ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ♡ มิ่ง ` {chanbaek}

    ลำดับตอนที่ #5 : ' มิ่ง : 04

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.29K
      24
      16 พ.ย. 57





     

                หากรักแล้ว เรื่องรอ เป็นเรื่องรอง

               

     

    แบคฮยอนมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง คนตัวเล็กขบเม้มริมฝีปาก มือสั่นด้วยหวั่นไหว ไม่รู้จะตอบรับคำพูดว่าคิดถึงนั้นอย่างไรดี

     

     

                ลมพัดเพียงวูบวาบให้ได้ชื่นใจ กลิ่นน้ำหอมแบบผู้ดีเมืองฝรั่งทำให้แบคฮยอนได้เห็นพี่ชานยอลในอีกมิติหนึ่ง เขาดูสูงส่งกว่าที่เคยเป็นมา แต่แววตาคมเข้มก็กระซิบบอกให้คนตัวเล็กคลายความกังวล

     

     

    เรายังคงสนิทกันดีอยู่

     

     

    ชานยอลส่งผ่านนัยยะทางดวงตาไปเช่นนั้น ...ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับแบคฮยอนได้ ไม่ว่าจะยี่ห้อน้ำหอมที่เขาใช้ แบรนด์เสื้อผ้าบนเรือนกาย ทรงผมทรงใหม่ หรือแม้กระทั่งสติปัญญาความรู้ที่มีอยู่ในหัว เขาเป็นเช่นทะเลที่อยู่คู่กับชายหาด มีบ้างที่ระดับน้ำทะเลจะสูงจะต่ำ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าเขาไม่ต้องการหาดทรายอีกต่อไป

     

    เขายังคงต้องการแบคฮยอน

     

     

    “คิดถึง? คิดถึงแค่ติ๊ดเดียวใช่ไหม?” คนตัวเล็กย้อนถามซื่อๆ ชานยอลหลุดหัวเราะให้กับค่ำว่าติ๊ดเดียว นอกจากนั้นเขายังขำกลีบดอกไม้ที่ติดเต็มศีรษะคนตัวเล็กอีกด้วย

     

     

    ถึงแม้ว่าแบคฮยอนของเขาจะเติบโตขึ้นมาก จากทั้งรูปร่าง ผิวพรรณที่ดูขาวสะอาดกว่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก แต่แบคฮยอนก็ยังเป็นหนุ่มน้อยชาวไร่ หน้าตาใสซื่อ พูดจาไม่มีเหลี่ยมมุม ...เป็นคนเดิมที่เขาเคยรักและรักอยู่

     

     

    ชานยอลมองสบดวงตาที่ช้อนขึ้นมองอ้อนขอคำตอบ หน่วยตารีเรียวฉายแววสับสนเล็กน้อยเหมือนลูกหมาสีขาวรอคอยความรักจากเจ้าของ

     

     

    ร่างสูงอมยิ้มขณะครุ่นคิด ...เขาจะตอบอย่างไรดีให้สมกับตำแหน่งด๊อกเตอร์ จะตอบไปว่า มากก็ดูจะไร้ชั้นเชิงพอๆกับคำว่า ติ๊ดเดียวของแบคฮยอนไม่มีผิด

     

     

    เด็กน้อยเอ๋ย เคยรักเคยหลงพี่ชานยอลคนนั้นเพียงไร

    วันนี้พี่ชานยอลคนนั้นทั้งหล่อขึ้น มีเสน่ห์ขึ้น ปากหวานขึ้น ...จะทำให้หลงหัวปักหัวปำกว่าเก่าเลยคอยดู

               

     

    ชานยอลคว้ามือเรียวมากุมไว้แล้วออกแรงกระตุกจนร่างบางเซถลาเข้ามาในอ้อมกอด ใบหน้าเนียนซบลงตรงบ่าแกร่ง ร่างสูงเกือบลืมไปแล้วว่าแบคฮยอนเคยน่ารักอ่อนหวานเช่นไร วันนี้เขากลับมาเพื่อรำลึกความอ่อนละไมของเด็กหนุ่มตัวน้อยอีกครั้ง และจะไม่มีทางยอมพรากจากตัวตนอันงดงามของแบคฮยอนอีกเป็นครั้งที่สอง

     

     

                “ให้ดอกแอปริคอตทั้งไร่...เป็นตัวแทนความคิดถึงของผม”

     

     

                คนงานตัวเล็กหน้าร้อนผ่าวกับคำพูดที่ดูจะมีวาทะศิลป์ขึ้นจากแต่ก่อนอยู่หลายขุม ก่อนจะเบนสายตาไปจดจ้องกลีบดอกบอบบางที่มีมากเสียจนนับไม่ถ้วน... หือ? พี่ชานยอลคิดถึงเขามากปานนั้นเชียว?

     

     

                “คิดถึงอีท่าไหนของคุณ หายไปเป็นสิบปี”

     

                เสียงอ้อมแอ้มที่ดังเบาๆมาจากลาดไหล่ทำให้ร่างสูงอดจะอมยิ้มขบขันออกมาไม่ได้ จำได้ว่าเมื่อครั้งยังเด็ก แบคฮยอนของเขาแสบสันกว่านี้มาก ถ้าเป็นตอนนั้นคงกระโดดกัดหูเขาไปแล้ว

     

     

                “ผมผิดไปแล้ว อนุญาตให้คุณจูบลงโทษจนกว่าคุณจะพอใจ” เขากระซิบข้างใบหูขาว แบคฮยอนเอียงหน้าหลบความใกล้ชิดที่จวนเจียนจะเข้าเขตอันตราย

     

     

                ชานยอลมองริ้วแดงบนแก้มยุ้ยๆแล้วอดจะยกนิ้วขึ้นเกลี่ยเล่นไม่ได้ ...นิ่มมือ แล้วเขาก็เผลอทำรุนแรงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายก็ต้องยอมผละก้านนิ้วยาวออกมา ก่อนที่เขาจะยั้งน้ำหนักไม่ทันเผลอไปบีบฟัดแก้มของคนตัวเล็กเข้าให้

     

     

                “เอางี้ดีกว่า มาเรียกแทนตัวเองเหมือนเดิมกัน ผมเป็นพี่ชานยอลของคุณ ส่วนคุณก็เป็นแบคฮยอนของผม”

     

     

                คนถูกตีตราให้มีเจ้าของเขินจัดจนไม่รู้จะเอาแก้มแดงเรื่อของตัวเองไปซ่อนไว้ที่ไหน ได้แต่มุดๆถูๆอยู่ตรงลาดไหล่กับแผ่นอกกำยำจนชานยอลต้องใช้มือประคองดวงหน้าหวานให้เงยขึ้นมาสบตากัน กระนั้นเจ้าตัวเล็กก็ยังเฉไฉ เอาแต่กลอกตาขึ้นฟ้า ไม่ก็หลุบตามองต่ำ

     

     

                “แบค” เขาเรียกเสียงหวาน ถึงจะทุ้มต่ำแหบพร่า แต่เชื่อเถอะว่าหวานสนิท

     

                “...”

     

                “ไหนๆสิบปีมันก็นานเกินไปแล้ว และพี่ก็ไม่อยากทำให้เรื่องของเรามันช้าไปมากกว่านี้” เมื่อพูดเกริ่นมาถึงตรงนี้ ทายาทแห่งอาณาจักรกังยูก็เก็บเอาเชิงเจ้าชู้รู้งานกลับเข้าลิ้นชักไป ก่อนจะฉายให้เห็นเพียงความจริงจังและจริงใจเท่านั้น

     

     

    “แต่งงานกันนะครับ”

     

     


     

    ยาก...ยากเหลือเกิน

    กว่าจะพูดคำนี้ออกไปได้ ชานยอลต้องอาศัยกำลังใจที่มีทั้งหมดในชีวิต ยากกว่าตอนทำวิจัยปริญญาเอก ยากกว่าตอนขับรถเกียร์กระปุกขึ้นเขาที่รัฐโคโลราโด ยากกว่าตอนทิ้งโอกาสทองในการทำงานที่อังฤษแล้วตัดสินใจกลับมาทำงานที่ไร่

     

     

    และที่ยากที่สุด ก็คือต้องทำเป็นเหมือนว่ามันง่าย ทั้งที่มันยาก

     

     

     

    แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าแบคฮยอนจะต้องตอบตกลงโดยปราศจากเงื่อนไข แต่ชานยอลก็ไม่เคยประหม่าจนซ่อนไม่มิดขนาดนี้มาก่อน เขาแพ้ทางคนตัวเล็กตรงหน้าอย่างราบคาบ เพราะคำพูดที่กำลังจะหลุดมาจากปากบางสวยในนาทีต่อไป จะเป็นเสมือนเครื่องมือตัดสินความเป็นความตายในแง่ความรู้สึกของเขา

     

     

    เขารู้อยู่หรอกว่าแบคฮยอนไม่มีทางปฏิเสธ แต่แค่พูดว่า ...ขอคิดดูก่อน, รออีกซักสอง-สามปี หรือ ผมยังไม่พร้อม ...แค่นี้เขาก็ใจสลายได้แล้ว

     

     

    “เดี๋ยว...” ร่างสูงเป็นคนกดปุ่มหยุดทุกอย่างด้วยตัวเอง เมื่อแบคฮยอนกำลังจะอ้าปากตอบ

     

     

    “พี่จะมาถามอีกทีพรุ่งนี้ แบคอย่าเพิ่งตัดสินใจก็ได้” เขาคงบ้าไปแล้ว ชานยอลกัดริมฝีปากล่างพลางยกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเองเบาๆ แทบจะหลุดหมดทุกฟอร์มความเท่ที่อุตส่าห์วางมาดไว้ แต่เขากังลจริงๆ กังวลจนเหมือนจะบ้า อายหรอ? แน่สิ..เขาเขินจนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปหมดแล้ว

     

     

    ในชีวิตนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เขาจะขอแต่งงานด้วย เขาอยากจะทำมันให้ดีที่สุด

    เขาควรทำมันได้ดีกว่านี้ มีแหวนเพชร มีหลักประกัน ...ให้ตายเถอะ เขาไม่น่าใจร้อนขนาดนี้เลย

     

     

     

     

     

     

    แต่งงานกันนะครับ

    เหมือนใครซักคนเอาถังใส่น้ำแข็งเย็นเฉียบมาราดตั้งแต่หัวจรดเท้า... แบคฮยอนแน่นิ่งทันทีเมื่อชานยอลวิงวอนจะขอดูแลเขาอย่างเป็นทางการด้วยการขอแต่งงาน

     

     

    คนตัวเล็กนึกอยากให้พี่ชานยอลผู้แสนดีพูดประโยคนี้ซักเมื่อสามปีก่อนหน้า พูดว่ารักและปรารถนาจะให้เราเคียงคู่ตลอดกันตลอดไป เพราะตั้งแต่ที่หนึ่งปีกลายเป็นสิบปี แบคฮยอนก็เลิกหวังไปแล้วว่าวันๆนี้ของเขาจะมาถึง ...และเมื่อมันมาถึง ก็ดูเหมือนว่าจะสายเกินไป

     

     

    พันธะระหว่างเขากับเลย์ไม่ได้มีแค่เรื่องเงินที่ใช้รักษาพ่อ แต่มันยังมีอีกหนึ่งความลับที่เลย์เก็บไว้ใช้ต่อรองกับเขา มันเป็นความลับที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าสมเหตุสมผลหรือเปล่าที่ยอมแลกมันกับการแต่งงานในครั้งนี้

    ตอนตกลงกับเลย์เขาก็แค่คิดว่า ได้ทำเพื่อครอบครัวและชานยอลคงไม่กลับมารักเขาอีกแล้ว

     

     

    ทว่าการคิดไปเองในอดีตก็ตรงข้ามกับความจริงที่เผชิญอยู่ตรงหน้าในขณะนี้โดยสิ้นเชิง

     

     

    พี่ชานยอลดูไม่เป็นตัวของตัวเองตอนที่ขอเขาแต่งงาน ความคาดหวังในดวงตาคู่คมถมความรู้สึกผิดให้ท่วมท้นหัวใจของเขา

     

    เขาดูถูกความรักของพี่ชานยอล ดูถูกว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลง

     

    แต่แล้วอย่างไรละ? ...สุดท้ายก็เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่พังทุกอย่างลงอย่างไม่เป็นท่า

     

     

     

     

    “ขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ คือพี่...พี่” ชานยอลกุมมือเล็กและออกแรงบีบเบาๆเพื่อปลอบขวัญ แม้มือของเขาจะชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความประหม่าก็ตามที

     

     

    ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามทำใจให้นิ่งก่อนสบตาคู่เรียวด้วยความจริงจังอีกครั้ง


     

     

    “พี่แค่อยากจะมีแบคอยู่ข้างๆเหมือนอย่างที่พี่เคยมี”

     

    “...”

     

    “ให้พี่มีแบคเถอะนะ”

     

     

     

     

    แบคฮยอนไม่รู้ว่าตัวเองทรงตัวยืนอยู่ได้อย่างไร อาจด้วยอำนาจของต้นแอปริคอต เวทมนต์จากต้นไม้ใบหญ้า? ไม่รู้ ...นอกจากความผิดพลาดของตัวเอง แบคฮยอนก็ไม่รู้อะไรนอกเหนือไปจากนี้

     

     

    สุดท้ายเขาก็ตอบคำถามด้วยการไม่ตอบ เขายังไม่พร้อมที่จะหั่นหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง เพราะเขากลัวว่าความหวังนี้จะเป็นหวังเดียวที่ร่างสูงมีอยู่ ซึ่งแบคฮยอนก็รู้ดีว่าการดับหวังของผู้อื่น บางทีมีค่าเท่ากับประหารชีวิตคนๆนั้น

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

     

     

    “ผมว่าจะเอาหมามาเลี้ยง”

     

    จงอินเป็นคนแรกที่เปิดบทสนทนาบนโต๊ะอาหารมื้อเย็น แน่นอนว่ามื้อนี้ต่างจากมื้ออื่นๆ เพราะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอีกคน

     

     

    แบคฮยอนนั่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่ฝั่งตรงข้ามทายาทอันดับสองที่เป็นคนชวนเขาร่วมโต๊ะอาหาร ชานยอลกลัวแบคฮยอนอึดอัดก็เลยลดความหรูหราของคอร์สอาหารลงไปเป็นแบบพื้นๆที่สุดเท่าที่ครอบครัวของเขาพอจะรับไหว

     

     

    “เลี้ยงตัวเองให้รอดก่อนดีมั้ย ติดเกมจนเป็นบ้าเป็นหลังอย่างแก หมาคงอดตาย” พ่อเลี้ยงปาร์คขัดความคิดของลูกชายคนเล็กทันที จงอินคว่ำปากก่อนจะใช้ช้อนคนซุปกระดูกหมูเล่นแล้วชี้มาทางแบคฮยอน

     

     

    “แบคฮยอนล่ะ ชอบเลี้ยงหมามั้ย?”

     

    คนถูกถามเผลอทำหน้าตาตื่น ตกใจที่อยู่ๆตัวเองก็กลายเป็นประเด็นในวงสนทนาขึ้นมาเสียอย่างนั้น

     

     

    “นายเด็กกว่าแบคฮยอนตั้งหลายปี เรียกแบคฮยอนเฉยๆได้ยังไง” ชานยอลทำเสียงดุใส่น้องชาย แต่ก็ไม่ได้จริงจังเท่าไหร่นัก หนุ่มผิวเข้มหรี่ตาล้อเลียน

     

    “ให้มันน้อยๆหน่อยเหอะพี่อ่ะ ผมเรียกของผมมาตั้งนาน แบคฮยอนไม่เห็นว่าอะไร”

     

    “ก็ฉันว่านี่”

     

    “งั้นเรียกพี่ก็ได้ ...พี่สะใภ้”

     

    ชานยอลยกนิ้วโป้งให้น้องชายด้วยความชอบใจ แบคฮยอนกับพ่อเลี้ยงสบตากันเพียงแวบเดียว ก่อนจะเงียบไปด้วยกันทั้งคู่

     

     

    เรื่องการแต่งงานของเขากับเลย์มีแค่เขา เลย์ กับพ่อเลี้ยงเท่านั้นที่รับรู้

     

     

    ตอนที่พ่อเลี้ยงมาทาบทามเขาให้ลูกชายคนโต แบคฮยอนก็รู้ได้ทันทีเลยว่า แม้ความสนิทสนมของเขากับชานยอลจะเป็นที่น่าเอ็นดูของทุกคนในไร่ แต่ทุกคนในนั้นไม่นับรวมพ่อเลี้ยง

     

     

    ถึงพ่อเลี้ยงจะไม่เคยเอ่ยปาก แต่การที่รู้อยู่แก่ใจว่าลูกชายตัวเองชอบพออยู่กับใคร แต่ก็ยังยินดีขอคนๆนั้นให้กับลูกชายไม่แท้อีกคน นั่นแปลว่าพ่อเลี้ยงอยากจะกำจัดเขาให้พ้นจากเส้นทางชีวิตพี่ชานยอล

     

     

    และการต้องรับเอาทุกอย่างที่เหลือมาจากชานยอล ก็คงเป็นปมที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของจางอี้ชิง

     

     

     

     

    “ว่าไงแบคฮยอน ชอบเลี้ยงหมารึเปล่า”

     

    “ก..ก็คงชอบมั้ง” แบคฮยอนยอมตอบเมื่อโดนเซ้าซี้ด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง

     

    “งั้นดีเลย จะได้มาช่วยฉันเลี้ยง ตอนที่นายย้ายมาอยู่ที่เรือนเราแล้ว”

     

    ชานยอลเตะหน้าแข้งน้องชายตัวเองใต้โต๊ะ ก่อนจะลอบส่งสายตาอาฆาตไปให้...ชักจะรุกพี่สะใภ้เยอะไปแล้ว เดี๋ยวแบคฮยอนก็ตกใจไก่ตื่นกันพอดี

     

     

     

     

    “ชานยอล แล้วสรุปเรื่องที่ไร่จะเอายังไง” พ่อเลี้ยงเปิดหัวข้อสนทนาหัวข้อใหม่ คนถูกเรียกนิ่งไปด้วยมาดสุขุมต่างจากตอนที่ล้อเล่นกับน้องชาย

     

    “ผมขอพูดอีกครั้งนะครับ ว่าผมขอเป็นแค่ที่ปรึกษา”

     

    “...”

     

    “อี้ชิงควรได้รับรางวัลจากการทำงานหนัก ถ้าหากว่าพ่อจะยกตำแหน่งพ่อเลี้ยงให้ใครซักคน คนๆนั้นควรจะเป็นอี้ชิง”

     

    “แต่..”

     

    “ผมยอมรับว่าเราเคยแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายเกือบจะทุกเรื่อง ผมตัดสินใจเรียนให้สูงกว่าก็เพราะพ่อเป็นคนพูดว่าเราจะเสมอกันทุกอย่างไม่ได้ แต่พ่อผิดเองที่ส่งผมไปเรียนอังกฤษ ผมโดนอาจารย์ล้างสมอง อาจารย์บอกว่าเราเป็นด๊อกเตอร์เพื่อผู้อื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง”

     

     

    ความซิวิไลซ์ของประเทศที่เจริญถึงขีดสุดลดทอนความเห็นแก่ตัวในจิตใจของเขา ยิ่งเรียนสูง วิชาว่าด้วยศีลธรรมยิ่งเข้มข้น สุดท้ายมันก็ไปแตะเพดานและเปลี่ยนจาก เพื่อตัวเองเป็นเพื่อ ส่วนรวม

     

     

    จงอินลุกขึ้นปรบมือด้วยความขี้เล่น “โหยพี่แม่งโคตรเจ๋งเลยว่ะ”

     

     

    ผิดกับพ่อเลี้ยงปาร์คที่ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เขารู้นิสัยของลูกชายตัวเองดี การจะอ้อร้อในตอนนี้ไม่ช่วยให้ชานยอลเปลี่ยนใจ และเขามีแผนของเขาอยู่แล้ว ฉะนั้นตอนนี้ก็แค่ปล่อยทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ

     

     

    “ฉันน่าจะส่งแกไปเรียนอเมริกา” พ่อเลี้ยงแสร้งยักไหล่ไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นไปในเชิงที่ตึงเครียด

     

    ชานยอลหัวเราะเบาๆ ก่อนต่อมุก “ถ้าอย่างนั้นผมคงเก่งมากในเรื่องหลบเลี่ยงภาษี คงได้นั่งหาช่องโหว่ในกฏหมายทั้งวัน”

     

     

    จงอินหัวเราะร่วน คงมีแต่แบคฮยอนเท่านั้นที่ตามไม่ทัน ดวงตาใสแป๋วลอบมองชานยอลอยู่บ่อยครั้ง ถึงจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ตาม แต่คำพูดที่ดูฉลาดและหัวนอกนิดๆของร่างสูงก็ทำให้เจ้าตัวเล็กแอบชื่นชมอยู่ในใจ

     

     

    ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าเขากับด๊อกเตอร์ชานยอลไม่มีวันเข้ากันได้

     

     

    คนไม่เคยเรียนหนังสือเลย จะเป็นคู่ชีวิตให้กับคนจบปริญญาเอกได้อย่างไร ในเมื่อคู่ชีวิตไม่ได้หมายความว่าคู่นอน แต่หมายรวมถึง คู่คิด คู่ตัดสินใจ และต้องเป็นที่ปรึกษาซึ่งกันและกัน

    แบคฮยอนบวกเลขสามหลักยังไม่ถูกเลยด้วยซ้ำ

     

     

    รักกันอย่างเดียวมันจะพอแน่หรือ?

     

     

     

     

     

     

    “อันนี้อร่อย”

     

    คนตัวเล็กสะดุ้งจากภวังค์เมื่อชานยอลตักฉับเชหรือผัดวุ้นเส้นลงบนจานข้าวของเขา ชานยอลคงจำได้ว่าเขาชอบอาหารจานนี้มาก รองจากมันสีม่วงเลยทีเดียว

     

     

    แบคฮยอนตักแกงกิมจิร้อนๆลงบนจานของชานยอลบ้าง บอกให้รู้ว่าเขาก็ไม่เคยลืมว่าอีกฝ่ายชอบทานอะไร และสัญญาว่าจะจำมันไปจนวันสุดท้ายของการมีชีวิต

     

    “ขอบคุณครับ” ร่างสูงยิ้มบางส่งไปให้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ทั้งรักทั้งหลงแบคฮยอนมากมายขนาดนี้ คนตัวเล็กเป็นเหมือนมิ่งขวัญของเขา การเป็นพ่อเลี้ยงไม่สำคัญเท่าการเป็นเจ้าของหัวใจดวงน้อย เหมือนที่อำนาจไม่จำเป็นสำหรับเขาเท่าความรัก

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อ้าวพี่เลย์ ไหนบอกจะกลับดึกๆไง”

     

    จงอินเป็นคนแรกที่เห็นผู้มาใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามาในเรือน เขาเอ่ยทักก่อนที่คนอื่นๆจะหันไปมองตาม

     

    หนุ่มจีนโค้งศีรษะทำความเคารพด้วยความสุภาพ ร่องรอยการทำงานหนักของเขาฉายชัดในท่าทางอ่อนล้าและสีหน้าที่ซีดเซียว

     

     

    พ่อเลี้ยงชวนบุตรบุญธรรมร่วมโต๊ะอาหารทันที แบคฮยอนใจหายแวบเมื่อชายหนุ่มเลือกนั่งบนเก้าอี้ตัวติดกับเขาถัดไปทางขวามือ

     

     

    “แกช่วยกล่อมน้องหน่อยสิ เมื่อกี้ฉันก็เพิ่งคุย แต่มันตั้งท่าจะเป็นแต่ที่ปรึกษาอย่างเดียวเลย”

     

    พอได้รับบัญชาจากเจ้าของไร่ เลย์ก็ยิ้มอ่อนโยนก่อนจะหันไปพูดกับชานยอล

     

    “คุณเป็นความหวังของพวกเรานะครับคุณชานยอล ไม่มีใครทำหน้าที่บริหารได้ดีเท่าคุณอีกแล้ว แต่ถ้าคุณเกรงว่าจะไม่คุ้นชินกับไร่เพราะไม่ได้กลับมานาน ผมจะช่วยเป็นที่ปรึกษาให้คุณครับ” เลย์พูดอย่างเจียมตัว ทว่าชานยอลกลับกระตุกยิ้มมุมปาก

     

    ใครจะรู้จักจางอี้ชิงดีเท่าเขาเล่า

     

     

    “นายรีบๆรับตำแหน่งไปเถอะ ทำเป็นพูดดีมากๆ ระวังฉันจะเปลี่ยนใจ”

     

    “ผมไม่เคยหวังตำแหน่งอะ...”

     

    “เลิกคุยเรื่องนี้กันเถอะ” ชานยอลตัดบท นึกรำคาญสีหน้าท่าทางของคู่แข่งตัวฉกาจที่ฟาดฟันกันมาตั้งแต่เด็กๆเต็มที

               

     

    “คุยเรื่องหมาเถอะ ผมอยากคุยเรื่องหมา” จงอินพูดทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวเต็มกระพุ้งแก้ม “หมาพันธุ์พุดเดิ้ลเป็นไง แล้วต้องเป็นสีน้ำตาลด้วยนะเพราะว่าผมชอบ”

     

     

                ไม่มีใครนึกอยากพูดคุยกับลูกชายคนเล็กเรื่องสุนัข สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างรับประทานอาหารเงียบๆ เพื่อหวังให้บรรยากาศอึมครึมนี้สิ้นสุดไปเสียที

     

     

     

     

                ระหว่างนั้นแบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาขาดน้ำ เขาอึดอัดจนเหมือนจะตาย ทั้งยังระทึกขวัญได้แต่ลุ้นว่าเลย์จะพูดเรื่องการแต่งงานออกมาเมื่อไหร่

     

     

                “แบคฮยอน...”

     

     

                เสียงเรียกนั้นเปรียบเสมือนพัสดีที่พานักโทษเช่นเขาไปยืนยังลานประหาร

     

     

                “คุณใส่ชุดได้ใช่ไหม?”

     

     

                เขารู้สึกเหมือนน้ำตาได้ไหลลงมาช้าๆ ทั้งที่ความจริงเมื่อมองดูจากภายนอกแล้วเขาก็ยังคงปกติดี

     

     

                “เตรียมตัวพร้อมรึยัง” เลย์ยังคงถามไม่หยุด แม้จะยังไม่ได้รับคำตอบจากคนที่ถามเลยซักคำตอบเดียว

     

     

                “เดี๋ยวๆ พี่พูดเรื่องไรเนี่ย พี่กับแบคฮยอนไปมีเรื่องชุดเชิ๊ดอะไรกันตอนไหน” จงอินเบรกบทสนทนาด้วยสีหน้างุนงง เกิดมาเขาเห็นเลย์พูดกับคนงานแทบนับคำได้ แล้วนี่อะไร นี่มันไม่ธรรมดาแน่ๆ

     

     

    ระหว่างนั้นแบคฮยอนลอบมองคนที่นังอยู่ฝั่งตรงข้าม ...ชานยอลมีท่าทีนิ่งเฉย แต่คนตัวเล็กก็รู้โดยความคุ้นชินซึ่งกันและกันว่าชานยอลกำลังเงียบเพื่อฟังและเก็บข้อมูล

     

     

    ความหวานซึ้งของเรา คงเป็นอันต้องสะบั้นกันตรงนี้

               

     

    “แบคฮยอนไม่ได้บอกคุณหรอครับ ว่าเรากำลังจะแต่งงานกัน”

     

                “ห๊ะ!!!” น้องเล็กของบ้านเบิกตากว้างจนแทบถลน ช้อนหล่นจากมือกระทบจานดังเคร้ง

     

                “พี่กับแบคฮยอน?? พี่เลย์ พี่เลย์อ่ะนะ” จงอินขมวดคิ้วเป็นปมใหญ่ ต่างจากพ่อเลี้ยงแห่งไร่กังยูที่ทำเพียงนั่งมองสถานการณ์อยู่เฉยๆ เขาไม่อยากเป็นตัวร้ายในสายตาปาร์คชานยอล ฉะนั้นถึงจะอยากเสริมเรื่องการแต่งงานใจจะขาด แต่เขาก็ทำได้แค่นั่งนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้มาก่อน โยนให้เหมือนกับแบคฮยอนกับเลย์เป็นคนตกลงปลงใจกันด้วยตัวเอง

     

     

                “ใช่ครับ ผมกับแบคฮยอน”

     

                “นี่ล้อเล่นใช่มั้ยเนี่ย ผมไม่เชื่อ” หนุ่มผิวเข้มกุมขมับทำหน้าเหย ที่เขารับรู้มาตั้งแต่เด็กคือพี่ชายคนกลางของเขารักอยู่กับแบคฮยอน มันเป็นเช่นนั้นมาก่อนที่เขาจะลืมตาดูโลกเสียอีก ฉะนั้นที่เห็นและได้ยินอยู่นี้มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ

     

                “ถ้าไม่เชื่อ คุณจงอินก็ถามแบคฮยอนเอาเองนะครับ” เลย์พูดนุ่มๆเช่นเคย เขาหันไปมองคนตัวเล็กที่เอาแต่ก้มหน้ามองตัก “แบคฮยอนคุณไม่ต้องเขินหรอกครับ รีบบอกคุณจงอินไปเถอะ คุณอยากให้คนรักของคุณกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะหรอ” เขาหยอดเสียงหวาน นั่นยิ่งทำให้จงอินรู้สึกเหมือนจะเป็นลมมากขึ้นกว่าเดิม

     

     

                “จริงรึเปล่าแบคฮยอน!? นายจะแต่งงานกับพี่เลย์จริงๆหรอ!

     

                “...”

     

                “ฉันถามว่าจริงรึเปล่า!” จงอินเผลอตบโต๊ะดังปัง ลืมซึ่งกาลเทศะไปโดยสิ้นเชิง

     

     

                แบคฮยอนจำต้องเงยหน้าขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

     

                ถ้าความรู้สึกเขาเป็นเหมือนดอกไม้ที่ถูกเหยียบย่ำ

                ความรู้สึกของชานยอลก็คงไม่ต่างจากผาแกร่งที่ถล่มครืนลงมาในพริบตาเดียว

     

     

                “จริงครับ...ผมกับคุณเลย์กำลังจะแต่งงานกัน”

     

                “เมื่อไหร่!” ...เป็นประสาทไปแล้ว จงอินเป็นประสาทไปแล้วจริงๆ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเลย์จะรักกับแบคฮยอน แล้วมันยังไง!? ทำไม!? เมื่อไหร่!?

     

     

                แบคฮยอนตอบได้แค่นั้นก็จำต้องก้มหน้าลงเหมือนเดิม เขาไม่กล้าพอจะมองหน้าใครซักคน ขนาดจงอินยังแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ แล้วคนที่รักและคิดถึงเขามาตลอดสิบปีล่ะ?

     

     

    เลย์จับมือข้างขวาของเขาไปกุม ยิ้มอ่อนโยนแล้วตอบน้องชายคนเล็กไปว่า “พรุ่งนี้”

     

    “พรุ่งนี้!!

     

    “ใช่ครับ... พรุ่งนี้”

     

     

     

     

     

    ลูกตาดำของชานยอลเสมือนเกิดรอยปริแตก ลั่นเเปลบปลาบ

    คล้ายมีสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะ กระนั้นร่างกายก็ยังทรงตัวอยู่ได้ภายใต้จิตใจที่แหลกเละเป็นผุยผง

     

     

    เขามองตามคนสองคนที่จับมือถือแขนกันอย่างหวานชื่นด้วยความเจ็บปวดอันยากเกินกว่าจะอธิบายได้ ตอนนั้นเองที่เกิดพายุลูกใหญ่ขึ้นในดวงใจ และพายุลูกนี้ก็พร้อมเหลือแสนที่จะบ่อนทำลายทุกอย่างให้วินาศสันตะโร ให้สาสมกับที่รักแท้และความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ของเขาได้ถูกทำลาย
     

     

    คราวแรก เขาคิดจะสละไร่แล้วเหลือไว้เพียงคนที่เขารักที่สุด

    แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว เขาจะเอาทั้งไร่ เอาทั้งแบคฮยอน และจะไม่เอามาในฐานะคู่ครองซึ่งต้องถนอมน้ำใจและให้เกียรติ

     

     

    ทุกอย่างจะเเสบสันกว่านั้นอย่างแน่นอน เขาขอให้สัตย์ปฏิญาณ       

     

     

     

     

    . . . . . . . . . . . . . . . . .

     

     

     

     

    *มีคำผิดหรืออะไรยังไงเม้นติงไว้ได้เลยทุกอย่างสิ่ง

    ขอบคุณสำหรับการอ่านมาจนถึงบรรทัดสุดท้ายนี้

    รักนะ (เหยดดด หยอดคนอ่านเฉย)
    #พายุพี่ชาน


     

     

     


     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×