ทางรัก
เรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่หลงรกกับเพื่อนของพี่ชาย ระหว่างที่ไปเยี่ยมพี่ที่เยอรมันนี และความรักของคนสองคนเกิดขึ้นท่ามกลางความสวยงามของสถานที่ที่พวกเขาได้เดินทางไป
ผู้เข้าชมรวม
506
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
จดหมายฉบับที่ ๒๔ เมืองเท้า Fussen ที่พัก ฟังซิ (ถึงได้) โอน Pension
ศุลี ตื่นในตอนเช้าที่อากาศหนาวเย็น
และรีบอาบน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่นแต่ก็ยังหนาวอยู่
เธอเห็นเด็กชายคนหนึ่งยืนแก้ผ้าอยู่และรีบวิ่งไปเพราะอายศุลี และเธอเดินชมสวนที่เต็มไปด้วยกุหลาบหินสีสันต่างๆ
และมาพบกับตานอง ซึ่งตานองไม่ค่อยสบายเพราะเขาเป็นไซนัสอักเสบ
และได้เล่าถึงร้านขายยาว่าในเมืองนากคนที่จะซื้อยากินได้ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์เท่านั้นเขาจึงจะขายให้ไม่เหมือนในเมืองไทยที่มีขายเหมือนกับร้านขายก๋วยเตี๋ยว และศุลีก็เดินเล่นในสวนไปกับตานอง
ศุลีบ่นไม่อยากกลับแฟรงเฟิร์ต
ซึ่งนายฉายจะพรศุลีเข้ามึนเว่นไปไฮเดลแบร์กต่อและจะบินไปฝรั่งเศส
จึงจะกลับกรุงเทพ แต่ไม่รู้ว่านายชยานนท์จะไปด้วยหรือไม่
ตานนท์บอกกับศุลลีว่าเธอเป็นคนๆเดียวที่ทำให้เขานึกถึงบ้านจากนั้นเขาก็พากันไปกินข้าวกัน
และออกเดินทางไปยังมึนเช่น แต่ระหว่างทางต้องผ่านภูเขาแอลป์
ซึ่งต้องใช้เวลาบนภูเขาถึง ๖ ชั่งโมงเต็ม บนภูเขาเต็มไปด้วยทางลาดชัน
และอากาศหนาวเย็น มีด่านระหว่างเยอรมันกับออสเตรเลียเพื่อตรวจคนเข้าเมือง และไปถึงเมืองอินบรูก (Innsbruck) ก็ร่วมเที่ยงพอดี
ศุลีและตานองรวมทั้งนายฉายพี่ชายของเขาก็ไปกินข้าวกันแต่ในอินบรูกถือเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวที่ลงจากเทือกเขาแอลป์จึงทำให้ร้านอาหารทุกร้านแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยว ทำให้ทั้งสามคนต้องมาหาอะไรกินกันที่ร้านขายไส้กรอก
ซึ่งไม่อร่อยเท่ากับไส้กรอกในเบอร์ลิน
ในอินบรูกถนนที่คนหลั่งไหลไปมากที่สุดคือที่ถนนแฮร์ซอด เฟรดริช ตราสเซ่ (Herzog Friedrich Strasse)
ซึ่งที่นั่นมีหลังคาที่มุงด้วยสีทองทำให้เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของพวกไอ้มัน(คนเยอรมัน)กันเป็นอย่างมาก และออกจากอินบรูกเมื่อตอยบ่าย
เมืงอินบรูกได้ชื่อว่าเป็น ฮาร์ท ออฟ แอลป์ (heart
of ale)
เพราะเป็นที่ราบเพียงแห่งเดียวในเทือกเขาแอลป์ ก่อนจะถึงหมู่บ้านเซนต์อันโทน (St. Anton) และได้จอดรถแวะที่ลานจอดรถบนเทือกเขาแอลป์ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวก็ได้มีเมฆบางๆลอยเข้ามาสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็น
บนนั้นมีร้านขายของที่ระลึกด้วย เมื่อมาถึงหมู่บ้านเซนต์อันโทน เป็นหมู่บ้านที่เล็กนิดเดียว
ด้านหลังหมู่บ้านเป็นเทือกเขาสูงลิบจรดฟ้า มีหิมะและเมฆปกคลุมยอดเขาเป็นทางยาว
และแวะพักที่โรงแรม Marmota ในเขตเมือง Nenzing เป็นโรงแรมขนาดเล็ก มีต้นไม้ดอกไม้บานเต็มสวน
มีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อยนายฉายจะพาศุลีไปไฮเดลแบร์ก และจะไปเยี่ยมชมแถวนั้นประมาณ
3-4 วัน และจะบินเข้าแฟรงเฟิร์ต เข้าฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ แล้วบินตรงเข้ากรุงเทพ
เมื่อศุลีตื่นขึ้นมาหมอกลงจัดเนื่องจากฝนโปรยลงมาทั้งคืน
เมื่อสายหน่อยจึงค่อยพากันออกเดินทางต่อและต้องไต่ขึ้นภูเขาแอลป์ที่หมอกลงจัดอีกเช่นกัน
แต่จะมีไม้ที่ทาสีสะท้อนแสงปักไว้ทั้งสองข้างทางเพื่อให้มองเห็นขอบถนน และไปกินข้าวกันที่ริมทะเลสาบซูริค
มีทั้งเป็ดป่าและนกนางนวลบินว่อนทั่งท้องฟ้า
ตานอกบอกศุลีว่าถ้ามาหน้าหนาวจะสามารถเดินข้ามทะเลสาบไปอีกฟากได้เพราะน้ำในทะเลสาบจะแข็งจนสามารถทำให้เดินข้ามได้เลยทีเดียว
ร้านพวกดีพาร์ทเมนท์สโตร์ในซูริชคล้ายกับในเบอร์ลินแต่ราคาแตกต่างกันมากเลยทีเดียว
ตานองกับนายฉายผลัดกันขับรถเข้าไฟร์บวร์กรวดเดียวเรียกว่าขับออกจาออสเตรเลียเข้าสวิสแล้วกลับเข้าเยอรมันเลยก็ว่าได้
จากซูริชพวกเขาเข้าชายแดนเยอรมันที่บาเซล
(Bazal) ทางเอาโตบาห์น
และจไปแวะกินอาหารจีนกันที่ไฟร์บวร์ก
แต่ตานองต้องโทรถามก่อนว่านายจ้างของตานองมาถึงแฟรงเฟิร์ตหรือยังเพราะถ้ามาถึงแล้วตานองต้องรีบไปที่แฟรงเฟิร์ตในคืนนั้น
โทรศัพท์ในเยอรมันนั้นสามารถโทรทั้งทางไกล้ทางไกลได้ที่โทรศัพท์สาธารณะไม่เหมือนที่เมืองไทยที่ต้องไปโทรที่องค์การโทรศัพท์
เมื่อตานองโทรถามนายจ้างก็บอกว่ารออยู่ที่แฟรงเฟิร์ตแล้วตานองจึงรีบขับรถเข้าแฟรงเฟิร์ตหลังจากที่กินข้าวกันเสร็จซึ่งก็เป็นเวลาสองทุ่มตรง
ศุลีนอนขดอยู่ที่เบาะหลังส่วนนายฉายก็หลับไปไม่นานก็ได้แวะที่ปั้มน้ำมันนายฉายอาสาขับรถให้เพราะตานองทั้งมีไข้และขับรถมาทั้งวัน นายฉายเกิดหลงทางคือขับรถเข้าโรงเก็บรถรางแทนที่จะเป็นโรงแรมทุกคนหัวเราะคิกคักกันใหญ่ ตานองจึงต้องลุกขึ้นมาขับเอง
เมื่อถึงโรงแรมที่จองไว้ทุกคนรีบไปนอนเป็นครั้งแรกที่ศุลีไม่อาบน้ำ เพราะง่วงมาก
ศุลีนอนตื่นสายจนนายฉายต้องมาเคาะประตูห้องและบอกว่าจะไปส่งตานอง
เดี๋ยวจะกลับมา โรงแรม
ดีโพลแมทเป็นโรงแรมชานเมืองแฟรงเฟิร์ต ไม่ใหญ่นักหากแต่สะดวกสบาย
มีผู้จักการเป็นคนเดียวกับคนยกกระเป๋า ส่วนสาวเสิร์ฟก็มีเพียงคนเดียวซึ่งเป็นเด็กนักเรียนมหาวิยาลัยที่มาทำงานในช่วงปิดเทอม
นายฉายกลับมาบอกว่านายนนท์เป็นไข้ทำให้ศุลีรู้สึกเป็นห่วงเป็นอย่างมากทีเดียว นายฉายเอารถไปเช็คทำให้ศุลีต้องอยู่คนเดียวเธอจึงเดินลัดเลาะไปตามริมแม่น้ำไมน์ และเห็นตานองคุยกับนายจ้างอยู่เธอเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแฟนของตานอง
ทำให้เธอไม่พอใจ พอตานองเห็นเธอจึงรีบเข้ามาหาและไม่เข้าใจกัน
นายฉายกลับมาบอกให้นายนนท์ไปคุยกับศุลีให้รู้เรื่อง
และนายชยานนท์ก็ได้สารภาพรักกับศุลี และเรียกศุลีว่า “ซื้ดซี่” ตั้งแต่นั้นมา
และบอกว่าจะรอคำตอบจากศุลี ตานองตัดสินใจยกเลิกงานและบอกว่าจะไปที่ฝรั่งเศสด้วย และออกเดินทางต่อไปยังไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg) และเมื่อมาถึงก็ได้ไปเยี่ยมชมปราสาทไฮเดลเบิร์ก ซึ่งพังทลายไปแล้วบางส่วนจากผลของสงคราม
ที่นี่จะปลูกสมุนไพรต่างๆไว้มากมาย
ปราสาทนี้ว่ากันว่าเป็นปราสาทที่มีความงดงามไม่แพ้ชาโลสแห่งอื่นๆ
เพราะลวดลายปูนปั้นที่งดงามยิ่ง ที่นั่นสวยงามจริงๆ ซึ่งมิน่าคนที่แต่งเพลง I lost my heart in Heidelberg จึงได้ทิ้งหัวใจไว้ที่นี่ พวกเขาย้อนไปที่ชาโลส อีกครั้ง
เพื่อไปยังห้องเก็บเหล้าซึ่งมีถังเหล้าขนาดใหญ่มากมาย ขาออกทุกคนจะได้ชิมเหล้า
มันทำให้ศุลีถึงกับเมา และทุกคนออกจากเมืองนั้นตอนสองทุ่ม
และขับรถเข้าเมืองสตุตการ์ทในคืนนั้น
จดหมายฉบับที่ ๒๖
STUTTGART เป็นเมืองใหญ่เมืองเดียวที่ตั้งอยู่บนภูเขาจึงทำให้เมืองนี้ทิวทัศสวยงามเป็นพิเศษ
และเดินทางต่อไปยังมึนเช่น ก่อนถึงมึนเช่นทุกคนแวะที่ตำบลดักเชา (Dachau) ซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษชาวยิว
สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ค่ายนี้สร้างขึ้นในเดือนมีนาคม 1933 พอเสร็จก็มีเชลยมาอยู่ประเดิมถึง 4821
คนจนถึงปี 1945 มีเชลยทั้งหมดถึง 206,206 คน ค่าย Dachau เรียกย่อๆ ว่า K.Z.
และทุกคนเดินชมที่นี่จนทั่วและเมื่อกลับออกมาทุกคนมีความรู้สึกเดียวกัน
คือไม่สบายใจ และเดินทางเข้ามึนเช่นต่อไป
และเมื่อถึงมึนเช่นก็ได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชาติของเยอรมัน
ซึ่งสมกับเป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเพราะมีขนาดใหญ่มาก
ในที่นี้จะรวมรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ไม่ว่าจะเป็นอาวุธสงครามสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่เป็นของจริงๆ
นำมาผ่าซีกให้ดูเลยที่เดียว ที่นี่กว้างมากถ้าจะดูให้ทั่วต้องใช้เวลาทั้งวัน
และก็เดินทางต่อไปยังเมืองสตาร์นแบร์ก (Starnberg)
เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขา
มีภูมิประเทศที่สวยงามมากทีเดียว และไปกันที่สตาร์นแบร์กเกอร์เซ (starnberger See) เป็นทะเลสาบมีหงส์ขาวบินว่อน
มีร้านขายของริมหาดแต่ไม่ว่าหาดทรายที่ไหนก็ไม่สวยเท่าเมืองไทย และเดินทางไปนอนที่ มิทเทนวาล์ด บนภูเขา klais “ มิทเทนวาล์ด” แปลว่า หมู่บ้านกลางดง ที่นี่โรงแรมสวยมากทีเดียว
จดหมายฉบับที่ ๒๗ Gasteheim Rusticana (โรงเตี๊ยม รัสติกานา) Mittenwald (หมู่บ้านกลางดง)
โรงแรมแห่งนี้สวยงามจริงๆ คือ
ตัวโรงเตี้ยมอยู่บนภูเขา ข้างหลังมีดงสนเป็นฉาก
ด้านหน้าเป็นโดมกระจกทรงกลมสามารถมองเห็นไหล่เขาลดหลั่นกันลงไป
วันนี้ตานองมีอาการไอ
เนื่องจากแกเป็นไข้ยังไม่หาย
ตานองขอสมัครเป็นคนไข้ของศุลีเพราะไม่รู้ว่าศุลีเป็นสัตวแพทย์
ทำให้ทุกคนหัวเราะกันใหญ่จนฝรั่งโต๊ะข้างๆหันมามอง
ศุลีและตานองเดินไปด้วยกันระหว่างทางลงไปลานจอดรถ
ซึ่งสองฝั่งมีดอกหญ้าหลากสีขึ้นอย่างสวยงาม และออกจากโรงแรมรัสติกานาราวๆ 9 โมงเช้า
เพื่อไปที่ยอดเขา ซุกสพิทเซ่ (Zugspitze) โดยใช้เคเบิลคาร์ ซึ่งจะแบ่งเป็นสามสถานี
เพราะยอดเขานั้นอยู่สูงมาก เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา
ศุลีเห็นคนสองคนเดินผ่านไปทางซอกหิน
จึงได้รู้ว่าบนยอดเขานี้มีด่านตรวจคนเข้าเมือง
เพราะภูเขาซีกหนึ่งเป็นของเป็นฝั่งเยอรมันนีและอีกซีกเป็นของออสเตรเลีย ชาวบ้านแถบนี้จึงเข้าออกสองประเทศเป็นประจำ และจากนั้นก็เดินทางต่อไปยังทะเลสาบ อิ๊บเซ่ (Eibsee)
เป็นหาดทรายสีคล้ำระยะขาดสั้นไม่เหมือนที่เมืองไทยที่หาดทรายขาว ยาว
แต่เต็มไปด้วยขยะ เพราะที่นี่ไม่มีขยะเลย
และไปยังเมือง กามิสซพาร์เท็นเคียร์ (Garmisch
Partenkirchen)
เป็นเมืองที่สวย และเป็นที่แข่งขันกระโดดสกีในกีฬาโอลิมปิคอีกด้วย สถานที่แข่งขันอยู่บนเนินเขาสูงลิบลิ่ว ในหน้าหนาวไอ้มันจะประกาศว่าหิมะหนาพอที่จะเล่นสกีได้หรือไม่
ถ้าหิมะหนาพอที่นี่ก็จะเต็มไปด้วยนักเล่นสกีเลยทีเดียว
ทั้งสามออกจากที่นั่นเพื่อไปกินข้าวเที่ยงที่เมืองโมเนา (Murnau) ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ
และออกจากเมืองนั้นวิ่งขึ้น Autobahn กลับ
แฟรงเฟิร์ต
ระหว่างทางศุลีเริ่มเกิดการถามใจตัวเองแล้วว่า เรารักผู้ชายคนนี้หรือเปล่า
จดหมายฉบับที่ ๒๘ โรงแรมดีโพลแมท แฟรงเฟิร์ต
ทั้งสามกลับมานอนที่โรงแรมเก่าที่ซึ่งมีผู้จัดการกับคนยกกระเป๋าเป็นคนๆเดียวกัน
และวันต่อมาศุลีกับนายนนท์ก็ไปเดินเที่ยวชมงานแสดงสินค้าที่แฟรงเฟิร์ต
ซึ่งจัดเป็นบริเวณกว้างกว่าในเบอร์ลิน มีทั้งแสดงเครื่องหนังที่ราคาสูงลิบลิ่ว
และก็มีพวกเครื่องปั้นดินเผาฝีมือหยาบๆไม่เหมือนในเมืองไทย
แต่ราคาต่างกันมากเพราะที่นี่เขาสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่าบ้านเรามาก
ศุลีต้องเดินตามตานองจนหัวขวิดแต่ตามไม่ทันสุดท้ายก็ต้องวิ่งตาม
และเมื่อศุลีหิว ตานองจึงไปซื้อไส้กรอกมากิน ทั้งสองคนกินหมดกันไปถึงสามจาน
และในที่สุดชยานนท์ก็ขอศุลีพรแต่งงาน แต่ศุลีทำเป็นไม่ใส่ใจ
และแกล้งพูดว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมรับละ ก็เพราะว่าการที่ผู้ชายจะแต่งงานนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากเพราะจะต้องโดนผูกมัดและเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วย สุดท้ายทั้งสองก็ต้องเดินในงานแสดงสินค้าจนเย็น
นายฉายจึงเดินหน้าบานมาและชวนทั้งสองไปกินข้าวที่บอน์น
ระหว่างทางไปบอน์นนั้นเป็นป่าสนมืดครึ้มละต้องลงเรือขนานยนต์เพื่อข้ามพากไปอีกฝั่ง
เมื่อถึงบอน์นทุกคนได้กินเป็ดย่าง หลนเต้าเจี้ยว และอย่างอื่นอีกซึ่งเป็นอาหารไทย
และขับรถกลับ
ระหว่างทางกลับนายฉายบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปเยี่ยมแฟนเก่าที่วิสบาเด็น ซึ่งตานองไม่สามารถขัดนายฉายได้อยู่แล้วนี่
จดหมายฉบับที่ ๒๙ โรงแรมดีโพลแมท แฟรงเฟิร์ต
ที่วิสบาเด็น (Wiesbaden) มีอะไรที่เหมือนเมืองไทยอย่างหนึ่ง คือ สถานีรถไฟ
สถานีรถไฟที่นี่เหมือนที่หัวลำโมงมาก แต่ต่างกันที่ขนาดเท่านั้น
เมืองวิสบาเด็นเป็นเมือง อาบ อบ นวด ของทหารโรมัน ใกล้กับ สตัทมิทเต้ มีบ่อนคาสิโนใหญ่ ซึ่งคิดว่าใหญ่พอๆกับมาเก๊า
การไปวิสบาเด็นคราวนี้ศุลีไม่ได้สนใจกับสถานที่หากแต่คิดจะไปดูหน้าอดีตพี่สะใภ้
เท่านั้น เมื่อมาถึงที่ที่พี่สะใภ้เธออยู่
นายฉายก็ลงเข้าไปหา แต่ว่าเธอเปลี่ยนไปมากทีเดียวจนนายฉายจำไม่ได้
ศุลีและตานองเดินออกไป ปล่อยให้นายสุริย์ฉาย อยู่กับแม่ ซื้ดซี่ ของเขา ระหว่างทางมีดอกไม้ขึ้นเต็ม
นายนนท์บอกกับศุลีว่า อยากมีบ้านสักหลังปลูกไว้ให้ศุลีไปอยู่ แต่ไม่รูว่าเธอจะยอมไปอยู่ด้วยหรือไม่
ศุลีอ้างว่าขี้เกียจกวาดใบไม้ แต่ที่จริงแล้วศุลีรักนายชยานนท์เข้าเต็มหัวใจแล้ว
เมื่อนายฉายเสร็จธุระแล้วก็มาชวนทุกคนไปกินข้าวเช่นเคยแต่คราวนี้ไปที่ร้านอาหารจีนที่เขาเคยมากิน
แต่ตอนนี้เจ้าของร้านคนเก่าได้ย้ายออกไปแล้ว
และเมื่อกินอิ่มทั้งสามก็เดินทางกลับเข้าแฟรงเฟิร์ตในตอนเย็น
เมื่อมาถึงศุลีอาบน้ำเพราะมีนัดกับตานอง
เพื่อที่จะเดินเที่ยวในแฟรงเฟิร์ตในตอนกลางคืน และเมื่อค่ำ เหล่าโสเภณีก็เริมออกให้บริการ
โดยจะมีทั้งโสเภณีขี่เบนซ์ รถอื่นๆ และพวกที่เดิน ราคาก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อรถ
ถ้าต้องการถูกๆก็ต้องพวกที่เดิน “ผมสัญญา
...อีกปีเดียวซื้ดซี่...ผมจะเริ่มนับวันสัญญาทันทีที่เราจากกัน” ตานองพูดกับศุลี
เพราะตานองจะกลับไปเมื่อเรียนจบพร้อมกับใบปริญญา และไปหาศุลีที่เมืองไทย และทั้งสองก็เข้านอน
ในตอนเช้า
ทุกคนไปเที่ยวกันที่บัดฮอมบวร์ก ซึ่งอยู่ใกล้กับแฟรงเฟิร์ตมาก
ที่บัดฮอมบวร์กมีชาโลสที่ไกเซอร์วิลเฮล์มเคยประทับ แต่ไม่สวยเท่าชาโลสแห่งอื่น
แต่เป็นชาโลสแห่งแรกที่พบว่ามีห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ด้านหลังชาโลสเป็นลานกว้าง ด้านหนึ่งเป็นกำแพงเตี้ยๆ มองลงไปจะเห็นปาร์คเขียวลดหลั่นตามลาดเขา
ทุกคนไปนั่งกินกาแฟ เมื่อกินกาแฟหมด
ฝนก็ตกลงมาแต่ไม่ยักมีฟ้าแลบฟ้าร้องเหมือนในบ้านเรา
จดหมายฉบับที่ ๓๐
โรงแรมเจ้าเก่า(ดีโพลแม็ท) เมืองเก่า (แฟรงเฟิร์ต)
ศุลีตื่นแต่เช้าออกไปดูงานแสดงเครื่องหนังตั้งแต่เช้า
เครื่องหนังนี้มีหนังทุกชนนิดให้เลือก เครื่องหนังที่นี่ส่วนมากจะมีแค่ชิ้นเดียว
เพราะว่าจะทำเฉพาะที่ลูกค้าสั่งเท่านั้น และตานองซื้อกระเป๋าหนังใบหนึ่งให้กับศุลี
โดยพูดว่า “Love to give but not take” ศุลียกมือไหว้ตานองเป็นครั้งแรก และทั้งสองไปกินข้าวเที่ยงกันที่รุสเซลไฮม์
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแฟรงเฟิร์ต มีโรงงานอุตสาหกรรมทั้งโรงงานทำ Benz, B.M.W., Opel และยังมีโรงกลั่นน้ำมัน Caltex อีกด้วย
และตอนเย็นศุลีมีนัดกับตานอง เสื้อผ้าของศุลีได้แพคลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว
เมื่อถึงตอนเย็นศุลีใส่ชุดพลีทสีขาวเพนท์เป็นรูปดอกไม้สีต่างๆ
คาดเอวด้วยไหมเกลียวทองเส้นยาว
ซึ่งตานองเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกรู้สึกตะลึงงันในความสวยของศุลี
แม้แต่ผู้จัดการโรงแรมก็ออกปากชมว่าศุลีนั้นสวย และก็ออกไปขึ้นรถราง ไปลงแถบสตัดมิทเต้ และไปกินข้าวกันที่ร้านชเนลอิมบิส และทั้งสองคนก็รีบไปที่บาร์
ทั้งสองร่วมเต้นรำกัน และกลับออกมา ทั้งสองเดินกลับ ตานองบอกกับศุลีว่า “สำหรับคุณ.....คือความทรงจำอันสดใสของผม ตั้งแต่ผมพบคุณ
ไม่เคยมีเวลาใดเลยที่ผมไม่มีความสุข”
และรีบวิ่งเพื่อให้ทันรถรางที่กำลังวิ่งมา
วันนี้ทั้งสามคนหอบข้าวของมาที่สนามบิน
ซึ่งสนามบินแฟรงเฟิร์ตนั้นนับว่าเป็นสนามบินที่ใหญ่มากจะเป็นรองก็แต่สนามบินนิวยอร์ก
การเช็คตั๋ว การจองที่นั่งเครื่องบินจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
และทั้งสามจะเดินทางไปลงที่สนามบินออร์ลี่ในฝรั่งเศส นี่เป็นครั้งแรกที่ศุลีรู้สึกดีในการขึ้นเครื่องบินเพราะเธอไม่ได้เดินทางคนเดียวเหมือนตอนที่เธอมา แต่นี่มีทั้งคนที่เธอรักและพี่ชายเดินทางมาด้วย
ทำให้เธอมีความสุขเป็นอย่างมาก
และไม่กี่ชั่วโมงทั้งสามก็เดินทางมาถึงสนามบินออร์ลี่ซึ่งเล็กกว่าแฟรงเฟิร์ตมากที่เดียว จาก
สนามบินออร์ลี่ต้องนั่งรถแท็กซี่
ต่อไปยังโรงแรม ซึ่งติดป้ายเป็นโรงแรมชั้นหนึ่งแต่เป็นโรงแรมที่เก่ามากๆ
และทั้งสามคนก็มาทานอาหารกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส
ทั้งสามอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออกจึงต้องทำการเดาในการสั่งอาหาร
ทั้งสามได้ซุบถ้วยใหญ่และขนมปัง จากนั้นก็ปรึกษากันว่าจะไปดูระบำฟอลลีแบร์แยร์
และได้โทรจองตั๋วระบำไว้ และศุลีกับตานองก็ออกไปเดินเที่ยวชมงานแสดงสินค้า
ซึ่งมีลักษณะคล้ายงานแสดงสินค้าในอิตาลี
แต่ที่เห็นจะเด่นที่สุดของฝรั่งเศสเห็นจะเป็นน้ำหอม ซึ่งขึ้นชื่อมากของฝรั่งเศส
และในตอนเย็นทั้งสามคนก็ไปที่โรงระบำฟอลลีแบร์แยร์
ไม่ได้ใหญ่โตนักเป็นโรงละครเล็กๆ แต่คับคั่งไปด้วยเศรษฐีที่หลั่งไหลมาชมระบำ
ทุกคนหันมามองทั้งสามคนเพราะรู้สึกจะแต่งตำมอมแมมที่สุดแต่กลับจองที่นั่งด้านหน้าเป็นแถวที่สาม การแสดงจะเริ่มเวลาสองทุ่มครึ่งผู้ชมจะนั่งเต็มหรือยังจะไม่สนใจ
แต่จะทำการแสดงตรงเวลา การแสดงแบ่งออกเป็นสามชุด
ชุดแรกจะเป็นการแสดงที่สวยงามมากจนศุลีตื่นเต้นเป็นพิเศษ และชุดต่อมาเป็นการแสดงตลกซึ่งสามารถทำให้ผู้ชมหัวเราะได้
โดยที่ไม่ต้องใช้คำพูดเลยแม้แต่น้อย
ชุดที่สามเป็นระบำเปลือย ซึ่งเป็นการแสดงที่สวยงาม
ไม่น่าเกลียดอย่างที่ศุลีคิด ทุกคนที่ทำการแสดงทั้งผู้หญิงผู้ชายจะไม่ใส่อะไรเลย
นอกจากกระจับรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ ส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสงไฟ ระบำเลิกเมื่อห้าทุ่มครึ่ง รายการสุดท้ายเป็นการโชว์ตัวระบำทั้งหมดออกมาโค้งให้คนดู
เมื่อกลับตานองมาส่งศุลีที่ห้องและบอกให้ศุลีรีบตื่นแต่เช้าหน่อย
เพราะตานองอยากมีเวลาอยู่กับศุลีให้มากที่สุด
จดหมายฉบับที่ ๓๒
โรงแรม.....(ชื่ออ่านไม่ออก เลยกลัวว่าจะเขียนไม่ถูก) ปารีส (ขืนเขียน
พารี.....จะถูกค่อนอีก)
อากาศในฝรั่งเศสดูเหมือนจะร้อนกว่าในเยอรมันเพราะสามารถที่จะใส่เสื้อบางๆได้สบาย ศุลีทำ เซอร์ไพส์ ตานอง คือกล่าวแฮปปี้
เบิร์ธเดย์ ตานองดีใจมากเพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีคนกล่าวคำนี้กับเขาเลย
แม้แต่นายฉายเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่รู้
ตานองสงสัยมากว่าศุลีรู้ได้ยังไงว่าตานองเกิดวันนี้
(ศุลีรู้จากพาสปอร์ตที่ตานองฝากไว้ ตกกับพื้น
ศุลีถึงได้เห็นวันเดือนปีเกิดของตานอง) แต่ศุลีไม่ยอมบอก ทุกคนเดินทากไปยัง แวร์ซายส์
โดยมีไกด์คนใหม่คือพนักงานเสิร์ฟชาวเขมรเป็นผู้นำทาง
พระราชวังแวร์ซายส์สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กินเวลาสร้างนานถึง
10 ปี ส่วนที่ศุลีชอบมากที่สุดในแวร์ซายส์คือสวนดอกไม้ซึ่งจัดเป็นลวดลายสลับสีกันน่าดู
ในฤดูหนาวต้นไม้เหล่านี้จะตายหมด
แต่เขาจะเพาะชุดใหม่ไว้ในเรือนกระจกและจะนำมาปลูกเมื่อสิ้นฤดูหนาว
และทุกคนก็ต้องรีบกลับ เพราะต้องเดินทางถึงปารีสก่อนเที่ยง และได้แวะไปกินอาหารก่อนที่จะไปสนามบิน
เมื่อไปถึงสนามบินออร์ลี่
ก็มีเสียงเรียกหาผู้โดยสารอีก 3 คน
เมื่อทุกคนขึ้นไปบนเครื่องบินเครื่องบินก็ออกจากสนามบิน
ตานองบอกให้ศุลีคอยเพราะอีกปีเดียวเขาก็จะกลับไปหาศุลีแล้ว
เมื่อทุกคนไปถึงอัมสเตอร์ดัม มีฝนตกโปรยปรายลงมา
และทั้งสามจะพักที่นี่แค่คืนเดียวตานองจะบินเข้าแฟรงเฟิร์ตและกลับเข้าเบอร์ลิน
ส่วนศุลีและสุริย์ฉายก็จะบินกลับเข้ากรุงเทพ นายฉายให้ตานองพาศุลีไปลงเรือกระจก
ศุลีกับตานองเดินเล่นตามถนนริมคลองทั้งๆที่ฝนตกปรอยๆ ระหว่างคลองมีสะพานโค้งๆข้าม
ตานองกับศุลียืนโหนราวสะพานมองลงไปในแม่น้ำนั้น ตานองบอกให้ศุลีเขียนจดหมายถึงเขาบ่อยๆ
ศุลีก็รับปาก และศุลีก็บอกกับตานองว่า
ปีหน้าตานองต้องไปหาเธอที่เมืองไทยพร้อมกับใบปริญญา เมื่อกินข้าวเสร็จ
ศุลีกับตานองก็เดินไปลงเรือกระจกแต่กว่าจะหาท่าเรือพบก็เล่นเอาเหนื่อย ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมที่พักนิดเดียว
คลองในเนเธอร์แลนด์มิได้สวยงามนักห่างแต่สะอาดและไม่มีขยะ อีกอย่างตามสะพานที่โค้งๆ จะมีไฟประดับตามรูปสะพานไว้แพรวพราว
ดังนั้นแสงที่สะท้อนลงน้ำจึงระยิบระยับงามจับตา
พอกลับขึ้นท่าเรือจึงได้รู้ว่าอากาศข้างนอกเย็นจับใจ
เพราะในเรือกระจกจะมีเครื่องทำความอุ่นจึงทำให้ไม่รู่ว่าข้างนอกนั้นอากาศเย็นลงแล้ว
ทั้งงสองจึงรีบวิ่งต่อไปแต่ต้องหลบลมซึ่งแรงมากตามซอกตึก
และรีบวิ่งเข้าคลับ ประตูเข้าคลับเล็กนิดเดียว
คลับอยู่สูงกว่าระดับน้ำในคลองนิดเดียว
สามารถมองเห็นน้ำผ่านกระจกที่ติดกั้นไว้
ทั้งสองออกจากคลับมาพร้อมกับร้องเพลง Good
Night Irene เมื่อจบท่อนสุดท้ายก็ถึงโรงแรมพอดี แต่ตานองชวนศุลีนั่งคุยกันก่อน
ศุลีจึงรับคำเชิญเพราะพรุ่งนี้เครื่องออกราว 5 โมงเช้า เมื่อคุยกันเสร็จตานองไปซื้อดอกไม้แห้งให้ศุลีไปปักใส่แจกนไว้ที่
ให้เป็นตัวแทนของตานอง
แต่เมื่อตานองกลับไปแล้วให้โนมันทิ้งเพราะนั่นแสดงว่าเขาไม่ต้องการตัวแทนอีกแล้ว
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมศุลีก็รีบขึ้นไปเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋า
จดหมายฉบับที่ ๓๓ K.Z. แอร์ไลน์ เหนือฟากฟ้าอัมสเตอร์ดัม
เป็นครั้งแรกที่ทั้งสามคนไม่ได้รีบร้อนเพราะมาถึงสนามบินก่อนเวลา
ตานองมาส่งศุลีที่สนามบินเพราะเครื่องบินของตานองออกทีหลังเครื่องบินของศุลี
ตานองไปซื้อน้ำหอมมาฝากศุลีซึ่งมันแพงมากแต่ตานองก็ยังซื้อมาให้ “ซื้ดซี่ เขียนจดหมายถึงผมบ่อยๆ....ผมจะไม่พูดอย่างอื่นอีก
เพราะ...ผมบอกทุกอย่างไม่ว่าในความคิด ในหัวใจให้คุณทราบจนหมดแล้ว
ผมอาจจะพูดอะไรหวานๆซาบซึ้งกว่านี้ไม่เป็น นอกจากว่าคุณคือของรักชิ้นเดียว
ที่ผมใช้หัวใจแลกมา...พรุ่งนี้...ซื้ดซี่....พรุ่งนี้....ผมจะเดินลงจากเครื่องบินไปหาคุณแล้วจะ....ไม่ไปไหนอีกถ้าไม่มีคุณไปด้วย” ตานองพูดกับศุลี นายฉายรับปากว่าจะดูแลศุลีให้เป็นอย่างดี
และศุลีก็บอกว่าจะเขียนจดหมายหาตานองตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน นี่เป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ศุลีเขียนถึงแม่
และจะนำไปให้แม่ของเธออ่านด้วยมือของเธอเอง
จากนั้นเธอก็เริ่มเขียนจดหมายถึงตานองเป็นฉบับแรก
.
.....บ๊วยกี่แอร์ไลน์
คุณนองคะ...
ศุลีคิดว่า
ศุลีเล่าให้แม่ฟังทุกอย่างแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน แม่จะเป็นผู้ตัดสินให้ศุลีเองว่า
ศุลีจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าจะมีข้อวิงวอน ศุลีก็ขอประการเดียวว่า
ให้ศุลีได้รักษาคำมั่นสัญญาของตนเองคือ “
“ฉันจะคอยคุณไม่มากไม่น้อยไปแม้แต่วันเดียว” วัน
เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เราทั้งสองให้แม่เห็น....ปีเดียว...
ผลงานอื่นๆ ของ never let you go down ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ never let you go down
ความคิดเห็น