คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ อำนาจ(มืด)ของมาเฟีย
By :: เบบี้เยลโล่
ลู่หานเข้าบริษัทตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าประชุมเรื่องงบการเงินประจำปีกับฝ่ายบัญชี ต่อด้วยติดตามความคืบหน้าของผลการเติบโตของโรงแรมในเครือไตรมาสที่สองกับระดับผู้บริหารของแต่ละสาขา
ใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวัน
กว่าลู่หานจะได้ก้าวออกจากห้องประชุม เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนทำงานก็ยังต้องทำงานต่อไป
และผู้นำที่มีลูกน้องเกือบพันคนอย่างเสี่ยวลู่หานก็ยึดถือคติลูกน้องทำมากแค่ไหนหัวหน้าต้องทำได้มากกว่า
“เจ้านายครับ...คุณอู๋มาขอพบ
จะให้ผมเชิญเข้ามาเลยมั้ยครับ” ลู่หานที่กำลังนั่งตรวจแฟ้มงานลดมือลง
ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมามองเลขาตัวเล็กที่เคาะประตูก่อนจะโผล่หน้าเข้ามาถาม โดคยองซูยิ้มตาหยีเมื่อลู่หานพยักหน้ารับก่อนจะผลุบหายไป
ตามมาด้วยร่างสูงของอู๋อี้ฟานที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของลู่หาน
คิ้วเข้มของลู่หานขมวดเข้าหากันเมื่อด้านหลังของอู๋อี้ฟานมีร่างของคนคุ้นหน้าเดินตามเข้ามาด้วยใบหน้างอหงิก
ปาร์คชานยอลเดินตามร่างสูงของอู๋ฟานเข้ามาในห้องทำงานของศัตรูหมายเลขหนึ่ง
(ในอดีต)
ตากลมโตตวัดมามองหน้าลู่หานแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะเดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวในสุดแล้วหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นไม่ทักทายลู่หานสักคำ
อู๋ฟานมองตามร่างคนแสนงอนแล้วยิ้มมุมปากไม่ถือสาอาการไม่พอใจของร่างสูงโปร่งเท่าไหร่นัก
พอๆ กับลู่หานที่ถึงแม้จะแปลกใจว่าเหตุใดปาร์คชานยอลกับรุ่นพี่คนสนิทถึงมาหาเขาพร้อมๆ
กันได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป เจ้าของฉายามาเฟียเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับลู่หานที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน
“ฉันแวะเอานี่มาให้”
อู๋ฟานยื่นซองสีน้ำตาลไปให้ลู่หาน ในซองเป็นข้อมูลความลับที่ได้มาจากสายของอู๋ฟานที่ส่งเข้าไปเป็นสายในเอ็กซ์คอปอเรชั่นบริษัทของเสี่ยวฮุ่ยหยางตามคำขอของลู่หาน
“ทำงานเร็วดี”
ลู่หานเลิกคิ้ว มุมปากยักยกยิ้มพลางเปิดซองเอกสารดูอย่างพึงพอใจ
ฝีมือระดับคนของตระกูลอู๋น่าชื่นชมจริงๆ
“แล้วนี่ฮันคยองกับคิมบอมไปไหน
ปกติจะยืนทำหน้าเคร่งอยู่หน้าห้องแกตลอด” อู๋ฟานนั่งเอนหลังพิงผนักเก้าอี้
ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาไขว่อีกข้าง มือสองข้างประสานกันอยู่ที่หัวเข่าด้านบน
“ผมให้ไปตรวจงานแทนที่สาขา
ลูกน้องผมรายงานว่ามีพวกหมาลอบกัดมาปล่อยข่าวให้โรงแรมที่เปิดใหม่ได้รับความเสียหาย
วันนี้ผมมีประชุมสำคัญปลีกตัวไปไม่ได้ เลยส่งสองคนนั้นให้ไปแทน” ลู่หานตอบ
สายตายังคงไล่อ่านเอกสารในมือ
“สองคนเลยว่างั้น”
อู๋ฟานเดาะลิ้นข้างกระพุ้งแก้มอย่างรู้ทัน ลู่หานร้องหึในลำคอ
ถ้ามันมาลอบกัดแค่แห่งเดียวเขาก็คงไม่ต้องส่งลูกจ้างมือหนึ่งทั้งสองคนไปพร้อมๆ กัน
แต่นี่มันดันลอบกัดพร้อมกันทีเดียวถึงสี่ที่!!
แล้วแต่ละที่
แม่งไกลกันฉิบหาย
“ข่าวของพี่เร็วจะตายไป
เรื่องอะไรต้องมาถามข่าวที่รู้อยู่แล้ว” อู๋ฟานหัวเราะหึๆ
เมื่อโดนรุ่นน้องคนสนิทแขวะเข้าให้ ก็แหม คนมันกำลังอารมณ์ดี
(ที่ลากปาร์คชานยอลไปไหนมาไหนด้วยได้) แค่แซวเล่นแค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้
“พวกมันสะใจได้ไม่นานหรอก
ได้ยินว่ากำลังวิ่งระดมทุนกันให้วุ่นนี่” ลู่หานพยักหน้ารับน้อยๆ
ก่อนจะเหลือบมองรุ่นพี่คนสนิทแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ
“ก็พี่เล่นใช้เส้นเข้าไปแทรกแซงอำนาจของรัฐบาลรัสเซียแบบนี้
จะไม่ให้ทางนั้นเจอปัญหาได้ยังไง เป็นผมก็คงต้องปวดหัววิ่งเต้นเหมือนกัน”
เป็นอีกครั้งที่ลู่หานนึกหมั่นไส้ไอ้รุ่นพี่มาเฟียตรงหน้า
แม้จะรู้จักนิสัยใจคอกันดีว่าอู๋ฟานไม่ใช่คนที่เล่นอยู่ในเกม
ไม่ได้ขาวสะอาดเพราะอาชีพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
แต่การใช้อำนาจของตัวเองเข้าไปแทรกแซงธุรกิจค้าอาวุธของรัสเซียทำให้เสี่ยวฮุ่ยหยางเสียผลประโยชน์มหาศาล
จนต้องวิ่งเต้นเร่งหาวิธีต่างๆ นาๆ มาระดมทุนเพื่อให้การเงินของบริษัทมีสภาพคล่องเหมือนเดิม
แต่กว่าสภาพการเงินของเสี่ยวฮุ่ยหยางจะกลับมามั่นคงดังเดิมได้ น้าชายของลู่หานคงเลือดตาแทบกระเด็น
“ก็แค่หาอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่ามาวางเดิมพัน”
อู๋ฟานยักไหล่ ไม่ได้สำนึกเลยว่ากำลังลากเอาอำนาจมืดของตัวเองออกมาใช้ส่วนตัวเพื่อช่วยให้งานของลู่หานสำเร็จง่ายขึ้น
อีกอย่างเขาก็อยากวิ่งไล่จับพวกหมาลอบกัดนั่นเข้ากรงเต็มกลืนเพราะเบื่อจะเล่นเกมด้วย
หลังจากนั้นจะได้เดินหน้ารุกปาร์คชานยอลเต็มกำลังเสียที
ไม่ต้องมาพะวงว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลต่อร่างโปร่งที่เขาพามาด้วยเมื่อไหร่ จะเล่นทั้งทีก็ต้องฮุคขวาหนักๆ
ใส่อีกฝ่ายให้เสียท่าไปเลย
แบบนี้สิถึงจะสมศักดิ์ศรีหน่อย
“ว่าแต่พี่ไปทำยังไง
ทางนั้นถึงได้ยอมร่วมมือ” ลู่หานถามในสิ่งที่คาใจ ถ้าบอกว่าอยู่ดีๆ
แค่อำนาจของตระกูลอู๋ข่มขู่ ไม่มีทางที่ทางจะข่มอำนาจของรัฐบาลรัสเซียได้
ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
“ก็...แค่มีข้อตกลงที่มันดีลกันได้พอดี”
อู๋ฟานเหลือบมามองหน้าลู่หาน ลู่หานถอนหายใจเบาๆ ให้ตายสิ คิดไว้แล้วเชียว
หวังว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลกหรอกนะ
งานแต่ละอย่างที่รัฐบาลรัสเซียอยากได้น่ะ มันเคยธรรมดาสามัญเสียที่ไหนกันล่ะ!!
“ไม่มีอะไรกระทบนายหรอกน่า”
อู๋ฟานเอ่ยสำทับขำๆ เมื่อเห็นสีหน้าของลู่หาน สิ่งที่เขาตกลงแลกเปลี่ยนน่ะไม่กระทบกับลู่หานแน่ข้อนี้เขามั่นใจ
แต่จะกระเทือนถึงศัตรูของรัสเซียหรือเปล่า
อันนี้ก็ขึ้นอยู่ระบบป้องกันของทางนั้นแล้วล่ะ ไม่ใช่หน้าของเขาที่จะต้องกลุ้มใจแทนสักหน่อย
“อย่าสนุกจนเพลินก็แล้วกันครับ”
ลู่หานพูดปลงๆ
ด้วยรู้นิสัยกล้าได้กล้าเสี่ยงของรุ่นพี่คนสนิทพร้อมเก็บเอกสารใส่ซองไว้ตามเดิม
ไม่ลืมที่จะเก็บมันไว้ในกระเป๋าทำงานที่พกติดตัวตลอดทันทีเพื่อป้องกันการสูญหายหรืออาจรั่วไหลออกไป
เจ้าของฉายามาเฟียไม่ตอบรับหรือปฎิเสธสิ่งที่รุ่นน้องคนสนิทกล่าวแขวะ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ลู่หานอีกนิดก่อนจะเอ่ยถามด้วยดวงตาพราวระยับอย่างคนชอบความตื่นเต้น
“แผนต่อไปของนายคืออะไร”
ลู่หานเลิกคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับรุ่นพี่คนสนิท
“ได้เวลาที่ท่านผู้ว่าการเชวจองฮุนจะตอบแทนอะไรผมบ้างแล้วล่ะ”
พูดจบอู๋ฟานที่ได้ชื่อว่าเป็นเสือยิ้มยากก็หัวเราะลั่นเพราะชอบใจใจความแสบของรุ่นน้องคนสนิท
เพราะเชวจองฮุนที่ลู่หานเอ่ยถึงก็คืนที่ลู่หานผลักดันขึ้นไปถึงตำแหน่งผู้ว่าการติดต่อกันถึงสองสมัยแล้ว
เขาจะคอยดูไอ้คนที่มันเคยทะนงตนว่าตัวเองเป็นเสือ ในตอนที่มันวิ่งวุ่นอยู่ในกรงที่ถูกปิดตายไม่มีทางออก
อยากรู้จริงๆ ว่ามันจะแก้เกมยังไง
“ผมว่าพี่กลับได้แล้วนะ
ก่อนที่คนที่พี่พามาด้วยจะอาละวาด”
ลู่หานเหลือบมองปาร์คชานยอลที่นั่งอยู่มุมห้องก่อนจะเอ่ยปากเตือนอู๋ฟานกลายๆ
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไอ้รุ่นพี่ตรงหน้าแค่อยากยั่วโมโหร่างสูงโปร่งนั่นด้วยการนั่งสนทนากับเขา
โดยแสร้งทำเป็นลืมว่าพาใครบางคนมาด้วย
“หึๆ”
อู๋ฟานยิ้มรับข้อกล่าวหาที่ลู่หานส่งมาทางสายตา
“งั้นฉันไปล่ะ”
เมื่ออู๋ฟานลุกขึ้น
ปาร์คชานยอลก็ลุกขึ้นตาม ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวยาวๆ ออกจากห้องไปก่อนอู๋ฟาน
ใบหน้าขาวเชิ่ดขึ้นไม่เอ่ยลาลู่หานเหมือนตอนมาที่ไม่เอ่ยทักทายผู้เป็นเจ้าของห้อง
อู๋ฟานมองตามร่างโปร่งของชานยอลพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างนึกเอ็นดู
ลู่หานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจอาการของเพื่อนร่วมห้องเมื่อครู่
ใบหน้าหล่อยังไล่สายตาอ่านเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ
พร้อมกับเอ่ยสั่งงานโดคยองซูทางอินเตอร์โฟนไปพร้อมๆ กัน จนเวลาล่วงเลยเกินเวลาเลิกงาน
โดคยองซูเคาะประตูเข้ามาขอตัวกลับลู่หานถึงได้สติเหลือบมองเข็มนาฬิกา แต่เนื่องจากเอกสารที่ยังกองอยู่บนโต๊ะยังมีอีกมากทำให้เขาตัดใจอยู่เคลียร์ต่อให้เสร็จ
กว่าจะได้กลับบ้านเวลาก็ล่วงเลยไปถึงตีหนึ่ง กลับถึงบ้านซิ่วหมินก็หลับไปแล้ว
เช้าอีกวันลู่หานจึงเดินลงมาหาคนรักที่น่าจะกำลังยุ่งอยู่ในครัว
“ชู่ว” ลู่หานยกนิ้วขึ้นแตะปาก
ส่งสัญญาณให้แม่บ้านอย่าส่งเสียงและให้ออกไปจากบริเวณนี้
แม่บ้านค่อมหัวให้ลู่หานก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป
ในครัวจึงเหลือเพียงคนร่างเล็กที่กำลังยืนหันหลังใช้ทัพพีคนหม้อบนเตา
ไม่รับรู้การมาของใครอีกคน
“ใกล้ได้เวลาที่ลู่หานจะตื่นแล้ว
หมินว่าเราตั้งโต๊ะเลยก็ดีนะครับพี่จีซู” ปากเล็กขยับพูด
มือยังสาละวนอยู่กับการเติมเครื่องปรุง
หมับ…
“อ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ”
ซิ่วหมินสะดุ้งเล็กๆ เมื่อโดนสวมกอดจากทางด้านหลัง
ก่อนจะรู้ตัวคนประทุษร้ายด้วยการกอดหลังจากโดนขโมยหอมแก้มไปอีกที
“อือฮึ รีบตื่นมากอดหมินยังไงล่ะเมื่อคืนยังกอดไม่พอเลย”
ลู่หานพยักหน้ารับคำ ใบหน้าหล่อวางอยู่บนไหล่ของคนรัก
ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูกับข้าวที่อยู่บนเตา
“หอมมากแต่ไม่เท่ากับคนนี้”
ว่าแล้วก็ฉวยริมฝีปากกดลงบนหลังคอของซิ่วหมิน
จนคนโดนลวนลามหลุดหัวเราะเพราะจั๊กจี้
“เมื่อเช้าพี่แทจุนโทรมาถามว่างานคุณเป็นยังไงบ้าง”
ซิ่วหมินถามเรื่องงานตามปกติ พร้อมกับตักแกงขึ้นมาชิม
เมื่อได้รสชาติที่พอใจแล้วก็ยื่นมือไปปิดเตาแก๊ส โดยมีลู่หานอาสายกหม้อน้ำซุปมาวางพักไว้บนโต๊ะ
“กำลังไปได้สวยเลย
ผมโชคดีที่รู้จักคนเก่งๆ หลายคน ฝากขอบคุณพี่แทจุนด้วยนะที่เป็นห่วง แต่ผมเอาอยู่”
ซิ่วหมินพยักหน้ารับยิ้มๆ
“ช่วงนี้หมินติดต่อไอ้ชานยอลไม่ค่อยได้เลย
ไม่รู้มันหายหัวไปไหน” ซิ่วหมินขยับไปหั่นผักใส่จาน
ก่อนจะยื่นให้ลู่หานเพื่อนำไปวางไปที่โต๊ะอาหาร ลู่หานชะงักมือ
“อาจจะยุ่งๆ
เรื่องงานล่ะมั้ง” ตอบเสร็จก็เดินไปทันที ลู่หานได้แต่ถอนหายใจจะให้บอกซิ่วหมินว่ายังไงในเมื่อเขารู้อยู่เต็มอกว่าปาร์คชานยอลกำลังโดนรุ่นพี่คนสนิทของเขาตามจีบ
ไม่ใช่จีบธรรมดา
เรียกว่าจีบแบบรุกฆาตจะดีกว่า
เอาเป็นว่าถ้าเป็นไปตามที่เขาคิด
ไม่ว่าจะยังไงปาร์คชานยอลก็หนีไม่รอด
(แม้จะอยากหนีแค่ไหนก็ตาม) เพราะมาเฟียใหญ่เขาหมายหัวเอาไว้แล้ว
ดูท่านายหญิงของตระกูลอู๋คงหนีไม่พ้นคนใกล้ตัวของซิ่วหมินนี่แหละ
“อื่อ หมินมีอะไรจะปรึกษาคุณด้วย”
ลู่หานเงยหน้ามองซิ่วหมินก่อนจะพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ
“หมินว่าจะร่วมหุ้นเปิดร้านกาแฟกับลูกของเพื่อนคุณม๊า
คุณคิดว่ายังไง หลังจากเรียนจบมาหมินก็ช่วยคุณป๊าคุณม๊าทำงานบ้าง
แต่หมินรู้สึกว่ามันยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ไม่ใช่ว่าการอยู่ดูแลคุณมันไม่ดีนะ
แต่ในเมื่อมีโอกาสหมินก็เลยคิดว่าจะลองทำดู อีกอย่างก็เป็นแนวถนัดของหมินด้วย”
ปากเล็กค่อยๆ อธิบายให้คนรักฟังถึงที่มาที่ไปและเหตุผลที่เขาอยากทำร้านกาแฟ
ปกติทุกวันพุธและวันศุกร์ซิ่วหมินจะเข้าบริษัทของที่บ้านเพื่อไปช่วยดูแบบของเพชรและจิวเวอรี่
ซึ่งซิ่วหมินรับหน้าที่เป็นคนตรวจสอบและตัดสินใจในการเลือกแบบเพื่อผลิตขายในแต่ละรุ่น
รวมถึงบางครั้งจะช่วยคิมแทจุนผู้เป็นพี่ชายติดต่อประสานงานกับลูกค้า
แต่นับว่าน้อยครั้งงานที่เขาจะถูกเรียกให้ไปทำหน้าที่นี้
นอกนั้นอีกห้าวันเป็นเวลาของลู่หาน
“ผู้ร่วมหุ้นเป็นใครครับ”
ลู่หานเริ่มเปิดปากถาม เล่นเอาซิ่วหมินหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกสายตาของลู่หานจับจ้อง
“คุณจำชินจีมินได้มั้ย
ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมคณะของหมินไง” ลู่หานพยักหน้ารับ เมื่อนึกถึงบุคคลที่ซิ่วหมินเอ่ยถึง
จากที่เขารู้จักอีกฝ่ายชินจีมินเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง
แม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยมากแต่ก็เป็นคนที่ขยันตั้งใจทำงาน ถึงแม้ในใจลึกๆ
ลู่หานอยากเอ่ยปากปฏิเสธความคิดนี้เพราะไม่ต้องการให้ซิ่วหมินตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น
แต่ในฐานะของคนรักเขาไม่ควรจะหยิบเอาความหึงหวงไร้สาระมาปิดกั้นความตั้งใจของอีกฝ่าย
เหมือนกับที่ซิ่วหมินคอยสนับสนุนอยู่ข้างกายเขามาตลอด
“ถ้าหมินอยากทำจริงๆ จะลองดูก่อนก็ได้
ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็รีบบอกนะ” เป็นอันว่าได้รับอนุญาตจากลู่หาน
ซิ่วหมินยิ้มรับที่คนรักสนับสนุนความคิดของเขา
ทั้งคู่ใช้เวลาในการทานอาหารเช้าด้วยกัน
มีซิ่วหมินทำหน้าที่เป็นคนตักข้าวใส่จานและมีลู่หานคอยทำหน้าที่เป็นลูกมือคอยตักกับข้าวใส่จานให้คนรัก
มีบ้างที่ลู่หานจะเล่าถึงเรื่องงานคร่าวๆ
ให้ฟังโดยที่ซิ่วหมินก็ทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดี ออกความเห็นบ้างในบางครั้ง เมื่ออิ่มคนตัวขาวจึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านระหว่างรอลู่หาน
“เสี่ยวฮุ่ยหยาง ซีอีโอแห่งเอ็กซ์คอร์ปเรชั่นกำลังตกที่นั่งลำบากเมื่อมีข่าวลือว่าเขาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อบังหน้า
แต่แท้จริงแล้วมีเอี่ยวกับกระบวนการค้าประเวณีและค้าอาวุธเถื่อน
โดยแหล่งข่าววงในรายงานว่า...”
ซิ่วหมินเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นเนื้อข่าวที่เด่นหราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ชื่อดัง
รายงานข่าวของน้าชายคนเดียวของลู่หาน
“ลู่หาน คุณดูข่าวนี้สิ”
ซิ่วหมินยื่นหนังสือพิมพ์ให้คนรักดู
นิ้วเรียวชี้ไปที่พาดหัวข่าวที่ใหญ่ที่สุดในหน้าหนังสือพิมพ์
ลู่หานเลิกคิ้วก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูอย่างสนใจ
เจ้าของใบหน้าหล่อปรายตามองเนื้อข่าว แล้วอมยิ้มน้อยๆ ก่อนรอยยิ้มจะจางหายไปเป็นปกติเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของใบหน้าขาวตรงหน้า
“อย่าสนใจเลย”
ลู่หานเอ่ยบอกคนรักด้วยท่าทางปกติ ซิ่วหมินพยักหน้ารับงึกงักแล้วบ่นกับตัวเองเบาๆ
ว่าเวรกรรมมีจริง ตอนนี้น้าชายของลู่หานกำลังรับผลกรรมที่ก่อไว้แล้ว
ลู่หานรับฟังเงียบๆ ก่อนจะพึมพำในใจ
ถึงเวรกรรมมันจะตามเสี่ยวฮุ่ยหยางมาไม่ทัน
เขานี่แหละจะเป็นตัวเร่งให้มันตามมาทันเอง!
+++++++++++++++++++++++
ด้านอู๋ฟานหลังจากเดินตามคนร่างโปร่งหน้างอออกจากห้องทำงานของลู่หานที่เดินไปข้างหน้าโดยไม่รอเขาก็ก้าวไวๆ
เมื่อปาร์คชานยอลกำลังจะก้าวออกจากประตูแล้วคว้าเอาข้อมือขาวนั่นไว้ข้างหนึ่ง
“จะรีบไปไหน”
“ยุ่ง” ปาร์คชานยอลตอบกลับเสียงหงุดหงิด
พยายามดึงมือกลับแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออู๋ฟานกำเอาไว้แน่นกว่าเดิม
“อย่างอนเลยน่า ฉันไม่ได้ลืมสักหน่อยว่าพาเธอมาด้วย”
อู๋ฟานเอ่ยเย้าคนหน้าหวานที่ทำหน้ายุ่งใส่เขา
ปาร์คชานยอลกัดปากฉับพร้อมกับทำตาขวางเมื่อโดนจี้ใจดำ
“ใครงอน อย่ามั่ว” อู๋ฟานเลิกคิ้ว
เพราะเสียงคนที่บอกว่าไม่ได้งอนนั้นช่างสวนทางกับคำปฏิเสธซะเหลือเกิน
“โอเค...ไม่ได้งอนก็ไม่ได้งอน
ถ้าอย่างนั้นก็เลิกทำหน้ายุ่งเสียทีสิ” คนที่เป็นฝ่ายแกล้งก่อนจึงเป็นฝ่ายอ่อนลงให้ก่อน
ปาร์คชานยอลกัดปากฉับ หนอย...ไอ้มาเฟียขี้เก็กคิดว่าง้อแค่นี้แล้วจะหายรึไง ฝันไปเหอะ!
“ปล่อย หมดอารมณ์จะไปกินข้าวแล้ว
แยกย้ายกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน”
เจ้าของร่างโปร่งพูดออกมาเสียงแข็งพยายามจะดึงมือตัวเองกลับ อู๋ฟานจะขำก็ขำไม่ออก
ให้ตายเถอะน่าตีจริงๆ เลย เวลางอนนี่ไม่ต่างกับเด็กสองขวบ ถ้าไม่บอกว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือทองนี่เขาไม่เชื่อจริงๆ
“หื้ม จะกลับได้ยังไง
จื่อเทาเอารถมารอแล้ว”
พูดจบคนตัวสูงกว่าก็เป็นฝ่ายออกแรงดึงมือปาร์คชานยอลให้ก้าวตามไปยังทิศทางของรถหรูที่วิ่งเข้ามาจอดเทียบก่อนจะดันร่างสูงโปร่งของคนหน้าหงิกให้เข้าไปก่อน
แล้วตามเข้าไปนั่งทันที
จื่อเทาโค้งให้ผู้เป็นนายก่อนจะปิดประตูแล้วก้าวขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ
“คราวหลังไม่ต้องลากกูมาด้วยเลยนะ”
ปาร์คชานยอลพูดขึ้นเมื่อทั้งคันตกอยู่ในความเงียบ พร้อมกำมือแน่น
เจ้าของฉายามาเฟียเหลือบมองก่อนจะยื่นมือของตัวเองไปกุมมือของชานยอลไว้โดยไม่พูดอะไร
การกระทำอ่อนโยนนี้กระตุกใจของปาร์คชานยอลอย่างจัง
“พูดต่อสิ”
“จะให้พูดอะไรในเมื่อมึงเองก็ตั้งใจจะทำอย่างนี้อยู่แล้ว!”
ปาร์คชานยอลโพล่งออกมาในสิ่งที่ทำให้เขาอัดอั้นตันใจ
เขาสู้อุตส่าห์อดทนทำหน้าตายเดินตามอู๋ฟานเข้าไปในห้องของลู่หานเพราะอีกคนบอกว่าแค่จะแวะเอาเอกสารสำคัญมาให้ลู่หานแล้วจะกลับ
บอกตามตรงแม้ทีแรกจะทำใจไว้แล้วกับสายตาแปลกใจของลู่หาน
แต่คนเข้มแข็งอย่างปาร์คชานยอลก็ไม่ได้เข้มแข็งไปทุกเรื่องหรอกนะ!
“งั้นบอกฉันมาสิว่าวันนี้เธอรู้สึกยังไง
ไม่พอใจ โกรธ เสียหน้าหรือว่าอาย”
“...” ปาร์คชานยอลเงียบสนิท
เมื่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าไอ้มาเฟียมันรู้ทันความคิดของเขาทุกเรื่อง
และที่มันทำก็เพราะตั้งใจจะลองใจเขาด้วยเหมือนกัน เออ ไอ้คนเจ้าเล่ห์!!
อู๋ฟานขยับเข้าไปชิดปาร์คชานยอลที่นั่งติดอีกฝั่งจนถอยหนีไม่ได้
มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นมาเชยคางปาร์คชานยอลให้สบตากับตัวเอง
“ถ้าเธอไม่บอก
ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอรู้สึกยังไง”
“ว่าแต่คนอื่นแล้วทีตัวเองล่ะ”
ปาร์คชานยอลอดไม่ได้ที่จะสวนกลับทันที แม้จะเกรงกลัวอีกคนอยู่ไม่น้อยก็ตาม
อู๋ฟานขมวดคิ้วเมื่อเข้าใจในความหมายที่ปาร์คชานยอลต้องการจะสื่อถึงแม้จะคนละประเด็นกับสิ่งที่เขาถาม
“ที่ฉันทำไปทั้งหมดยังไม่ชัดเจนอีกเหรอว่าฉันชอบเธอ...”
“...แล้วเธอล่ะรู้สึกยังไง?”
เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลปิดปากสนิท
ไม่รู้ว่าช็อกเพราะเพิ่งโดนสารภาพรักหรือช็อกเพราะโดนฮุคกลับด้วยคำถามจากอู๋ฟาน
ยังไม่ทันที่สมองของปาร์คชานยอลจะได้ทบทวนความรู้สึกภายในใจ จู่ๆ
ทุกอย่างก็ขาวโพลนเมื่อเจ้าของฉายามาเฟียฉวยริมฝีปากลงมาปิดทับริมฝีปากของปาร์คชานยอล
มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นไปรองศีรษะของชานยอลเอาไว้ ก่อนเรียวลิ้นหนาจะถูกส่งเข้าไปเกี่ยวรัดกับเรียวลิ้นเล็กของปาร์คชานยอลที่ค่อยๆ
หลับตารับสัมผัสของอู๋อี้ฟาน
ริมฝีปากของทั้งสองคนยังคงเกี่ยวรัดกันไม่ห่าง
ไม่ได้ร้อนแรงจนแผดเผาทุกอย่าง
แต่ทุกการกระทำเป็นไปอย่างอ่อนโยนทว่าหนักแน่นตราตรึงอยู่ในหัวใจทั้งสองดวง
อู๋ฟานกดจูบที่ริมฝีปากของปาร์คชานยอลหนักๆ
ก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ่อยอิ่งใบหน้าทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงคืบ
อู๋ฟานมองริมฝีปากที่บวมเจ่อของปาร์คชานยอลด้วยความเอ็นดู
พร้อมกับยกมือขึ้นใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำลายตรงมุมปากให้
“ได้คำตอบเมื่อไหร่ สัญญาได้ไหมว่าจะบอกฉันเป็นคนแรก”
กล่าวจบอู๋ฟานก็ขยับกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง
ปล่อยให้ปาร์คชานยอลนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่เซ้าซี้
ขบวนรถของอี้ฟานมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่ปาร์คชานยอลเป็นคนเลือกไว้ตั้งแต่แรก
“ลงมาสิ”
อู๋ฟานเดินไปเคาะประตูฝั่งที่ปาร์คชานยอลนั่ง หลังจากที่รถของเขาจอดสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าอีกคนใจลอยไปถึงไหน
ปาร์คชานยอลสะดุ้งโหยง ก่อนจะกัดปากฉับเมื่อเห็นสายตาขบขันของอู๋ฟาน
อู๋ฟานและปาร์คชานยอลเดินเข้าไปในร้านอาหาร
โดยมีลูกน้องบางส่วนของอู๋ฟานเดินตามหลังเข้ามาด้วย
ตั้งแต่ร่างสูงของมาเฟียก้าวเข้ามาในร้านอาหาร ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นและการแต่งตัวที่บ่งบอกถึงฐานะและสถานภาพทางการเงินก็ทำให้ทุกสายตาต่างจดจ้องไปที่อู๋ฟานทันที
คนโดนจ้องทำเพียงตีหน้าเฉยเดินตามร่างของปาร์คชานยอลเท่านั้นเพราะชินกับการตกเป็นเป้าสายตา
แต่คนที่เดินนำอยู่อย่างปาร์คชานยอลกลับเริ่มอัดอึดและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จะมองทำไมกันนักหนา ไม่เคยเห็นคนรึไง!!
เมื่อหาที่นั่งได้ปาร์คชานยอลก็เป็นฝ่ายสั่งอาหาร
ไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อบรรดาลูกน้องของอู๋ฟานด้วยอย่างเคยชิน
แม้จะเคยปรามาสเอาไว้เกี่ยวกับการที่ต้องมีคนเดินตามเป็นขบวนว่าเป็นสิ่งที่ชวนให้อึดอัดและตกเป็นเป้าสายตา
แต่เพราะต้องพบเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ที่ต้องเสี่ยงชีวิตของอู๋ฟานก็ทำให้เขาเข้าใจและทำใจยอมรับได้อย่างไม่ขัดเขินไปเองโดยอัตโนมัติ
และด้วยความที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นที่รู้จักในวงสังคมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเดินเข้ามาทักทายบ้าง
ถึงแม้จะต้องได้รับอนุญาตจากคนของอู๋ฟานก่อนก็ไม่เป็นอุปสรรค
คนที่เข้ามาทักทายปาร์คชานยอลส่วนใหญ่ก็เป็นแฟนเพลงรวมถึงฝากเนื้อฝากตัวบุตรหลานที่อยากจะก้าวเข้าสู่วงการ
อู๋ฟานก็ทำเพียงนั่งนิ่งพยักหน้ารับการทักทายตามมารยาทโดยไม่เอ่ยขัด ปาร์คชานยอลยิ้มภูมิใจที่ตัวเองเป็นที่รู้จักพลอยทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง
ร่างโปร่งหันไปยักคิ้วให้อู๋ฟาน เจ้าของฉายามาเฟียทำเพียงหัวเราะหึๆ
เมื่ออาหารมาเสิร์ฟปาร์คชานยอลก็ทำการแจกแจงสรรพคุณของอาหารแต่ละอย่างให้อู๋ฟานฟังว่าอร่อยแค่ไหน
เคยมากินแล้วกี่ครั้ง ถ้าจะกินให้อร่อยต้องทานคู่กับอะไร
ไม่แค่นั้นยังลงมือตักให้อู๋ฟานชิมอย่างลืมตัว
“คุณอู๋ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่”
มือของชานยอลที่กำลังตักอาหารหยุดชะงักเงยหน้ามองผู้มาใหม่แล้วหน้าตึง
เมื่อสิ่งที่พบเห็นตรงหน้าคือหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาสวยจัด หุ่นนางแบบสวมชุดทำงานเข้ารูป
มีคนเดินตามมาด้วยสองคนแต่งกายเหมือนบอดี้การ์ด อู๋ฟานเมื่อหันไปเห็นผู้มาใหม่ก็เหลือบมองหน้าชานยอลครู่หนึ่ง
แล้วลุกขึ้นทักทายหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยการเช็คแฮนด์ตามมารยาท
“ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่เหมือนกันเคท”
“ฉันนัดลูกค้าไว้ที่นี่
เห็นคุณเลยเข้ามาทักก่อน ยังหล่อเหมือนเดิมนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเย้าอู๋ฟานด้วยความสนิทสนม
เพราะเคยติดต่อธุรกิจด้วยกันอยู่ช่วงหนึ่ง
“คุณเองยังสวยไม่เปลี่ยน”
อู๋ฟานยิ้มรับคำชมและเอ่ยชมกลับเพราะรู้ถึงนิสัยขี้เล่นของคู่ค้า
แต่ผู้ร่วมโต๊ะอีกคนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ กลับเริ่มฉุนจัด
“ฉันต้องไปก่อนแล้วล่ะค่ะได้เวลานัดแล้ว
ดีใจที่ได้เจอคุณนะคะ” เคทอมยิ้มนิดๆ ตาคมสวยเหลือบมองผู้ร่วมโต๊ะของอู๋ฟาน
ก่อนจะสวมกอดเอ่ยลาตามธรรมเนียม ปากเล็กขยับกระซิบพูดข้างหูอู๋ฟาน
“คุณนี่สเป็คดีไม่เปลี่ยนเลย”
ว่าจบก็ผละออก อู๋ฟานหลุดหัวเราะ ก่อนจะโบกมือลาหญิงสาวที่เดินห่างออกไป
พร้อมกับนั่งลงเป็นเวลาเดียวกับที่ปาร์คชานยอลรวบช้อนแล้วดื่มน้ำเปล่าตาม
“อิ่มแล้วรึไง”
“อืม”
“เป็นอะไรไป ชอบร้านนี้ไม่ใช่เหรอ
ฉันเห็นเธอเพิ่งจะเริ่มทานไปได้นิดเดียว” มาเฟียใหญ่เลิกคิ้วถาม ก็บอกแล้วว่าสายตาของอู๋ฟานแม้จะคุยอยู่กับคนอื่น
แต่ก็คอยมองปาร์คชานยอลอยู่ตลอดเช่นกัน แม้เขาจะรู้สึกดีใจที่อีกคนหึงหวงก็เถอะ
“ก็ใช่ แต่วันนี้ไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่
อาจเพราะหิวมากไปเลยทำให้ทานได้น้อยลงล่ะมั้ง”
เมื่อรู้ตัวว่ากำลังพาลจนอีกฝ่ายจับได้
ปาร์คชานยอลเลยไอ้แต่ตอบกลับเสียงอ้อมแอ้มแล้วนึกด่าตัวเองในใจ
“ลองทานนี่ดูสิ ฉันชิมแล้วอร่อยดี”
อู๋ฟานตักเป็ดตุ๋นไปใส่จานของปาร์คชานยอล
“อื้อ”
แล้วสิ่งที่ปาร์คชานยอลพยายามอดกลั้นมาตลอดก็แตกผึ่งเมื่อมีหญิงสาวรายที่สามเดินมาทักอู๋ฟานถึงโต๊ะ
นี่ยังไม่นับคนที่จื่อเทากันออกไปอีกหลายราย
พอกันที ไม่ทนแล้วโว้ย! เป็นไงก็เป็นกัน คราวนี้ปาร์คชานยอลถึงกับรวบช้อนลงกับจานเสียงดังจนคนที่กำลังสนทนากันอยู่กันมามอง
“โทษทีอิ่มแล้ว มื้อนี้กูเลี้ยงเอง
เจอกันเมื่อชาติต้องการ” ปากอิ่มขยับบอกแล้วหยิบมือถือของตัวเองมาไว้ในมือเตรียมลุกหนี
อู๋ฟานเหลือบมองหน้าปาร์คชานยอลแล้วทำหน้าเข้มขึ้น
จนแขกที่เดินเข้ามาทักต้องรีบเอ่ยขอตัว
“ไม่พอใจอะไร ก่อนจะมาฉันเตือนแล้วนะว่าให้ไปร้านที่ลับตาคนกว่านี้หรือไม่ก็จองห้องวีไอพีไปเลย
แต่เธอไม่ฟังฉันเอง” อู๋ฟานพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ปาร์คชานยอลกัดปากฉับ
เออแล้วไง ใครมันจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะฮอตปรอทแตกขนาดนี้กัน
แล้วไอ้ลูกค้านั่นก็ไม่มีมารยาทเลยรึยังไง คนกำลังกินข้าวเดินมาทักอยู่ได้
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันยังค่ำ
“หึงก็บอกฉันดีๆ สิ” อู๋ฟานถอนหายใจ
ไม่ใช่เพราะรำคาญเพราะเขาพอจะรู้ว่าปาร์คชานยอลมีนิสัยยังไง
แต่ที่ถอนหายใจก็เพราะอาการปากแข็งของอีกคนนั่นต่างหาก
“ใครหึง หลงตัวเองไปหน่อยรึเปล่า”
พูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เมื่อเห็นอู๋ฟานเริ่มหน้าตึง
แม้จะแอบใจเสียแต่ก็ยังทำคางเชิดใส่อีกฝ่ายด้วยความถือทิฐิ
“งั้นก็กลับ” อู๋ฟานตัดบท
แล้วลุกขึ้นยืนทันที ทั้งที่ยังไม่อิ่มด้วยซ้ำ เมื่อเห็นผู้เป็นนายลุกขึ้นยืน
บรรดาลูกน้องที่เหลือก็ลุกขึ้นตามทันทีโดยไม่ต้องออกคำสั่ง
“ยืนนิ่งทำไม ไปสิหรือต้องให้เชิญ”
+++++++++++++++++++++++
Talk :: เอาล่ะหว่า งานนี้แมวกระตุกหนวดเสือ ไม่รู้ฝ่ายไหนจะชนะ ขอโทษที่ปล่อยให้ทุกคนรอนานนะคะ
ความคิดเห็น