ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic KHR] Blind Justice -Ristaccia-

    ลำดับตอนที่ #3 : ภารกิจรับขวัญ

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 54


    ร่างบางทำเสียงฮึดฮัดไปมาเพียงลำพังขณะเดินเตะหินเรื่อยเปื่อย ณ ที่โล่งร้างว่างแถบชายเมืองฟีเรนเซ อยากจะถามเจ้าชายเก๊นั่นเสียจริงๆว่าไอ้คนที่มันเผาปราสาทวาเรียได้มันจะมาเตร็ดเตร่อยู่ในอิตาลีทำไมให้โง่ แต่เนื่องจากเป็นคำสั่งทับมาอีกทีจากบอสใหญ่จึงจำต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้

    "ฮึ่ม!! อ๊ากกกก!!"

    คิดแล้วก็คงจะใส่อารมณ์ไปหน่อย จึงเผลอเตะหินก้อนใหญ่เสียเต็มแรง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นการกระทำไร้ความเป็นกุลสตรี แต่เท้าเล็กๆนั่นแทบจะชาไปทีเดียวเมื่อปะทะผิวสากของหินเข้าเต็มแรง

    ฟลอเรนซ์กุมเท้าเอาไว้โดยสัญชาตญาณ ร่างกายเริ่มเสียสมดุลเมื่อทรงตัวด้วยขาเพียงข้างเดียว ส่งผลให้ล้มหงายตึงไปจนต้องบ่นสบถออกมาโดยสิ้นซึ่งความสุภาพ ในใจนึกอาฆาตไปถึงผู้เป็นนายตัวดีที่เจอกันไม่ถึงห้านาทีก็ใช้ออกมาทำภารกิจแทน!!

    ใช่..ใครมันจะไปนึกว่าหลังจากจบไอ้ประโยคก๊องแก๊งที่เกือบจะกลายเป็นโลโก้การ์ตูนนามกระฉ่อน เทเลทับบี้ นั่นแล้ว ความหนักหนาสาหัสของภารกิจที่ฟังดูหนักที่สุดก็แปรเปลี่ยนมาเป็นสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบแทนโดยที่ถูกอ้างว่า 'เป็นเบ๊ก็ทำหน้าที่ไป ไม่มีสิทธิ์ขัดคำสั่ง' จากเจ้าชายวิปริต ให้เธอรับภารกิจรอทรมานคนร้าย หรือให้ฆ่าคนร้ายนั่นยังพอว่า แต่นี่มันภารกิจหาตัวคนร้ายที่มีเบาะแสแค่คำๆเดียว!

    หลังจากที่ตรวจความเสียหายไปได้สักพัก หนึ่งในลูกน้องหน่วยอัสนีก็รายงานว่าพบจดหมายม้วนผูกด้วยริบบิ้นสีน้ำเงินในบริเวณที่เกิดเหตุ ตัวจดหมายสะอาดสะอ้านผิดสถานที่ ภายในจดหมายมีเนื้อหาเพียงคำว่า 'Guillotine'

    คำว่า กิโยติน ใครๆฟังก็ต้องนึกถึงฝรั่งเศษ หรือช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศษเมื่อศตวรรษที่สิบแปด เพราะมันคือเครื่องมือสังหารที่ตัดคอผู้คนไปหลายหมื่นคน รวมไปถึงเชื้อราชวงศ์องค์สุุดท้ายแห่งฝรั่งเศษ

    แต่พวกวาเรียกลับลงความเห็นควรหาที่มาของจดหมายเสียก่อนนี่....และก็ได้ข้อสรุปมาว่าหมึกที่ใช้เขียนพบได้มากในเมืองฟีเรนเซซึ่งตั้งขายและใช้กันทั่วไปจนแทบกลายเป็นเอกลักษณ์ มีความเป็นไปได้ว่าคนร้ายอาจพำนักอยู่ที่นี่

    แน่นอนว่าฟลอเรนซ์แย้งทันควัน คนร้ายที่ไหนจะโง่ขนาดนั้น มีหรือกล้าเผาปราสาทวาเรีย จะไม่รู้ว่าพวกวาเรียแค่ดูหมึกก็รู้ไปถึงไหนๆอย่างกับยอดมนุษย์ แต่ก็โดนเลวี่ที่ปกติดูจะไร้ปัญญาที่สุดในวาเรียสวนกลับว่า 'ที่ที่ปลอดภัยที่สุดคือที่ที่อันตรายที่สุด'

    ...เธอก็แย้งอะไรไม่ได้ อีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าหน่วย ตัวเองเป็นแค่ลูกกระจ๊อก อย่างมากก็ได้แค่หวังให้คำที่ว่าถูกต้องในสถานการณ์นี้

    เธอเดินกวาดฟีเรนเซมาตั้งแต่เช้าแล้ว ตั้งแต่ต้นเมืองฝั่งตะวันออกจรดตะวันตก ทิศเหนือจรดทิศใต้ เกิดคนร้ายเผ่นแน่บไปอยู่ที่ฝรั่งเศษได้ก็อย่ามาโทษเธอแล้วกัน..

    กึก..

    "ใคร!?"

    เนื่องจากตกอยู่ในห้วงคิดพักหนึ่งจึงไม่ทันสังเกตว่ามีเสียงฝีเท้าดังเกินมาก้าวหนึ่งหลังจากหยุดเดิน หลังจากทรงตัวได้ตามปกติจึงรีบชักดาบออกมาทันทีพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ ฉับพลันหางตาก็เหลือบไปเห็นชายผ้าสีขาวสะอาดลิบๆที่มุมตึกชายเมืองของเมืองฟีเรนเซ

    นี่เธอเดินวนกลับมาที่หมู่บ้านชายเมืองแล้วหรือนี่..

    ฟลอเรนซ์ไม่ให้ความสนใจกับความคิดนั้นอีกต่อไป ขาเรียวพยายามก้าวให้ยาวและเร็วที่สุด วิ่งไปที่มุมตึกพลางเตรียมตัวเตรียมใจก่อนจะโผล่หน้าออกมาเต็มตัว ท่าป้องกันถูกเตรียมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าเบื้องหน้ากลับเป็นเพียงถนนว่างเปล่าของหมู่บ้านติดจะร้างที่ไร้ซึ่งผู้คนสัญจรไปมา

    เธอยังไม่ลดการป้องกันลง กวาดสายตาไปรอบด้าน และพบบุคคลที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสตรีหรือบุรุษสวมชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์ มีฮูดปกปิดใบหน้ายืนอยู่ที่หลังคาเก่าโทรมของบ้านหลังหนึ่ง

    มันขยับรอยยิ้มอย่างใจเย็นราวกับจะยั่วให้เธอตามมันไป และก้าวกระโดดหลบไปอีกฟากฝั่งของเมือง

    ร่างบางไม่รอช้า รีบตามไปทันที ในใจรู้ว่าอาจเป็นกับดัก แต่ไม่อาจหยุดยั้งความอยากรู้อยากเห็นได้ ที่สำคัญ..อะไรบางอย่างในรอยยิ้มปริศนานั้นทำให้เกิดความคิดประหลาดที่ว่า เขาคนนั้นกำลังชี้แนะแนวทางให้เธออยู่

    แนวทาง..ที่จะนำพาไปสู่คนร้าย

    ความคุ้นเคยประหลาดๆแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อนึกถึงรอยยิ้มนั้น ภายในโสตประสาทเหมือนกับเคยพบคนๆนั้นมาก่อน ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง มันคุ้น...คุ้นมาก...มากทั้งที่รู้ว่าไม่เคยพบกันมาก่อนเป็นแน่

    เขาว่าปรากฏการณ์เดจาวูเกิดขึ้นได้ในหลายสาเหตุ เหตุการณ์เดจาวูที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอนี้..เกิดขึ้นจากความทรงจำภพก่อน..พลังจิต..โลกคู่ขนาน..หรือเป็นเพียงการทำงานที่ผิดพลาดของสมองกันนะ

    ท้องฟ้ายามเย็นที่กลายเป็นสีชมพูอมส้มเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มมากขึ้นเมื่อดวงตะวันลับขอบฟ้าไปจนแทบหมด ฟลอเรนซ์หยุดวิ่งที่วงเวียนน้ำพุที่เก่าสกปรกกลางเมืองพลางหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน มือทิ้งน้ำหนักลงกับดาบที่ปักลงพื้นเพื่อช่วยพยุงร่างอย่างไร้เรี่ยวแรง เข่าเริ่มทรุดลง พลังงานในร่างกายกำลังหมดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ไม่ได้รับสารอาหารมาเป็นสิบสองชั่วโมงแล้ว เมื่อทอดสายตาไปตรงหน้า อีกฟากฝั่งของน้ำพุ..เธอเห็นร่างของเขา..ในชุดคลุมสีขาวของนักบวช...

    เธอนึกออกแล้วว่าชุดคลุมนั้นเป็นชุดของนักบวช ทว่ามันจะเกิดประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อเป็นเพียงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แต่ที่แปลกคือ เธอนึกออกว่าเป็นชุดนักบวชเพราะภาพเหตุการณ์หนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง

    "...ท่านคงกลุ้มพระทัยมากสินะเพคะ"

    "ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น อ..ฟ..เ.....ย"

    "หม่อมฉันพบพระองค์สวดมนต์ในโบสถ์นอเทอร์ดามบ่อยๆในช่วงนี้น่ะเพคะ จึงเพียงแต่พาลคิดไปเองเช่นนี้ หากผิดแผกไปแต่ประการใดก็อภัยให้กับชีต้องสาปผู้นี้ด้วยเพคะ"

    "...เราดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ"

    "ไม่ต้องห่วงนะเพคะ หม่อมฉันจะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ องค์หญิงม...ติ..น.. หากพระองค์ไม่สบายพระทัยมากนัก หม่อมฉันอาจให้พระองค์เข้าพบพระแม่มารีอา"

    "ขอบใจจ้ะ เจ้าดีต่อเราจริงๆ"

    ภาพในสมองนั้นไม่แจ่มชัดนัก ชื่อที่ถูกเอ่ยออกมานั้นต่างเลือนลางฟังแปลกหูเนื่องด้วยราวกับมีอะไรบางอย่างขัดข้อง แต่แม้จะไม่แจ่มชัด ฟลอเรนซ์ก็จำได้ดีว่ามันคือความฝันที่เธอมักฝันถึงอยู่บ่อยๆ!

    "เธอ...."

    หญิงสาวเผลอเรียกอีกฝ่ายออกมาด้วยเสียงเบาหวิว สรรพนามบ่งบอกว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี รอยยิ้มที่ประดับพร่างพรายอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นคลี่มาขึ้น มันกลายเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและดูดีใจไปในเวลาเดียวกัน

    เพล้ง!!!

    เสียงขวดไวน์แตกละเอียดเมื่อกระทบกับพื้นอิฐแข็ง ฟลอเรนซ์ละสายตาจากหญิงในชุดนักบวชมองหาต้นเสียง ก่อนจะพบเศษแก้วสีเขียวหม่นและของเหลวสีแดงที่เหมือนกับเลือดกระจัดกระจายอยู่บริเวณหนึ่งของร้านค้าฝั่งตรงข้ามน้ำพุ เหนือเศษแก้วเหล่านั้นคือผู้สวมชุดคลุมสีแดงฉาน มีฮูดปกปิดใบหน้าเช่นกัน เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม

    มือเรียวกำดาบแน่นมากขึ้น เตรียมพร้อมจะโผนทะยานเข้าหาคู่ต่อสู้ ทว่าสายตาเผลอมองไปที่จุดที่หญิงในชุดนักบวชคนนั้นยืนอยู่เสียแล้ว...เธอหายไป พร้อมๆกับที่แสงตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วเป็นแน่

    "..ขอบคุณ"

    เธอเอ่ยเบาๆอย่างไม่แน่ใจว่าเอ่ยกับใครกันแน่ ไม่รู้ว่าขอบคุณทำไมทั้งที่พาเธอมาหาศัตรู แม้จะเป็นภารกิจ แต่ก็รู้สึกขึ้นมาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นมิตรเสียมากกว่า ก่อนจะหันมาตั้งสมาธิแน่วแน่กับศัตรูตัวจริงที่ยืนประจันหน้ากับเธอนี่

    แอ๊ด...

    ประตูไม้เก่าแก่ของร้านดอกไม้ที่บัดนี้เหี่ยวเฉาไปตามกาลเวลาและไร้ซึ่งผู้คนใส่ใจถูกเปิดออก ร่างของหญิงคนหนึ่งในชุดชาวบ้านซอมซ่อเดินออกมาอย่างโซซัดโซเซ ทว่าเมื่อได้สบตาจะรู้ทันทีว่านางมิใช่มนุษย์

    "อ๊ะ..เดี๋ยว!"

    เธอเผลอร้องตะโกนออกมา แม้รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางทำตามเพราะร่างของบุคคลลึกลับในชุดคลุมสีแดงฉวยโอกาสที่เธอสนใจหญิงชาวบ้านประหลาดคนนั้นหลบหนีไปจากสายตาเธอ ครั้นจะตามไปก็พบว่าหญิงชาวบ้านนั้นใช้ขวานยาวในมือกั้นขวางทางเอาไว้ ความเร็วที่สามารถเคลือนย้ายจากประตูมาถึงจุดที่เธอยืนอยู่ได้นับว่าเหนือมนุษย์จริงๆ

    "ชิ..เกะกะ!!"

    เธอเตะที่ลำตัวของหญิงคนนั้น มือซ้ายฉวยกำด้ามขวานที่ยาวจนกลายเป็นช่องว่างไว้แน่นและบิดจนข้อมือของอีกฝ่ายผิดรูปไป เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดถูกกรีดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง หญิงสาวไม่ละทิ้งโอกาสที่ได้มา จ้วงดาบเงินในมือทะลุผ่านลำตัวผอมแห้งอย่างรวดเร็ว

    หญิงชาวบ้านล้มลงกับพื้นทันทีพร้อมกับที่ฟลอเรนซ์ถีบตัวของเธอออกเพื่อร่างของเธอหลุดออกจากตัวดาบ เลือดจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อเริ่มไหลออกมาจากบาดแผล นัยน์ตาของเธอฉายแววความเป็นมนุษย์อีกครั้ง

    "..อาจจะเจ็บหน่อย แต่แป๊ปเดียว ทนหน่อยนะ"

    ฉึก!

    ปลายแหลมคมของดาบทะลุกะโหลกของเธอคนนั้น ดวงตาของเธอเบิกค้าง ชีพจรหยุดเต้นลงทันที ฟลอเรนซ์ชักดาบออกก่อนจะตวัดข้างตัวเพื่อสะบัดเลือดและเก็บเข้าฝักตามเดิม เธอก้มลงประสานมือกำสร้อยกางเขนไว้แน่นราวกับไว้อาลัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะปิดตาให้เธอคนนั้นอย่างอ่อนโยนและหาเศษผ้าที่ดูสะอาดที่สุดแถวนั้นมาคลุมหน้าให้

    ฉับพลัน เลือดของหญิงชาวบ้านแห้งเหือดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหลือไว้เพียงเลือดจำนวนหนึ่ง ที่ราวกับถูกวาดไว้ มันไหลเรียงเป็นคำว่า 'Guillotine'
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×