ด้วยลิขิตเสน่หา
ผู้เข้าชมรวม
245
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปฐมบท
คืนนี้ฝนตกหนักฟ้าแลบแปลบปลาบสว่างจ้ากึกก้องดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด แรงลมพายุพัดเอาฉากของเวทีงิ้วปลิวหายไปกับแรงของมันทั้งนักแสดงและคนงานในโรงงิ้วต่างก็พากันวิ่งเก็บโต๊ะเก้าอี้ให้วุ่นวาย กว่าทุกอย่างจะเข้าที่เรียบร้อยก็ทำเอาเนื้อตัวเปียกปอนจนหนาวสั่น
“ เจ๊ซินอั๊วว่าเราปิดโรงงิ้วกันเลยดีไหม ฝนตกหนักขนาดนี้คงไม่มีใครเขาออกมาดูงิ้วกันหรอก ” อาสงเด็กในโรงิ้วออกความเห็น
“ นั้นสิอาซินเฮียก็เห็นด้วยกับอาสงมันนะ ” คังซีพระเอกงิ้วหน้าหยกประจำคณะพูดขึ้นบ้าง
ซินซินกวาดตามองออกไปยังสายฝนที่กระหน่ำจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้วถอนหายใจ “ คืนนี้เป็นการแสดงคืนแรกของเราแท้ ๆ ฝนดันตกลงมาได้ ”
“ ไม่เห็นต้องถอนหายใจเลยเจ๊ถึงจะไม่ได้แสดงแต่เราก็ได้เงินค่าจ้างจากเถ้าแก่เล้งมาแล้วนี่ คืนนี้เล่นไม่ได้คืนพรุ่งนี้ค่อยเริ่มกันใหม่ก็ได้เถ้าแก่คงเข้าใจก็ฝนมันตกหนักจริง ๆ ” อาสงพูดไปก็ช่วยเก็บข้าวของประกอบฉากบนเวทีไปด้วย
“ เอาหน่าซินคืนพรุ่งนี้เราค่อยเริ่มกันใหม่ ตอนนี้เฮียว่าลื้อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะนะ ” คังซีมองนางเอกคู่ขวัญของเขาอย่างเอ็นดู เพราะตอนนี้ชุดงิ้วที่เธอสวมใส่เปียกน้ำฝนจนเจ้าตัวปากคางสั่นด้วยความหนาวเย็น
“ ถ้าอย่างนั้นอั๊วเข้าไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ ฝากเฮียกับอาสงดูความเรียบร้อยทางนี้ด้วย ” พูดจบซินซินก็เดินเข้าไปด้านหลังของเวทีแสดง
ฟ้าฝนยังคงตกหนักลงมาอย่างไม่ขาดสาย เสียงลมพายุพัดประตูหน้าต่างของเรือนพักดังปึงปังน่ากลัว แต่ในเสียงฝนที่ครืนครั่นยังมีเสียงโหวกเหวกของคนจำนวนหนึ่งดังแทรกอยู่เป็นระยะ ๆ
“ เจ๊ได้ยินเสียงข้างนอกไหม เสียงเหมือนคนมีเรื่องกัน ” อาสงวิ่งออกไปเอาหูแนบประตูเรือนพัก
“ ไม่ใช่มั้งอาสง เสียงลมพายุมากกว่า ” ซินซินสีหน้าหวาดกลัว
“ ไม่ใช่เสียงลม เจ๊ลองฟังดี ๆ ซิเสียงคนตีกันจริง ๆ” อาสงวิ่งกางร่มจากเรือนพักออกไปยังหน้าประตูศาลเจ้าที่ไม่ไกลกันมาก
“ อาสงลื้อจะไปไหน!? ” ซินซินตะโกนตาม
“ เจ๊เกิดอะไรขึ้น อั๊วได้ยินเสียงเจ้ตะโกน ” อาไทวิ่งหน้าตาตื่นออกมาพร้อมกับเหง็กน้องสาว
“ อาสงน่ะซิวิ่งออกไปดูคนมีเรื่องกันที่นอกศาลเจ้า” ซินซินบอกทำท่าจะรีบออกไปดูบ้าง
“ จริงเรอะเจ๊!? ” อาไททำหน้าตื่นเต้น
“ อาไทลื้อรีบไปบอกเฮียคังซีให้รู้ทีนะ เจ๊จะออกไปดูอาสงข้างนอก” พูดจบซินซินก็เดินเลาะไปตามกำแพงที่มีหลังคายื่นออกมาพอจะกันฝนได้
ที่ถนนด้านหน้าศาลเจ้ามีชายกลุ่มหนึ่งวิ่งโวยวายเสียงดังลั่น แต่ละคนท่าทางเหี้ยมเกรียมทั้งยังถืออาวุธครบมือเหมือนกำลังตามเอาชีวิตของใครอยู่
อาสงแง้มประตูศาลเจ้าออกแค่พอมีช่องให้พอมองเห็นแล้วมองรอดช่องว่างออกไป ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างด้วยความกลัว
“ อาสง! ลื้อดูอะไร? ”
อาสงหันควับมาหาซินซินพลางเอามือขึ้นบอกให้เธอเงียบ
ซินซินค่อยๆ ย่องเข้ามานั่งข้างอาสงแล้วชะเง้อมองออกไปที่ด้านหน้าถนน “ ตายแล้ว! ” เธอเผลอตัวร้องออกมา
“ เจ๊! ” อาสงรีบเอาขึ้นมามือปิดปาก ซินซินทันที
“ ผู้ชายคนนั้น ” ซินซินเสียงและเนื้อตัวสั่นไปหมด
“ รอให้ไอ้พวกห้าคนนั้นมันไปก่อน เจ๊อย่างเพิ่งออกไปนะ ” สองคนจับจ้องร่างที่นั่งหมดสติอยู่ตรงซอกข้างกำแพงตลาด โชคดีที่ชายฉกรรจ์ห้าคนนั้นมองไม่เห็นเขา
“ เราต้องช่วยเขานะอาสงทิ้งเอาแบบนี้ผู้ชายคนนั้นต้องตายแน่ ๆ ”
“ ช่วย? ช่วยใครกันซิน ” คังซีถามขึ้น
ซินซินชี้ไปทางที่ชายหนุ่มสลบอยู่ “ ผู้ชายคนนั้นไงเฮีย ”
“ จะไปยุ่งเรื่องของพวกอันธพาลแบบนั้นทำไม ปล่อยมันไปเถอะซิน ”
“ จะปล่อยให้เขาตายได้ยังไงล่ะเฮียทีหมาแมวเจ็บมาเรายังช่วยพวกมันเลย นี่คนทั้งคนนะจะไม่ช่วยได้ยังไง” เธอพูดอย่างไม่พอใจ
“ มันเป็นใครก็ไม่รู้ อาก๋งก็ไม่อยู่ด้วยขืนพามันเข้ามาแล้วไอ้พวกที่ตามมันอยู่แห่เข้ามาด้วยเราจะทำยังไงกัน”
“ มันไปหมดแล้วเจ๊! ” อาสงร้องขึ้น
ซินซินไม่ฟังเสียงคังซีเธอรีบลุกขึ้นเปิดประตูศาลเจ้าวิ่งฝ่าสายฝนออกไปกับอาสง สองคนช่วยกันหิ้วปีกชายแปลกหน้าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสเข้ามาในศาลเจ้า
“ อาสงลื้อไปเอาลังเก็บสมุนไพรของอาก๋งมาให้เจ้ อาไทลื้อช่วยไปหยิบผ้าขาวสะอาด ๆ กับอ่างน้ำมาทีนะ” ซินซินสั่ง
“ แล้วอั๊วล่ะเจ๊ ” เหง็กถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
ซินซินยิ้ม “ ลื้อมาช่วยเจ๊ทางนี้ ”
สองคนช่วยกันถอดเสื้อผ้าของชายแปลกหน้าออกอย่างทุลักทุเลเพราะเขาตัวใหญ่และหนักเกินกว่าที่หญิงสาวร่างเล็กบางสองคนจะจัดการได้
“ พวกลื้อหลบไปอั๊วจัดการเอง ” สุดท้ายคังซีที่ตัวสูงใหญ่พอ ๆ กันก็ต้องเข้ามาช่วย
ซินซินมองคังซีแล้วยิ้มให้เขาอารมณ์หงุดหงิดของชายหนุ่มจึงเบาบางลง
อาสงและอาไทเอาสิ่งของต่าง ๆ ที่ ซินซินต้องการมาครบหมดแล้ว หญิงสาวจึงเริ่มทำความสะอาดตามเนื้อตัวของชายแปลกหน้าก่อนจะใส่ยาสมุนไพรที่แผลของเขา
“ แผลที่หลังกับแขนซ้ายลึกน่ากลัวจังเลยเจ๊ ” เด็กสามคนพากันทำหน้าสยดสยอง
“ ที่แก้มขวานี่ด้วยทำไมคนพวกนั้นถึงได้ใจร้ายนักนะ ” ซินซินทายาอย่างเบามือที่แก้มขวาของชายหนุ่มแปลกหน้า บาดแผลนั้นยาวและลึกลงมาถึงเหนือ ริมฝีปากเลือดยังคงไหลซึมไม่หยุด
“ อีจะรอดไหมเจ๊ ” อาไทถามขึ้น
ซินซินถอนใจ “ คงต้องรอดูคืนนี้ถ้าอีผ่านคืนนี้ไปได้ก็คงจะรอดนะ ”
“ ไปทำอะไรมาหนอถึงได้ถูกเล่นงานจนปางตายอย่างนี้ ” อาไทรำพึงรำพัน
ซินซินมองดูชายแปลกหน้าที่เธอช่วยเอาไว้อย่างเวทนา “ ไม่มีอะไรแล้วพวกลื้อไปนอนกันเถอะนะ ”
“ แล้วลื้อล่ะอาซิน?” คังซีถามขึ้น
“ อั๊วจะอยู่เฝ้าอีที่นี่แหละเผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยทัน ”
“ ทำไมต้องเป็นลื้อเฝ้าด้วยให้อาไทหรือไม่ก็อาสงเฝ้าไปสิ ” คังซีพูดอย่างหงุดหงิด
“ ไม่ได้หรอกเฮียสองคนนั้นทำอะไรไม่เป็นอั๊วเฝ้าอีเองดีกว่า เฮียไปนอนเถอะนะพรุ่งนี้เช้าต้องไปรับอาก๋งนี่ ”
คังซีทำหน้าบึ้งตึง “ ให้ใครคนใดคนหนึ่งอยู่เป็นเพื่อนลื้อด้วย ” เขาจ้องเด็กชายหญิงที่นั่งหน้าสลอนอยู่
“ เดี๋ยวอั๊วอยู่เป็นเพื่อนเจ๊ซินเอง ” เหง็กเสนอตัว
“ ถ้ามีอะไรก็ไปเรียกอั๊วได้ตลอดเวลาเข้าใจไหม ” คังซีย้ำชัด
“ เข้าใจแล้วเฮียรีบไปนอนเถอะนะ ” ซินซินพูดขึ้นอย่างอ่อนใจ
ชายทัั้งสามคนจึงพากันเดินไปยังเรือนนอนด้านหลังศาลเจ้าปล่อยให้หญิงสาวอยู่พยาบาลชายแปลกหน้าที่ยังสลบไสลไม่ได้สติ
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งคืนฝนข้างนอกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกแต่ยังดีที่พากันซาเม็ดลงบ้าง อากาศยามนี้จึงหนาวสะท้านจนจับขั้วหัวใจ
ซินซินขนผ้าในห้องเก็บของที่ซักสะอาดแล้วมาคลุมตัวให้ชายแปลกหน้าเพราะเขาตัวสั่นสะท้านด้วยหนาว
“ อาเหง็กลื้อ…” ซินซินหันมามองเหง็กที่ตอนนี้หลับสนิทไปแล้ว เธอโคลงศีรษะน้อย ๆ ก่อนจะลุกขึ้นเอาผ้าไปห่มให้
“ เข้ามา! พวงมึงเข้ามาเลยกูไม่กลัว…” ชายแปลกหน้าละเมอโวยวาย ท่าทางของเขายิ่งกระสับกระส่ายหนักขึ้น
“ นี่ นี่นาย…” ซินซินพยายามเขย่าปลุกเขาให้รู้สึกตัว
“ ม่าม๊า อย่าทิ้งอั๊วไป…” เสียงเขาครวญคราง
“ ตัวร้อนเหลือเกิน ” เธอเอามือวางที่แก้มและลำคอของเขา ก่อนจะรีบร้อนลุกขึ้นไปเอาผ้าสะอาดมาเช็ดตามแขนพับและซอกคอเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย
“ ใคร! ” มือใหญ่กำข้อมือเล็กเอาไว้แน่นจนซินซินรู้สึกเจ็บ
“ นี่อั๊วกำลังช่วยลื้ออยู่นะ ปล่อยมือก่อน ” เธอพยายามจะดึงข้อมือออกแต่มือใหญ่ก็ยังกำแน่นราวกับคีมเหล็ก
“ มึงเป็นใคร!? ” ดวงตาที่บอบช้ำด้วยถูกทำร้ายค่อยๆ เปิดขึ้น ภาพตรงหน้าเลือนลางจนไม่รู้ว่าคือความฝันหรือความจริงกันแน่
“ นี่ปล่อยอั๊วเถอะ อั๊วกำลังช่วยลื้ออยู่นะ ” เธอพยายามพูดอย่างอ่อนโยน
มือใหญ่ค่อย ๆ คลายออกก่อนจะเจ้าของมือจะหมดสติไปอีกครั้ง
“ ทำไมถึงแรงเยอะขนาดนี้นะ ” ซินซิน ยกข้อมือขึ้นมาดูรอยแดงช้ำที่เขาทำเอาไว้
เธออยู่เช็ดตัวให้เขาจนไข้ลดลงจึงผล็อยหลับไปข้าง ๆ เขา มารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อคังซีเดินออกมาเรียก
“ นี่ลื้อนอนข้าง ๆ มันทั้งคืนเลยเรอะ? ” คังซีถามอย่างไม่พอใจ
ซินซินงัวเงียขยับตัวบิดขี้เกียจ “ ก็อีไข้ขึ้นสูง แถมยังละเมออีกอั๊วก็เลยต้องเช็ดตัวให้ทั้งคืนเลย ”
คังซีมองร่างที่ไร้สติตาขวางก่อนจะหันกลับมามองซินซิน หญิงสาวที่เขาแอบรัก “ ลื้อไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ ป้าจูอีเตรียมอาหารเช้าเสร็จแล้ว ”
“ จ้ะ ฝากเฮียดูผู้ชายคนนี้เอาไว้ด้วยนะ ”
“ ทำไม? ลื้อกลัวอีจะหนีไปหรือไง ”
“ ไม่ใช่เสียหน่อย เผื่อเขารู้สึกตัวขึ้นมาจะได้ถามไถ่ว่าเป็นใครมาจากไหนไงเฮีย เราจะได้พาเขาไปส่งที่บ้านถูกไง” ซินซินพูดนำเสียงอ่อนหวาน
คังซีสีหน้าคลายโกรธลง “ อือ เดี๋ยวอั๊วเฝ้าให้เองลื้อรีบไปอาบน้ำอาบท่าซะ ”
“ จ้ะเฮีย ” สิ้นเสียงซินซินก็เดินเร็ว ๆ เข้าไปยังเรือนพัก
“ ตื่น! ตื่นได้แล้วเหง็ก” คังซีเขย่า เหง็กแรง ๆ
“ โอ้ย! จะปลุกทำไมยังเช้าอยู่เลย” เหง็กโวยวาย
“ เช้าอะไรกันนี่สายแล้วนะ ”
เหง็กงัวเงียลืมตาดูรอบตัว “ พระอาทิตย์ยังขึ้นไม่เต็มฟ้าเลยเฮียจะรีบปลุกอั๊วทำไม ”
“ หรือลื้อจะให้อี๊จูมาปลุกลื้อแทน ”
เหง็กทำหน้าขยาดเมื่อนึกถึงหญิงวัยกลางคนหน้าตาบึ้งตึงรูปร่างใหญ่โตราวชายอกสามศอกแล้วทำท่าขนพองสยองเกล้า
“ ไม่เอาๆ อั๊วตื่นก็ได้ แล้วเจ๊ซินล่ะ”
“ อีไปอาบน้ำแล้ว ”
“ ไปก็ไม่เรียกกันเลยเจ๊ซินเนี่ย ” เหง็กลุกขึ้นเดินอ้าปากหาวไปตลอดทาง
คังซีนั่งลงที่เก้าอี้ข้างชายคนเจ็บ “ อั๊วไม่ชอบขี้หน้าลื้อเลยจริง ๆ ” เขาส่ายหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูศาลเจ้า
ทุกคนที่อาศัยอยู่ในศาลเจ้าพ่อกวนอูพากันทำความสะอาดศาลรับวันใหม่ บางส่วนก็แยกย้ายไปทำความสะอาด โรงงิ้วที่อยู่ในบริเวณรั้วเดียวกัน จนสาย คังซีจึงขี่รถจักรยานยนต์ของเขาออกไปหัวลำโพงเพื่อรับอาก๋งที่กลับมาจากไปเยี่ยมญาติที่นครสวรรค์
ซินซินทำโจ๊กมาให้กับคนเจ็บที่ไม่รู้ว่าจะรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ เธอวางถ้วยโจ๊กเอาไว้ที่โต๊ะไม้ข้างเขาก่อนจะเดินไปจุดธูปไหว้เจ้าพ่อกวนอูขอพรตามปรกติอย่างที่เคยทำ
“ โอ้ย….” เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น
ซินซินรีบปักธูปที่กระถางทันที เธอเดินกลับมาที่คนเจ็บนอนอยู่ “ นี่ลื้อรู้สึกตัวแล้วเหรอ ”
“ อั๊ว… อยู่ที่ไหน ” เขาถามเสียงแหบแห้ง
“ ลื้ออยู่ที่ศาลเจ้าพ่อกวนอูหลังตลาดเก่า ” ซินซินตอบ
ดวงตาช้ำ ๆ เปิดขึ้นช้า ๆ ภาพตรงหน้าจึงชัดเจนขึ้นกว่าเมื่อคืนนี้ รอยยิ้มสดใสและดวงหน้าหวานละมุนละไมทำให้หัวใจของชายหนุ่มเต้นแรงขึ้น
“ ลื้อเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่ไหม ” ซินซินถามด้วยความห่วงใย
“ เจ็บทั้งตัว ” เขากัดฟันตอบ
“ ก็แน่ละซิ ลื้อถูกฟันทั้งตัวเลยนี่หน่า ” เธอมองเขาอย่างเวทนาสงสาร
“ อั๊วจำไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ”
“ เมื่อคืนนี้ลื้อวิ่งหนีพวกอันธพาลห้าคนมาหลบอยู่ที่ข้างกำแพงตลาดแล้วลื้อก็หมดสติไป ”
คิ้วหนาได้รูปขมวดมุ่น “ จำไม่ได้ ”
สีหน้าของซินซินยิ่งเป็นกังวลหนักขึ้น “ ลื้อจำอะไรไม่ได้เลยจริง ๆ เหรอ ”
“ จริง ๆ จำอะไรไม่ได้เลย ” เขาตอบพลางยกมือขึ้นทั้งทียังสั่น
“ อย่าเพิ่งขยับ ลื้อยังบาดเจ็บอยู่ ” ซินซินเข้าไปจับมือเขาลง
“ ขอบใจนะที่ช่วยอั๊วเอาไว้ ” เขามองหน้าเธออย่างซาบซึ้ง
“ ไม่เป็นไร ว่าแต่ลื้อจำได้ไหมว่าตัวเองชื่ออะไรแล้วอยู่ที่ไหน อั๊วจะได้ให้คนไปบอกที่บ้านลื้อให้มารับลื้อกลับไป ”
เขาหลับตาลงอย่างอ่อนล้า “ จำไม่ได้ ”
ซินซินถอนหายใจอย่างเป็นกังวลใจ “ แล้วจะทำยังไงกันต่อล่ะทีนี่ ”
*** ถึงนักอ่านทุกท่านคะ เรื่องนี้ไรต์ตั้งใจจะเขียนต่อแล้วลงให้อ่านกันนะคะ เนื้อเรื่องเกิดขึ้นหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่สองสามปี สถานที่ในเรื่องคือเยาวราชและบริเวณใกล้เคียงนะคะ ไรต์หวังว่าทุกคนจะชอบและสนุกไปกับทุก ๆ เหตุการณ์และทุกตัวละครในเรื่อง
ฝากติดตามกันด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
ผลงานอื่นๆ ของ รัตนสรวง/พู่กันมังกร/พนสุรางค์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ รัตนสรวง/พู่กันมังกร/พนสุรางค์
ความคิดเห็น