คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Known..แค่รู้ว่ารัก ________ เข้าใจผิด
Known..แค่รู้ว่ารัก ตอนที่ 5
By :: เบบี้เยลโล่
“ติดต่อ มันได้ไหม?” ซิ่วหมินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท ที่เดินเข้ามานั่งข้างๆ ในมือถือแก้วน้ำไว้ข้างละแก้ว คงจะเป็นของเจ้าตัวที่ถือมาหนึ่งและของเขาอีกหนึ่ง ก่อนที่ร่างบางจะยิ้มให้เพื่อนน้อยๆ แล้วส่ายหน้าช้าๆ
หลังจากที่มาถึงมูลนิธิด้วยเวลาเฉียดฉิวกับพิธีเปิดงาน พร้อมกับขบวนของเหล่าบอดี้การ์ดมาเฟียใหญ่ที่ตามมาคุ้มกันร่างบางทั้งสองตามคำสั่งของผู้เป็นนายเหนือหัวประกอบกับบุคลิกและลักษณะการแต่งกายด้วยการใส่สูทผูกไทด์สีดำทั้งตัวก็อดที่จะทำให้แขกผู้มาร่วมงานแตกตื่นไม่ได้...
ก็เล่นขนกันมาเกือบยี่สิบคนนี่นะ!
ยังไม่พอ...เพราะยังมีขบวนรถตู้สีดำกันกระสุนทั้งคันคอยประกบหน้าและประกบหลังรถที่มีนายหญิงของเครือลู่เซียกรุ๊ปและเพื่อนสนิทโดยสารมาอีกด้านละสองคัน...ใคร ไม่แตกตื่นนี่สิแปลก
แต่พอทั้งซิ่วหมินและชานยอลก้าวลงรถเท่านั้นแหละเหตุการณ์ถึงได้ดูปกติขึ้นเพราะทั้งสองคนต่างเป็นคนคุ้นเคยที่มามูลนิธิบ่อยๆ จากทั้งที่ตามมารดามาและตั้งใจมาเองจนเจ้าหน้าที่ต่างจดจำหน้าตาของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
พองานเริ่มเดินไปได้จนถึงการเดินดูงานต่างๆ ในมูลนิธิ มารดาของซิ่วหมินถึงได้ปลีกตัวออกมาถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุตรชายคนเล็ก และคนที่ตนเอ็นดูเหมือนลูกแท้ๆ อีกคน เพราะการที่มีคนคอยคุ้มกันมากมายขนาดนี้ตามมาด้วย ย่อมเป็นเพราะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่ปกติกับลูกชายของตน
ชานยอลจึงเป็นฝ่ายเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้กับผู้เป็นมารดาของเพื่อนสนิทฟังและปล่อยให้ซิ่วหมินได้ปลีกตัวไปนั่งพักผ่อนให้หายตกใจอยู่ตรงม้านั่งรับรองที่อยู่ด้านหน้ามูลนิธิโดยมีเหล่าผู้คุ้มกัน ตามไปดูแลอยู่ห่างๆ
ชานยอลได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งๆ เมื่อหันไปมองบรรดาเหล่าบอดี้การ์ดที่คอยรายล้อมอยู่เต็มพื้นที่ อดที่จะเปรยกับตัวเองเบาๆ ไม่ได้ว่า
ช่างโชคดีที่ตนเกิดมาเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่อย่างนั้นถ้าต้องมีคนตามคอยคุ้มกันเหมือนเพื่อนสนิทตนเองคงต้องอกแตกตายเข้าสักวัน เขารู้ว่าเพื่อนของเขาเองก็คงไม่ได้ต้องการนักหรอกแต่เพราะมันจำเป็นเพื่อนของเขาเลยแต่ทำเป็นมองไม่เห็นคนพวกนั้นซะ...
จะได้สบายใจและหายอึดอัดใจนั่นเอง
“อ๊ะ เผื่อจะสดชื่นขึ้น” ชานยอลยื่นแก้วน้ำเปล่าที่ตนถือมาให้กับเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน ก่อนจะยิ้มมุมปากส่งไปให้เมื่อซิ่วหมินยื่นมือมารับแล้วจิบน้ำในแก้ว
“ขอบใจนะ..” ซิ่วหมินเอ่ยสั้นๆ โดยไม่หันมามองหน้าคู่สนทนาแววตาคู่สวยหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด ชานยอลหรี่ตามองเพื่อนสนิทด้วยความปวดใจ
อีกแล้ว..มือคู่นี้ของเขาไม่สามารถปกป้องคนที่ตัวเองรักได้อีกแล้ว
“มึงยังตกใจอยู่หรอหรือว่าไม่สบายใจเรื่องข่าวนั่นอยู่อีก” ชานยอลเอ่ยถามไปตรงๆ ร่างบางของซิ่วหมินชะงักไปนิด ก่อนจะหันมาสบตากับคนที่ตั้งคำถามเขาเมื่อกี้ ถ้าถามว่ายังตกใจอยู่ไหม..ก็คงมีอยู่นิดหน่อย
เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเลือกใช้วิธีการที่อุกอาจหมายจะเอาชีวิตเขาแบบนี้กันซึ่งๆ หน้า แต่เขาก็เข้าใจกับเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นดีว่ามันคงเป็นเกมทางธุรกิจซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเจอมาจนชาชินตั้งแต่เกิดมาเป็นคุณหนูคนเล็กของตระกูลคิม และเป็นคู่ชีวิตของนายใหญ่ที่เป็นเจ้าของกิจการในเครือลูเซียกรุ๊ป
ใช่...เขาไม่โทษใคร
ส่วนเรื่องข่าวของคนรักที่ได้อ่านไปเมื่อเช้ามันก็พอจะมีส่วนที่ทำให้เขาไม่สบายใจอยู่บ้าง...ก็แน่นอนล่ะ คู่แข่งของเขาน่ากลัวน้อยซะที่ไหนกัน แต่เขาก็ยังอยากจะเชื่อมั่นในตัวคนรักอย่างลู่หาน ร่างสูงคงจะไม่มีวันหักหลังเขาเป็นแน่ ถึงแม้ว่าลู่หานต้องเดินทางไปไหนมาไหนอยู่บ่อยๆ
แต่ใจของพวกเขาก็เลือกที่จะวางมันไว้ข้างๆ กันมานานแล้ว...
“ก็ไม่เชิง... แต่กูแค่แปลกใจว่าทำไมถึงติดต่อลู่หานไม่ได้ ปกติเขาไม่เคยปิดเครื่องเลยนะ ครั้งนี้มันแปลกจริงๆ” ซิ่วหมินเอ่ยตอบ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอีกครั้งอย่างเหนื่อยๆ ชานยอลเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกข้าง
ก็นะ...เขาลืมไปว่าคงไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าไอ้ลู่หานอีกแล้วสำหรับเพื่อนสนิทของเขา
“มันอาจจะประชุมอยู่ก็ได้มึงอย่าคิดมากเลย นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วกูว่าเราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ทุกคนคงรออยู่เห็นมึงทำหน้าหมาหงอยแบบนี้แล้วจะยิ่งทำให้ทั้งคุณม๊ากับแม่นมของมึงไม่สบายใจนะ มีอะไรก็บอกกูสิอย่าเก็บไว้คนเดียวมีเพื่อนไว้ทำไมว่ะหื้ม?”
ชานยอลเอ่ยปลอบใจ ก่อนจะยีหัวเพื่อนเบาๆ หวังจะให้อีกคนคลายความกังวลลงบ้าง ซิ่วหมินเพียงแค่คลี่ยิ้มบางๆ แล้วปัดมือเพื่อนออกจากหัวแรงๆ อีกคนได้แต่มองอย่างคาดโทษแต่ไม่ได้เอ่ยตำหนิคนที่ทำตัวเองเจ็บเลยสักนิด ซิ่วหมินเป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนก่อน ชานยอลเลยยืนขึ้นตามอีกคน
“ไม่มีอะไรหรอกน่า มึงนี่เปลี่ยนงานมาเป็นช่างแล้วหรือยังไง เป็นโปรดิวเซอร์ดีๆ ไม่ชอบใช่ป่ะ?” ซิ่วหมินเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นยียวนอีกฝ่าย ก่อนจะกลั้นขำเมื่อไอ้คนที่โดนว่ากำลังยืนทำหน้างงขมวดคิ้วเป็นปมอยู่ตรงหน้า
“ช่างอะไรว่ะ กูก็โปรดิวเซอร์ปาร์คชานยอลมือฉมัง ช่างเชิ่งอะไรของมึงที่ไหน” ซิ่วหมินแทบจะหลุดขำออกมาอยู่ร่อมร่อเมื่อเพื่อนของเขาก็ยังคงไม่เข้าใจมุกที่เขา ส่งไปอยู่ดี แถมยังบ่นพึมพำฟังออกมาไม่เป็นคำพูดอีกต่างหาก
“ก็.... ช่างถาม ช่างซัก ช่างสงสัยไงมึง ฮ่าๆๆๆ” ซิ่วหมินเอ่ยตอบก่อนจะเป็นฝ่ายเร่งฝีเท้าวิ่งนำอีกคนที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะได้ยินเสียงไล่ตามหลังมาของเพื่อนสนิทที่เอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย
“หน่อยแน่! กล้าหลอกด่ากู อย่าให้จับได้นะเว้ยจะจับมาตีซะให้เข็ด!! ไอ้ซิ่วหมิน หยุดนะเว้ย!! โอ้ย แล้วไอ้มาเฟียหน้าแก่นั่นมันจะโทรมาอะไรหนักหนา ตามไปยิงทิ้งแมร่งซะเลยดีไหม!?!”
++++++++++++++++++++++++
ตอนนี้ทุกคนกำลังนั่งอยู่ในห้องรับรองแขก หลังจากที่ทานอาหารเย็นร่วมกันเสร็จโดยร่างบางของซิ่วหมินอาสาเป็นแม่ครัวจำเป็น เข้าครัวทำอาหารให้ทุกคนได้ทานกันและมีลูกมือ(จำเป็น) อย่างชานยอลที่เหมือนจะเข้าไปป่วนมากกว่าเข้าไปช่วยเพื่อนสนิท โดยมีหลักฐานยืนยันจากเสียงทะเลาะกันที่ดังเล็ดลอดออกมาจากห้องครัวเป็น ระยะๆ แต่กลับสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี
“ไปแกล้งอะไรกันมาอีกล่ะค่ะคุณหนู นมเห็นคุณชานยอลนี่หน้าหงิกเชียว” ซิ่วหมินแทบจะหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งหลังจากฟังคำถามของคนที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็กจบ นี่ถ้าไม่เหลือบไปเห็นสายตาเหวี่ยงๆ ของเพื่อนเขาคงอดแหย่มันไปอีกไม่ได้
ก็จะไม่ให้เขาแหย่เพื่อนได้ยังไงกัน เพราะตั้งแต่อยู่ในงานไม่ว่าจะเป็นตอนกินข้าว ร่วมแจกของขวัญให้เด็กๆ หรือแม้แต่ตอนเดินทางกลับโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทก็ดูเหมือนจะมีสายเข้ามาเป็น ระยะๆ
และเพียงแค่เห็นชื่อคนโทรเข้ามาเพื่อนของเขาก็จะเปลี่ยนอารมณ์เป็นฉุนเฉียวขึ้นมาทันตา มีทั้งกดตัดสายทิ้ง (ซะเป็นส่วนใหญ่) และพอกดรับเขาก็แทบจะยกมือขึ้นมาปิดหูแทบไม่ทันเพราะเพื่อนสนิทตะโกนด่าคนในปลายสายอย่างหงุดหงิด แล้วพอเขาถามมันก็ไม่ยอมปริปากบอกแต่เปลี่ยนมาเป็นเหวี่ยงเขาแทน
แต่ก็ทนสงสัยได้ไม่นานเพราะก่อนหน้านี้เพื่อนเขามันเดินไปเข้าห้องน้ำโดยวาง โทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะ ร่างบางเลยไม่รอช้ารีบหยิบโทรศัพท์ของเพื่อนขึ้นมาดู หงุดหงิดเล็กน้อยที่มันดันตั้งค่าให้ใส่รหัสปลดล็อกรอบแรกเขาใส่รหัสเป็นวันเกิดของเจ้าของเครื่องไอโฟนสีขาวเครื่องนี้แต่ก็ยังไม่ใช่
ครั้งที่สองเขาใส่เป็นปีพ.ศ วันเกิดมันก็ยังไม่ใช่
ครั้งที่สามเขาเลยลองเสี่ยงดวงเป็นวันเกิดของเจ้าของเครื่องมือสื่อสารกับชื่อของเขาปรากฏว่ามัน ‘ใช่’ ร่างบางเลยไม่รอช้ารีบกดเข้าไปดูข้อมูลการโทร
แต่พอกดเข้าไปดูร่างบางก็ต้องเบิกตากว้างเพราะมันดันเป็นเบอร์ที่บันทึกชื่อไว้ว่า ‘ไอ้มาเฟียขี้เก็ก’ กว่าสิบสายเรียงยาวกันเป็นชื่อเดียวทั้งที่ได้รับและไม่ได้รับ ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็น ‘อู๋อี้ฟาน’ รุ่นพี่คนสนิทของคนรักเขานั่นเอง และพอเพื่อนสนิทออกมาเขาเลยถามออกไปตรงๆ แค่คิดว่าจะแกล้งแหย่เพื่อนสนิทเล่นๆ เท่านั้น แต่กลายเป็นว่ามันดันโกรธเขาจริงๆ ซะนี่
เมื่อตอนบ่ายหลังจากที่ทุกคนร่วมทานอาหารกันที่มูลนิธิเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทั้งซิ่วหมินและชานยอลก็ได้มาช่วยกันแจกของขวัญให้เด็กๆ ร่วมกับมารดาโดยตลอดทั้งกิจกรรมก็มีการเปิดเพลงคลอๆ ไว้ทำให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมา เด็กๆ ทุกคนดูมีความสุขกันมากเพราะมีบางคนลุกขึ้นมาเต้นนำทำให้เด็กๆ ที่เหลือลุกขึ้นมาเต้นด้วยจนกลายเป็นกลุ่มใหญ่
มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งเดินมาดึงมือร่างบางให้เข้าไปร่วมวงกับเด็กๆ ซิ่วหมินทำหน้าตาเหรอหรามองหน้าเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ ชานยอลยิ้มก่อนจะพยักหน้าสมทบเพิ่มความมั่นใจให้กับร่างบาง ซิ่วหมินหันไปยิ้มให้เด็กหญิงก่อนจะดึงมือเพื่อนสนิทให้เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคนทำให้คุณนายคิมหัวเราะออกมา
มารดาของซิ่วหมินก็กล่าวปิดงานหลังจากเสร็จสิ้นทุกกิจกรรม และเตรียมกลับโดยทุกคนตกลงกันว่าจะโดยสารกลับด้วยรถตู้คันเดียวกัน โดยเปลี่ยนให้มารดาและแม่นมของซิ่วหมินมานั่งด้วยกันกับขบวนรถของมาเฟียหนุ่ม เพื่อความปลอดภัยของทุกคนผ่านการกำชับจากตัวผู้เป็นเจ้าของรถร่างหนา ขนาดเจ้าตัวยุ่งๆ กับการจัดการงานธุรกิจของตนยังมิวายต่อสายตรงมายังหัวหน้าผู้คุ้มกันเพื่อ สั่งงานด้วยตนเอง
“ไม่มีอะไรหรอกครับนม ไอ้ชานยอลมันก็เป็นของมันแบบนี้แหละ ผีเข้าผีออก ใช่ไหมครับคุณม๊า” ร่างบางเอ่ยตอบคนถามยิ้มๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยถามผู้ร่วมขบวนการอย่างมารดาที่นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
เพี้ยะ
“นี่แนะซิ่วหมินนี่ก็ยังไง ไปแกล้งเพื่อนอยู่ได้เล่นกันเป็นเด็กๆ เลย” ผู้เป็นมารดาได้แต่เอ่ยปรามลูกชายไม่จริงจังนัก ซิ่วหมินได้แต่ลูบแขนตัวเองไปมาใบหน้าสวยงอง้ำอย่างขัดใจที่มารดาไม่ยอมเข้าข้าง
“โธ่คุณม๊าเข้าข้างไอ้ชานยอลอีกแล้วนะ ผมชักจะสงสัยแล้วนะว่าระหว่างผมกับไอ้ชานยอลใครกันแน่ที่เป็นลูกของคุณม๊าอ่ะ” ใบหน้าสวยยิ่งงอง้ำเข้าไปอีกเมื่อทั้งมารดาและแม่นมของเขากลับหัวเราะร่วน เมื่อได้ฟังคำที่เขาเอ่ย แถมไอ้คนที่อยู่ในบทสนทนาด้วยอีกคนยังส่งยิ้มพร้อมกับยักคิ้วกวนส่งมาให้อีกต่างหาก
“อย่าไปสนใจเด็กช่างฟ้องเลยครับคุณม๊า คนขี้อิจฉาก็แบบนี้แหละ” ชานยอลเอ่ยออกมาบ้าง หลังจากที่แอบหงุดหงิดเล็กๆ ที่ไอ้เพื่อน ‘รัก’ ตรงหน้าเอ่ยแซวเรื่องของไอ้หมา เอ้ย มาเฟียนั่นที่โทรเข้ามาหาเขาบ่อย ‘เกินจำเป็น’
แถมมันยังมีหน้ามาบอกว่าไอ้มาเฟียนั่นอาจจะ ‘จีบ’ เขา อยู่ก็เป็นได้ นี่ถ้าไม่กลัวว่าจะเสียความสัมพันธ์กันไปละก็เขาคงได้ว๊ากใส่หน้ามันไปแล้ว ว่า...ชาตินี้คงจะคบกับใครไม่ได้ ก็เพราะคนที่เขารักก็คือคนตรงหน้านั่นแหละ
“อะไรใครขี้อิจฉา ไม่มี๊ ใครจะไปอิจฉากัน อ่อ ไอ้เรื่องที่อิจฉาก็มีอยู่หรอกนะก็ใครบางคนน่ะมีมะ...// ไอ้ซิ่วหมิน!!!!!!” สะดุ้งกันเป็นแถวเมื่ออยู่ดีๆ คนที่เคยนิ่งสงบกลับเอ่ยร้องขึ้นมาห้ามเพื่อนสนิทร่างบางเสียงหลง แม้แต่คุณนายคิมก็อดที่จะสะดุ้งด้วยไม่ได้ ซิ่วหมินชะงักไปครู่ใหญ่แอบอึ้งเล็กๆ ไม่คิดว่าเพื่อนตนจะซีเรียสมากขนาดนี้ ก็แค่แซวเล่นเท่านั้นเอง....
“อะ เอ่อ ขอโทษครับคุณม๊า กะ ก็ไอ้ซิ่วหมินนั่นแหละเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง” ชานยอลเอ่ยออกมาเลิกลั่ก นี่ถ้าสังเกตคงได้เห็นว่าตอนนี้เหงื่อเขามันกำลังทำงานเกินความจำเป็นอีกแล้ว
“โห ตะโกนออกมาซะเสียงดัง ตกใจหมดเลยนี่ถ้าคุณม๊ากูหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไงครับไอ้คุณชานยอล กลับบ้านมึงไปได้แล้วไปป่านนี้พ่อกับแม่ของมึงคงชะเง้อคอมองแล้ว มีลูกชายกับเขาคนเดียวที่ไม่เคยจะโผล่หัวไปให้ท่านเห็นเลย” ซิ่วหมินเอ่ยออกมา
“มึงจะนอนที่บ้านนี่ใช่ไหม กูมีเรื่องจะคุยกับเฮียแทจุนแต่ขี้เกียจรอแล้วว่ะคงจะกลับเลยไม่ต้องไล่ครับขอไปลาคุณป๊าก่อน คุณม๊าครับผมกลับก่อนนะไว้วันหลังว่างๆ จะมาเยี่ยมใหม่พร้อมกับขนมร้านโปรด” ชานยอลเอ่ยตอบออกมาพร้อมกับหันไปบอกมารดาของเพื่อนยิ้มๆ
ทีแรกก็ว่าจะอยู่รอเจอผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนอีกสักหน่อย แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้ไอ้เพื่อนสนิทก็คงขุดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาพูดอีก ขอกลับไปตั้งหลักก่อนจะดีกว่า
ร่างโปร่งลุกขึ้นไปหอมแก้มมารดาของเพื่อน ก่อนจะยกมือไหว้แม่นม แล้วก้าวออกจากห้องเพื่อไปเอ่ยลาผู้เป็นบิดาของซิ่วหมินที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องทำงาน โดยมีเพื่อนสนิทก้าวตามมาส่ง
++++++++++++++++++++++++
“เจ้านายครับนี่รายงานการประชุมที่ต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ครับ” เลขาคนเก่งเอ่ยบอกกับผู้เป็นนายหลังจากวางเอกสารลงที่โต๊ะ ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะพยักหน้ารับ
“ขอบคุณ...เออ คยองซูนายช่วยหาโทรศัพท์ให้ฉันใหม่อีกสักเครื่องนะ พอดีเครื่องเก่ามันหายตั้งแต่ไปติดต่องานพร้อมกับแทยอนเมื่อตอนบ่าย มัวแต่ยุ่งๆ เลยลืมไปเลย” ลู่หานเอ่ยบอกเลขาคนสนิท เพราะตั้งแต่มาถึงเขาเองก็ปลีกตัวไปไหนไม่ได้เลย ทั้งต้องจัดการเรื่องสัญญากับทางผู้บริหารของสาขาทางนี้และต้องตามข่าวความเคลื่อนไหวของน้าชายที่เดินทางมาติดต่อธุรกิจกับนักธุรกิจชาวรัสเซียที่นี่เหมือนกัน
“ได้ครับ มิหน้าล่ะเมื่อกี้เลขาของคุณอู๋อี้ฟานติดต่อผมมาว่าคุณเจ้านายของเขาติดต่อเจ้านายไม่ได้ คิดว่าน่าจะมีเรื่องด่วนจากทางนั้น นี่ครับเอาของผมไปใช้ก่อนก็ได้แล้วพรุ่งนี้ผมจะเอาเครื่องใหม่มาให้ เจ้านายต้องโทรหาคุณซิ่วหมินด้วยนี่ครับ” เลขาร่างเล็กเอ่ยบอกกับผู้เป็นนายยิ้มๆ พร้อมกับยื่นเครื่องมือสื่อสารของตนให้กับร่างสูง
ลู่หานชะงักไปนิดเมื่อได้ยินคำกล่าวรายงานของเลขาคู่ใจ เพราะถ้าหากคนที่ติดต่อมาเป็นรุ่นพี่คนสนิทคงต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นเป็นแน่ ร่างสูงคิดตำหนิตนเองในใจที่สะเพร่าเกินไปจนทำให้ขาดการติดต่อกับคนสำคัญ
ตู้ด......ตู้ด
ร่างสูงกดต่อสายหารุ่นพี่คนสนิททันที โดยวางเอกสารทิ้งไว้แล้วก้าวออกไปคุยที่ระเบียงของห้องพัก สายตาคมเหม่อมองไปยังด้านล่างของโรงแรมที่มีแสงสีของไฟจากตึกอาคารพาณิชย์และห้างต่างๆ ตั้งอยู่เรียงรายกันเป็นทิวแถวเป็นภาพที่สวยงามในความคิด แสงไฟระยิบระยับที่เรียงตัวกันจนเกิดความสวยงามประดับประดาไปตามโครงสร้างของอาคาร
“ว่าไง...” ปลายสายตอบรับ
“ผมลู่หานนะครับ มีอะไรเกิดขึ้นที่เกาหลีหรือป่าวถึงได้ติดต่อมา?” ร่างสูงเอ่ยเข้าประเด็นทันที ปลายสายเงียบไปสักพัก ก่อนจะได้ยินเสียงเปิดประตูแล้วปิดลงอีกครั้ง
“อืม ซิ่วหมินโดนลอบทำร้าย” ร่างหนาเอ่ยตอบรุ่นน้องคนสนิท ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ในห้องทำงานส่วนตัว วันนี้เขาเองก็วิ่งวุ่นจัดการธุระของตนเองอยู่เหมือนกัน
ไหนจะต้องคอยพะวงต่อสายหาร่างโปร่งของใครบางคนที่ติดค้างอยู่ในใจนั่นอีก ที่เกาหลีนี่ก็จะเกือบจะตีหนึ่งแล้วแต่เขาเองก็ยังไม่ได้มีทีท่าว่าจะวางจากงานตรงหน้าเลยสักนิด
“แล้วซิ่วหมินปลอดภัยไหมครับ! มีใครเป็นอะไรไหม!?” ลู่หานเอ่ยประมวลผลออกมาเป็นคำพูดได้เพียงเท่านี้ กับคำพูดเพียงไม่กี่คำของรุ่นพี่กลับทำให้สมองของเขาตื้อไปทันที
แค่เพียงห่างกันยังไม่ถึงวันกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับคนรักของเขา นี่ถ้าไม่มีรุ่นพี่อยู่ด้วยที่นั่นเขาเองก็ไม่อาจจะคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้หรือเปล่า
“ทุกอย่างเรียบร้อยคนของนายที่อยู่ดูแลซิ่วหมินโดนยิงแต่แค่เฉียดๆ ไม่เป็นอะไรมาก แล้วทำไมพี่ถึงติดต่อนายไม่ได้เลยล่ะ กว่าจะติดต่อเลขาของนายได้เลขาของพี่ก็แทบจะวิ่งวุ่นเหมือนกัน” ปลายสายตอบกลับมาเสียงเรียบแต่เอ่ยตำหนิร่างสูงไปกลายๆ
“ขอโทษครับ มีเรื่องเกิดขึ้นนิดหน่อยแต่ผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฝากทางนั้นด้วยนะพี่ผมจะรีบจัดการงานทางนี้ให้เร็วที่สุดฝากคนรักของผมด้วย” ร่างสูงเอ่ยออกมา แต่แววตากลับแสดงออกถึงความกังวลหลงเหลืออยู่ในสายตาเมื่อเอ่ยถึงคนรักของตน
“ทางนั้นมีการเคลื่อนไหวแล้วใช่ไหม พี่ได้ข่าวว่ามันกำลังจะนัดเซ็นสัญญาโอนหุ้นระหว่างกันในเดือนหน้านี้...” มาเฟียหนุ่มเอ่ยถาม
“ครับคนของผมกำลังจับตาดูอยู่เหมือนกัน ผมต้องไปก่อนนะพี่วันนี้ต้องไปงานเลี้ยงกับผู้ถือหุ้นของทางนี้ กว่าจะเสร็จงานที่นู่นคงเช้าพอดี แล้วผมจะติดต่อกลับไปอีกที เอ่อพี่ผมฝากซิ่วหมินด้วยนะ” ร่างสูงของลู่หานเอ่ยตอบ ก่อนจะก้มมองดูนาฬิกาเรือนแพงที่ประดับอยู่บนข้อมือของตน พร้อมกับเอ่ยลาผู้เป็นเสมือนพี่ชาย แต่ก็มิวายเอ่ยสำทับฝากฝังคนรักกับรุ่นพี่อีกครั้ง
“อื้ม ยังไงก็โทรหาคนรักของนายด้วยก็แล้วกัน” ปลายสายตอบรับกลับมาเสียงเรียบ
“รอให้เสร็จงานก่อนดีกว่า ขอบคุณที่เตือนครับ” ลู่หานตอบรับ แล้วกดวางสาย มือหนายกขึ้นมานวดขยับของตนเองเครียดๆ พรางนึกถึงใบหน้าของคนรักที่อยู่เกาหลีตอนนี้อยากติดต่อกลับไปในทันทีแต่ตนต้องไปจัดการธุระสำคัญก่อน สายตาคมมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ร่างสูงของลู่หานละสายตาจากสิ่งที่อยู่ด้านหน้าหันกลับเข้าไปในห้องผ่านกระจกใสของระเบียง ก่อนจะเห็นใบหน้าสวยหวานของอดีตคนรักโผล่ออกมาจากประตูตามด้วยร่างเพรียวละหงที่ก้าวมาในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับมองหาเขาลู่หานจึงหย่อนโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวเข้าไปในห้อง
“ลู่หานคะได้เวลาแล้วนะค่ะ ปล่อยให้แขกรอนานมันเสียมารยาทนะ” คิมแทยอนก้าวเข้ามาประชิดร่างสูงของลู่หาน ก่อนที่จะสอดแขนเรียวคล้องไปที่แขนแกร่ง
วันนี้คิมแทยอนในฐานะของหุ้นส่วนคนสำคัญในเครือลูเซียกรุ๊ปสาขาใหญ่ (ตามที่ทุกคนเข้าใจ) ขอตามมาด้วยโดยเอาบิดาของตนขึ้นมาอ้าง ลู่หานเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงอนุญาตให้เธอตามมาดูงานด้วย และช่างบังเอิญที่เธอพักอยู่โรงแรมเดียวกันกับเขาและที่สำคัญพักชั้นเดียวกันอีกต่างหาก…
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่บริเวณชั้นล่างของโรงแรมเพื่อความสะดวกสบายของทั้งตัว แขกและผู้จัดงาน ส่วนคนควบคุมงานก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเลขาคนเก่งของลู่หานอย่าง...โดคยองซู
ร่างสูงของลู่หานยืนอยู่บนเวทีเพื่อกล่าวเปิดงานและเชิญทุกคนสังสรรค์เพื่อร่วม ฉลองความสำเร็จกับการร่วมลงทุนกับชาวต่างชาติ มีแขกมากหน้าหลายตาเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับร่างสูงไม่ขาดสาย และตามมารยาทก็เป็นธรรมดาที่ต้องมีการ ‘ดื่ม’ เพื่อฉลอง
บรรดาผู้คุ้มกันของร่างสูงเองก็คอยยืนคุมสถานการณ์อยู่รอบนอกเพราะในงานมีแต่แขกคนสำคัญและทางโรงแรมเองก็มีมาตรการป้องกันความปลอดภัยที่เข้มงวดทำให้พอจะไว้วางใจได้ ร่างสูงสะบัดหัวไล่ความมึนเล็กน้อย ตอนนี้เขาเองก็เริ่มมีอาการมึนๆ บ้างแล้ว คงต้องขอปลีกตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้องพักส่วนตัว
“เจ้านายครับ ไหวไหมให้ผมขึ้นไปส่งเจ้านายก่อนดีไหม พอส่งเจ้านายเสร็จเดี๋ยวผมค่อยลงมาตรวจความเรียบร้อยก็ได้” คยองซูเอ่ยบอกกับผู้เป็นนายที่เข้ามาสั่งงานให้เขาดูแลความเรียบร้อยต่อ เพราะลู่หานจะปลีกตัวออกไปพักผ่อน
วันนี้เจ้านายของเขาเองก็เหนื่อยมาทั้งวันแถมยังไม่ได้พักเลยสักนิด ถึงแม้ตัวเขาเองต้องคอยตามร่างสูงเหมือนเงา แต่ก็เพียงแค่คอยตามเช็คความเรียบร้อยและคอยประสานงานให้ จึงไม่ได้เหนื่อยเหมือนเจ้านายมากเท่าใดนัก
“ผมขึ้นไปเองจะดีกว่า คุณคอยดูแลความเรียบร้อยของงานเถอะ เผื่อว่าแขกต้องการอะไรจะได้ประสานงานได้ทัน ฝากด้วยนะคุณคงเหนื่อยแย่” ลู่หานเอ่ยปฏิเสธเลขา ก่อนจะใช้มือแตะไหล่ร่างเล็กสองสามทีอย่างไว้วางใจ คยองซูยิ้มให้เจ้านายก่อนจะผละไปรับรองแขกที่เตรียมจะขึ้นห้องแล้วเหมือนกัน ร่างสูงมองตามร่างเล็กของเลขาแล้วยิ้มน้อยๆ ก่อนจะก้าวไปอีกทาง
ลู่หานอาบน้ำชำระร่างกายตนเอง ก่อนจะก้าวออกมานั่งที่ปลายเตียงด้วยชุดคลุมอาบน้ำสีขาวสะอาดตา ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ออกมากดเบอร์โทรที่ตนจำขึ้นใจ ตอนนี้ที่เมืองไทยคงเกือบจะรุ่งเช้าแล้ว ลู่หานกดเบอร์โทรหาคนรักอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าปลายสายจะกดรับ จึงตัดใจวางโทรศัพท์ไว้หัวเตียงและล้มตัวลงนอนเข้าสู่นิทรา….
“กรี้ด ลู่หานคะ ก๊อกๆๆ ลู่หานคะ เปิดประตูให้ฉันหน่อย ฮือๆๆ ลู่หาน ก๊อกๆๆๆ” ร่างสูงของลู่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลืมตางัวเงียลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูกลางดึก ลู่หานมองดูนาฬิกาที่หัวเตียง เขาเพิ่งจะหลับไปได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ ร่างสูงถอนหายใจก่อนจะลุกไปที่ประตู ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นหูจึงเปิดประตูด้วยท่าทางหัวเสีย
พรึ่บ
ร่างสูงเซไปเล็กน้อยเมื่อเจอแรงโถมมาเต็มตัว ร่างเพรียวละหงษ์ของหญิงสาวตัวสั่นด้วยแรงสะอื้น ด้วยชุดนอนสีขาว ‘บางตา’ ลู่หาน พยายามดึงไหล่อีกคนที่กำลังกอดเขาแน่นให้ออกห่างจากตัว เขาเองเพิ่งจะได้นอนแถมยังดื่มไปไม่นอน จึงได้แต่พยายามดึงสติของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุด
“มีอะไรหรือเปล่าแทยอน แล้วร้องไห้ทำไม?” ลู่หานเอ่ยถาม
“ฉันฮึก ก คือฉันฝันร้ายค่ะลู่หาน ฮือๆ” คิมแทยอนเอ่ยตอบเสียงสั่น ลู่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้จะเป็นการเสียมารยาทไหมถ้าจะถามอดีตคนเคยรักไปว่า ‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา?’
“ค คือ ลู่หานคะฉันรู้ว่ามันคงจะดูไม่ดีถ้ามีคนรู้และอาจจะเข้าใจผิดได้ แต่ว่าขอฉันนอนด้วยคนได้ไหมคะ? ถ้าให้นอนคนเดียวอยู่ที่ห้องฉันคงนอนไม่หลับแน่ๆ ในฝันมันน่ากลัวมากๆ เลยนะคะลู่หาน ได้ไหมคะ สงสารฉันเถอะนะ นะคะ แล้วพรุ่งนี้เช้าฉันจะรีบกลับห้องของตัวเองทันที ฮึก ฉันรู้ค่ะว่าถ้าคนอื่นเห็นมันต้องไม่ดีแน่ แต่ แต่..คือ..ให้ฉันนอนที่โซฟาก็ได้นะคะ” คิมแทยอนเอ่ยตอบพรางปาดน้ำตาออกจากหางตา ลู่หานได้แต่ถอนหายใจ ป่านนี้พวกลูกน้องของเขาเองก็คงเข้าไปพักผ่อนกันหมดแล้ว เธอถึงสามารถเข้ามายืนเคาะหน้าห้องเขาได้ด้วยสภาพไม่เรียบร้อยแบบนี้
“เฮ้อ คุณคิดอะไรอยู่แทยอนถ้าคุณอยากมีเพื่อนนอนให้ผมโทรหาลูกน้องของผมให้เอาไหม?” ลู่หานบอกเสียงเหนื่อยๆ
“เอ่อ ทำไมคุณถึงใจร้ายกับฉันแบบนี้ละคะ ฉันเป็นหุ้นส่วนของคุณนะ” คิมแทยอนเอ่ยตัดพ้อน้ำตาคลอ เธอพยายามอ้อนวอนขอเผื่อว่าร่างสูงจะยอมใจอ่อน
“ถ้าคุณจะยังพอเกรงใจผมบ้างก็ควรจะรู้ว่านี่มันเวลาพักผ่อน กลับห้องไปซะ” ลู่หานพูดบอกหญิงสาวเสียงเรียบบ่งบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มจะหงุดหงิดกับอาการดื้อดึงของอดีตคนรัก อะไรที่พอยอมได้เขาก็ยอมให้แต่อะไรที่มันมากเกินไปก็ต้องเป็นไปตามนั้นเขาไม่ได้โง่
“แต่ว่า.../ปั้ง ง” คิมแทยอนกำลังจะเอ่ยต่อรองกลับต้องหน้าหงายเมื่อร่างสูงของอดีตคนรักปิดประตูใส่หน้าเธออย่างไม่ใยดี ผิดกับตอนอยู่หน้ากล้องที่เขาพยายามเอาใจเธอ
ใบหน้าสวยงอง้ำอย่างขัดใจ ก่อนจะหันไปหาอีกมุมที่มีคนของเธอยืนถือกล้องอยู่พร้อมกับยิ้มร้าย แล้วตัดสินใจเดินกลับห้องของตัวเอง
++++++++++++++++++++++++
ติ้ด ติ้ด
ร่างเล็กหันไปมองโทรศัพท์เครื่องสวย ก่อนจะลุกไปหยิบขึ้นมากดดูข้อความที่ถูกส่งมาโดยเบอร์แปลก ตอนนี้ร่างบางอยู่บนห้องนอนส่วนตัวกำลังเตรียมจะลงไปทานอาหารเช้าร่วมกับ บิดามารดา และพี่ชาย
“เขาอยู่กับฉัน...ทั้งคืน ขอบใจนะ เขาดูเร่าร้อนขึ้นจนฉันแทบจะละลาย สามีของนาย...ฉันถูกใจจริงๆ”
ตุบ
โทรศัพท์เครื่องสวยหล่นออกจากมือเรียวทันทีที่อ่านข้อความที่แนบมาพร้อมกับ รูปภาพคนรักที่ยืนหัวยุ่งอยู่หน้าประตูห้องพร้อมกับคิมแทยอนที่สวมเพียงชุดนอนบางๆ เหมือนกับคนสองคนกำลังคุยอะไรกันบาง และอีกรูปเป็นรูปของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีเสื้อผ้าพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มอย่างสะใจของคิมแทยอนที่นอนแนบหน้าไปกับอกของชายคนนั้น ...
ฮึก ลู่หาน ที่ไม่ยอมเปิดโทรศัพท์เพราะแบบนี้เองหรอ ฮือออออ..
ดวงตาเรียวฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตา มือเรียวสองมือสั่นระริกกำแน่นทั้งสองข้างพร้อมกับร่างบางที่ทรุดฮวบลงข้างเตียงและขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ว่าจะมีใครมาเคาะประตูเรียกสักเพียงใด ก็มีแค่เพียงเสียงกลั้นสะอื้นตอบรับกลับมาว่า
“ผมอยากอยู่คนเดียว...”
_______________________________________
Talk ::
ไม่เม้นไม่เป็นไร Fav.ไว้ก็พอ คันไม้คันมืออยากเม้นเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน
รักรีดเดอร์ทุกคนนะครับ^^
อีกนิด..ฝากเพจ FB :: เบบี้เยลโล่ TWT :: @Baby_Yellowza ด้วยนะครับผม
ขอบคุณทุกๆ คอมเม้น ทุกๆ ไลท์ในเพจนะค่ะ บบยล. ตามอ่านทุกเม้นนะไม่ปฏิเสธว่าทุกเม้นเป็นแรงเสริมให้มีกำลังใจในการแต่ง เน๊าะ ขอบคุณมากๆ ค้าบ
ความคิดเห็น