ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : อัลโกบาเลโนทั้งเจ็ด และการหนีไปอย่างไม่คาดคิดของแชมเชอร์
ห้องทั้งห้องถึงกับเงียบกริบไปทันทีเมื่อหญิงผู้ดูจะรู้เรื่องทั้งหมดดีที่สุดเอ่ยปากเล่า'ทุกอย่าง' ให้อัลโกบาเลโนอีกหกตนที่ไม่รู้เรื่องราวฟัง เพราะอัลโกบาเลโนสายอรุณเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอเองตั้งแต่ย่างก้าวเข้ามาในห้อง
"เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเลยนะ.."
ฟงเอ่ยเป็นคนแรก สีหน้ายังดูสงบอย่างเดิม โฟลทำท่าจะถามอะไรขึ้นแต่เวลเด้กลับชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน
"ฉันอยากเห็นริสทัชเชีย ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีเทคโนโลยีล้ำเลิศเกินกว่าที่มนุษยชาติจะคาดถึงก็ได้ หึ..หึหึ"
ท้ายประโยคบ่งบอกความกระหายในความรู้อย่างไม่มีทีสิ้นสุดของอัลโกบาเลโนนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี โฟลหันไปสบตากับเหล่าวาเรียอีกห้าคนที่เอาแต่ยืนเป็นแบ็คให้เธอตลอดอย่างไม่คิดออกตัวแทนบ้าง ก่อนจะตัดสินใจชักดาบออก และแก้ผ้าที่พันเอาไว้
แสงสีแดงสว่างจ้าทันที เช่นเดียวกันกับแสงสว่างที่ครอบคลุมร่างของอัลโกบาเลโนทั้งเจ็ด รวมไปถึงมาม่อนด้วย ประกายแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจลืมตาได้ ราวกับเป็นบิกแบงครั้งใหญ่ของอวกาศ
เมื่อแสงจางลงและอ่อนจางไป ร่างของอัลโกบาเลโนทั้งเจ็ด..ก็กลับกลายเป็นร่างสูงใหญ่บรรลุนิติภาวะ!!!
"เฮ้ย..อะไรกันล่ะเว้ยเฮ้ย..."
โคโรเนโรมองมือของตนเองอย่างฉงน พลางลูบคลำใบหน้าของตนเองที่กลับมาเรียวยาวหล่อเหล่าอย่างเดิม ไม่ต่างไปจากอัลโกบาเลโนที่เหลือ ลูซีถึงกับอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
"พระเจ้าช่วย..."
"หรือว่าสิ่งที่สาปพวกเรา..คือริสทัชเชีย" รีบอร์นตั้งสมมุติฐานเมื่อตั้งสติได้ไวกว่าใคร เวลเด้ถึงกับตัวสั่นเทิ้ม พูดติดอ่างอย่างตื่นเต้น
"อา..ริสทัชเชีย...มะ..มัน..ต้องมีพลังอะไรบางอย่างที่ล้ำเลิศมากแน่ๆ...ถ้าได้มาล่ะก็...ถะ..ถ้าได้มา..."
"คุณเวลเด้คะ ไม่ว่ายังไงในฐานะตัวแทนผู้ครอบครองริสทัชเชียอย่างฉันก็คงต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า ริสทัชเชียก็มีจิตใจ มันสามารถควบคุมตัวเองได้ เราไม่รู้ว่ามันจะส่งผลอย่างไรบ้างถ้าตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ฉันจึงไม่สามารถยกให้ใครได้ทั้งนั้นค่ะ"
โฟลกล่าวเสียงหนักแน่นอย่างรู้ทัน เธอลอบถอนหายใจอีกครั้ง ฟงสังเกตเห็นจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"งั้นเรื่องนี้ไว้ค่อยว่าทีหลังก็ได้ ว่าแต่แชมเชอร์.."
"ยังสลบอยู่ค่ะ พักอยู่ห้องข้างๆนี้เอง เป็นไปได้ก็ช่วยเบาเสียงหน่อยก็ดีค่ะ"
หญิงสาวพยักเพยิดไปที่ผนังฝังขวา รีบอร์นมองตามก่อนหันมาเอ่ยกับโฟล
"แต่ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ ใครเป็นคนส่งเธอมาที่โลกอนาคตในอีกสองร้อยปีข้างหน้า แล้วทำได้ยังไง.."
"ฉัน..เคยได้ยินมาว่าโลกนี้มีบาซูก้าศตวรรษอยู่เหมือนกัน" สคัลว่าหลังจากหายตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของร่างกาย
"นายพูดมันจะไปเชื่อถืออะไรได้.."
แต่รีบอร์นกลับส่ายหัวไปมาเป็นเชิงเอือมระอา เวลเด้ขยับแว่นก่อนเอ่ยเสียงเครียด
"ไม่นะ ฉันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่ากันว่ามีก่อนที่จะมีบาซูก้าทศวรรษซะอีก...แต่ทั้งโลกมีแค่หนึ่งเท่านั้น คนที่ครอบครองได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แถมยังอยู่ในศตรวรรษที่สิบแปด.."
"เอ่อ...งั้นเอกสารนี่.."
ลุซซูเรียขัดขึ้น ก่อนชูเอกสารในมือปึกหนึ่ง ทุกคนเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นว่ามันคือแปลนของบาซูก้า เขียนแยกรายละเอียดไว้ชัดเจน
"เจอที่ไหนน่ะลุซ!"
เบลที่นั่งเงียบมานานถึงกับผุดลุกขึ้นทันทีอย่างตกใจ โฟลหันมาก่อนตอบแทนลุซซูเรียที่ดูตกใจกับปฏิกิริยาของทุกคน
"ห้องของฉัน ใช่ไหม ผบ.ลุซซูเรีย"
ทุกคนหันมามองร่างบางที่เอ่ยทันที สีหน้าฉายแววฉงนอย่างสุดขีด เธอจึงขยายความ
"ผบ.คงช่วยเข้าไปเก็บห้องของฉันให้น่ะค่ะ ที่อยู่ฝั่งที่กำลังซ่อมแซมเพราะโดนโจมตี..แล้วก็คงเจอเอกสารนี่เข้า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าได้มายังไง ตอนที่ฉันตื่นมาครั้งแรกก็เห็นมันวางอยู่ข้างตัวพร้อมกับดาบนี่แล้ว"
"คงเป็นคนๆนั้นสินะ.." ลูซีตั้งสมมุติฐานขึ้นมาบ้าง สควอลโลจึงโพล่งขึ้นมา
"แล้วจะใช่มันรึเปล่าที่เผาปราสาทซีกซ้ายน่ะ"
แต่ละคนเงียบกันไปทันที เวลเด้จึงลุกขึ้นยืนและก้าวไปหาลุซซูเรีย
"ยังไงก็เถอะ ขอดูแปลนนี่ก่อนก็แล้วกัน"
อัลโกบาเลโนทั้งหมดลุกไปดูด้วยทันที มาม่อนกำลังจะลุกไปด้วย แต่เบลกลับดึงชายเสื้อคลุมเอาไว้ก่อน เขาจึงชะงัก
"มาม่อน นั่งก่อนสิ เจ้าชายอยากคุยอะไรเยอะแยะเกี่ยวกับมาม่อนเลยล่ะ"
คนถูกเรียกแยกเขี้ยวทันที ก่อนสวนกลับเข้าให้คนที่ยังคงยิ้มโชว์ฟันสไตล์เดิมพลางทิ้งตัวนั่งลงเช่นเดิม
"เจ้าบ้า คุยไม่ถูกที่ถูกเวลาเลยนะ ให้ตายเถอะ"
"ไม่ผิดแน่ นี่ไงล่ะ '100 year bazuka'" ฟงชี้ไปที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ลูซีพลิกหน้าอื่นไปก่อนประมาณสิบหน้าที่เขียนอธิบายยืดยาวเกี่ยวกับแปลนก็พบกับแปลนใหม่
"มีแปลนของบาซูก้าทศวรรษดด้วยล่ะ.." เธอชี้ไปที่ตัวอักษรโตๆที่เขียนกำกับไว้เช่นเดียวกับหน้าแรก '10 year bazuka'
รีบอร์นมองอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา "คนที่ผลิตบาซูก้าทศวรรษคือโบวีโนแฟมิลี การที่แปลนทั้งสองเครื่องอยู่ด้วยกันนี่หมายความว่าคนประดิษฐ์จะต้องเป็นคนเดียวกันสินะ"
"ก็มีความเป็นไปได้สูง"
อัลโกบาเลโนแต่ละคนต่างเห็นด้วยกับความเห็นของรีบอร์น โฟลที่นั่งมองการสนทนาเกี่ยวกับแปลนของบาซูก้าจึงเอ่ยขอตัวไปหาแชมเชอร์ที่ห้องข้างๆเงียบๆ
"ทุกคนคะ ฉันขอตัวนะคะ บางทีแชมเชอร์อาจจะตื่นแล้ว แต่ยังไงก็ช่วยอย่าส่งเสียงรบกวนนะคะ"
"พวกเราไปด้วย โฟล"
เบลรีบเอ่ยปากทันทีก่อนลุกขึ้นตามไป แน่นอนว่าลากมาม่อนที่สบถอุบกับความเผด็จการของคนข้างตัวไปด้วย ทิ้งให้สควอลโล ลุซซูเรีย และเลวี่คอยอยู่ดูแลเหล่าอัลโกบาเลโนชั่วครู่
เมื่อเปิดประตูเข้าไป โฟลทำสัญญาณเป็นเชิงว่าให้เงียบ ก่อนก้าวเข้ามาในห้อง ร่างของหญิงผิวเข้มขยับไปมา ดวงตากวาดมองไปรอบๆข้าง ราวกับพยายามจะลุก แต่ทำไม่ได้
"ท่านแชมเชอร์"
"...องค์จักรพรรดินี? ท่านทำอะไรกับร่างกายข้า"
เสียงนั้นฟังดูอ่อนแรง ทว่ายังแฝงไว้ซึ่งความเฉียบคม หญิงสาวลากเก้าอี้ใกล้ๆมาไว้ข้างเตียงก่อนทิ้งตัวลงนั่ง ส่วนเบลกับมาม่อนก็เช่นเดียวกัน
"ต้องขออภัยด้วย แต่ข้าไม่แน่ใจว่าท่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ข้าจึงจำเป็นต้องลงมนต์เอาไว้ชั่วครู่ หากท่านไม่มีทีท่าขัดขืนข้าคงจะคลายให้" ท้ายประโยคเสียงอ่อนลงอย่างใจอ่อน
"แล้วโคลาดา.."
"ชิชิชิชิชิ เจ้าชายเก็บไว้ให้แล้วล่ะ" เบลยิ้มอย่างอารมณ์ดี โฟลฟังแล้วจึงหันมา
"งั้นช่วยไปเอามาให้หน่อยเถอะ ฉันลงมนต์ด้วยริสทัชเชียของโคลาดา เอามาคลายมนตให้ท่านแชมเชอร์หน่อยก็ดี ดูท่าท่านคงอึดอัด"
"ใช้ริสทัชเชียที่สร้อยเธอ ไม่ก็ไทรเซเจียนไม่ได้เหรอ" เบลโอดครวญอย่างเกียจคร้าน
"ไม่ได้ ไทรเซเจียนฉันวางไว้ห้องนู้น ไม่งั้นพวกอัลโกบาเลโนก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ หรือถึงมี ริสทัชเชียที่คลายมนต์ได้จะต้องเป็นอันเดียวกันกับที่ลงมนต์" น้ำเสียงเฉียบขาดทำเอาเจ้าชายสูงศักดิ์ที่ถูกเรียกใช้ถึงกับบ่น แต่ยังไม่ทันจบประโยค ร่างสูงของอัลโกบาเลโนสายหมอกก็ส่องแสงสว่างก่อนลดลงกลายเป็นเด็กทารกอย่างเดิม
คนใช้งานให้ไปหยิบดาบส่งสายตาเป็นเชิงว่า 'เห็นไหม' เบลจึงจำต้องเดินออกไปนำโคลาดามาอย่างอิดๆออดๆ ไม่วายบ่นเสียงพึมพำแต่ดังพอให้อีกฝ่ายได้ยินทิ้งท้าย
"เบ๊ที่ไหนเขาใช้งานคนเป็นมาสเตอร์กันฮึ..."
คราวนี้หญิงสาวหันกลับมาหาแชมเชอร์ เธอหยิบสร้อยที่เก็บไว้ในกระเป๋าของเสื้อสูทออกมา ก่อนมอบให้หญิงนักรบ โดยการใส่สร้อยให้
"ข้าให้ท่านยืมก่อนแล้วกัน ระหว่างนี้ท่านคงพอขยับตัวได้บ้าง"
ริสทัชเชียแผลงฤทธิ์ประหลาดของมันออกมาทันที แชมเชอร์ค่อยๆผุดลุกขึ้นนั่งโดยมีโฟลคอยช่วยประคอง นางตวัดสายตามาก่อนเอ่ยเสียงเข้มแต่ยังมีแววอ่อนลง
"ท่านไม่ควรทำดีกับข้า ท่านมาติน ข้าคือนักรบแห่งอัซูอัลแกต ส่วนท่านคือองค์จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เราต่างเป็นศัตรูกัน"
"แต่อัซูอัลแกตล่มสลายไปแล้ว ไม่มีอัซูอัลแกตอีกต่อไป ท่านแชมเชอร์ ดังนั้นท่านจึงไม่ใช่ศัตรูของข้า"
คราวนี้ดวงตาสีหม้ายสั่นไหว แชมเชอร์หลุบตาลงต่ำ ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
"ที่ท่านบอกข้าว่าอัซูอัลแกตสิ้นไปด้วยน้ำมือข้า..นั่นหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือท่านมาติน"
คนฟังถอนหายใจ ก่อนเอ่ยย้ำความจริง "ท่านคงลืมไปแล้ว..บางทีอาจเป็นเพราะเลอริเชีย... ตามที่ข้าได้ยินมา อัซูอัลแกตล่มสลายเพราะการร่ายรำของท่าน ท่านแชมเชอร์ ว่ากันว่าท่านสุลต่านหวาดกลัวในอำนาจของท่าน พระองค์คงหวาดกลัวว่าท่านจะหันคมดาบใส่ประชาชนของพระองค์เอง พระองค์จึงมีรับสั่งให้ประหารท่าน โดยอ้างว่าเพื่อปลดปล่อยท่านจากอำนาจชั่วร้ายที่จะกลืนกินท่าน และท่านจะสูญเสียจิตใจไป"
น้ำตาคลอเบ้าของหญิงสาวที่เคยนำทัพด้วยกองพลทหารเพียง 3,000 ออกรบและนำชัยชนะกลับมาอาณาจักรได้อย่างสวยงาม มันไหลรินอาบแก้มนวล ดวงตาสีหม้ายถูกช้อนขึ้นมองคนเล่าอดีตของตนที่ถูกลืมไป
"แล้วข้า..จึงทำลายอัซูอัลแกตเพื่อเอาชีวิตรอด..ใช่ไหม"
"อดีตคืออดีต ท่านแชมเชอร์" หญิงสาวปลอบเรียบๆ ในใจอดหวั่นไม่ได้ แต่แล้วก็หันไปหามาม่อนก่อนยิ้มให้อย่างร่าเริง "จริงสิ ลืมผบ.ไปเลย ถ้าเบื่อกลับห้องข้างๆก็ได้นะผบ.มาม่อน"
"ช่างมันเถอะ เสียงคุยกันสองคนยังไงก็เบากว่าเสียงคุยกันของคนหกคนแล้วกัน.." มาม่อนตอบเงียบๆ โฟลอดแปลกใจไม่ได้เมื่อพบว่าอัลโกบาเลโนผู้นี้เป็นบุรุษ ทั้งที่ร่างทารกและน้ำเสียงฟังเหมือนสตรียิ่งนัก แต่เขาก็หันกลับมาเอ่ยอีกครั้ง "จริงสิ ฉันว่าจะถาม เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง หรือความทรงจำของเธอคือของมาตินที่ถูกโอนมาให้"
"อ้อ..เรื่องนี้สินะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยอธิบายเสียงใส "ก่อนที่จะตื่นมาครั้งแรก มันเหมือนกับอยู่ในฝัน มีใครบางคนเล่าเรื่องทุกอย่างเหล่านี้ให้ฉันฟัง แล้วบางครั้งฉันก็เห็นเหตุการณ์.. แต่บางครั้งความทรงจำก็เหมือนกับขาดหายไป..คงถูกผนึกไว้ในริสทัชเชียทั้งแปดชิ้นล่ะนะ... ส่วนที่จำได้คงเป็นส่วนที่ถูกผนึกในไทรเซเจียน ในสร้อย แล้วก็ในเกราะ.. ตอนนี้ก็นึกออกอีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่ถูกผนึกไว้ในชิ้นส่วนริสทัชเชียที่แตกออกน่ะนะ"
"เกราะ?"
เบลเอ่ยทวนพลางเอียงคอ สาวเจ้าที่กำลังอธิบายยืดยาวถึงกับร้องจ๊ากออกมาดังลั่น ก่อนหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่คนที่เข้ามาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง
"ทำไมเข้ามาไม่เคาะประตูก่อนฮึ"
คนถูกตำหนิขยับยิ้มก่อนตอบขำๆ "เอ้า ก็บอกเองนี่ว่าให้เงียบๆ ว่าแต่โฟลไม่ใช่เหรอที่ร้องซะดังลั่น" เบลยื่นโคลาดาให้ มือเรียวคว้าฉับก่อนเชิดหน้าใส่ ไม่วายมีเลือดสูบฉีดเนื่องจากอับอายในความผิดพลาดของตนเอง
โฟลวางดาบไว้ข้างตัวแชมเชอร์ ก่อนยื่นมือทั้งสองข้างไปวางไว้เหนือริสทัชเชีย ชั่วครู่ก็มีแสงประหลาดทอประกายออกมา ร่างกายของแชมเชอร์เองก็มีประกายอ่อนๆเช่นกัน
ทันทีที่เธอขยับตัวได้ เธอผลักโฟลที่กำลังจะถอดสร้อยออกให้ออกทันที หญิงสาวล้มไม่เป็นท่า เบลกับมาม่อนที่ตกใจรีบเข้าไปช่วยประคองทันที แชมเชอร์อาศัยจังหวะนี้กระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที กว่าจะรู้ตัว เธอก็หนีไปไกลเสียแล้ว
"โอ้ย..เจ็บชะมัด...ยัยนี่ทำอะไรบ้าๆ" โฟลโอดครวญ แต่แล้วก็ลืมตาโพลง รีบเอามือตบปุปๆบนที่นอนทันที ก่อนมองไปรอบๆ
"เฮ้ย...เอาสร้อยฉันไปด้วยนี่"
"แต่โคลาดายังอยู่ ถือว่าเจ๊ากันนะ" เบลชี้ไปที่โคลาดาที่วางแผ่หราอยู่ โฟลแอบขอบคุณในความรีบร้อนของแชมเชอร์ แต่ก็อดกุมขมับไม่ได้เมื่อสร้อยที่เป็นสมบัติราชวงศ์ซึ่งมีริสทัชเชียฝังอยู่ถูกเอาไป
"สร้อยนั่น นอกจากริสทัชเชียแล้วมีอะไรสำคัญอีกหรือไง" มาม่อนถามพลางมองไปนอกหน้าต่าง พยายามหาทางที่แชมเชอร์จากไป
"แหงสิ นั่นน่ะสมบัติราชวงศ์เชียวนะ..ตายๆ ฉันกลับไปพวกฟาโลกับท่านธีโอต้องตำหนิแน่ๆ"
"ธีโอ? ตาแก่นั่นน่ะนะ" เบลว่าพลางยิ้มขำๆ ดูท่าทางไม่ทุกข์ร้อน นึกไปถึงภาพที่เห็นระหว่างภารกิจ
"เออ! ซวยสนิท.."
"เป็นคำที่ฟังไม่เหมือนพวกเจ้าแผ่นดินพูดเลยนะ" มาม่อนว่า หลุดขำออกมาเล็กน้อย
"นี่ แค่ความทรงจำกับความสามารถเท่านั้นแหละน่า ยังไงทั้งตัวทั้งนิสัยก็ยังเป็นฟลอเรนซ์ ไนล์อยู่ดีนั่นแหละ" หญิงสาวแย้ง ทั้งที่สมองยังคงหาทางเอาสร้อยกลับคืน
"หมายความว่าไง เหมือนการสิงภาชนะรึเปล่า"
เบลถามอย่างสนอกสนใจ แต่คนคิดมากกลับตอบสั้นๆ
"ก็ไม่เชิง"
"อธิบายหน่อยสิ"
"ก็แค่ฟลอเรนซ์ ไนล์มีตัวตนเพื่อรองรับความทรงจำของมาติน คาทอร์ซเท่านั้นแหละน่า ถ้าฉันกลับไปที่อาเรีย เทอ ลาเรียเมื่อสองร้อยปีก่อนเมื่อไร ฟลอเรนซ์ ไนล์ก็หายไปเหมือนกัน ประมาณว่าตายนั่นแหละ อย่าพึ่งถาม คิดมากอยู่เฟ้ยไอ้คุณผบ.!"
"เบล นายมีความเห็นยังไงเกี่ยวกับริสทัชเชียอีกสามชิ้นที่เป็นของปลอมที่เจอตอนทำภารกิจนั่น"
จู่ๆมาม่อนก็ชวนเบลคุยกะทันหัน แต่คนเป็นเจ้าชายก็ยอมตอบแต่โดยดี ไม่วายแอบหันไปแลบลิ้นให้คนกำลังคิดมากก่อนตอบ
"อาจเป็นการทดสอบก็ได้มั้ง บางทีคนที่โฟลว่าอาจทำเพื่อทดสอบโฟลว่ามีคุณสมบัติรึเปล่า"
"แต่การส่งโฟลมาที่โลกอนาคตสองร้อยปีหน้านี่มันไม่ได้หมายความว่าไว้ใจแล้วเหรอ"
"ไม่รู้สิ หรือไม่ก็...อ้า!!!!"
จู่ๆเบลก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โฟลหันมาทันที ส่วนมาม่อนมองคู่สนทนาอย่างงงๆ
เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ
"ใช่แล้ว คนที่โฟลเจอไง ที่โฟลบอกว่าใส่ชุดสีขาว.."
"อ๋อ..ที่บอกว่าเหมือนศัตรู แต่สุดท้ายก็ช่วยทำภารกิจสินะ" มาม่อนพยักหน้า โฟลเริ่มหยุดคิดก่อนเข้าร่วมวงสนทนา
"ก็เป็นไปได้ ถ้าเธอคนนั้นเป็นคนส่งฉันมา เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด แต่ละอย่างมันก็ค่อยเมคเซนส์หน่อย ที่เอาริสทัชเชียปลอมมาให้ด้วยก็คงเหมือนกรณีที่พาฉันไปเจอมาเธียสครั้งแรกเหมือนกัน"
"อะไรเนี่ย คิดมากอยู่ไม่ใช่หรือไง ไปทางนู้นไป๊ ชิ้วๆ" เบลแสร้งทำท่ารังเกียจ ก่อนโบกมือไล่หญิงสาวที่กำลังหยิบหมอนมาขว้างใส่เจ้าชายตัวดี
"ตายซะเถอะไอ้ผบ.เจ้าชายไร้บัลลังก์!!!"
"เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเลยนะ.."
ฟงเอ่ยเป็นคนแรก สีหน้ายังดูสงบอย่างเดิม โฟลทำท่าจะถามอะไรขึ้นแต่เวลเด้กลับชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน
"ฉันอยากเห็นริสทัชเชีย ไม่แน่ว่ามันอาจจะมีเทคโนโลยีล้ำเลิศเกินกว่าที่มนุษยชาติจะคาดถึงก็ได้ หึ..หึหึ"
ท้ายประโยคบ่งบอกความกระหายในความรู้อย่างไม่มีทีสิ้นสุดของอัลโกบาเลโนนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี โฟลหันไปสบตากับเหล่าวาเรียอีกห้าคนที่เอาแต่ยืนเป็นแบ็คให้เธอตลอดอย่างไม่คิดออกตัวแทนบ้าง ก่อนจะตัดสินใจชักดาบออก และแก้ผ้าที่พันเอาไว้
แสงสีแดงสว่างจ้าทันที เช่นเดียวกันกับแสงสว่างที่ครอบคลุมร่างของอัลโกบาเลโนทั้งเจ็ด รวมไปถึงมาม่อนด้วย ประกายแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจลืมตาได้ ราวกับเป็นบิกแบงครั้งใหญ่ของอวกาศ
เมื่อแสงจางลงและอ่อนจางไป ร่างของอัลโกบาเลโนทั้งเจ็ด..ก็กลับกลายเป็นร่างสูงใหญ่บรรลุนิติภาวะ!!!
"เฮ้ย..อะไรกันล่ะเว้ยเฮ้ย..."
โคโรเนโรมองมือของตนเองอย่างฉงน พลางลูบคลำใบหน้าของตนเองที่กลับมาเรียวยาวหล่อเหล่าอย่างเดิม ไม่ต่างไปจากอัลโกบาเลโนที่เหลือ ลูซีถึงกับอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
"พระเจ้าช่วย..."
"หรือว่าสิ่งที่สาปพวกเรา..คือริสทัชเชีย" รีบอร์นตั้งสมมุติฐานเมื่อตั้งสติได้ไวกว่าใคร เวลเด้ถึงกับตัวสั่นเทิ้ม พูดติดอ่างอย่างตื่นเต้น
"อา..ริสทัชเชีย...มะ..มัน..ต้องมีพลังอะไรบางอย่างที่ล้ำเลิศมากแน่ๆ...ถ้าได้มาล่ะก็...ถะ..ถ้าได้มา..."
"คุณเวลเด้คะ ไม่ว่ายังไงในฐานะตัวแทนผู้ครอบครองริสทัชเชียอย่างฉันก็คงต้องขอยืนยันอีกครั้งว่า ริสทัชเชียก็มีจิตใจ มันสามารถควบคุมตัวเองได้ เราไม่รู้ว่ามันจะส่งผลอย่างไรบ้างถ้าตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ฉันจึงไม่สามารถยกให้ใครได้ทั้งนั้นค่ะ"
โฟลกล่าวเสียงหนักแน่นอย่างรู้ทัน เธอลอบถอนหายใจอีกครั้ง ฟงสังเกตเห็นจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"งั้นเรื่องนี้ไว้ค่อยว่าทีหลังก็ได้ ว่าแต่แชมเชอร์.."
"ยังสลบอยู่ค่ะ พักอยู่ห้องข้างๆนี้เอง เป็นไปได้ก็ช่วยเบาเสียงหน่อยก็ดีค่ะ"
หญิงสาวพยักเพยิดไปที่ผนังฝังขวา รีบอร์นมองตามก่อนหันมาเอ่ยกับโฟล
"แต่ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ ใครเป็นคนส่งเธอมาที่โลกอนาคตในอีกสองร้อยปีข้างหน้า แล้วทำได้ยังไง.."
"ฉัน..เคยได้ยินมาว่าโลกนี้มีบาซูก้าศตวรรษอยู่เหมือนกัน" สคัลว่าหลังจากหายตกใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของร่างกาย
"นายพูดมันจะไปเชื่อถืออะไรได้.."
แต่รีบอร์นกลับส่ายหัวไปมาเป็นเชิงเอือมระอา เวลเด้ขยับแว่นก่อนเอ่ยเสียงเครียด
"ไม่นะ ฉันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่ากันว่ามีก่อนที่จะมีบาซูก้าทศวรรษซะอีก...แต่ทั้งโลกมีแค่หนึ่งเท่านั้น คนที่ครอบครองได้จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆ แถมยังอยู่ในศตรวรรษที่สิบแปด.."
"เอ่อ...งั้นเอกสารนี่.."
ลุซซูเรียขัดขึ้น ก่อนชูเอกสารในมือปึกหนึ่ง ทุกคนเบิกตากว้างทันทีเมื่อเห็นว่ามันคือแปลนของบาซูก้า เขียนแยกรายละเอียดไว้ชัดเจน
"เจอที่ไหนน่ะลุซ!"
เบลที่นั่งเงียบมานานถึงกับผุดลุกขึ้นทันทีอย่างตกใจ โฟลหันมาก่อนตอบแทนลุซซูเรียที่ดูตกใจกับปฏิกิริยาของทุกคน
"ห้องของฉัน ใช่ไหม ผบ.ลุซซูเรีย"
ทุกคนหันมามองร่างบางที่เอ่ยทันที สีหน้าฉายแววฉงนอย่างสุดขีด เธอจึงขยายความ
"ผบ.คงช่วยเข้าไปเก็บห้องของฉันให้น่ะค่ะ ที่อยู่ฝั่งที่กำลังซ่อมแซมเพราะโดนโจมตี..แล้วก็คงเจอเอกสารนี่เข้า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าได้มายังไง ตอนที่ฉันตื่นมาครั้งแรกก็เห็นมันวางอยู่ข้างตัวพร้อมกับดาบนี่แล้ว"
"คงเป็นคนๆนั้นสินะ.." ลูซีตั้งสมมุติฐานขึ้นมาบ้าง สควอลโลจึงโพล่งขึ้นมา
"แล้วจะใช่มันรึเปล่าที่เผาปราสาทซีกซ้ายน่ะ"
แต่ละคนเงียบกันไปทันที เวลเด้จึงลุกขึ้นยืนและก้าวไปหาลุซซูเรีย
"ยังไงก็เถอะ ขอดูแปลนนี่ก่อนก็แล้วกัน"
อัลโกบาเลโนทั้งหมดลุกไปดูด้วยทันที มาม่อนกำลังจะลุกไปด้วย แต่เบลกลับดึงชายเสื้อคลุมเอาไว้ก่อน เขาจึงชะงัก
"มาม่อน นั่งก่อนสิ เจ้าชายอยากคุยอะไรเยอะแยะเกี่ยวกับมาม่อนเลยล่ะ"
คนถูกเรียกแยกเขี้ยวทันที ก่อนสวนกลับเข้าให้คนที่ยังคงยิ้มโชว์ฟันสไตล์เดิมพลางทิ้งตัวนั่งลงเช่นเดิม
"เจ้าบ้า คุยไม่ถูกที่ถูกเวลาเลยนะ ให้ตายเถอะ"
"ไม่ผิดแน่ นี่ไงล่ะ '100 year bazuka'" ฟงชี้ไปที่ตัวอักษรภาษาอังกฤษ ลูซีพลิกหน้าอื่นไปก่อนประมาณสิบหน้าที่เขียนอธิบายยืดยาวเกี่ยวกับแปลนก็พบกับแปลนใหม่
"มีแปลนของบาซูก้าทศวรรษดด้วยล่ะ.." เธอชี้ไปที่ตัวอักษรโตๆที่เขียนกำกับไว้เช่นเดียวกับหน้าแรก '10 year bazuka'
รีบอร์นมองอย่างครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยออกมา "คนที่ผลิตบาซูก้าทศวรรษคือโบวีโนแฟมิลี การที่แปลนทั้งสองเครื่องอยู่ด้วยกันนี่หมายความว่าคนประดิษฐ์จะต้องเป็นคนเดียวกันสินะ"
"ก็มีความเป็นไปได้สูง"
อัลโกบาเลโนแต่ละคนต่างเห็นด้วยกับความเห็นของรีบอร์น โฟลที่นั่งมองการสนทนาเกี่ยวกับแปลนของบาซูก้าจึงเอ่ยขอตัวไปหาแชมเชอร์ที่ห้องข้างๆเงียบๆ
"ทุกคนคะ ฉันขอตัวนะคะ บางทีแชมเชอร์อาจจะตื่นแล้ว แต่ยังไงก็ช่วยอย่าส่งเสียงรบกวนนะคะ"
"พวกเราไปด้วย โฟล"
เบลรีบเอ่ยปากทันทีก่อนลุกขึ้นตามไป แน่นอนว่าลากมาม่อนที่สบถอุบกับความเผด็จการของคนข้างตัวไปด้วย ทิ้งให้สควอลโล ลุซซูเรีย และเลวี่คอยอยู่ดูแลเหล่าอัลโกบาเลโนชั่วครู่
เมื่อเปิดประตูเข้าไป โฟลทำสัญญาณเป็นเชิงว่าให้เงียบ ก่อนก้าวเข้ามาในห้อง ร่างของหญิงผิวเข้มขยับไปมา ดวงตากวาดมองไปรอบๆข้าง ราวกับพยายามจะลุก แต่ทำไม่ได้
"ท่านแชมเชอร์"
"...องค์จักรพรรดินี? ท่านทำอะไรกับร่างกายข้า"
เสียงนั้นฟังดูอ่อนแรง ทว่ายังแฝงไว้ซึ่งความเฉียบคม หญิงสาวลากเก้าอี้ใกล้ๆมาไว้ข้างเตียงก่อนทิ้งตัวลงนั่ง ส่วนเบลกับมาม่อนก็เช่นเดียวกัน
"ต้องขออภัยด้วย แต่ข้าไม่แน่ใจว่าท่านจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ข้าจึงจำเป็นต้องลงมนต์เอาไว้ชั่วครู่ หากท่านไม่มีทีท่าขัดขืนข้าคงจะคลายให้" ท้ายประโยคเสียงอ่อนลงอย่างใจอ่อน
"แล้วโคลาดา.."
"ชิชิชิชิชิ เจ้าชายเก็บไว้ให้แล้วล่ะ" เบลยิ้มอย่างอารมณ์ดี โฟลฟังแล้วจึงหันมา
"งั้นช่วยไปเอามาให้หน่อยเถอะ ฉันลงมนต์ด้วยริสทัชเชียของโคลาดา เอามาคลายมนตให้ท่านแชมเชอร์หน่อยก็ดี ดูท่าท่านคงอึดอัด"
"ใช้ริสทัชเชียที่สร้อยเธอ ไม่ก็ไทรเซเจียนไม่ได้เหรอ" เบลโอดครวญอย่างเกียจคร้าน
"ไม่ได้ ไทรเซเจียนฉันวางไว้ห้องนู้น ไม่งั้นพวกอัลโกบาเลโนก็คงกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วล่ะ หรือถึงมี ริสทัชเชียที่คลายมนต์ได้จะต้องเป็นอันเดียวกันกับที่ลงมนต์" น้ำเสียงเฉียบขาดทำเอาเจ้าชายสูงศักดิ์ที่ถูกเรียกใช้ถึงกับบ่น แต่ยังไม่ทันจบประโยค ร่างสูงของอัลโกบาเลโนสายหมอกก็ส่องแสงสว่างก่อนลดลงกลายเป็นเด็กทารกอย่างเดิม
คนใช้งานให้ไปหยิบดาบส่งสายตาเป็นเชิงว่า 'เห็นไหม' เบลจึงจำต้องเดินออกไปนำโคลาดามาอย่างอิดๆออดๆ ไม่วายบ่นเสียงพึมพำแต่ดังพอให้อีกฝ่ายได้ยินทิ้งท้าย
"เบ๊ที่ไหนเขาใช้งานคนเป็นมาสเตอร์กันฮึ..."
คราวนี้หญิงสาวหันกลับมาหาแชมเชอร์ เธอหยิบสร้อยที่เก็บไว้ในกระเป๋าของเสื้อสูทออกมา ก่อนมอบให้หญิงนักรบ โดยการใส่สร้อยให้
"ข้าให้ท่านยืมก่อนแล้วกัน ระหว่างนี้ท่านคงพอขยับตัวได้บ้าง"
ริสทัชเชียแผลงฤทธิ์ประหลาดของมันออกมาทันที แชมเชอร์ค่อยๆผุดลุกขึ้นนั่งโดยมีโฟลคอยช่วยประคอง นางตวัดสายตามาก่อนเอ่ยเสียงเข้มแต่ยังมีแววอ่อนลง
"ท่านไม่ควรทำดีกับข้า ท่านมาติน ข้าคือนักรบแห่งอัซูอัลแกต ส่วนท่านคือองค์จักรพรรดินีแห่งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ เราต่างเป็นศัตรูกัน"
"แต่อัซูอัลแกตล่มสลายไปแล้ว ไม่มีอัซูอัลแกตอีกต่อไป ท่านแชมเชอร์ ดังนั้นท่านจึงไม่ใช่ศัตรูของข้า"
คราวนี้ดวงตาสีหม้ายสั่นไหว แชมเชอร์หลุบตาลงต่ำ ก่อนเอ่ยถามเสียงเบา
"ที่ท่านบอกข้าว่าอัซูอัลแกตสิ้นไปด้วยน้ำมือข้า..นั่นหมายความว่าอย่างไรงั้นหรือท่านมาติน"
คนฟังถอนหายใจ ก่อนเอ่ยย้ำความจริง "ท่านคงลืมไปแล้ว..บางทีอาจเป็นเพราะเลอริเชีย... ตามที่ข้าได้ยินมา อัซูอัลแกตล่มสลายเพราะการร่ายรำของท่าน ท่านแชมเชอร์ ว่ากันว่าท่านสุลต่านหวาดกลัวในอำนาจของท่าน พระองค์คงหวาดกลัวว่าท่านจะหันคมดาบใส่ประชาชนของพระองค์เอง พระองค์จึงมีรับสั่งให้ประหารท่าน โดยอ้างว่าเพื่อปลดปล่อยท่านจากอำนาจชั่วร้ายที่จะกลืนกินท่าน และท่านจะสูญเสียจิตใจไป"
น้ำตาคลอเบ้าของหญิงสาวที่เคยนำทัพด้วยกองพลทหารเพียง 3,000 ออกรบและนำชัยชนะกลับมาอาณาจักรได้อย่างสวยงาม มันไหลรินอาบแก้มนวล ดวงตาสีหม้ายถูกช้อนขึ้นมองคนเล่าอดีตของตนที่ถูกลืมไป
"แล้วข้า..จึงทำลายอัซูอัลแกตเพื่อเอาชีวิตรอด..ใช่ไหม"
"อดีตคืออดีต ท่านแชมเชอร์" หญิงสาวปลอบเรียบๆ ในใจอดหวั่นไม่ได้ แต่แล้วก็หันไปหามาม่อนก่อนยิ้มให้อย่างร่าเริง "จริงสิ ลืมผบ.ไปเลย ถ้าเบื่อกลับห้องข้างๆก็ได้นะผบ.มาม่อน"
"ช่างมันเถอะ เสียงคุยกันสองคนยังไงก็เบากว่าเสียงคุยกันของคนหกคนแล้วกัน.." มาม่อนตอบเงียบๆ โฟลอดแปลกใจไม่ได้เมื่อพบว่าอัลโกบาเลโนผู้นี้เป็นบุรุษ ทั้งที่ร่างทารกและน้ำเสียงฟังเหมือนสตรียิ่งนัก แต่เขาก็หันกลับมาเอ่ยอีกครั้ง "จริงสิ ฉันว่าจะถาม เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง หรือความทรงจำของเธอคือของมาตินที่ถูกโอนมาให้"
"อ้อ..เรื่องนี้สินะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยอธิบายเสียงใส "ก่อนที่จะตื่นมาครั้งแรก มันเหมือนกับอยู่ในฝัน มีใครบางคนเล่าเรื่องทุกอย่างเหล่านี้ให้ฉันฟัง แล้วบางครั้งฉันก็เห็นเหตุการณ์.. แต่บางครั้งความทรงจำก็เหมือนกับขาดหายไป..คงถูกผนึกไว้ในริสทัชเชียทั้งแปดชิ้นล่ะนะ... ส่วนที่จำได้คงเป็นส่วนที่ถูกผนึกในไทรเซเจียน ในสร้อย แล้วก็ในเกราะ.. ตอนนี้ก็นึกออกอีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่ถูกผนึกไว้ในชิ้นส่วนริสทัชเชียที่แตกออกน่ะนะ"
"เกราะ?"
เบลเอ่ยทวนพลางเอียงคอ สาวเจ้าที่กำลังอธิบายยืดยาวถึงกับร้องจ๊ากออกมาดังลั่น ก่อนหันขวับไปแยกเขี้ยวใส่คนที่เข้ามาแบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียง
"ทำไมเข้ามาไม่เคาะประตูก่อนฮึ"
คนถูกตำหนิขยับยิ้มก่อนตอบขำๆ "เอ้า ก็บอกเองนี่ว่าให้เงียบๆ ว่าแต่โฟลไม่ใช่เหรอที่ร้องซะดังลั่น" เบลยื่นโคลาดาให้ มือเรียวคว้าฉับก่อนเชิดหน้าใส่ ไม่วายมีเลือดสูบฉีดเนื่องจากอับอายในความผิดพลาดของตนเอง
โฟลวางดาบไว้ข้างตัวแชมเชอร์ ก่อนยื่นมือทั้งสองข้างไปวางไว้เหนือริสทัชเชีย ชั่วครู่ก็มีแสงประหลาดทอประกายออกมา ร่างกายของแชมเชอร์เองก็มีประกายอ่อนๆเช่นกัน
ทันทีที่เธอขยับตัวได้ เธอผลักโฟลที่กำลังจะถอดสร้อยออกให้ออกทันที หญิงสาวล้มไม่เป็นท่า เบลกับมาม่อนที่ตกใจรีบเข้าไปช่วยประคองทันที แชมเชอร์อาศัยจังหวะนี้กระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที กว่าจะรู้ตัว เธอก็หนีไปไกลเสียแล้ว
"โอ้ย..เจ็บชะมัด...ยัยนี่ทำอะไรบ้าๆ" โฟลโอดครวญ แต่แล้วก็ลืมตาโพลง รีบเอามือตบปุปๆบนที่นอนทันที ก่อนมองไปรอบๆ
"เฮ้ย...เอาสร้อยฉันไปด้วยนี่"
"แต่โคลาดายังอยู่ ถือว่าเจ๊ากันนะ" เบลชี้ไปที่โคลาดาที่วางแผ่หราอยู่ โฟลแอบขอบคุณในความรีบร้อนของแชมเชอร์ แต่ก็อดกุมขมับไม่ได้เมื่อสร้อยที่เป็นสมบัติราชวงศ์ซึ่งมีริสทัชเชียฝังอยู่ถูกเอาไป
"สร้อยนั่น นอกจากริสทัชเชียแล้วมีอะไรสำคัญอีกหรือไง" มาม่อนถามพลางมองไปนอกหน้าต่าง พยายามหาทางที่แชมเชอร์จากไป
"แหงสิ นั่นน่ะสมบัติราชวงศ์เชียวนะ..ตายๆ ฉันกลับไปพวกฟาโลกับท่านธีโอต้องตำหนิแน่ๆ"
"ธีโอ? ตาแก่นั่นน่ะนะ" เบลว่าพลางยิ้มขำๆ ดูท่าทางไม่ทุกข์ร้อน นึกไปถึงภาพที่เห็นระหว่างภารกิจ
"เออ! ซวยสนิท.."
"เป็นคำที่ฟังไม่เหมือนพวกเจ้าแผ่นดินพูดเลยนะ" มาม่อนว่า หลุดขำออกมาเล็กน้อย
"นี่ แค่ความทรงจำกับความสามารถเท่านั้นแหละน่า ยังไงทั้งตัวทั้งนิสัยก็ยังเป็นฟลอเรนซ์ ไนล์อยู่ดีนั่นแหละ" หญิงสาวแย้ง ทั้งที่สมองยังคงหาทางเอาสร้อยกลับคืน
"หมายความว่าไง เหมือนการสิงภาชนะรึเปล่า"
เบลถามอย่างสนอกสนใจ แต่คนคิดมากกลับตอบสั้นๆ
"ก็ไม่เชิง"
"อธิบายหน่อยสิ"
"ก็แค่ฟลอเรนซ์ ไนล์มีตัวตนเพื่อรองรับความทรงจำของมาติน คาทอร์ซเท่านั้นแหละน่า ถ้าฉันกลับไปที่อาเรีย เทอ ลาเรียเมื่อสองร้อยปีก่อนเมื่อไร ฟลอเรนซ์ ไนล์ก็หายไปเหมือนกัน ประมาณว่าตายนั่นแหละ อย่าพึ่งถาม คิดมากอยู่เฟ้ยไอ้คุณผบ.!"
"เบล นายมีความเห็นยังไงเกี่ยวกับริสทัชเชียอีกสามชิ้นที่เป็นของปลอมที่เจอตอนทำภารกิจนั่น"
จู่ๆมาม่อนก็ชวนเบลคุยกะทันหัน แต่คนเป็นเจ้าชายก็ยอมตอบแต่โดยดี ไม่วายแอบหันไปแลบลิ้นให้คนกำลังคิดมากก่อนตอบ
"อาจเป็นการทดสอบก็ได้มั้ง บางทีคนที่โฟลว่าอาจทำเพื่อทดสอบโฟลว่ามีคุณสมบัติรึเปล่า"
"แต่การส่งโฟลมาที่โลกอนาคตสองร้อยปีหน้านี่มันไม่ได้หมายความว่าไว้ใจแล้วเหรอ"
"ไม่รู้สิ หรือไม่ก็...อ้า!!!!"
จู่ๆเบลก็ทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ โฟลหันมาทันที ส่วนมาม่อนมองคู่สนทนาอย่างงงๆ
เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะ
"ใช่แล้ว คนที่โฟลเจอไง ที่โฟลบอกว่าใส่ชุดสีขาว.."
"อ๋อ..ที่บอกว่าเหมือนศัตรู แต่สุดท้ายก็ช่วยทำภารกิจสินะ" มาม่อนพยักหน้า โฟลเริ่มหยุดคิดก่อนเข้าร่วมวงสนทนา
"ก็เป็นไปได้ ถ้าเธอคนนั้นเป็นคนส่งฉันมา เล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด แต่ละอย่างมันก็ค่อยเมคเซนส์หน่อย ที่เอาริสทัชเชียปลอมมาให้ด้วยก็คงเหมือนกรณีที่พาฉันไปเจอมาเธียสครั้งแรกเหมือนกัน"
"อะไรเนี่ย คิดมากอยู่ไม่ใช่หรือไง ไปทางนู้นไป๊ ชิ้วๆ" เบลแสร้งทำท่ารังเกียจ ก่อนโบกมือไล่หญิงสาวที่กำลังหยิบหมอนมาขว้างใส่เจ้าชายตัวดี
"ตายซะเถอะไอ้ผบ.เจ้าชายไร้บัลลังก์!!!"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น