ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #9 : ' มิ่ง : 07.1

    • อัปเดตล่าสุด 6 ธ.ค. 57






     

               

    แบคฮยอนไม่รู้ว่าเสียใจเท่าไหร่ตอนที่มองตามกระบะคันโตแล่นห่างออกไปไกลทุกขณะ

     

    รู้เพียงแต่ว่าจะตายเอา ใจเหมือนจะขาด น้ำใสเอ่อขึ้นมากบตา และไอสังหรณ์ก็กรุ่นกลิ่นแทรกอยู่ในคำสัญญามั่น

     

    ฉับพลัน เด็กชายตัวเล็กก็วิ่งตามกระบะสีน้ำเงินมอมๆคันนั้นไป ใจหวังอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเขากลัว อยากดื้อด้านดึงรั้งคนที่กำลังจะจากไปเอาไว้ กลัวไม่ได้พบกันอีก กลัวพี่ชานยอลผู้แสนดีจะจากไปนาน หากเกินปีเป็นสองปีล่ะ หรืออาจสาม อาจเป็นสี่ปีก็ได้ แล้วจะติดต่อมาแน่ไหม ...ทุกอย่างช่างเป็นคำถามที่ยากเกินกว่าแบคฮยอนจะนึกตอบ

     

     

     

     

     

    รถกระบะสี่ล้อแล่นฉิวเร็วยิ่งขึ้น ยิ่งเมื่อพ้นทางเดินเท้าที่เต็มไปด้วยต้นไม้มาสู่ถนนใหญ่ได้ คนขับก็ยิ่งออกแรงเหยียบคันเร่ง

     

    “พ่อจอดก่อนไม่ได้หรือ” ชานยอลร้องถาม น้ำเสียงเว้าวอนและประท้วงไปในที “น้องแบควิ่งตามมาไม่หยุดเลย เดี๋ยวล้ม”

     

    ใจเขาสั่น อยากร้องไห้แต่พยายามกลั้นไว้สุดกำลังเพราะไม่อยากให้มีเรื่องไปมากกว่านี้ ที่พ่อส่งเขาไปเมืองนอกก็มีเหตุจากความสัมพันธ์ของเขากับแบคฮยอนรวมอยู่ด้วย และเขาก็ยังไม่เติบกล้าพอทีจะตั้งตนเป็นปรปักษ์กับพ่อ ที่เขาทำได้ทีที่สุดคือปกป้องแบคฮยอนด้วยการถอยห่างไปก่อนไม่งั้นพ่ออาจไล่ครอบครัวบยอนออกจากไร่ไปอย่างที่ปากว่า เขาจึงอยากรอให้ถึงวันเวลาที่เหมาะสม

     

    เขาเชื่อว่าเวลาพิสูจน์ได้ ความรัก ความอดทน ความสามารถ

     

    ถ้าเขาจากไปเพื่อทำตัวเองให้ดีขึ้น พิสูจน์ให้พ่อเห็นว่าเขาบรรลุทุกเป้าหมายที่พ่อตั้งไว้และจะทำให้สูงกว่า พอถึงตอนนั้นเขาเชื่อว่าถ้าเขาจะเลือกน้องแบค ใครหรือจะมาห้ามได้ ที่สำคัญแบคฮยอนก็จะได้ภูมิใจในตัวเขา มีความสุขกับอำนาจบารมี พูดได้เต็มปากว่าเป็นคนรักของปาร์คชานยอลอย่างไม่อายใคร

     

    ส่วนเรื่องความรักชานยอลไม่เคยนึกห่วง เรียกได้ว่าไม่เคยมีอยู่ในเศษเสี้ยวสมองเลยด้วยซ้ำ เขามีแบคฮยอนเพียงคนเดียวในชาตินี้ เหมือนอย่างที่อีกฝ่ายก็ไม่มีทางมองใครอีกนอกจากเขา

     

    ลืมไปเสียสนิทว่า ความรักของคนเรา บางทีก็ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยคนแค่สอง แต่มันยังเกี่ยวโยงไปถึงบุคคลอื่นๆที่จ้องจะทำลายความรักของพวกเขาลงทุกโอกาสด้วย

     

    “พ่อ... ผมขอ” แวววิงวอนนั้นฉายชัดในดวงตาคู่โต “แค่ลงไปบอกให้น้องแบคเลิกวิ่งตาม นะครับ แค่แป๊บเดียว”

     

    ปกติคุณปาร์คของคนงานทั้งไร่ไม่ใช่คนดุดันไม่ฟังใคร แต่กับในฐานะพ่อและกับเรื่องนี้ เขาใจแข็งเหลือเกิน “เมื่อกี้ตอนขึ้นไปลากันบนเรือนคนงานก็เกินจากที่ตกลงกันไว้นี่ ยังจะเรียกร้องอะไรอีก”

     

    “....”

     

    “ให้เด็กมันได้รู้จักการเปลี่ยนแปลงบ้าง ตัวแกเองก็เหมือนกัน โตได้แล้ว”

     

    เด็กหนุ่มพิงเบาะรถอย่างแรงพร้อมพ่นลมหายใจหงุดหงิด เขานึกโกรธและผยองอยู่ในใจว่า เปลี่ยนแปลงหรือ ฝันไปเถอะ เขากับน้องแบครักกัน จะอีกซักกี่ปีทุกอย่างก็จะเป็นเช่นนี้ไม่มีวันเปลี่ยน

     

     

     

     

     

     

     

    ทว่าหลังจากที่พี่ชานยอลของน้องแบคจากไปได้แค่สองวัน ความเปลี่ยนแปลงอย่างแรกก็เกิดขึ้น

     

    “โอ๊ย! ไอ้เด็กบ้าปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!!

     

    เสียงโหวกเหวกโวยวายของลุงคนงานที่แบคฮยอนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ดังขึ้นจากข้างล่างเรือน คนตัวเล็กกับคนงานคนอื่นเลยรีบวิ่งลงไปยังจุดเกิดเหตุ

     

     

    ภาพที่เห็นคือคุณลุงคนเก่าคนแก่ของที่นี่กำลังพยายามสะบัดแขนเหี่ยวย่นของตัวเองออกจากปากของเด็กชายสูงใหญ่ผิวคล้ำคนหนึ่ง ฟันขาวนั้นกัดหนึบแน่นลงกับท่อนแขนคนแก่ ดวงตาดุดันราวกับพยัคฆ์อาฆาต ไหนจะคราบเลือดที่ติดเต็มริมฝีปากอีก เล่นเอาตกตะลึงกันไปทั้งหมด

     

    “อ๊ากก! พวกมึงมัวแต่ยืนมองอะไร รีบๆช่วยกูสิวะ!” พอลุงโจตะโกนสั่ง ก็เหมือนคนงานคนอื่นจะพากันได้สติ อย่างแรกคือรีบเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลัง พยายามดึงตัวของเด็กแปลกหน้าออกจากร่างชายชรา แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนาถึงได้สะบัดเอาๆ เหวี่ยงแขนขากันคนที่เข้ามาเอาไว้ได้ชะงักนัก

     

    แบคฮยอนยืนมองสถานการณ์ตาปริบๆ ตกตะลึงกับพละกำลังเกินเหตุของเด็กชายอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเขา ไหนจะท่าทางดุร้ายราวสัตว์ป่านั่นอีก

     

     

    “โอ๊ย! ปล่อยกูเถอะ! กูกลัวแล้ว!” ลุงโจโอดครวญอย่างน่าสงสาร ไม่รู้ไปไงมาไงถึงได้โดนกัดติดอยู่อย่างนี้

     

    “ไอ้เด็กบ้านี่มันใครวะลุง อยู่ๆดีมันมากัดลุงได้ไง” คนงานคนหนึ่งร้องถามพลางทำใจกล้าจับคอเสื้อของ เด็กบ้าจากทางข้างหลังแล้วออกแรงกระชากออก แต่เด็กบ้าใช้เท้าดีดร่างคนงานเสียแทบกระเด็น ทั้งยังกัดแขนลุงโจแน่นกว่าเดิม

     

    “โอ๊ยย” ลุงโจร้องครวญ “หมอลีแกเอามาน่ะซี่ โอ๊ยย บอกเป็นเด็กกำพร้าน่าสงสาร ไอ้ฉันจะพามันไปอาบน้ำอาบท่า มันดันทำตัวเป็นหมาบ้ากลัวน้ำกัดฉันได้” เล่าไปก็ร้องด้วยความเจ็บปวดไป

     

    “แล้วจะเอายังไงดีวะลุง ตีหัวมันเลยดีไหม”

     

    “เออ เอาไงก็เอาเถอะ กูจะตายแล้ว”

     

    แบคฮยอนมองคนงานที่เสนอวิธีรุนแรงก่อนหลือบมองเด็กชายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กบ้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายจ้องเขม็งมาพอดีเช่นกัน ...ดุเหลือเกินคนตัวเล็กคิดก่อนหลบสายตาไป

     

     

    “แล้วตีไปมันจะตายไหมเนี่ย”

     

    “อูยย เขาว่าคนบ้าหัวมันแข็ง มึงตีไปมันก็ไม่ตายหรอก”

     

    ข้ออ้างนั้นเป็นเหตุผลที่แบคฮยอนไม่เห็นด้วยเสียเท่าไหร่

     

    ไม่รู้ว่าเด็กบ้า บ้าเสียจนฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร ถึงได้ไม่หลบเลยตอนที่คนงานย่องไปทางข้างหลังแล้วเงื้อไม้ท่อนใหญ่ฟาดเข้าที่ศีรษะ

     

     

    เสียงหวีดร้องดังลั่น ...เป็นเสียงของแบคฮยอนเอง

     

    เพิ่งได้รู้ว่าความสงสารจับใจนั้นเป็นเช่นนี้ แต่จะห้ามปรามอะไรก็เกินกำลังเด็ก 13 ขวบจะทำได้ และจะมาห้ามเอาตอนนี้ก็ดูจะสายไปเสียแล้ว ไม้ท่อนนั้นกระหน่ำตีแผ่นหลังและหัวไหล่ไปอีกหลายต่อหลายทีเมื่อคนเจ็บยอมปล่อยเขี้ยวจากแขนลุงโจแล้วลงไปชักดิ้นชักงอบนพื้น

     

    คราวนี้เด็กสองคนได้มีโอกาสสบตากันยาวนานขึ้น ...ดุดัน...ใช่...ดวงตาของเด็กแปลกหน้านั้นช่างดุดัน แต่ความอ้างว้างในประกายตาก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย เหมือนเสือที่ถูกพรากมาจากป่า เหมือนพยัคฆ์ที่ซ่อนความเหงาไว้ไม่มิด

     

    แบคฮยอนเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเด็กบ้า

     

    และนั่นก็เป็นสิ่งที่ตราตรึงใจ เป็นเหตุผลหนึ่งประการที่กดไว้ในจิตใต้สำนึก ...แบคฮยอนไม่รู้ตัวเลยว่า หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น เขายอมช่วยเพื่อนคนนี้ทุกครั้งไม่ว่าอีกฝ่ายจะร้องขออะไร ทั้งที่อยู่ในครรลองครองธรรม หรือไม่ตรงตามบรรทัดฐานในใจเขาก็ตามแต่

     

    เพราะแบคฮยอนมีปมว่าเขาไม่ยอมช่วยจื่อเทาในวันแรกที่รู้จักกัน จึงต้องตามชดใช้ไปช่วยเหลือในทุกครั้งต่อไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ตื่นแล้วหรือ”

     

    คนบาดเจ็บได้ยินอย่างนั้นก็กระพริบตาสองทีแล้วหลับต่อ ไม่ได้หลับจริงแต่เป็นแกล้งหลับเพราะตื่นไปก็ไม่รู้จักใคร ไม่รู้จะต้องเจออะไรบ้าง

     

    พอหลับจึงรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองถูกปฏิบัติเช่นไร... มีผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นชื่นใจมาไล้ตามผิว เด็กเผือกแคระแกนนั่นเช็ดตัวให้เขาหรือ? แต่อย่างไรก็เถอะ มันเย็นๆสบายดี เขาจึงไม่นึกต่อต้าน

     

    “ขอโทษนะ” เสียงใสดังสั่นอยู่ข้างหู ถึงจื่อเทาจะไม่สันทัดภาษาเกาหลี แต่กับพวกคำพื้นฐานอย่าง สวัสดี ขอบคุณ ขอโทษ เขาพอจะจับใจความได้

     

    “ขอโทษ เราขอโทษ” เด็กนั่นพร่ำพูดไม่หยุดปากขณะเช็ดตัวให้เขา มันน่ารำคาญอยู่ในที แต่ก็ปลอบประโลมใจให้สงบไปกับโน๊ตเสียงเล็กใสที่หวานสั่นเหมือนกำลังร้องเพลงก็ไม่ปาน

     

     

    เสียงเปิดประตูดังขึ้น เด็กนั่นหยุดเช็ดตัวให้เขาแล้วหันไปเจื้อยแจ้วกับผู้มาใหม่แทน

     

    “จะตายไหมครับหมอ”

     

    “ไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ได้ถูกตีจุดสำคัญ”

     

    เทาฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอยินเสียงหมอลีหรือสัตวแพทย์ประจำไร่ในตอนนั้น เขาก็รีบกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันที

     

    “หมอๆ” เขาเรียก น้ำเสียงเปิดเผยถึงความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก เพราะพออยู่กับหมอที่เป็นคนพาเขามาจากพวกค้ามนุษย์เขาก็อุ่นใจ

     

    หมอลีพูดภาษาจีนได้ คราวนี้จึงพูดจีนกับจื่อเทาช้งเช้ง ปล่อยให้แบคฮยอนนั่งฟังตาแป๋ว พอระลึกได้ว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ ก็ลุกขึ้นเอาผ้ากับกะละมังไปทำความสะอาดและเก็บเข้าที่

     

     

     

    “แบคฮยอน นี่จื่อเทานะ เป็นคนจีน”

     

    พอออกมาจากห้องน้ำ หมอลีก็เรียกให้ไปนั่งข้างเตียงเหมือนอย่างเดิม

     

    คนตัวเล็กยิ้มให้เพื่อนใหม่ เป็นยิ้มที่ยังดูขลาดกลัว เพราะหนุ่มจีนดูเหมือนไม่อยากรับไมตรีแต่โดยง่าย

     

    “หมอจะเป็นคนฝึกภาษาเกาหลีให้จื่อเทา ส่วนเรื่องที่หลับที่นอนกับเรื่องงานในไร่ แบคฮยอนช่วยหมอดูแลจื่อเทาได้ไหมจ๊ะ”

     

    แน่นอนว่าคนตัวเล็กรีบพยักหน้า หมอลีคนสวยหันไปพูดอะไรบ้างอย่างกับจื่อเทา ก็คงไม่พ้นการแปลประโยคก่อนหน้านั่นแหละ ฟังจบ อีกฝ่ายก็มีท่าทีฮึดฮัดเหมือนไม่พอใจ คงไม่อยากได้รับความช่วยเหลือจากเขา

     

    แบคฮยอนไม่สนท่าทีไม่ถูกใจของจื่อเทา เขาเต็มใจช่วยเพราะยังมีความรู้สึกผิดอยู่เต็มอก แต่จะรับเอาความช่วยเหลือแค่ไหน ก็สุดแล้วแต่อีกฝ่ายจะทลายกำแพงลงมารับ

     

     

     

     

     

     

    การมีจื่อเทาเข้ามา ไม่ได้ทำให้ความเหงาจืดจางไป

     

    ตอนนั้น แม้จะอายุ 13 แล้ว แต่แบคฮยอนยังเขียนหนังสือไม่ได้ จะส่งจดหมายไปถึงพี่ชานยอลแต่ละทีต้องไหว้วานหมอลีให้เขียนให้ ด้วยความเกรงใจจึงไม่กล้าบอกให้เขียนยาวๆ ฉบับนี้ก็เช่นกัน

     

     

    พี่ชานยอลคงเรียนหนักใช่ไหม ไม่ตอบจดหมายแบคเลย แต่ไม่เป็นไรเพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะได้เจอกันแล้ว ฤดูหนาวจะมาถึงไร่แล้วนะพี่ชานยอล การเก็บเกี่ยวคงชะงักไปก่อนในสอง-สามเดือนนี้ อ่อ ข่าวดี(มั้ง) คือแบคเริ่มเรียนหนังสือต่อจากที่พี่ชานยอลสอนไว้แล้วนะ พอจะอ่านออกเขียนได้บ้างแล้วแต่ยังไม่คล่อง ยังต้องให้หมอลีเป็นคนเขียนตามที่แบคอ่านอยู่ เอาไว้ถ้าฉบับไหนลายมือโย้ๆ อันนั้นแหละแบคเขียนเองนะ

    อีกเรื่องคือเงินเก็บแบคเกลี้ยงแล้ว จะส่งจดหมายทีต้องไปรับจ้างถอนผมหงอกให้ลุงๆป้าๆในเรือนคนงาน ให้ทายว่าใครเป็นลูกค้าประจำ ฮั่นแหน่ ทายถูกด้วยพี่ชานยอลเก่งจริงๆ ป้าจางจ้างแบคบ๊อยบ่อย บางทีแบคยังแอบกลัวหัวป้าแกจะล้านเลย ย้อมเอาคงง่ายกว่า คิกคิก พอแบคเล่ามาถึงตรงนี้ หมอลีขำใหญ่เลย บอกว่าแบคนินทาผู้ใหญ่ งั้นเราหยุดคุยกันเรื่องนี้ดีกว่าเนอะ คุยเรื่องน้องชายพี่ชานยอลกันดีกว่า

    จงอินโดนส่งไปโรงเรียนประจำแล้ว ไม่รู้พี่ชานยอลรู้หรือยังนะ ส่วนพี่อี้ชิงก็ยังเหมือนเดิม แบคเห็นตามพ่อเลี้ยงมาดูไร่บ่อยๆ แล้วก็อาทิตย์หน้าพ่อเลี้ยงจะให้พี่อี้ชิงคุมโรงบ่มไวน์องุ่นแล้ว

    พี่ชานยอลจ๋า แม่เรียกแล้ว แบคคิดถึงพี่ชานยอลนะ แต่เดี๋ยวจะเขียนไปถึงใหม่ ขอเก็บเงินก่อนนะ รักๆๆๆๆๆ รักมากๆๆๆจ่ะ

    น้องแบค

     

     

     

     

     

     

    พอหน้าหนาวมาเยือน จื่อเทาก็พูดเกาหลีได้บ้างแล้ว สำเนียงกระเหรี่ยงคุณหมอว่าฟังแล้วขัดใจ แต่แบคฮยอนชอบฟัง เลยชอบแกล้งหลอกให้จื่อเทาพูดเยอะๆ เขาว่ามันจี้ใจดี

     

     

    “แม่ให้ตามไปกินข้าว” แบคฮยอนสะกิดไหล่คนที่นั่งอยู่ริมผามรณะยิกๆ หลังจากสนิทกันพอสมควรแล้ว เขาก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายอายุน้อยกว่าหนึ่งปี แต่สูงใหญ่กว่า ดวงตาเจนโลก

     

    “นี่ ไม่ได้ยินหรือ ไปกินข้าวกัน” คนตัวเล็กย้ำอีกรอบเมื่อผู้รับสารทำสารกระเด้งกระดอนไปไกลไม่ยอมรับเข้าหู

     

    “เทา จื่อเทา!” พอก้มลงไปตะโกนเรียกใกล้หู ก็โดนมือใหญ่ปัดออกอย่างแรงเหมือนรำคาญ แบคฮยอนยืนนิ่ง ไม่ได้นึกโกรธเคือง

     

    ขาเล็กก้าวไปยืนแนวเดียวกับเพื่อนต่างไซส์ ก่อนนั่งลงให้ปุยหิมะซึมเข้ากางเกง

     

    “หนาวเนอะ” ชวนคุยแล้วเอากิ่งไม้เล็กๆเขียนเกร็ดน้ำแข็งบนพื้นเป็นรูปวาดต่างๆ แว่วเสียงจื่อเทาร้องไห้

     

    แบคฮยอนไม่ได้พูดแทรกอะไร เพียงแค่นั่งอยู่อย่างนั้น ฟังเสียงร้องไห้บาดจิตของเพื่อน พื้นไหวระริกจากแรงสะอื้น ลมหนาวพัดมาจนสั่นสะท้าน

     

     

    ไม่รู้พี่ชานยอลจะเป็นยังไงบ้าง หนาวไหม หิวไหม เหงาอย่างที่จื่อเทาเหงาหรือเปล่าแบคอยู่ที่เดิมเลยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นยังไง พี่ชานยอลไม่ตอบจดหมาย แบคเลยไม่รู้ว่าโลกของพี่ชานยอลเป็นยังไง

     

    แบคฮยอนเป็นคนอยู่ไร่ ส่วนพี่ชานยอลเป็นคนไกลบ้าน

     

     

    ไม่รู้ว่าคนไกลบ้านจะเหงาแค่ไหน เพราะแบคฮยอนไม่เคยจากไร่ไปไหนไกลๆมาก่อน แต่ดูจากแววตาของจื่อเทาแล้ว ...คงเหงา ...เหงาจับใจเลยทีเดียว

     

     

    มือเล็กยื่นไปจับมือที่ใหญ่กว่าของเพื่อนต่างเชื้อชาติไว้ ความเป็นมนุษย์ของเขาช่างอบอวล ถึงต่างภาษา ต่างถิ่นกำเนิด ต่างวัฒธรรม แต่ความเหงาคงเป็นสากล จึงรับรู้ซึ่งกันและกันได้ในทันที

     

     

    “ร้องเพลงให้ฟังเอาไหม แต่ร้องไม่เพราะหรอกนะ

     

    เทาปาดน้ำตา คิดถึงพ่อแม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่หน้าตาเป็นยังไง เกิดมายังไม่เคยพบเคยเห็นเลยซักครั้ง แถมยังคิดถึงบ้านทั้งที่ไม่มีบ้านให้กลับอีก คิดๆดูแล้วก็สมเพชตัวเอง

     

    ฟังเพื่อนตัวเล็กร้องเพลงหลงคีย์ไปซักพักแล้วนึกขัน สุดท้ายจึงร้องไห้ทั้งหัวเราะอย่างนั้น แบคฮยอนได้ยินเพื่อนหัวเราะออกมาได้ก็ดีใจ

     

    หวังเหลือเกินว่าในยามที่ห่างกันอย่างนี้ พี่ชานยอลจะมีใครซักคนคอยอยู่เป็นเพื่อนคลายเหงา เหมือนที่เขาได้เป็นคนๆนั้นของจื่อเทา

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×