ยูชุน'..เค้าอยากให้ผมเรียกเค้าสั้นๆแค่นั้น..
เค้าแก่กว่าผมสองปีจริงๆด้วย
ทำงานเป็นพนักงานบริษัทยักษ์ใหญ่เกี่ยวกับมือถือ
เป็นครีเอทีฟนักคิดออกแบบ จึงไม่แปลกใจเลยที่เค้าจะต้องมีกระเป๋าใบใหญ่ติดตัวไว้
ถ้าเดาไม่ผิด ผมว่าในนั้นมันคงเป็นกระดาษสเก็ตร่างภาพเหมือนพวกเบื้องหลังโฆษณาที่เค้าทำกัน
แต่ก็นั้นละ ผมได้แต่เดาเอาจากที่ผมเคยดูละครหลังข่าวในทีวีทุกคืน...
ผ่านไปได้สักพัก ผมว่าเราคุยถูกคอกันนะ เค้าเป็นคนดีคนนึงทีเดียวเลยล่ะ
ทำให้ผมอดที่จะเอาไปเปรียบเทียบกับหมอนั้นเสียไม่ได้ คนปากจัดเมื่อวานยังไงล่ะ...
"...แล้วนี้แจจุงจะออกไปทำอะไรแต่เช้าล่ะเนี่ย แต่งตัวแบบนี้ ถ้าให้เดานะ ออกไปเดินเล่นที่สวนชวนเลย....."
เค้าเดาถูก ผมได้แต่พยักหน้ายิ้มรับ "...ผมไปก่อนนะยูชุน......"
ด้วยความที่เราสองคนคุยกันเพลิน ผมเลยอดคิดถึงเวลาที่มีจำกัด
เพราะตอนนี้ก็ปาไปแปดโมงแล้ว ยิ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ด้วยแล้ว
ยิ่งใกล้สายๆคนจะยิ่งเยอะคุณลุงคนขายบอกผมมา...
ยูชุนส่งยิ้มบางๆที่ดูใจดีในสายตาผมเหมือนเคยมาให้
ขาของผมกำลังจะก้าวออกไป แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเสียงของยูชุนรั้งตัวผมเอาไว้
"...อ่าว พอดีเลย....ยุนโฮแกก็จะไปที่สวนนั้นเหมือนกันใช่มั้ย แจจุงก็ติดรถมันไปสิ..........."
ยูชุนพยักเพยิดหันไปหาบุคคลที่สามที่เพิ่งเปิดประตูออกมา
ประตูที่ถัดจากห้องแจจุงออกไป...ที่ห้องข้างๆกัน...
ที่ดูท่าเจ้าตัวจะตกใจเมื่อจู่ๆก็ถูกพูดขึ้นโดยที่ยังไม่ทันตั้งตัว
ผมหันหลังกลับมามอง เพิ่งรู้ว่าเค้าตัวสูงกว่าผมเพียงเล็กน้อย
เสื้อยืดสีขาวสะอาดตากับกางเกงนักกีฬาขาสามส่วนสีน้ำตาล
บวกกับรองเท้าผ้าใบสีดำ..ผมสีธรรมชาติที่ถูกยีอย่างลวกๆนั่นอีก...
...ยุนโฮ..นี้คือชื่อเค้าใช่มั้ย...วันนี้ยุนโฮดูสปอร์ตแมนเสียจริง....
น่าแปลก ที่วันนี้สายตาดุดันที่ส่งกลับมามันดูอ่อนลงกว่าเมื่อวานมากนัก..
ติดก็แค่ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉยไว้เหมือนเดิม...ราวกับไร้ความรู้สึกใดๆ....
".....นี้พวกนายสองคน รู้จักกันรึยัง........." เสียงยูชุนปลุกผมให้ออกจากความคิด
ผมส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อนๆ ส่วนหมอนั้นได้แต่เบนสายตามองไปทางอื่น
"..เอาเถอะ ต่อไปนี้ถือว่ารู้จักกันแล้วนะ นี้ยุนโฮ นี้แจจุง...อายุรุ่นเดียวกันน่าจะพึ่งพากันได้...ไปๆรีบๆไปได้แล้ว...."
มือใหญ่ผลักทั้งคู่ให้เดินลงบันไดไป
ก่อนที่ตัวเองจะรีบเดินตามลงมา ร่ำลาทั้งคู่แล้วขับรถเก๋งขนาดเล็กออกไป...
แจจุงที่ตอนนี้ได้แต่ปิดปากเงียบเดินตามหลังยุนโฮอย่างช้าๆ
เหลือบไปเห็นว่ายูชุนขับรถออกไปแล้ว ก็หยุดฝีเท้าลง...
"...เอ่อ ฉันไปก่อนนะ...................." เสียงเล็กดังแว่วออกมาอย่างแผ่วเบา
รู้สึกอึดอัดเป็นบ้า ขืนให้ผมไปกับหมอนี้ มันก็คงจะใช่เรื่อง
สู้ให้เดินไปเองอย่างสบายใจไม่ดีกว่าหรอ.........
พูดจบก็หันหลังกลับจะเดินออกจากที่จอดรถ
".....นี่นายอย่าเรื่องมากนักได้มั้ย....หรือว่านายชินเส้นทางแล้ว ก็โอเค จะไปก็ไป.........."
คำพูดที่ไร้ซึ่งความห่วงใยถูกถ่ายทอดออกมาจากปากบางของยุนโฮ
ส่งผลให้คนที่ฟังอยู่ต้องหยุดชะงักลง....
มันก็ถูกของหมอนั้น จริงๆผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องถนนหนทางในโซลนี้เท่าไหร่เลย
ก็ดูสิ มันเยอะจัดแล้วมันก็คล้ายๆกันจะตายไป เลยไม่คิดที่จะจดจำสักเท่าไหร่...
จะเอาไงดีนะ ตอนนี้ไม่อยากจะเห็นหน้าของหมอนั้นเลย คงจะมองอย่างดูถูกแน่ๆ..
ยังไม่ทันจะตัดสินใจได้ รถเวสป้าสีฟ้าที่คุ้นตาดีก็มาจอดรออยู่ตรงหน้า
พร้อมกับเจ้าของรถคนเดิมที่นั่งอยู่ ซีกหน้าด้านข้างของเจ้าตัวกับสายตาที่ทอดมองไปไกล
การกระทำที่ดูเหมือนจะใส่ใจ....
รถมอไซด์แล่นออกจากที่จอดรถ โผล่ขึ้นมาที่ถนนใหญ่ด้านบน
เคลื่อนตัวไปช้าๆ แจจุงได้แต่นั่งนิ่งซ้อนอยู่ด้านหลัง
เหมือนห่างออกจากตัวเมืองไป ดูเหมือนว่ารถจะเพิ่มความเร็วมากกว่าเดิม
ยุนโฮตะโกนแข่งกับเสียงลมสั่งให้แจจุงเกาะเอวเอาไว้
โดยอ้างบอกว่า...เค้ายังไม่อยากทำให้ใครต้องตาย......
ในตอนแรกร่างบางเหมือนจะไม่ยอมอยู่ในที ก็ดูคำพูดของคนขับสิ
พูดร้องขอดีๆเป็นมั้ยนะ กะอีแค่ให้เอามือจับเอวเค้าไว้อย่างนี้..ไม่มีหรอก...
สุดท้ายแล้วก็ต้องจำยอม เพราะความเร็วที่ดูน่ากลัวขึ้นนั่นเอง
โดยที่มีสายตาของคนขับที่เหลือบมองกระจกด้านข้างเป็นระยะๆ
และรอยยิ้มมุมปากที่ยกขึ้นอย่างลืมตัวนั้น............
ครั้งที่สองที่เราเจอกัน มันไม่ค่อยน่าจดจำอีกนั่นแหละ แต่ผมว่า มันดีกว่าครั้งแรกมากนะ....
-------------------------------------------------------------------------------------------
"......เรื่องเมื่อวาน...........ชั้นอารมณ์ไม่ค่อยดี ต้องขอโทษด้วยละกัน................."
คำพูดที่ดูอ่อนโยนในรอบสองวันแรกที่เจอกันของยุนโฮ
ทำเอาผมที่กำลังเดินขึ้นบันไดต้องชะงักขึ้นมาทันที
แปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆเค้าก็ขอโทษผมแบบนี้
จริงๆไอ่เรื่องเมื่อวาน ผมก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากหรอก แค่อารมณ์เสียเพียงเท่านั้น
แล้วพอขึ้นมาจัดเก็บห้องก็ลืมไปเสียสนิทเลย จะเป็นเพราะเหนื่อยก็คงใช่....
เค้ายังคงปริปากพูดต่อ...เมื่อเห็นว่าผมยังเงียบ.......
"...จริงๆฉันก็ทำแบบนั้นกับทุกคนล่ะนะ...แต่เมื่อวานจู่ๆฉันก็คิดไม่ตกถึงตอนที่ว่านาย...รู้แต่ว่าต้องขอโทษ ไม่เข้าใจตัวเองเลย..."
จบคำพูดนั้น เค้าที่เดินไล่หลังผมอยู่ก็ก้าวขึ้นบันไดยาวๆ
เดินผ่านไปผมขึ้นไป...แวบนึงที่ผมเห็นใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น
เป็นใบหน้าที่ดูเหมือนคนที่ทำผิดแล้วรู้สำนึกขึ้นมา แค่แวบเดียวเท่านั้นจริงๆ...
จริงๆแล้วหมอนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เห็นเลยสักนิด ติดแค่ตรงที่ว่า..
นิสัยขวางๆที่ไม่ยอมใครละมั้งเลยทำให้ดูเป็นคนที่มีบุคลิกแบบนั้น...
ก็แค่เด็กผู้ชายตัวสูงๆคนนึง แค่นั้นเอง....
จู่ๆก็รู้สึก บรรยากาศที่อึดอัดนั้น มันหายไปตอนไหนกันนะ
เหลือเพียงแต่ลมที่พัดพามาอย่างมาแผ่วเบา ให้ความรู้สึกแปลกใหม่อย่างบอกไม่ถูก...
".......นี้นาย อาบน้ำเสร็จแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร ก็มานั่งเล่นเกมส์ที่ห้องฉันได้นะ......"
ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดออกไป ในขณะที่ยุนโฮกำลังไขกุญแจเข้าห้อง
เค้าค่อยๆหันหน้ามาทางผมที่ยืนอยู่ สายตาดุดันฉายแววเป็นประกายขึ้นมาทันใด
ก่อนที่รอยยิ้มที่ผมไม่เคยได้เห็นจะผุดขึ้น รอยยิ้มเล็กๆที่ดูสว่างสดใสในสายตาผม
แล้วเค้าก็พยักหน้าลง ก่อนจะหายเข้าไปในห้อง.......
รอยยิ้มแบบนั้นทำไมถึงได้ต้องตาผมนักนะ
แล้วนี้ผมเผลอยิ้มออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่รู้ตัวเลย
กะอีแค่ได้พูดดีๆกับหมอนั้น ราวกับผมมีเรื่องที่สุขใจมากอย่างงั้นล่ะ...
-------------------------------------------------------------------------------------------
ย่างเข้าฤดูหนาว ปี2004
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เราสองคนมักจะนอนด้วยกันที่ห้องนอนของผม
ตั้งแต่คืนวันที่ยุนโฮมานั่งเล่นเกมส์แล้วเผลอหลับไป
มันติดเป็นนิสัยไปแล้ว ว่าจะต้องมียุนโฮมานอนข้างๆแบบนี้เสมอ
แรกๆผมก็ตกใจในการกระทำที่เค้าทำ ที่พอตกดึกเค้ามักจะละเมอ
และฉวยเอาตัวผมไปกอด ผมรู้สึกอยากจะผลักไสเต็มที่
แต่พอนานวันเข้ามันก็รู้สึกชิน ชินจนกลายเป็นสิ่งที่ต้องการทุกคืน
มันช่วยให้ผมหายหนาวและมันก็เพิ่มความอบอุ่นให้กับตัวผมเป็นอย่างดี
จะดีมากถ้าหากไม่มีเสียงกรนน้อยๆของเจ้าตัวที่ดังจนหนวกหูผม.....
หลังจากที่เราเริ่มคุยกันจนคุ้นเคยกันมากขึ้น ผมก็เพิ่งจะรู้
ยุนโฮอยู่กับพี่ชายอีกคนที่จะไม่ค่อยชอบอยู่ห้องสักเท่าไหร่
และมักจะเป็นคู่กัดกันอยู่ตลอดเวลา พี่ชายของยุนโอชื่อฮันกยอง
ฮันกยองชอบบ่นเรื่องที่ยุนโฮไม่ยอมไปเรียน และลาออกมาทำงาน
เป็นพนักงานคิดตังค์ที่ร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ถัดไปอีกสี่ซอย
และต้นเหตุที่ทำให้ยุนโฮเป็นคนที่มีนิสัยโมโหหงุดหงิดง่าย
ก็คงไม่พ้นพี่ชายตัวดีคนนี้ล่ะ ที่นำพาเอาแต่เรื่องมาให้ยุนโฮไม่เว้นแต่ละวัน
บางครั้งผมรู้สึกชื่นชมยุนโฮพร้อมกันนั้นก็รู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ
ที่เค้าสามารถมีชีวิตที่ตนเองเลือกได้ คิดจะทำอะไรก็ทำ เป็นคนที่ดูมีความมุ่งมั่นมาก
พวกเราชอบเล่นเกมส์แข่งรถกัน พนันกันว่าถ้าใครแพ้จะต้องเอาถุงขยะ
ของทั้งห้องผมและห้องยุนโฮลงไปทิ้งข้างล่าง และมักจะเป็นผมเสมอ
ที่ต้องนำลงไปทิ้ง ก็ยุนโฮน่ะขี้โกงชอบแกล้งทำให้หมดเสียสมาธิอยู่เรื่อย..
ข้อดีของยุนโฮที่ผมเห็นในตัวเค้าก็คือ ถ้าใครพูดคุยกับเค้าแล้วถูกจุด
เค้าจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยล่ะ แตกต่างจากครั้งแรกที่ได้พบกันมากๆ
ผมชอบที่จะมองรอยยิ้มของเค้า เดี๋ยวนี้เค้ายิ้มบ่อยมากขึ้นแล้ว ผมชอบจริงๆเลย
มันทำให้ผมเผลอยิ้มตามได้ทุกทีสิน่า....
ใกล้จะคริสตมาสแล้ว ผมไม่มีแพลนจะไปเที่ยวไหนเลย
จริงๆแม่ผมก็ชวนไปไต้หวันนะ แต่ว่าปีนี้ผมรู้สึกอยากอยู่ฉลองในห้องมากกกว่า
อาจจะเป็นเพราะว่า ยุนโฮที่บอกกับผมตั้งแต่เนิ่นๆว่าปีนี้เค้าก็จะไม่ไปเที่ยวไหนเหมือนกัน
ผมเลยโทรบอกปฏิเสธแม่ไป.....
ตอนนี้เราสองคนกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ที่โซฟา เรากำลังแย่งรีโมตกันอยู่
ยุนโฮอยากดูแข่งขันบาสเกตบอล แต่ผมกลับอยากดูละคร..
ผมพยายามใช้แขนของตัวเองยื้อรีโมตในมือเรียวของข้างๆมาให้ได้
ไม่เป็นผล ผมเลยได้แต่นั่งกอดอกจ้องมองลูกบาสที่ถูกส่งไปมาโดยนักกีฬา
ตรงหน้าอย่างไม่พอใจ ผมได้แต่คิด...
พรุ่งนี้มันก็มีฉายเทปซ้ำยุนโฮจะเลื่อนไปดูไม่ได้รึยังไง
แต่ของผมนี้สิ ละครน่ะไม่มีออนแอร์ซ้ำหรอกนะ ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้เนี่ย...
เกมส์ผ่านพ้นไปจนถึงพักครึ่งแรก ผมค่อยๆเหลือบสายตามองเค้า
รอดูปฏิกิริยาว่าเค้าจะเปลี่ยนช่องให้ผมได้ดูมั้ย แล้วก็ต้องดีใจขึ้นมาทันที
เมื่อมือเรียวของยุนโฮหยิบรีโมตขึ้นมา กดลงไปเบาๆ
แต่ให้ตายเถอะ...เค้าย้ายมาดูอีกช่องที่เป็นการแข่งขันฟุตบอลแทน......
จะรู้มั้ย มันทำให้ผมต้องโมโหมากขึ้นไปอีก อีตาบ้าเอ้ย!!!....
"....นี้! นายไปหยิบพุดดิ้งมาให้กินหน่อยดิ เกมส์กำลังมันส์เลยมันเสมอกันอยู่ ฉันไม่อยากลุก......."
ตาโตเป็นไข่ห่านขึ้นมาเมื่อได้ยิน ใบหน้าที่หงิกงออยู่แล้วยิ่งหงิกเข้าไปใหญ่
ลุกสะบัดตัวขึ้นเดินจ้ำอ้าวไปที่ตู้เย็น โดยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มกว้างของคนที่นั่งอยู่...
มือเล็กกระแทกพุดดิ้งเสียงดังลงบนโต๊ะกลางตรงหน้า ก่อนจะนั่งจุ้มปุ๊กลงในท่าเดิม
แล้วแจจุงที่นั่งงอนอยู่ก็ต้องสะดุ้ง ริมฝีปากของคนข้างๆยื่นมาสัมผัสแผ่วเบาที่ข้างแก้ม
ที่เริ่มจะมีสีระเรื่อขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้....
สายตาที่ออดอ้อนของยุนโฮมันทำให้ผมใจเต้นไม่เป็นท่า
".....................หายงอนได้แล้ว...แค่แกล้งเล่น......"
เสียงแหบทุ้มเล็ดลอดออกมา ใบหน้าของยุนโฮตอนนี้มันใกล้ซะจน
ผมเผลอปิดตาอย่างลืมตัว.....กลัวจนใจสั่น.......
แล้วผมก็ต้องตกใจมากกว่าเก่า เมื่อมีน้ำหนักกดลงมาที่บ่าขวา
พลันรู้สึกได้ถึงลมหายใจแผ่วๆที่รดต้นคอผมอยู่..
หลับไปแล้ว...หลับไปง่ายๆเฉยเลย.............
ตลอดทั้งคืนนั้นผมได้แต่นั่งนิ่งยอมให้หมอนั้นซบจนเผลอหลับตามไปเหมือนกัน
ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง กับแขนยาวที่กอดผมเอาไว้ และยุนโฮที่พยายามซุกตัวเบียดให้แนบชิดมากกว่าเก่า..
ผมได้แต่สับสน แต่ในใจลึกๆกลับรู้สึกดีกับมัน....
อ้อมกอดที่ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้สัมผัส...
-------------------------------------------------------------------------------------------
"....ขอโทษนะ ไม่คิดเลยว่าจะคนเยอะขนาดนี้ ไม่น่าพานายมาเลย............."
คำพูดที่ออกมาพร้อมกับไอสีขาวจางๆ มือเรียวได้แต่ถูกันไปมาเพื่อขับไล่ความเย็นที่เกาะกุมอยู่
ใบหน้าหวานดูมีสีแดงเปร่งปลั่งมากกว่าทุกที ชวนให้ใครบางคนต้องหลงใหล.....
แย่ชะมัดเลย วันนี้ผมกับยุนโฮตั้งใจจะมาดูต้นคริสตมาสกัน ขึ้นชื่อว่าแถวย่านนี้ที่พวกผมอาศัยอยู่
ตอนกลางคืนจะประดับไฟต้นสนสวยมาก และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ติดตรงที่ว่า
คนเยอะจนทำให้มองไม่ค่อยเห็นทัศนียภาพที่สวยงามนั้น ผมได้แต่รู้สึกเสียดาย
ยุนโฮเลยบอกให้เราสองคนมานั่งพักที่นั่งไม้ยาวตรงใต้ต้นไม้ใหญ่บริเวณที่ผู้คนบางตาลง
ผมสังเกตยุนโฮที่นั่งห่อตัวอยู่ข้างๆ วันนี้เค้าดูเหมือนมีสีหน้าลำบากใจยังไงยังงั้นเลย
ผมว่า เค้าต้องไม่พอใจที่ผมพาเค้ามาที่นี่แน่ๆ คนก็เยอะ หนาวก็หนาว.........
จู่ๆเค้าก็ดึงมือผมที่ลืมใส่ถุงมือมาไปจรดอยู่ตรงปากเค้า ผมได้แต่มองตามอย่างประหลาดใจ
ไอพ่นบางๆถูกส่งออกมาผมรู้สึกใจเต้นกับการกระทำของเค้าอีกครั้ง
ก่อนที่มือของผมจะไปซุกอยู่ในเสื้อหนาวตัวหนาที่เค้าสวมใส่อยู่ ที่ซึ่งมีมือเค้ากุมซ้อนเอาไว้อีกที
ผมชอบสัมผัสแบบนี้ที่สุดเลย ชอบให้เค้าทำกับผมแบบนี้...
ไม่ได้ดูหวานจนเลี่ยนเกิน แค่รู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ส่งผ่านมา...
".....นายอาจจะหาว่าประหลาดก็ได้....แต่ฉันรู้สึกว่าอยากปกป้องนาย....เพราะงั้น เราคบกันนะ......."
แปลกนะ ยุนโฮไม่ได้ตะโกนพูด แต่ทำไมในหัวของผม
ทุกอย่างมันชัดเจน มันดังกังวานไปทั่ว..
ผมได้แต่นั่งสับสน ทำไมถึงอยากจะปกป้องผมละ...ทำไมกันนะ.....
...จะใช่สิ่งนั้นที่ผมหวังไว้มั้ย....คำตอบมันจะตรงกับที่ผมคิดรึเปล่า.......
"....ไม่ใช่แค่อยากปกป้องแต่อยากดูแลไปตลอด......นายจะเข้าใจมั้ย....ฉันรักนาย.........."
น้ำตาระรื้นที่ตาเล็กทั้งสองข้าง
แค่คำพูดสุดท้าย...ใช่ มันใช่เลย.....สิ่งที่ผมหวังเอาไว้...........
"................ขอโทษ..ขอโทษ ฉันจะไม่เอ่ยถึงมันอีกก็ได้ นายหยุดร้องเถอะ....."
มือเรียวเช็ดน้ำตาออกให้อย่างลวกๆ ใบหน้าของยุนโฮดูผิดหวังมากมาย..
"...ขอโทษทำไม...............................เสียใจที่ฉันก็รักนายรึไง......."
แจจุงกล่าวออกไป ปากบางเม้มเข้าเหมือนระคนน้อยใจ
ส่วนคนที่ได้ฟังอย่างยุนโฮเหมือนกับตกใจในสิ่งที่ได้ยิน
ขุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะคลี่ยิ้มที่แจจุงชอบเป็นนักหนาออกมา
รอยยิ้มที่เรียกรอยยิ้มของใครอีกคนนึงได้...รอยยิ้มที่ดูเป็นสุขนั้น....
ตลอดทางกลับห้องวันนี้ บรรยากาศดูท่าจะเปลี่ยนไป
มือที่กอบกุมกันเอาไว้แน่น แสดงถึงความสัมพันธ์บางอย่างที่จะมั่นคงไม่แปรเปลี่ยน
ที่ผมบอกว่ารักเค้าไปไม่ใช่ใจง่าย
แต่เพียงแค่หัวใจของผมมันว่ายังไงตั้งหากล่ะ..........
-------------------------------------------------------------------------------------------
ย่างเข้าฤดูร้อน ปี2005
"......อันนี้ดีมั้ยแจจุง นายว่าไง.................."
เสียงของยูชุนหันเหความสนใจของผมจากทีวีมาที่ตัวเค้า
เดี๋ยวนี้ยูชุนมักมาหาผมที่ห้องบ่อยๆ
สาเหตุก็เป็นเพราะแบบงานที่ส่งไปเมื่ออาทิตย์ก่อนน่ะสิ ที่ผมช่วยคิดไป
เพราะเห็นว่าแพลนงานอันเก่าที่วางไว้มันดูไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่
กลับกลายเป็นว่า โฆษณาตัวนี้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น..สร้างชื่อเสียงให้กับยูชุนมากเข้าไปอีก...
หลังจากนั้น ยูชุนจึงมักจะมานั่งที่ห้องผมและให้ผมช่วยคิดค้นแพลนงานต่อๆมา
ระหว่างที่เราสองคนคุยกัน ผมรับรู้ได้ ยุนโฮไม่เคยแวะมาที่ห้องผมเลย..
ยุนโฮเป็นคนโมโหง่าย ส่งผลให้เค้ายิ่งเป็นคนขี้หึงง่าย
เราสองคนเคยผิดใจกันเพราะเรี่องนี้มาแล้ว
มันมักจะจบด้วยคำพูดของผม
ที่ทำให้ยุนโฮหายโกรธได้ทุกครั้ง
".......เชื่อใจกันหน่อยสิ ตอนนี้รักแค่นายคนเดียว.............."
มันไม่ใช่คำพูดที่ดีเลิศ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะสื่อถึงเค้าได้
..ใช่..คนรักกันควรจะเชื่อใจกัน......
"......... .แจจุง เห้! เป็นไรไป.................." ยูชุนสะกิดผมเบาๆ
อีกครั้ง ที่เสียงของเค้าทำให้ผมหลุดออกจากห้วงความคิด
สองทุ่มแล้ว แพลนงานอันใหม่เพิ่งจะเสร็จ ความจริงตัวผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรยูชุนมากนักหรอก
แค่เหมือนพูดจุดประกายให้เค้าคิดตาม เพราะยูชุนน่ะ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ของตัวเองไม่เป็น
เรียบเรียงออกมาแล้วไม่สวย..ผมแค่ช่วยให้มันเป็นระเบียบมากขึ้น..ก็แค่นั้นเอง...
เสียงประตูปิดลงพร้อมๆกับยูชุนใจดีคนนั้นได้ขอตัวลากลับห้องไป
ผมได้แต่นั่งถอนหายใจอยู่ที่โซฟา ละครที่ติดนักหนาในตอนนี้กลับไม่คิดจะใส่ใจเลยสักนิด
ให้ตายเถอะ ตั้งแต่คบกันมาปีนึง ผมไม่คิดว่ายุนโฮจะเป็นคนที่ขี้งอนได้ถึงขนาดนี้
แค่เรื่องเล็กน้อย เค้ายังเก็บมาคิดเลย...ครั้งนี้คงเป็นอีกครั้งที่ผมต้องเดินไปง้อเค้าที่ห้องอีกสินะ...
คิดได้แค่นั้น แจจุงก็เดินไปยังตู้เย็น หยิบพุดดิ้งของโปรดของคนที่งอนเป็นเด็กๆไปง้อตามเคย
เสียงออดดังขึ้นที่ประตูห้องถัดมาของร่างบาง...
ประตูใหญ่ถูกเปิดขึ้น ยุนโฮในชุดนอนสีฟ้าดูน่ารักในสายตาของคนที่ยืนอยู่หน้าห้องเสียเหลือเกิน
แต่ก็อีกนั่นล่ะ ใบหน้าที่เจอกันครั้งแรกมันกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
"....ไม่มีคนกินพุดดิ้ง........ฉันจะเอาไปทิ้งล่ะนะ.............."
"........................ก็ทิ้งไป ใครสน..........."
ห้วนมาก็ห้วนกลับ ก่อนจะปิดประตูใส่หน้าดังลั่น..
ครั้งนี้ร่างบางรู้สึกเหนื่อยใจจึงพูดออกไปอย่างนั้น โดยที่ไม่รู้ตัว...
คำพูดเหล่านั้น ยิ่งเพิ่มความน้อยใจให้คนร่างสูงเข้าไปอีก...
-------------------------------------------------------------------------------------------
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แจจุงได้แต่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง
ที่คืนนี้เป็นครั้งแรกในรอบเดือน ที่ไม่มีอ้อมกอดของคนรักที่คุ้นเคยให้คลายความหนาว
ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นมาท่ามกลางความมืด พลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อนจะเข้ามาในห้อง
รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆที่เริ่มเอ่อคลอขึ้นมา
ทำไมผมถึงได้พูดอย่างนั้นออกไปได้นะ น่าจะง้อขอคืนดียุนโฮดีๆ
ไม่งั้นคืนนี้ก็ไม่ต้องเหงาแบบนี้หรอก...
เตียงผมมันใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ ผมเพิ่งจะรู้สึกตัว...
รู้สึกคิดถึง เกลียดกับการอยู่คนเดียว มันอ้างว้างไป...........
เช้าแล้ว วันนี้เปิดเทอมวันแรก ทำไมถึงรู้สึกว่ามันจะดูน่าเบื่อนะ
ไม่สิ แค่คิดที่ลุกไปอาบน้ำยังรู้สึกว่ามันน่าเบื่อเลย
ร่างบางแต่งตัวในชุดฟอร์มของโรงเรียน เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยสูทสีน้ำเงินเข้ม
ที่อกมีปักตราโรงเรียนบอกไว้..มือเล็กเอื้อมไปบิดกลอนประตูช้าๆ..
ใบหน้าดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด คงเป็นเพราะการที่นอนไม่พอ
กว่าจะหลับไปได้เมื่อคนก็ปาไปตีหนึ่ง...เพราะนายคนเดียว ยุนโฮ.......
โดยไม่ลืมที่จะวางพุดดิ้งไว้ที่หน้าประตูห้องข้างๆ
เปิดเทอมวันแรกยังไม่ค่อยมีเรียนอะไรมากมาย เวลาว่างส่วนใหญ่แจจุงจึงได้แต่งีบหลับ
ออดเลิกเรียน นักเรียนมอปลายทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน
".....แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ แจจุง............" เด็กหนุ่มตาโตชิม ชางมินบอกลากับร่างบาง
ตัวคนฟังได้แต่พยักหน้ายิ้มรับบางๆ ชางมินดูออกว่ายิ้มที่ส่งมามันฝืนขนาดไหนกัน
".........ร่าเริงหน่อยสิ...ไม่สมกับเป็นนายเลยแจจุง..........."
มือเรียวตบบ่าให้กำลังใจเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
นั่นสินะ ไม่ร่าเริงสมกับเป็นตัวผมเลยจริงๆ ถึงจะยิ้มออกมาได้
แต่มันก็ดูฝืนเหลือเกินในเวลานี้ เพียงแค่นึกถึงเสี้ยวหน้าของร่างสูง
กำลังใจที่เคยมีเมื่อกี้กลับถดถอยลงไปทันตา....
เพราะอะไรยุนโฮถึงมีอิทธิพลต่อตัวเค้าถึงขนาดนี้
เพราะว่ารักใช่มั้ย...เพราะว่าคนนั้นคือยุนโฮที่ผมรักใช่มั้ย....
ขายาวก้าวเท้าเรื่อยๆกลับห้อง แล้วก็ต้องแปลกใจ
รถเวสป้าสีฟ้าที่จอดอยู่หน้าโรงเรียนทำไมถึงดูคุ้นตานักนะ
ไม่ต้องสงสัยให้เสียเวลา ยุนโฮที่สูบบุหรี่เดินก้าวเข้ามาหา
ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยอยู่เหมือนเดิม..
ทำเอาแจจุงที่ได้เห็นใจชื้นขึ้นมาแต่ก็ดีใจได้ไม่นานนัก
เมื่อได้ฟังคำพูดของยุนโฮที่กล่าวออกมา
"....มีลูกค้าให้มาส่งของที่นี่.....เห็นว่าอยู่แถวโรงเรียนนายเลยแวะมาดู..........."
ถ้าไม่มีลูกค้าให้มาส่งของก็คงไม่มาสินะ แค่ทางผ่านเองสินะ...
รอยยิ้มน้อยๆส่งไปให้ จะสังเกตรึเปล่าว่ามันเศร้าจนน่าใจหาย
ก่อนที่แจจุงจะก้าวเดินผ่านไป เดินขึ้นฟุตบาทไป........
ยุนโฮที่จ้องมองถูกกระทำได้แต่ตกใจ สีหน้าฉายแววเปลี่ยนเป็นรู้สึกผิดขึ้นมาทันที
ปากบางเม้มเข้าหากัน คิ้วขมวดมุ่นเหมือนใช้ความคิด
"..................ขึ้นรถมา..........แจจุง!!!..........."
เรียกชื่อด้วยความตกใจ เมื่อขับรถไปดักที่ด้านหน้าของร่างบาง
หยดน้ำตามากมายที่ไหลลงมาเปรอะเปื้อนใบหน้าใสนั้น
กับมือเล็กที่พยายามปาดมันออกอย่างลวกๆ
ก้มหน้าหลบสายตาของยุนโฮที่มองมาอย่างรู้สึกผิด
ลุกออกจากเวสป้าที่นั่งอยู่ สาวเท้าเข้าไปใกล้แจจุงที่ยืนหันหลังให้อยู่
แขนยาวโอบรอบตัวรั้งร่างบางให้เข้ามาใกล้ พลางจับหัวเล็กให้ซบลงที่อกตัวเอง
ยุนโฮรับรู้ได้ถึงแรงสั่นของไหล่คนในอ้อมกอดที่มากขึ้น ลูบปลอบประโลมเบาๆ
จนไหล่นั้นหยุดนิ่งลง...มือเล็กผละออกจากอ้อมกอด....
สิ่งแรกที่ยุนโฮเห็นคือรอยยิ้มบางๆที่คล้ายกันกับเมื่อกี้ที่แจจุงส่งมาให้
"...ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น....เชื่อใจฉันเถอะ.....ฉันขอโทษนะ ขอโทษจริงๆนายอย่าโกรธเลยนะ...."
แค่ไม่มีอ้อมกอดนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไร
ไม่รู้เลยจริงๆ..........
น้ำตาที่หดหายไปแล้ว ค่อยๆเอ่อไหลลงมาอีกรอบ
แต่คราวนี้กลับเป็นริมฝีปากบางของยุนโฮที่จูบซับให้
".........หยุดร้องเถอะ.........ที่ทำแบบนี้ก็เพราะรัก..........เข้าใจรึเปล่า..."
คนในอ้อมกอดพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ก่อนจะเขย่งตัวประกบปากกับคนตัวสูงอย่างรวดเร็ว
"..............ต่อไปนี้ ต้องเชื่อใจกันนะ..............ยุนโฮ.."
ไม่รู้ว่าผมทำแบบนั้นลงไปได้ไงกัน...
ผมไม่อายเลยสักนิด ผมแค่รู้สึกอยากจูบยุนโฮมากก็เท่านั้น
ผมก็เลยทำลงไป แต่ดูเค้าสิ....ยังก้มหน้ามองเหม่ออยู่อย่างนั้นล่ะ...
".....................เล่นกันทีเผลอรึยัง คิมแจจุง....."
ใบหน้าเคร่งขรึมเมื่อครู่กลับกลายเป็นใบหน้าเด็กชายธรรมดาคนนึง
ที่มีความประหม่าเขินอาย...
แจจุงที่สังเกตมองดูได้แต่หลุดหัวเราะออกมา
นานๆทีคนตัวโตตรงหน้าจะหมดฟอร์มให้ผมได้เห็นมั้ง
ชอบจังเลยน้า ยุนโฮคนที่ดูเป็นธรรมชาติเนี่ย........
"....สมน้ำหน้า ไอ่หมีเก๊กแตก ฮ่าๆ............อ๊ะ!!......."
สิ้นเสียงก็ถูกมือเรียวจับปากมาประกบให้หายแค้น
ลุกล้ำหาความหวานอย่างรุนแรง
แต่ก็ปิดท้ายด้วยความนุ่มนวลจนทำเอาแจจุงเคลิ้บเคลิ้มตามได้
"..........................ฉันรักนาย........."
ผละออกมายังไม่ทันจะอ้าปากพูด ยุนโฮก็แย่งพูดประโยคเด็ดออกมา
และยิ่งแย่ไปกว่านั้น เมื่อเด็กนักเรียนที่อยู่แถวละแวกใกล้เคียง
ได้แต่ส่งเสียงโห่ร้องแซวกันไม่หยุด ทำเอาคนที่ถูกแกล้งได้แต่ชะงักทำอะไรไม่ถูก
นึกสรรหาคำด่าก็ไม่ออก หน้าเรียวสวยเกิดอาการเลือดฝาดนิดๆ
นึกได้แต่หนทางสุดท้ายที่พอจะทำได้
...หนี..ขายาวหันหลังก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว.....
ท่ามกลางรอยยิ้มกว้างของยุนโฮที่มองไล่หลังไป...
.
.
ตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจในอะไรบางอย่างมากขึ้น ว่าความรักน่ะ
มีสิ่งสำคัญเพียงแค่สองสิ่งคือ..ความเข้าใจและความเชื่อใจกัน...
The End
ผลงานอื่นๆ ของ ll Kim LusaY ll ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ll Kim LusaY ll
ความคิดเห็น