ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] Known..แค่รู้ว่ารัก - Lumin, Krisyeol - EXO

    ลำดับตอนที่ #14 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ อำนาจ(มืด)ของมาเฟีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 515
      12
      19 ก.ค. 60





    Known..แค่รู้ว่ารัก  ตอนที่ 13
    By :: เบบี้เยลโล่








    #FicKnown

    - อำนาจ(มืด)ของมาเฟีย 






                ลู่หานเข้าบริษัทตั้งแต่เช้า เพื่อเข้าประชุมเรื่องงบการเงินประจำปีกับฝ่ายบัญชี ต่อด้วยติดตามความคืบหน้าของผลการเติบโตของโรงแรมในเครือไตรมาสที่สองกับระดับผู้บริหารของแต่ละสาขา

     

                ใช้เวลาเกือบครึ่งค่อนวัน กว่าลู่หานจะได้ก้าวออกจากห้องประชุม เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว คนทำงานก็ยังต้องทำงานต่อไป และผู้นำที่มีลูกน้องเกือบพันคนอย่างเสี่ยวลู่หานก็ยึดถือคติลูกน้องทำมากแค่ไหนหัวหน้าต้องทำได้มากกว่า

     

                “เจ้านายครับ...คุณอู๋มาขอพบ จะให้ผมเชิญเข้ามาเลยมั้ยครับ” ลู่หานที่กำลังนั่งตรวจแฟ้มงานลดมือลง ใบหน้าหล่อเงยขึ้นมามองเลขาตัวเล็กที่เคาะประตูก่อนจะโผล่หน้าเข้ามาถาม โดคยองซูยิ้มตาหยีเมื่อลู่หานพยักหน้ารับก่อนจะผลุบหายไป ตามมาด้วยร่างสูงของอู๋อี้ฟานที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของลู่หาน คิ้วเข้มของลู่หานขมวดเข้าหากันเมื่อด้านหลังของอู๋อี้ฟานมีร่างของคนคุ้นหน้าเดินตามเข้ามาด้วยใบหน้างอหงิก

     

                ปาร์คชานยอลเดินตามร่างสูงของอู๋ฟานเข้ามาในห้องทำงานของศัตรูหมายเลขหนึ่ง (ในอดีต) ตากลมโตตวัดมามองหน้าลู่หานแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะเดินเลี่ยงไปทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาตัวในสุดแล้วหยิบมือถือขึ้นมากดเล่นไม่ทักทายลู่หานสักคำ

     

    อู๋ฟานมองตามร่างคนแสนงอนแล้วยิ้มมุมปากไม่ถือสาอาการไม่พอใจของร่างสูงโปร่งเท่าไหร่นัก พอๆ กับลู่หานที่ถึงแม้จะแปลกใจว่าเหตุใดปาร์คชานยอลกับรุ่นพี่คนสนิทถึงมาหาเขาพร้อมๆ กันได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ถามออกไป เจ้าของฉายามาเฟียเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับลู่หานที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะทำงาน

     

                “ฉันแวะเอานี่มาให้” อู๋ฟานยื่นซองสีน้ำตาลไปให้ลู่หาน ในซองเป็นข้อมูลความลับที่ได้มาจากสายของอู๋ฟานที่ส่งเข้าไปเป็นสายในเอ็กซ์คอปอเรชั่นบริษัทของเสี่ยวฮุ่ยหยางตามคำขอของลู่หาน

     

                “ทำงานเร็วดี” ลู่หานเลิกคิ้ว มุมปากยักยกยิ้มพลางเปิดซองเอกสารดูอย่างพึงพอใจ ฝีมือระดับคนของตระกูลอู๋น่าชื่นชมจริงๆ

     

                “แล้วนี่ฮันคยองกับคิมบอมไปไหน ปกติจะยืนทำหน้าเคร่งอยู่หน้าห้องแกตลอด” อู๋ฟานนั่งเอนหลังพิงผนักเก้าอี้ ขาข้างหนึ่งยกขึ้นมาไขว่อีกข้าง มือสองข้างประสานกันอยู่ที่หัวเข่าด้านบน

     

                “ผมให้ไปตรวจงานแทนที่สาขา ลูกน้องผมรายงานว่ามีพวกหมาลอบกัดมาปล่อยข่าวให้โรงแรมที่เปิดใหม่ได้รับความเสียหาย วันนี้ผมมีประชุมสำคัญปลีกตัวไปไม่ได้ เลยส่งสองคนนั้นให้ไปแทน” ลู่หานตอบ สายตายังคงไล่อ่านเอกสารในมือ

     

                “สองคนเลยว่างั้น” อู๋ฟานเดาะลิ้นข้างกระพุ้งแก้มอย่างรู้ทัน ลู่หานร้องหึในลำคอ ถ้ามันมาลอบกัดแค่แห่งเดียวเขาก็คงไม่ต้องส่งลูกจ้างมือหนึ่งทั้งสองคนไปพร้อมๆ กัน แต่นี่มันดันลอบกัดพร้อมกันทีเดียวถึงสี่ที่!!

     

                แล้วแต่ละที่ แม่งไกลกันฉิบหาย

     

                “ข่าวของพี่เร็วจะตายไป เรื่องอะไรต้องมาถามข่าวที่รู้อยู่แล้ว” อู๋ฟานหัวเราะหึๆ เมื่อโดนรุ่นน้องคนสนิทแขวะเข้าให้ ก็แหม คนมันกำลังอารมณ์ดี (ที่ลากปาร์คชานยอลไปไหนมาไหนด้วยได้) แค่แซวเล่นแค่นี้ทำเป็นจริงจังไปได้

     

                “พวกมันสะใจได้ไม่นานหรอก ได้ยินว่ากำลังวิ่งระดมทุนกันให้วุ่นนี่” ลู่หานพยักหน้ารับน้อยๆ ก่อนจะเหลือบมองรุ่นพี่คนสนิทแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าอ่านเอกสารต่อ

     

                “ก็พี่เล่นใช้เส้นเข้าไปแทรกแซงอำนาจของรัฐบาลรัสเซียแบบนี้ จะไม่ให้ทางนั้นเจอปัญหาได้ยังไง เป็นผมก็คงต้องปวดหัววิ่งเต้นเหมือนกัน” เป็นอีกครั้งที่ลู่หานนึกหมั่นไส้ไอ้รุ่นพี่มาเฟียตรงหน้า แม้จะรู้จักนิสัยใจคอกันดีว่าอู๋ฟานไม่ใช่คนที่เล่นอยู่ในเกม ไม่ได้ขาวสะอาดเพราะอาชีพที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่การใช้อำนาจของตัวเองเข้าไปแทรกแซงธุรกิจค้าอาวุธของรัสเซียทำให้เสี่ยวฮุ่ยหยางเสียผลประโยชน์มหาศาล จนต้องวิ่งเต้นเร่งหาวิธีต่างๆ นาๆ มาระดมทุนเพื่อให้การเงินของบริษัทมีสภาพคล่องเหมือนเดิม แต่กว่าสภาพการเงินของเสี่ยวฮุ่ยหยางจะกลับมามั่นคงดังเดิมได้ น้าชายของลู่หานคงเลือดตาแทบกระเด็น

     

                “ก็แค่หาอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่ามาวางเดิมพัน” อู๋ฟานยักไหล่ ไม่ได้สำนึกเลยว่ากำลังลากเอาอำนาจมืดของตัวเองออกมาใช้ส่วนตัวเพื่อช่วยให้งานของลู่หานสำเร็จง่ายขึ้น อีกอย่างเขาก็อยากวิ่งไล่จับพวกหมาลอบกัดนั่นเข้ากรงเต็มกลืนเพราะเบื่อจะเล่นเกมด้วย หลังจากนั้นจะได้เดินหน้ารุกปาร์คชานยอลเต็มกำลังเสียที ไม่ต้องมาพะวงว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลต่อร่างโปร่งที่เขาพามาด้วยเมื่อไหร่ จะเล่นทั้งทีก็ต้องฮุคขวาหนักๆ ใส่อีกฝ่ายให้เสียท่าไปเลย

     

                แบบนี้สิถึงจะสมศักดิ์ศรีหน่อย

     

                “ว่าแต่พี่ไปทำยังไง ทางนั้นถึงได้ยอมร่วมมือ” ลู่หานถามในสิ่งที่คาใจ ถ้าบอกว่าอยู่ดีๆ แค่อำนาจของตระกูลอู๋ข่มขู่ ไม่มีทางที่ทางจะข่มอำนาจของรัฐบาลรัสเซียได้ ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด

     

                “ก็...แค่มีข้อตกลงที่มันดีลกันได้พอดี” อู๋ฟานเหลือบมามองหน้าลู่หาน ลู่หานถอนหายใจเบาๆ ให้ตายสิ คิดไว้แล้วเชียว หวังว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลกหรอกนะ งานแต่ละอย่างที่รัฐบาลรัสเซียอยากได้น่ะ มันเคยธรรมดาสามัญเสียที่ไหนกันล่ะ!!

     

                “ไม่มีอะไรกระทบนายหรอกน่า” อู๋ฟานเอ่ยสำทับขำๆ เมื่อเห็นสีหน้าของลู่หาน สิ่งที่เขาตกลงแลกเปลี่ยนน่ะไม่กระทบกับลู่หานแน่ข้อนี้เขามั่นใจ แต่จะกระเทือนถึงศัตรูของรัสเซียหรือเปล่า อันนี้ก็ขึ้นอยู่ระบบป้องกันของทางนั้นแล้วล่ะ ไม่ใช่หน้าของเขาที่จะต้องกลุ้มใจแทนสักหน่อย

     

                “อย่าสนุกจนเพลินก็แล้วกันครับ” ลู่หานพูดปลงๆ ด้วยรู้นิสัยกล้าได้กล้าเสี่ยงของรุ่นพี่คนสนิทพร้อมเก็บเอกสารใส่ซองไว้ตามเดิม ไม่ลืมที่จะเก็บมันไว้ในกระเป๋าทำงานที่พกติดตัวตลอดทันทีเพื่อป้องกันการสูญหายหรืออาจรั่วไหลออกไป เจ้าของฉายามาเฟียไม่ตอบรับหรือปฎิเสธสิ่งที่รุ่นน้องคนสนิทกล่าวแขวะ ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ลู่หานอีกนิดก่อนจะเอ่ยถามด้วยดวงตาพราวระยับอย่างคนชอบความตื่นเต้น

     

                “แผนต่อไปของนายคืออะไร”

     

                ลู่หานเลิกคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปสบตากับรุ่นพี่คนสนิท

     

                “ได้เวลาที่ท่านผู้ว่าการเชวจองฮุนจะตอบแทนอะไรผมบ้างแล้วล่ะ” พูดจบอู๋ฟานที่ได้ชื่อว่าเป็นเสือยิ้มยากก็หัวเราะลั่นเพราะชอบใจใจความแสบของรุ่นน้องคนสนิท เพราะเชวจองฮุนที่ลู่หานเอ่ยถึงก็คืนที่ลู่หานผลักดันขึ้นไปถึงตำแหน่งผู้ว่าการติดต่อกันถึงสองสมัยแล้ว เขาจะคอยดูไอ้คนที่มันเคยทะนงตนว่าตัวเองเป็นเสือ ในตอนที่มันวิ่งวุ่นอยู่ในกรงที่ถูกปิดตายไม่มีทางออก อยากรู้จริงๆ ว่ามันจะแก้เกมยังไง

     

                “ผมว่าพี่กลับได้แล้วนะ ก่อนที่คนที่พี่พามาด้วยจะอาละวาด” ลู่หานเหลือบมองปาร์คชานยอลที่นั่งอยู่มุมห้องก่อนจะเอ่ยปากเตือนอู๋ฟานกลายๆ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าไอ้รุ่นพี่ตรงหน้าแค่อยากยั่วโมโหร่างสูงโปร่งนั่นด้วยการนั่งสนทนากับเขา โดยแสร้งทำเป็นลืมว่าพาใครบางคนมาด้วย

     

                “หึๆ” อู๋ฟานยิ้มรับข้อกล่าวหาที่ลู่หานส่งมาทางสายตา

     

                “งั้นฉันไปล่ะ”

     

                เมื่ออู๋ฟานลุกขึ้น ปาร์คชานยอลก็ลุกขึ้นตาม ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวยาวๆ ออกจากห้องไปก่อนอู๋ฟาน ใบหน้าขาวเชิ่ดขึ้นไม่เอ่ยลาลู่หานเหมือนตอนมาที่ไม่เอ่ยทักทายผู้เป็นเจ้าของห้อง อู๋ฟานมองตามร่างโปร่งของชานยอลพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างนึกเอ็นดู

     

                ลู่หานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสนใจอาการของเพื่อนร่วมห้องเมื่อครู่ ใบหน้าหล่อยังไล่สายตาอ่านเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับเอ่ยสั่งงานโดคยองซูทางอินเตอร์โฟนไปพร้อมๆ กัน จนเวลาล่วงเลยเกินเวลาเลิกงาน โดคยองซูเคาะประตูเข้ามาขอตัวกลับลู่หานถึงได้สติเหลือบมองเข็มนาฬิกา แต่เนื่องจากเอกสารที่ยังกองอยู่บนโต๊ะยังมีอีกมากทำให้เขาตัดใจอยู่เคลียร์ต่อให้เสร็จ กว่าจะได้กลับบ้านเวลาก็ล่วงเลยไปถึงตีหนึ่ง กลับถึงบ้านซิ่วหมินก็หลับไปแล้ว

               

                เช้าอีกวันลู่หานจึงเดินลงมาหาคนรักที่น่าจะกำลังยุ่งอยู่ในครัว “ชู่ว” ลู่หานยกนิ้วขึ้นแตะปาก ส่งสัญญาณให้แม่บ้านอย่าส่งเสียงและให้ออกไปจากบริเวณนี้ แม่บ้านค่อมหัวให้ลู่หานก่อนจะค่อยๆ ถอยออกไป ในครัวจึงเหลือเพียงคนร่างเล็กที่กำลังยืนหันหลังใช้ทัพพีคนหม้อบนเตา ไม่รับรู้การมาของใครอีกคน

     

                “ใกล้ได้เวลาที่ลู่หานจะตื่นแล้ว หมินว่าเราตั้งโต๊ะเลยก็ดีนะครับพี่จีซู” ปากเล็กขยับพูด มือยังสาละวนอยู่กับการเติมเครื่องปรุง

     

                หมับ

     

                “อ๊ะ ตื่นแล้วเหรอ” ซิ่วหมินสะดุ้งเล็กๆ เมื่อโดนสวมกอดจากทางด้านหลัง ก่อนจะรู้ตัวคนประทุษร้ายด้วยการกอดหลังจากโดนขโมยหอมแก้มไปอีกที

     

                “อือฮึ รีบตื่นมากอดหมินยังไงล่ะเมื่อคืนยังกอดไม่พอเลย” ลู่หานพยักหน้ารับคำ ใบหน้าหล่อวางอยู่บนไหล่ของคนรัก ก่อนจะชะโงกหน้าไปดูกับข้าวที่อยู่บนเตา

     

                “หอมมากแต่ไม่เท่ากับคนนี้” ว่าแล้วก็ฉวยริมฝีปากกดลงบนหลังคอของซิ่วหมิน จนคนโดนลวนลามหลุดหัวเราะเพราะจั๊กจี้

     

                “เมื่อเช้าพี่แทจุนโทรมาถามว่างานคุณเป็นยังไงบ้าง” ซิ่วหมินถามเรื่องงานตามปกติ พร้อมกับตักแกงขึ้นมาชิม เมื่อได้รสชาติที่พอใจแล้วก็ยื่นมือไปปิดเตาแก๊ส โดยมีลู่หานอาสายกหม้อน้ำซุปมาวางพักไว้บนโต๊ะ

     

                “กำลังไปได้สวยเลย ผมโชคดีที่รู้จักคนเก่งๆ หลายคน ฝากขอบคุณพี่แทจุนด้วยนะที่เป็นห่วง แต่ผมเอาอยู่” ซิ่วหมินพยักหน้ารับยิ้มๆ

     

                “ช่วงนี้หมินติดต่อไอ้ชานยอลไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้มันหายหัวไปไหน” ซิ่วหมินขยับไปหั่นผักใส่จาน ก่อนจะยื่นให้ลู่หานเพื่อนำไปวางไปที่โต๊ะอาหาร ลู่หานชะงักมือ

     

                “อาจจะยุ่งๆ เรื่องงานล่ะมั้ง” ตอบเสร็จก็เดินไปทันที ลู่หานได้แต่ถอนหายใจจะให้บอกซิ่วหมินว่ายังไงในเมื่อเขารู้อยู่เต็มอกว่าปาร์คชานยอลกำลังโดนรุ่นพี่คนสนิทของเขาตามจีบ ไม่ใช่จีบธรรมดา

     

                เรียกว่าจีบแบบรุกฆาตจะดีกว่า

     

                เอาเป็นว่าถ้าเป็นไปตามที่เขาคิด ไม่ว่าจะยังไงปาร์คชานยอลก็หนีไม่รอด (แม้จะอยากหนีแค่ไหนก็ตาม) เพราะมาเฟียใหญ่เขาหมายหัวเอาไว้แล้ว ดูท่านายหญิงของตระกูลอู๋คงหนีไม่พ้นคนใกล้ตัวของซิ่วหมินนี่แหละ

     

                “อื่อ หมินมีอะไรจะปรึกษาคุณด้วย” ลู่หานเงยหน้ามองซิ่วหมินก่อนจะพยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ

     

                “หมินว่าจะร่วมหุ้นเปิดร้านกาแฟกับลูกของเพื่อนคุณม๊า คุณคิดว่ายังไง หลังจากเรียนจบมาหมินก็ช่วยคุณป๊าคุณม๊าทำงานบ้าง แต่หมินรู้สึกว่ามันยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย ไม่ใช่ว่าการอยู่ดูแลคุณมันไม่ดีนะ แต่ในเมื่อมีโอกาสหมินก็เลยคิดว่าจะลองทำดู อีกอย่างก็เป็นแนวถนัดของหมินด้วย” ปากเล็กค่อยๆ อธิบายให้คนรักฟังถึงที่มาที่ไปและเหตุผลที่เขาอยากทำร้านกาแฟ

     

    ปกติทุกวันพุธและวันศุกร์ซิ่วหมินจะเข้าบริษัทของที่บ้านเพื่อไปช่วยดูแบบของเพชรและจิวเวอรี่ ซึ่งซิ่วหมินรับหน้าที่เป็นคนตรวจสอบและตัดสินใจในการเลือกแบบเพื่อผลิตขายในแต่ละรุ่น รวมถึงบางครั้งจะช่วยคิมแทจุนผู้เป็นพี่ชายติดต่อประสานงานกับลูกค้า แต่นับว่าน้อยครั้งงานที่เขาจะถูกเรียกให้ไปทำหน้าที่นี้ นอกนั้นอีกห้าวันเป็นเวลาของลู่หาน

     

                “ผู้ร่วมหุ้นเป็นใครครับ” ลู่หานเริ่มเปิดปากถาม เล่นเอาซิ่วหมินหนาวๆ ร้อนๆ เมื่อถูกสายตาของลู่หานจับจ้อง

     

                “คุณจำชินจีมินได้มั้ย ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมคณะของหมินไง” ลู่หานพยักหน้ารับ เมื่อนึกถึงบุคคลที่ซิ่วหมินเอ่ยถึง จากที่เขารู้จักอีกฝ่ายชินจีมินเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แม้ฐานะจะไม่ได้ร่ำรวยมากแต่ก็เป็นคนที่ขยันตั้งใจทำงาน ถึงแม้ในใจลึกๆ ลู่หานอยากเอ่ยปากปฏิเสธความคิดนี้เพราะไม่ต้องการให้ซิ่วหมินตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น แต่ในฐานะของคนรักเขาไม่ควรจะหยิบเอาความหึงหวงไร้สาระมาปิดกั้นความตั้งใจของอีกฝ่าย เหมือนกับที่ซิ่วหมินคอยสนับสนุนอยู่ข้างกายเขามาตลอด

     

                “ถ้าหมินอยากทำจริงๆ จะลองดูก่อนก็ได้ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็รีบบอกนะ” เป็นอันว่าได้รับอนุญาตจากลู่หาน ซิ่วหมินยิ้มรับที่คนรักสนับสนุนความคิดของเขา         

     

                ทั้งคู่ใช้เวลาในการทานอาหารเช้าด้วยกัน มีซิ่วหมินทำหน้าที่เป็นคนตักข้าวใส่จานและมีลู่หานคอยทำหน้าที่เป็นลูกมือคอยตักกับข้าวใส่จานให้คนรัก มีบ้างที่ลู่หานจะเล่าถึงเรื่องงานคร่าวๆ ให้ฟังโดยที่ซิ่วหมินก็ทำหน้าที่เป็นผู้รับฟังที่ดี ออกความเห็นบ้างในบางครั้ง เมื่ออิ่มคนตัวขาวจึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านระหว่างรอลู่หาน

     

                “เสี่ยวฮุ่ยหยาง ซีอีโอแห่งเอ็กซ์คอร์ปเรชั่นกำลังตกที่นั่งลำบากเมื่อมีข่าวลือว่าเขาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อบังหน้า แต่แท้จริงแล้วมีเอี่ยวกับกระบวนการค้าประเวณีและค้าอาวุธเถื่อน โดยแหล่งข่าววงในรายงานว่า...”

     

    ซิ่วหมินเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นเนื้อข่าวที่เด่นหราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ชื่อดัง รายงานข่าวของน้าชายคนเดียวของลู่หาน

     

    “ลู่หาน คุณดูข่าวนี้สิ” ซิ่วหมินยื่นหนังสือพิมพ์ให้คนรักดู นิ้วเรียวชี้ไปที่พาดหัวข่าวที่ใหญ่ที่สุดในหน้าหนังสือพิมพ์ ลู่หานเลิกคิ้วก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูอย่างสนใจ เจ้าของใบหน้าหล่อปรายตามองเนื้อข่าว แล้วอมยิ้มน้อยๆ ก่อนรอยยิ้มจะจางหายไปเป็นปกติเมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของใบหน้าขาวตรงหน้า

     

    “อย่าสนใจเลย” ลู่หานเอ่ยบอกคนรักด้วยท่าทางปกติ ซิ่วหมินพยักหน้ารับงึกงักแล้วบ่นกับตัวเองเบาๆ ว่าเวรกรรมมีจริง ตอนนี้น้าชายของลู่หานกำลังรับผลกรรมที่ก่อไว้แล้ว ลู่หานรับฟังเงียบๆ ก่อนจะพึมพำในใจ

     

    ถึงเวรกรรมมันจะตามเสี่ยวฮุ่ยหยางมาไม่ทัน เขานี่แหละจะเป็นตัวเร่งให้มันตามมาทันเอง!

     

    +++++++++++++++++++++++

     

    ด้านอู๋ฟานหลังจากเดินตามคนร่างโปร่งหน้างอออกจากห้องทำงานของลู่หานที่เดินไปข้างหน้าโดยไม่รอเขาก็ก้าวไวๆ เมื่อปาร์คชานยอลกำลังจะก้าวออกจากประตูแล้วคว้าเอาข้อมือขาวนั่นไว้ข้างหนึ่ง

     

    “จะรีบไปไหน”

     

    “ยุ่ง” ปาร์คชานยอลตอบกลับเสียงหงุดหงิด พยายามดึงมือกลับแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่ออู๋ฟานกำเอาไว้แน่นกว่าเดิม

     

    “อย่างอนเลยน่า ฉันไม่ได้ลืมสักหน่อยว่าพาเธอมาด้วย” อู๋ฟานเอ่ยเย้าคนหน้าหวานที่ทำหน้ายุ่งใส่เขา ปาร์คชานยอลกัดปากฉับพร้อมกับทำตาขวางเมื่อโดนจี้ใจดำ

     

    “ใครงอน อย่ามั่ว” อู๋ฟานเลิกคิ้ว เพราะเสียงคนที่บอกว่าไม่ได้งอนนั้นช่างสวนทางกับคำปฏิเสธซะเหลือเกิน

     

    “โอเค...ไม่ได้งอนก็ไม่ได้งอน ถ้าอย่างนั้นก็เลิกทำหน้ายุ่งเสียทีสิ” คนที่เป็นฝ่ายแกล้งก่อนจึงเป็นฝ่ายอ่อนลงให้ก่อน ปาร์คชานยอลกัดปากฉับ หนอย...ไอ้มาเฟียขี้เก็กคิดว่าง้อแค่นี้แล้วจะหายรึไง ฝันไปเหอะ!

     

    “ปล่อย หมดอารมณ์จะไปกินข้าวแล้ว แยกย้ายกันตรงนี้เลยก็แล้วกัน” เจ้าของร่างโปร่งพูดออกมาเสียงแข็งพยายามจะดึงมือตัวเองกลับ อู๋ฟานจะขำก็ขำไม่ออก ให้ตายเถอะน่าตีจริงๆ เลย เวลางอนนี่ไม่ต่างกับเด็กสองขวบ ถ้าไม่บอกว่าเป็นโปรดิวเซอร์มือทองนี่เขาไม่เชื่อจริงๆ

     

    “หื้ม จะกลับได้ยังไง จื่อเทาเอารถมารอแล้ว” พูดจบคนตัวสูงกว่าก็เป็นฝ่ายออกแรงดึงมือปาร์คชานยอลให้ก้าวตามไปยังทิศทางของรถหรูที่วิ่งเข้ามาจอดเทียบก่อนจะดันร่างสูงโปร่งของคนหน้าหงิกให้เข้าไปก่อน แล้วตามเข้าไปนั่งทันที จื่อเทาโค้งให้ผู้เป็นนายก่อนจะปิดประตูแล้วก้าวขึ้นไปนั่งด้านข้างคนขับ

     

    “คราวหลังไม่ต้องลากกูมาด้วยเลยนะ” ปาร์คชานยอลพูดขึ้นเมื่อทั้งคันตกอยู่ในความเงียบ พร้อมกำมือแน่น เจ้าของฉายามาเฟียเหลือบมองก่อนจะยื่นมือของตัวเองไปกุมมือของชานยอลไว้โดยไม่พูดอะไร การกระทำอ่อนโยนนี้กระตุกใจของปาร์คชานยอลอย่างจัง

     

    “พูดต่อสิ”

     

    “จะให้พูดอะไรในเมื่อมึงเองก็ตั้งใจจะทำอย่างนี้อยู่แล้ว!” ปาร์คชานยอลโพล่งออกมาในสิ่งที่ทำให้เขาอัดอั้นตันใจ เขาสู้อุตส่าห์อดทนทำหน้าตายเดินตามอู๋ฟานเข้าไปในห้องของลู่หานเพราะอีกคนบอกว่าแค่จะแวะเอาเอกสารสำคัญมาให้ลู่หานแล้วจะกลับ บอกตามตรงแม้ทีแรกจะทำใจไว้แล้วกับสายตาแปลกใจของลู่หาน แต่คนเข้มแข็งอย่างปาร์คชานยอลก็ไม่ได้เข้มแข็งไปทุกเรื่องหรอกนะ!

     

    “งั้นบอกฉันมาสิว่าวันนี้เธอรู้สึกยังไง ไม่พอใจ โกรธ เสียหน้าหรือว่าอาย

     

    “...” ปาร์คชานยอลเงียบสนิท เมื่อเริ่มเข้าใจแล้วว่าไอ้มาเฟียมันรู้ทันความคิดของเขาทุกเรื่อง และที่มันทำก็เพราะตั้งใจจะลองใจเขาด้วยเหมือนกัน เออ ไอ้คนเจ้าเล่ห์!!

     

    อู๋ฟานขยับเข้าไปชิดปาร์คชานยอลที่นั่งติดอีกฝั่งจนถอยหนีไม่ได้ มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นมาเชยคางปาร์คชานยอลให้สบตากับตัวเอง

     

    “ถ้าเธอไม่บอก ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอรู้สึกยังไง”

     

    “ว่าแต่คนอื่นแล้วทีตัวเองล่ะ” ปาร์คชานยอลอดไม่ได้ที่จะสวนกลับทันที แม้จะเกรงกลัวอีกคนอยู่ไม่น้อยก็ตาม อู๋ฟานขมวดคิ้วเมื่อเข้าใจในความหมายที่ปาร์คชานยอลต้องการจะสื่อถึงแม้จะคนละประเด็นกับสิ่งที่เขาถาม

     

    “ที่ฉันทำไปทั้งหมดยังไม่ชัดเจนอีกเหรอว่าฉันชอบเธอ...

     

    “...แล้วเธอล่ะรู้สึกยังไง?”

     

    เป็นอีกครั้งที่ปาร์คชานยอลปิดปากสนิท ไม่รู้ว่าช็อกเพราะเพิ่งโดนสารภาพรักหรือช็อกเพราะโดนฮุคกลับด้วยคำถามจากอู๋ฟาน ยังไม่ทันที่สมองของปาร์คชานยอลจะได้ทบทวนความรู้สึกภายในใจ จู่ๆ ทุกอย่างก็ขาวโพลนเมื่อเจ้าของฉายามาเฟียฉวยริมฝีปากลงมาปิดทับริมฝีปากของปาร์คชานยอล มือหนาข้างหนึ่งยกขึ้นไปรองศีรษะของชานยอลเอาไว้ ก่อนเรียวลิ้นหนาจะถูกส่งเข้าไปเกี่ยวรัดกับเรียวลิ้นเล็กของปาร์คชานยอลที่ค่อยๆ หลับตารับสัมผัสของอู๋อี้ฟาน

     

    ริมฝีปากของทั้งสองคนยังคงเกี่ยวรัดกันไม่ห่าง ไม่ได้ร้อนแรงจนแผดเผาทุกอย่าง แต่ทุกการกระทำเป็นไปอย่างอ่อนโยนทว่าหนักแน่นตราตรึงอยู่ในหัวใจทั้งสองดวง

     

    อู๋ฟานกดจูบที่ริมฝีปากของปาร์คชานยอลหนักๆ ก่อนจะถอนริมฝีปากออกมาอย่างอ่อยอิ่งใบหน้าทั้งสองคนห่างกันไม่ถึงคืบ อู๋ฟานมองริมฝีปากที่บวมเจ่อของปาร์คชานยอลด้วยความเอ็นดู พร้อมกับยกมือขึ้นใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำลายตรงมุมปากให้

     

    “ได้คำตอบเมื่อไหร่ สัญญาได้ไหมว่าจะบอกฉันเป็นคนแรก” กล่าวจบอู๋ฟานก็ขยับกลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง ปล่อยให้ปาร์คชานยอลนั่งเงียบอยู่อย่างนั้นโดยไม่เซ้าซี้ ขบวนรถของอี้ฟานมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารที่ปาร์คชานยอลเป็นคนเลือกไว้ตั้งแต่แรก

     

    “ลงมาสิ” อู๋ฟานเดินไปเคาะประตูฝั่งที่ปาร์คชานยอลนั่ง หลังจากที่รถของเขาจอดสนิทแล้ว ไม่รู้ว่าอีกคนใจลอยไปถึงไหน ปาร์คชานยอลสะดุ้งโหยง ก่อนจะกัดปากฉับเมื่อเห็นสายตาขบขันของอู๋ฟาน

     

    อู๋ฟานและปาร์คชานยอลเดินเข้าไปในร้านอาหาร โดยมีลูกน้องบางส่วนของอู๋ฟานเดินตามหลังเข้ามาด้วย ตั้งแต่ร่างสูงของมาเฟียก้าวเข้ามาในร้านอาหาร ด้วยบุคลิกที่โดดเด่นและการแต่งตัวที่บ่งบอกถึงฐานะและสถานภาพทางการเงินก็ทำให้ทุกสายตาต่างจดจ้องไปที่อู๋ฟานทันที คนโดนจ้องทำเพียงตีหน้าเฉยเดินตามร่างของปาร์คชานยอลเท่านั้นเพราะชินกับการตกเป็นเป้าสายตา แต่คนที่เดินนำอยู่อย่างปาร์คชานยอลกลับเริ่มอัดอึดและรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ

     

    จะมองทำไมกันนักหนา ไม่เคยเห็นคนรึไง!!

     

    เมื่อหาที่นั่งได้ปาร์คชานยอลก็เป็นฝ่ายสั่งอาหาร ไม่ลืมที่จะสั่งเผื่อบรรดาลูกน้องของอู๋ฟานด้วยอย่างเคยชิน แม้จะเคยปรามาสเอาไว้เกี่ยวกับการที่ต้องมีคนเดินตามเป็นขบวนว่าเป็นสิ่งที่ชวนให้อึดอัดและตกเป็นเป้าสายตา แต่เพราะต้องพบเจอกับเหตุการณ์แปลกๆ ที่ต้องเสี่ยงชีวิตของอู๋ฟานก็ทำให้เขาเข้าใจและทำใจยอมรับได้อย่างไม่ขัดเขินไปเองโดยอัตโนมัติ

     

    และด้วยความที่ทั้งสองคนต่างก็เป็นที่รู้จักในวงสังคมก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนเดินเข้ามาทักทายบ้าง ถึงแม้จะต้องได้รับอนุญาตจากคนของอู๋ฟานก่อนก็ไม่เป็นอุปสรรค คนที่เข้ามาทักทายปาร์คชานยอลส่วนใหญ่ก็เป็นแฟนเพลงรวมถึงฝากเนื้อฝากตัวบุตรหลานที่อยากจะก้าวเข้าสู่วงการ อู๋ฟานก็ทำเพียงนั่งนิ่งพยักหน้ารับการทักทายตามมารยาทโดยไม่เอ่ยขัด ปาร์คชานยอลยิ้มภูมิใจที่ตัวเองเป็นที่รู้จักพลอยทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง ร่างโปร่งหันไปยักคิ้วให้อู๋ฟาน เจ้าของฉายามาเฟียทำเพียงหัวเราะหึๆ

     

    เมื่ออาหารมาเสิร์ฟปาร์คชานยอลก็ทำการแจกแจงสรรพคุณของอาหารแต่ละอย่างให้อู๋ฟานฟังว่าอร่อยแค่ไหน เคยมากินแล้วกี่ครั้ง ถ้าจะกินให้อร่อยต้องทานคู่กับอะไร ไม่แค่นั้นยังลงมือตักให้อู๋ฟานชิมอย่างลืมตัว

     

    “คุณอู๋ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอคุณที่นี่” มือของชานยอลที่กำลังตักอาหารหยุดชะงักเงยหน้ามองผู้มาใหม่แล้วหน้าตึง เมื่อสิ่งที่พบเห็นตรงหน้าคือหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาสวยจัด หุ่นนางแบบสวมชุดทำงานเข้ารูป มีคนเดินตามมาด้วยสองคนแต่งกายเหมือนบอดี้การ์ด อู๋ฟานเมื่อหันไปเห็นผู้มาใหม่ก็เหลือบมองหน้าชานยอลครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นทักทายหญิงสาวผู้มาใหม่ด้วยการเช็คแฮนด์ตามมารยาท

     

    “ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่นี่เหมือนกันเคท”

     

    “ฉันนัดลูกค้าไว้ที่นี่ เห็นคุณเลยเข้ามาทักก่อน ยังหล่อเหมือนเดิมนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเย้าอู๋ฟานด้วยความสนิทสนม เพราะเคยติดต่อธุรกิจด้วยกันอยู่ช่วงหนึ่ง

     

    “คุณเองยังสวยไม่เปลี่ยน” อู๋ฟานยิ้มรับคำชมและเอ่ยชมกลับเพราะรู้ถึงนิสัยขี้เล่นของคู่ค้า แต่ผู้ร่วมโต๊ะอีกคนที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ กลับเริ่มฉุนจัด

     

    “ฉันต้องไปก่อนแล้วล่ะค่ะได้เวลานัดแล้ว ดีใจที่ได้เจอคุณนะคะ” เคทอมยิ้มนิดๆ ตาคมสวยเหลือบมองผู้ร่วมโต๊ะของอู๋ฟาน ก่อนจะสวมกอดเอ่ยลาตามธรรมเนียม ปากเล็กขยับกระซิบพูดข้างหูอู๋ฟาน

     

    “คุณนี่สเป็คดีไม่เปลี่ยนเลย” ว่าจบก็ผละออก อู๋ฟานหลุดหัวเราะ ก่อนจะโบกมือลาหญิงสาวที่เดินห่างออกไป พร้อมกับนั่งลงเป็นเวลาเดียวกับที่ปาร์คชานยอลรวบช้อนแล้วดื่มน้ำเปล่าตาม

     

    “อิ่มแล้วรึไง”

     

    “อืม”

     

    “เป็นอะไรไป ชอบร้านนี้ไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นเธอเพิ่งจะเริ่มทานไปได้นิดเดียว” มาเฟียใหญ่เลิกคิ้วถาม ก็บอกแล้วว่าสายตาของอู๋ฟานแม้จะคุยอยู่กับคนอื่น แต่ก็คอยมองปาร์คชานยอลอยู่ตลอดเช่นกัน แม้เขาจะรู้สึกดีใจที่อีกคนหึงหวงก็เถอะ

     

    “ก็ใช่ แต่วันนี้ไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไหร่ อาจเพราะหิวมากไปเลยทำให้ทานได้น้อยลงล่ะมั้ง” เมื่อรู้ตัวว่ากำลังพาลจนอีกฝ่ายจับได้ ปาร์คชานยอลเลยไอ้แต่ตอบกลับเสียงอ้อมแอ้มแล้วนึกด่าตัวเองในใจ

     

    “ลองทานนี่ดูสิ ฉันชิมแล้วอร่อยดี” อู๋ฟานตักเป็ดตุ๋นไปใส่จานของปาร์คชานยอล

     

    “อื้อ”

     

    แล้วสิ่งที่ปาร์คชานยอลพยายามอดกลั้นมาตลอดก็แตกผึ่งเมื่อมีหญิงสาวรายที่สามเดินมาทักอู๋ฟานถึงโต๊ะ นี่ยังไม่นับคนที่จื่อเทากันออกไปอีกหลายราย

    พอกันที ไม่ทนแล้วโว้ย! เป็นไงก็เป็นกัน คราวนี้ปาร์คชานยอลถึงกับรวบช้อนลงกับจานเสียงดังจนคนที่กำลังสนทนากันอยู่กันมามอง

     

    “โทษทีอิ่มแล้ว มื้อนี้กูเลี้ยงเอง เจอกันเมื่อชาติต้องการ” ปากอิ่มขยับบอกแล้วหยิบมือถือของตัวเองมาไว้ในมือเตรียมลุกหนี อู๋ฟานเหลือบมองหน้าปาร์คชานยอลแล้วทำหน้าเข้มขึ้น จนแขกที่เดินเข้ามาทักต้องรีบเอ่ยขอตัว

     

    “ไม่พอใจอะไร ก่อนจะมาฉันเตือนแล้วนะว่าให้ไปร้านที่ลับตาคนกว่านี้หรือไม่ก็จองห้องวีไอพีไปเลย แต่เธอไม่ฟังฉันเอง” อู๋ฟานพยายามอธิบายอย่างใจเย็น ปาร์คชานยอลกัดปากฉับ เออแล้วไง ใครมันจะไปคิดว่าอีกฝ่ายจะฮอตปรอทแตกขนาดนี้กัน แล้วไอ้ลูกค้านั่นก็ไม่มีมารยาทเลยรึยังไง คนกำลังกินข้าวเดินมาทักอยู่ได้

     

    “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” คนปากแข็งก็ยังปากแข็งอยู่วันยังค่ำ

     

    “หึงก็บอกฉันดีๆ สิ” อู๋ฟานถอนหายใจ ไม่ใช่เพราะรำคาญเพราะเขาพอจะรู้ว่าปาร์คชานยอลมีนิสัยยังไง แต่ที่ถอนหายใจก็เพราะอาการปากแข็งของอีกคนนั่นต่างหาก

     

    “ใครหึง หลงตัวเองไปหน่อยรึเปล่า” พูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตัวเอง เมื่อเห็นอู๋ฟานเริ่มหน้าตึง แม้จะแอบใจเสียแต่ก็ยังทำคางเชิดใส่อีกฝ่ายด้วยความถือทิฐิ

     

    “งั้นก็กลับ” อู๋ฟานตัดบท แล้วลุกขึ้นยืนทันที ทั้งที่ยังไม่อิ่มด้วยซ้ำ เมื่อเห็นผู้เป็นนายลุกขึ้นยืน บรรดาลูกน้องที่เหลือก็ลุกขึ้นตามทันทีโดยไม่ต้องออกคำสั่ง

     

    “ยืนนิ่งทำไม ไปสิหรือต้องให้เชิญ”

     

     


    +++++++++++++++++++++++

    Talk :: เอาล่ะหว่า งานนี้แมวกระตุกหนวดเสือ ไม่รู้ฝ่ายไหนจะชนะ ขอโทษที่ปล่อยให้ทุกคนรอนานนะคะ



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×