ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #8 : ' มิ่ง : 06

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.22K
      27
      5 ธ.ค. 57





     

               

    ความเจ็บป่วยที่ขาข้างซ้ายอันเนื่องมาจากโรคโปลิโอ ทำให้ชานยอลไม่ต้องคอยติดตามพ่อเลี้ยงแห่งไร่กังยูไปทำธุระเกี่ยวกับไร่กับสวนเหมือนกับลูกชายคนอื่นๆ
     

    ด้วยเหตุนี้เอง หนุ่มน้อยจึงมาขลุกอยู่กับขวัญใจวัยเเบเบาะของเขาได้ทั้งวัน
     

     

    "มะ ม่า ออมม่า"
     

    ชานยอลมองริมฝีปากของน้าซังมีที่กำลังฝึกให้แบคฮยอนออกเสียงแล้วพลอยตื่นเต้นไปด้วย
     

    "ยอล ชานยอล" เด็กหนุ่มเปล่งเสียงช้าๆชัดๆ คุณแม่ยังสาวถึงกับหัวเราะเอ็นดู
     

    "ยากนะออกเสียงชานยอล" หล่อนหยุดลูบไรผมอ่อนๆของลูกชายแล้วจึงพูดต่อ "เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มพูดได้คำแรกด้วยเสียงมอม้า เพราะอย่างนี้แม่ของในแทบทุกภาษาเลยเป็นเสียงมอม้าจ่ะ เช่น มัมมี่ แม่ ออมม่า หม่าม้า"


    ชานยอลฟังแล้วพยักหน้า แต่ไม่วายแย้งในใจ...น้องอาจจะเป็นส่วนน้อยก็ได้
     

    น้องที่ว่าตัวขาวจั๊วะ ปากแดง แก้มแดง ตาชั้นเดียวแต่กลมแป๋วน่ารัก น้องชอบมองหูเขา จ้องอยู่ได้ทีละนานๆตาแทบไม่กระพริบ
     

    "สงสัยน้องชอบหูคุณชานยอล" น้าซังมียิ้มขำ ชานยอลนึกเขินในสิ่งที่จะว่าเป็นปมด้อยก็ไม่เชิง แต่สุดท้ายเขาก็ใจดีก้มศีรษะลงให้น้องได้ลองเอื้อมมือมาสัมผัสใบหูที่แปลกประหลาดกว่าคนปกติ
     

    แบคฮยอนหัวเราะชอบใจยกใหญ่ ซึ่งคนไร้เดียงสาก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่า ภาพรอยยิ้มของเจ้าตัวได้พิมพ์ประทับลงในใจของคนพี่จนยากที่จะลืมเลือน
     

    "หูตัวเองก็เล็กตายเลยน้องแบค" ว่าพลางบีบจมูกเจ้าตัวเเสบเบาๆ แบคฮยอนสะบัดหน้าทำเสียงฟึดฟัดเหมือนกับหายใจไม่ออก
     

    "น้าฝากน้องเเป๊บนึงนะคะ จะไปตามช่างมาดูสัญญาณโทรศัพท์" หล่อนว่าพลางก้าวฉับลงจากเรือนคนงาน ปล่อยให้ลูกชายวัยขวบเศษอยู่กับลูกชายเจ้านายตามลำพัง พออยู่กันสองคนแบคฮยอนก็ปีนคว้าใบหูของชานยอลมากำแน่น
     

     

    "น้องแบคปล่อยเร็ว เดี๋ยวหูพี่ขาด"
     

    เจ้าเด็กตัวนุ่มหัวเราะคิกคักจนหน่วยตาเป็นสระอิ แถมยังเอื้อมมืออีกข้างบีบแก้มพี่ชายเต็มรัก
     

     

    "เจ็บนะเนี่ย" ชานยอลบ่นแต่ปากกลับยิ้มไม่หุบ เสียงหัวเราะใสๆของน้องช่างมีอิทธิพลต่อเขา เจ้าตัวเล็กใช้มือคลำสะเปสะปะสำรวจเครื่องหน้าของคนโตกว่าอย่างสนุกสนาน ปากสีแดงฉ่ำฉีกยิ้มหวานประกอบเสียงคิกคัก
     

     

    "ยอล"
     

    แค่คำเดียว โลกของชานยอลคล้ายดั่งว่าหยุดหมุน
     

     

    กำลังจะแคะหูเช็คว่าตัวเองหูฝาดหรือไม่ เด็กที่พูดไม่ได้แม้แต่คำว่าแม่ก็เปล่งเสียงเล็กๆออกมาอีกครั้ง
     

    "ยอล"
     

    "..."
     

    "ยอล"
     

    เจ้าของชื่อชื่นใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชานยอลประคองแก้มกลมของน้องไว้ในอุ้งมือ แล้วก้มลงจุมพิตปากแดงฉ่ำเป็นรางวัล เจ้าตัวเล็กหัวเราะดังขึ้นคล้ายว่าชอบใจ คนพี่จึงจูบแก้มซ้ายขวาเเถมให้ ตบท้ายด้วยการหอมแรงๆที่หน้าผากเกลี้ยง
     

    "โตแล้วมาจุ๊บพี่คืนด้วยนะเด็กหัวล้าน" ไม่วายแซวไรผมอ่อนๆที่ยังขึ้นไม่เต็มศีรษะ แน่นอนว่าแบคฮยอนฟังไม่เข้าใจ เจ้าตัวจ้อยคลานเตาะเเตะบนเบาะผ้าก่อนจะหามุมสบายนอนแอ้งแม้ง แล้วส่งเสียงอ้อแอ้มาเรียกให้ชานยอลตามไปนอนด้วย

     

    ชานยอลทิ้งตัวลงนอนข้างเด็กผมน้อย บนหมอนเดียวกัน ผ้าห่มเดียวกัน ไม่นานอากาศเย็นสบายแห่งไร่กงยูก็ขับกล่อมให้สองพี่น้องเข้าสู่ห้วงนิทราอันแสนสุข
     

    แม้กระทั่งในฝันของชานยอล แบคฮยอนก็ยังตามไปดึงหูเขาแล้วเรียกชื่อ
     

    ยอล...ยอล

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

                แม้จะผ่านเวลามานานหลายทศวรรษ แต่พระจันทร์สำหรับดาวโลกก็ยังมีเพียงแค่ดวงเดียว

     

     

                ชานยอลนึกถึงเด็กน้อยที่เคยชี้ขึ้นไปบนฟ้าแล้วบอกเขาว่าพระจันทร์คือข้าวปั้นข้าวของเทวดา และดาวดวงอื่นๆก็คือผงเกลือที่นางฟ้าโรยเอาไว้

     

     

                แบคฮยอนเป็นเด็กช่างจินตนาการแถมยังชอบพูดจาเจื้อยแจ้วไปเรื่อย วันไหนถูกเขาสั่งห้ามไม่ให้พูดเยอะ เจ้าตัวก็จะหาทางระบายเสียงด้วยช่องทางอื่นแทน เคาะโต๊ะบ้างล่ะ ย่ำปลายเท้าบ้างล่ะ ทำซ้ำๆอยู่อย่างนั้นจนสุดท้ายเขาต้องยอมใจอ่อนเป็นฝ่ายชวนคุยก่อนเอง

     

     

                เขาไม่รู้ว่าตัวเองชอบคุยกับแบคฮยอนเรื่องอะไร ยอมรับว่าฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ที่เขาทำเป็นประจำและให้ความสำคัญยิ่งกว่า คือการจ้องใบหน้าของเด็กแสบ แก้มขาวชอบเปื้อนคราบดินมอมแมม ปากเล็กแดงฉ่ำเดี๋ยวห่อเดี๋ยวคลายไปตามพยางค์ในประโยค หน่วยตาเรียวรีนั่นอีก ยิ้มทีแม้แต่ขนตาก็ถูกกลืนเข้าไปกองรวมไว้เป็นขีดนิดเดียว อย่างกับใครจงใจเอาปลายพู่กันมาตวัดไว้บนเบ้าตาเสียอย่างนั้น

     

     

                ชานยอลเผลอยิ้มออกมาเมื่อหวนนึกถึงภาพในอดีต ก่อนที่เขาจะมีสตินึกรู้ว่ากำลังล่วงเกินคู่สมรสของคนอื่นทางความคิด เป็นเรื่องไม่สมควร ไม่ว่าจะกรณีใด

     

     

                เปล่า... เขาไม่ได้ห่วงใยความรู้สึกของเลย์ ของตัวเองต่างหาก ยิ่งคิดถึงอดีตที่แสนดี ก็รังแต่จะทำให้ปัจจุบันแย่ลงเมื่อเกิดข้อเปรียบเทียบ

     

     

                ชานยอลไม่ได้ร้องไห้มานานซักพักแล้ว เขาแทบลืมหน้าตาของการร้องไห้ แต่วันนี้เขาร้อนผ่าวไปทั้งกระบอกตา ลมหายใจเป็นไอร้อนระอุ ปวดแสบ อึดอัด เขารู้สึกเจ็บหน่วงหนักอยู่ในอก บีบรัดเหมือนมีมือข้างหนึ่งมากอบกำขยำมันไว้และใช้กรงเล็บจิกจนดิ้นไม่หลุด แล้วก็มีอีกมือมาทุบอัดมันจนได้เลือด แล้วหลังจากนั้นไม่นาน น้ำตาก็กลั่นตัวหยดลงบนแก้มเป็นทางยาว หลายสายซ้ำร่องเดิมจนชุ่มไปถึงลำคอ

               

     

    ไม่บ่อยนักที่คนเราจะรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวบนโลก แต่ชานยอลกำลังรู้สึกเช่นนั้น

     

    เขาถูกห่อล้อมด้วยอากาศเย็นจัด ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายริมระเบียงและทอดสายตาเขม็งไปที่แก้วใบหนึ่งบนโต๊ะตัวเล็กที่เข้าชุดกับเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แก้วคริสตัลบรรจุน้ำสีอำพันไม่มีอะไรน่าสนใจ เขาเพียงแต่ใช้มันเป็นจุดรวมสมาธิที่กำลังแตกกระเซ็นเป็นเสี่ยงๆก็เท่านั้น

               

     

    เมื่อความเงียบเหงามาพร้อมความเศร้าโศก ก็ยากนักที่มนุษย์มือเปล่าจะต่อกร

     

    มือใหญ่ยกแก้วเหล้าขึ้นจิบอีกครั้ง รสเข้มและขมจัดของมันบรรเทาความหนาวเหน็บได้แค่ระดับหนึ่ง ไอเย็นยังคงทิ้งทวนเป็นดั่งหมอกควันในใจเขา เข้าเกาะกินและแช่แข็งทุกอย่างให้เป็นอัมพาต ท่ามกลางความมืดมิดที่ปกคลุมกังยูไปทั้งไร่

     

     

    เกิดความผิดพลาดตอนที่เขาพยายามจะใช้มือสั่นเทาวางแก้วลงไปยังตำแหน่งเดิม มันหมิ่นเหม่อยู่ที่ขอบโต๊ะ แล้วหลังจากนั้นก็

     

     

    เพล้ง!

    ตกลงมาแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย

     

     

    มันเป็นจุดที่ทำให้ชานยอลคิดว่าเขาไม่สามารถอยู่ตามลำพังได้อีกต่อไปแล้ว ค่ำคืนนี้ยาวนานและชวนให้เจ็บร้าวเกินไป เขากลัวจะตายซะก่อนที่พรุ่งนี้เช้าจะมาถึง

     

     

    มือหนาล้วงลงไปที่กระเป๋าเสื้อ ก่อนหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาด้วยความยากลำบากเพราะพิษแอลกอฮอล์

     

     

    ว่าไงด๊อกเตอร์ โทรมาซะดึกไม่หลับไม่นอนหรือไง

     

    แทบจะเรียกได้ว่า ทันทีทันใดลู่หานรับสายของเขาในทันทีที่กดโทรออก อีกฝ่ายเป็นพวกโซเชียลจ๋า มีโทรศัพท์เป็นอวัยวะที่ 33 ตามแบบฉบับคนยุคปัจจุบัน

     

    “อือ เพิ่งกลับจากงานแต่งน่ะ”

     

    หือ!? ไหนด๊อกเตอร์สัญญาไว้ว่าจะให้ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวไง! ทำไมรีบนักล่ะ!’

               

    “กับคนอื่นน่ะ ...แบคฮยอนแต่งงานกับคนอื่น”

     

                ‘…’

     

                “พวกเขาเชิญฉันไปร่วมงาน แล้วฉันก็นั่งเก้าอี้แถวหน้าสุด วงดนตรีเล่นเพลงที่แฟนนายเคยร้องตอนเราอยู่ปี 2 ด้วย ที่ฉันเคยชมว่าเพราะดี”

               

    ด๊อกเตอร์ดื่มหรือ?

     

                ชานยอลไอโขลกจนหน้าแดงก่ำ เขาไม่ใช่นักดื่ม การหักโหมอัดแอลกอฮอล์จึงทำให้เขาย่ำแย่ แต่มันคงแย่กว่านั้นถ้าเขาไม่พึ่งมันเพื่อที่จะผ่านค่ำคืนอันโหดร้ายนี้ไป

     

     

                “ฉันรักแบคฮยอนมากจริงๆ”

     

                คุณใจเย็นก่อนนะ

     

                “น้องแบคไม่รักพี่แล้วหรือ จะไม่คิดถึงกันอีกต่อไปแล้วใช่ไหม”

     

                ผมว่าคุณเมามากแล้ว พักผ่อนเถอะด๊อกเตอร์

     

                “พี่เสียใจจะตายอยู่แล้วนะแบค”

     

     

                ปลายสายจากอเมริกาได้ยินเป็นเสียงลากยาวของโลหะ ชานยอลไถลตัวลงจากเก้าอี้ กอดตัวเองแล้วปล่อยโฮเสียงดังก่อนซบในหน้าอาบน้ำตาลงกับเข่าทั้งสองข้าง

     

     

                ลู่หานปิดปากกลั้นเสียงอุทานด้วยความตกใจ ...ใครกันที่กระชากฉีกชานยอลของเขาจนเละเทะได้ถึงขนาดนี้? ไม่รู้หรือว่าเมื่อความอ่อนโยนถูกสลัดไป กลไกธรรมชาติก็จะสร้างเกราะป้องกันอันกระด้างหยาบขึ้นมาทดแทน

     

     

                ชานยอลร้องไห้อยู่อย่างนั้น กระทั่งเหนื่อยล้าจึงเผลอหลับไปเองพร้อมคราบน้ำตา

     

    คืนนี้เป็นคืนที่ยากเย็น เพราะแม้จะหลับลงได้แล้ว ด๊อกเตอร์ปาร์คผู้เพียบพร้อมก็ยังคงฝันถึงแบคฮยอนเด็กน้อยชาวไร่ที่เขาทั้งรักทั้งแค้นอยู่ดี

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

     

    “ถ้าปลุกไม่ตื่นก็ไปลากคอมันมา”

     

                เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง จันทร์นวลก็แปรเป็นอาทิตย์แรงกล้า ไม่มีความยากเย็นหลงเหลืออยู่แล้วสำหรับปาร์คชานยอล

               

     

    จึงเป็นคราวของแบคฮยอนบ้าง ที่เมื่อคืนเขาหลับลงไปยังอย่างง่ายดายเพราะฤทธิ์ของบาดแผลที่พรากสติ จึ่งเมื่อมันกลับเข้าร่าง ที่สุดของความทรมานจึงมาเยี่ยมเยือน

     

     

     

                ก๊อกๆๆ

     

                เสียงเคาะประตูที่ดังและถี่ขึ้นทำให้ร่างน้อยค่อยๆรู้ตัวตื่น เพียงแค่ยันแขนข้างหนึ่งเพื่อลุกนั่ง กล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้นแต่เพียงนิดก็ทำให้แผนปริแตก กระเทาะเอาเนื้อฉีกออกจากกัน แบคฮยอนตัวสั่น ตกใจกับบาดแผลของตัวเอง ร่างเล็กทรุดฮวบลงนอนตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ซึ่งมันเฉอะแฉะไปด้วยเลือดข้นเหนียวที่ไหลมาตั้งแต่เมื่อคืน

     

     

                คนตัวเล็กยกมือขึ้นลูบปากแผลที่ใกล้รัศมีมือขวาของเขามากที่สุด แผลยาวเหวอะหวะมีทั้งเลือดเก่าที่แห้งกรังและเลือดใหม่ที่ซิบออกมาคั่งอยู่ในเนื้อแดงที่เต้นยุบไปตามจังหวะการหายใจ

     

     

                “อึ่ก..” ร่างเล็กร้องสั่นในลำคอ ก่อนจะกลายเป็นสะอื้นรุนแรงแต่ก็จำต้องเก็บเสียงเอาไว้อย่างสุดความสามารถ น้ำตาร้อนทะลักลงอาบมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นมาปิดปาก

     

     

                “อีกแป๊บนะป้า ขอผมอาบน้ำก่อน” สุดท้ายก็จำต้องตะโกนตอบกลับไปอย่างนั้นเมื่อกำปั้นของคนข้างนอกยังเคาะประตูไม่หยุด

     

     

                แบคฮยอนคว้ายาพาราสองเม็ดกับยาแก้อักเสบที่เลย์ทิ้งไว้ให้มากลืนลงคอโดยปราศจากน้ำเปล่า ล้างหน้า แปรงฟัน ก่อนจะทำความสะอาดแผลลวกๆด้วยผ้าขนหนูสะอาดกับน้ำเกลือ เขาเลือกสวมเสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงผ้าเนื้อหน้าทึบ แม้วันนี้อากาศดูจะร้อนอบอ้าวจนน่าเป็นกังวล

     

     

     

     

                ร่างเล็กฝืนเดินลงบันไดมาด้วยท่าทางปกติ ตาเรียวกวาดหาคนที่เรียกพบเขาแต่เช้าตรู่

     

                ชานยอลนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาสีแดงเลือดนก มือใหญ่พลิกและพับมันเป็นเล่มเล็กๆก่อนจะวางไว้บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตามเดิม

     

     

                “เวลาทำงานตามปกติของแกคือกี่โมง”

     

     

                แบคฮยอนเผลอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ พลางหันมองซ้ายขวา ก่อนจะพบว่าชานยอลพูดกับเขานั่นแหละ

     

                “ห..หกโมงเช้าครับ”

     

    เจ้าของร่างกายใหญ่โตลุกขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะเดินช้าๆตรงเข้ามาหาร่างเล็กที่เกร็งสั่นไปทั้งตัว

     

     

    แบคฮยอนเห็นชานยอลเป็นดังลูกธนู เคลื่อนไหวรวดเร็วออกจากแบล็กกราวน์ที่นิ่งชะงัก

    สง่างามและเสียบแทงเขาอย่างไม่ปรานี


               

    “เรื่องแต่งงาน ฉันยินดีด้วย”

     

    “...”

     

    “แต่แกเป็นคนงานในไร่ของฉัน ต่อให้จะแต่งงานกับเลย์หรือจะกับพ่อฉัน แกก็ยังเป็นขี้ข้าที่ต้องตื่นมาทำงานให้ทันเวลา ไม่มีคางคกขึ้นวอตัวไหนจะได้อภิสิทธิ์ที่นี่”

     

    แบคฮยอนก้มหน้ามองพื้น ตระหนักโดยสัญชาตญาณว่าเขาได้สูญเสียพี่ชานยอลคนเดิมไปโดยไม่มีวันได้กลับคืน

     

     

     

     

    เปลวดแดดที่แรงกล้าในเที่ยงนี้ ชวนให้นึกถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ป่าเหนือในครั้งนั้น แบคฮยอนยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ อยากจะร้องเรียกให้นายใหม่ของเขาเพลาฝีเท้าอาชาลงหน่อยเพราะเขาเดินตามไม่ทัน แต่ความไม่กล้าก็ทำให้ต้องเป็นฝ่ายวิ่งกระหืดกระหอบตามไปเสียเอง

     

     

    “ฉันอยากไปดูไร่แอปเปิ้ล”

     

    แบคฮยอนย่นคิ้วเมื่อชานยอลออกคำสั่งกรายๆมาเช่นนั้น ไร่แอปเปิ้ลอยู่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาไกลเป็นกิโลฯ และที่ทราบมา ชานยอลก็เพิ่งไปไร่แอปเปิ้ลมาเมื่อเช้ามืดนี่เอง

     

    “แต่มันไกลนะครับ”

     

    “หรือแกอยากจะลากทั้งไร่มาให้ฉันดูที่นี่ก็ตามใจ แต่ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องได้เห็นไร่แอปเปิ้ล” น้ำเสียงเด็ดขาดทำเอาคนตัวเล็กลอบถอนอากาศออกจากปอดเฮือกใหญ่ ...ชานยอลกำลังอยากเอาชนะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรกับคนที่ยอมแพ้อย่างราบคาบทุกกรณีแล้วเช่นแบคฮยอน

     

     

    สองขาเรียวเป็นฝ่ายเดินนำในจังหวะแรก มือขาวลากจูงให้เจ้าม้าขนสวยสีน้ำตาลเข้มค่อยๆเดินตามมา แต่ดูเหมือนร่างบนหลังม้าจะต้องการความเร็วมากกว่านั้น เขาจึงใช้เท้าเตะมือบางออก แล้วคุมบังเหียนนำไปเอง

     

     

    แบคฮยอนยืนพักหายใจอยู่เพียงครู่ก่อนจะวิ่งเหยาะๆตามไป แดดร้อนแรงกำลังทำให้เขาหน้ามืด แต่คนที่ทำงานในไร่มาทั้งชีวิตอย่างเขาก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดนั้น แม้ตำแหน่ง คนติดตามที่ชานยอลเพิ่งยัดเยียดให้เมื่อเช้าจะสาหัสไม่ใช่เล่นเลยก็ตามที

     

     

     

     

    ใช้เวลาซักพักกว่าที่แบคฮยอนจะวิ่งหอบมาถึงไร่แอปเปิ้ล คนงานทักทายเขาอย่างคุ้นเคย แต่แบคฮยอนก็รับรู้ได้ถึงความเหินห่างที่สร้างความปวดใจให้แก่เขา

     

    มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเหลือเกินภายในวันๆเดียว การเมืองกำลังมาเยือนทุกคนในไร่อย่างรวดเร็ว

     

     

    แบคฮยอนเดินผ่านอาชาสีน้ำตาลที่ชานยอลผูกไว้ใต้ต้นหูกวางขนาดใหญ่ เจ้าม้าตัวนี้เป็นมิตรกว่าร็อบสิบเท่า สังเกตได้จากการที่มันยินดีให้คนตัวเล็กลูบแผงคอและศีรษะได้ตามใจโดยไม่เกี่ยงงอน

     

     

    พอหยุดเล่นกับม้าหนุ่มจนหนำใจแล้วแบคฮยอนก็รีบเดินเร็วๆเข้าไปในโรงงานขนาดย่อมที่ติดกับไร่แอปเปิ้ล จะเรียกว่าโรงงานก็ไม่ถูกซะทีเดียวเพราะพื้นที่ส่วนมากเป็นโกดังกักตุนผลผลิตจากแอปเปิ้ล

     

    แก้วตาใสเห็นร่างสูงยืนอยู่หน้าถังบ่มไวน์ ถึงไวน์จากแอปเปิ้ลจะไม่เป็นที่นิยมเท่าไวน์องุ่น แต่แบคฮยอนก็เชื่อว่าไวน์ของเขาเป็นตัวสำรองเกรดเอที่ทดแทนกันได้เสมอ

     

     

    เท้าเล็กลงน้ำหนักเบาบางจนแทบจะกลายเป็นย่องเขย่ง ไม่นานก็มายืนประกบเจ้านายอยู่ข้างหลัง  ตาเรียวแอบมองแผ่นหลังกว้างด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง พลางลอบสูดกลิ่นน้ำหอมเมืองผู้ดีเข้าเต็มปอด กลิ่นนั้นรีดเรียกน้ำใสให้เอ่อขึ้นมาคลอปริ่มที่ขอบตา แต่แล้วมันก็แห้งเหือดไปเมื่อเจ้าของดวงตากระพริบเปลือกตาปริบๆ

     

     

    ชานยอลชิมไวน์อย่างมืออาชีพ แบคฮยอนรอให้เขาเอ่ยชม แต่นั่นก็เป็นฝันกลางวันโดยแท้ ร่างสูงเดินสำรวจอุตสาหกรรมขนาดย่อมต่อไปยังจุดต่างๆ ถึงชานยอลจะสงวนท่าทางเพื่อตอกให้เขารู้ถึงความต่างชั้น แต่แบคฮยอนก็ยังมองออกมาว่าพี่ชานยอลของเขาสนใจแยมแอปเปิ้ลเป็นพิเศษ

     

     

    คนตัวเล็กเดินตามเจ้านายร่างใหญ่เงียบๆ กระทั่งเขาเดินนำไปถึงส่วนที่คนงานกำลังบรรจุแอปเปิ้ลที่คัดขนาดแล้วใส่รังเตรียมจำหน่าย มือหนาคว้าลูกสีแดงเหลือบทองขนาดพอดีมือขึ้นมาโยนเล่นสอง-สามครั้ง ก่อนจะกลิ้งดูลูกกลมในฝ่ามืออย่างพิจารณา

               

     

    “แอปเปิ้ลทำกำไรได้ดีเป็นอันดับสามจากสินค้าทุกประเภทครับ” แบคฮยอนลืมตัวพูดเสียงดังและใสแจ๋วกว่าปกติ ชานยอลเหลือบมองใบหน้าซีดขาวที่อมยิ้มน้อยๆอย่างภูมิใจของคนตัวเล็กเพียงครู่หนึ่ง

     

     

                “แกทำงานที่นี่หรือ”

     

                “ครับ พ่อเลี้ยงให้ผมช่วยคุมที่นี่”

     

     

                ชานยอลฟังแล้วเงียบไป ดวงตาคู่คมหรี่ลงในระหว่างที่นึกคิดบางอย่าง และไม่ปล่อยให้แบคฮยอนสงสัยเก้อ เขาขบริมฝีปากล่างก่อนจะเฉลยออกมา “รอนายทุนคนอื่นอนุมัติเสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะถางไร่นี้ทิ้งทำรีสอร์ท”

     

                แบคฮยอนต้องใช้เวลาความเข้าใจในประโยคนั้นนานหลายนาที เขาเก็บมือที่สั่นไว้ข้างหลัง

     

                “หรือครับ” ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น เขาเชื่อว่าชานยอลจะไม่ทำอย่างที่พูดหากเขาไม่แสดงท่าทีร้อนใจเกินกว่าเหตุ เขาไม่อยากให้ชานยอลรู้ว่าเจ้าตัวจะใช้ความเป็นไปของไร่นี้มาทำร้ายเขาได้ แม้มันจะทำได้จริงและได้ผลไปทั้งชาติเลยก็ตาม

     

                “แกคิดว่าคนไม่รู้หนังสืออย่างแกจะหลอกฉันได้หรือ” เขาปล่อยแอปเปิ้ลผลงามลงกับพื้น ใช้ปลายรองเท้าหนังคลึงมันเบาๆก่อนจะลงน้ำหนักเหยียบลงไปเต็มแรงทว่าเนิบนาบ ...แอปเปิ้ลลูกนั้นปริแตก ชวนให้แบคฮยอนนึกถึงแผลจากการถูกแส้หวดของเขา ชานยอลเหยียบมันซ้ำอีกครั้งจนผลกลมแหลกเละติดพื้นปูน

     

                แบคฮยอนแทบไม่รู้สติตอนที่ชานยอลถอนเท้าออกจากความภูมิใจของเขาแล้วเดินออกไปจากโรงงาน

     

                จะวิ่งตามไปก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะชานยอลควบม้านำไปไกลลิ่ว

     

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

                “น้องคงโกรธที่เราไม่ยอมบอกเรื่องแต่งงาน”

     

                แบคฮยอนฟังคำที่มารดากระซิบข้างหูแล้วใจหาย ตาเรียวมองน้องสาวที่นั่งหันหลังไม่สนใจเขาตาละห้อย ซักพักสาวเจ้าก็เดินหนีเข้าห้องนอนไปเสียเฉยๆ แถมยังกระแทกปิดประตูดังปัง ล็อคกลอนกันพี่ชายจะตามเข้าไปง้ออีกต่างหาก

     

     

                แบคฮยอนกอดแม่แล้วซบหน้าลงกับลาดไหล่บาง “แต่แม่ไม่โกรธใช่ไหม”

     

     

                หญิงวัยกลางคนส่ายหน้าก่อนจะยกมือลูบแผ่นหลังของลูกชาย แบคฮยอนสะดุ้งเมื่อปากแผลถูกสัมผัส ต้องกัดฟันตัวสั่นอยู่ในอ้อมกอดนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

     

                “แล้วนี่มาเรือนคนงาน ไม่มีใครว่าหรือ”

     

                “ผมมาเก็บของเฉยๆ เดี๋ยวก็กลับแล้ว” แบคฮยอนฝืนตัวออกจากอ้อมแขนผู้มีพระคุณ ก่อนจะสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแล้วหยิบเงินเก็บก้อนสุดท้ายออกมา

     

                “จะเปิดเทอมแล้วแม่เอาไว้ซื้อเสื้อผ้าใหม่กับหนังสือให้น้องนะ”

     

                พอแม่ไม่รับ แบคฮยอนจึงต้องยัดเงินใส่มือกร้านจากการทำงานหนักของแม่ด้วยตัวเอง

     

                “บอกดันบีด้วยว่าให้ตั้งใจเรียน โตมาไม่รู้หนังสือจะลำบาก” เขาพูดพลางจูบเปลือกตาของมารดาอย่างอ่อนโยน กอดร่ำลากันซักพัก คนตัวเล็กก็เดินออกจากเรือนคนงานหญิงเพื่อไปเก็บของใช่ส่วนตัวที่เรือนคนงานชายหลังถัดไป

     

     

     

     

     

     

                แบคฮยอนเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง แต่ไม่ทันจะได้ร้องอุทานก็ถูกมือใหญ่ของเพื่อนร่วมห้องอุดปากเอาไว้เสียก่อน

     

     

                “ชู่วว” จื่อเทากระซิบบอกให้เงียบข้างใบหู แบคฮยอนพยักหน้าถี่ๆเป็นเชิงยินยอมเพราะมือใหญ่ที่ปิดปากปิดจมูกอยู่ทำให้เขาหายใจไม่ออก

     

                “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันห๊ะเทา!” พอเป็นอิสระแบคฮยอนก็เค้นเสียงถามทันที เจ้าของชื่อถลึงตาดุดันใส่เพื่อให้เบาเสียงลง

     

                “ของพวกนั้นมันอะไร! แล้วมันมาอยู่ในห้องเราตั้งแต่เมื่อไหร่!

     

                เพื่อนชาวจีนจับข้อมือบางหมับ ก่อนจะลากให้คนตัวเล็กไปสงบสติอารมณ์ที่เตียงนอน

     

     

                “สามีนายไม่ได้บอกหรือ”

     

     

                แน่นอนว่าแบคฮยอนส่ายหัววืด เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับกระสอบชาและสินค้าเกษตรที่ถูกยักยอกมาไว้ที่ห้องมาก่อนเลย

     

                “พวกเราไม่ยอมรับปาร์คชานยอล ถ้าไอ้ห่านั่นจะชุบมือเปิบขึ้นมาเป็นพ่อเลี้ยง” เทาเกริ่น และแบคฮยอนก็เข้าใจทันที เพราะนอกจากคนงานเก่าแก่ที่รู้จักชานยอลมาตั้งแต่เด็ก คนงานคนอื่นก็ไม่เห็นความเป็นธรรมในเรื่องนี้ “คุณเลย์ให้ขโมยของมาเก็บที่นี่ก่อน เดี๋ยวดึกๆจะมีรถมารับออกไป”

     

                “ออกไป? ออกไปไหน?”

     

                “เอาไปขาย คุณเลย์ให้เอาเงินมาแบ่งกัน”

     

                คนตัวเล็กเบิกตากว้าง เกือบจะลืมตัวทำเสียงดังอีกถ้าคนตัวโตไม่หรี่ตาดุใส่เสียก่อน

     

                “แต่มันไม่ถูกต้องนะเทา ถ้าพ่อเลี้ยงจับได้นายติดคุกแน่”

     

                “คุณเลย์บอกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ถ้าเราขัดขวางปาร์คชานยอลสำเร็จ คุณเลย์ก็จะขึ้นเป็นพ่อเลี้ยง ตอนนั้นเราก็จะสบาย”

     

                “แล้วนายก็เชื่อตามที่เขาบอกเนี่ยนะ!

     

                “เบาซี่เรื่องนี้หัวหน้าคนงานยังไม่รู้ ฉันยังไม่ได้หาทางกล่อมให้เขามาเป็นพวก”

     

     

                แบคฮยอนทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ แน่นอนว่าเขาห่วงที่ชานยอลถูกประสงค์ร้าย แต่ที่เขาโกรธยิ่งกว่าคือความอกตัญญูที่เทาทำกับไร่ ทั้งที่เทาก็รักไร่ เขาก็รักไร่ ทุกคนก็รักกังยูไม่ใช่หรือ?

     

     

                “ฉันจะฟ้องพ่อเลี้ยง!” คนตัวเล็กผุดลุกขึ้นเต็มความสูง แต่ก็โดนมือใหญ่ฉุดให้นั่งลงเหมือนเดิม

     

                “อยากให้ตัวเองเดือดร้อนรึไง!

     

                “แล้วฉันเกี่ยวอะไรด้วย!

     

                จื่อเทาแค่นหัวเราะ “ลืมไปแล้วรึไงว่านายเป็นอะไรกับคุณเลย์ จะมีใครเชื่องั้นหรอว่านายไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้ซึ่งตอนนี้นายก็รู้เห็นแล้วจริงๆ”

     

                “...”

     

                “นายเป็นพวกเรา นายโกงกังยู นายหักหลังพ่อเลี้ยง ...และถ้าความลับถูกเปิดเผยออกไป ฉันติดคุก นายก็ติดคุกเหมือนกัน!

     

     

                แบคฮยอนหน้าชา ...ไม่...เขาไม่ยอม...อยู่ๆจะมายัดเยียดความผิดให้เขาแบบนี้ไม่ได้

     

     

                “ฉัน..จะแจ้งตำรวจ”

     

                “งั้นนายก็ผ่านด่านสามีตัวเองให้ได้ก็แล้วกัน”

     

     

                แบคฮยอนเลื่อนมือขึ้นลูบต้นแขนที่โดนปลายแส้สะบัดใส่เพียงเบาบาง กระนั้นก็ยังทิ้งแผลฉกรรจ์ไว้ให้ดูต่างหน้า ไม่อยากจะคิดถึงแผ่นอกและแผ่นหลังที่โดนทารุณกรรมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

     

     

                เพียงเท่านั้นเขาก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาราวสัตว์ร้ายของคนที่เฆี่ยนตีเขาผุดขึ้นมาในมโนภาพ

     

     

    แบคฮยอนรู้สึกเหมือนถูกเลย์จับจ้องมาจากที่ไหนซักแห่ง ชวนให้สะอินสะเอียน เจ็บปวดจนต้องซบหน้าที่พราวเหงื่อลงกับฝ่ามือ

     

     

    “นายเป็นอะไรรึเปล่า” จื่อเทาถามเสียงร้อนรนอย่างเป็นห่วง แต่แบคฮยอนไม่อยากจะยอมรับความห่วงใยนั้น เขาจึงฝืนลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะลากสังขารออกไปจากห้องที่เคยใช้อาศัยหลับนอนไปเมื่อไม่กี่คืนที่แล้วนี้เอง ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะกลายเป็นฐานลับเก็บของโจรไปเสียแล้ว

     

    เวรกรรม ...นี่มันเวรรกรรมอะไรของเขา

     

               

     

     

     

     

     

     

    100%

    แบคฮยอน is ซวยing

    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่า น้ำตาจะไหล TT

    จะสอบแล้ว สู้ๆกันทุกหมู่เหล้า

    เย้!

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×