-ยักษ์-
คุณเชื่อเรื่องยักษ์หรือเปล่าครับ :)
ผู้เข้าชมรวม
133
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
คุณเคยเชื่อเรื่องตำนานยักษ์หรือเปล่า?
คุณคงจะเคยได้ยินคำว่า “ยักษ์”มาก่อน อสุราที่มีนิสัยดุร้าย ขี้โมโห
รูปร่างใหญ่โต ใบหน้าถมึงทึงดูน่ากลัวเหมือนที่เคยอ่านหรือได้ยินมา
แต่พวกคุณก็คงคิดว่าเป็นเพียงเรื่องในนิทานที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วถ้าผมบอกว่ายักษ์มีจริงล่ะ คุณจะเชื่อผมไหม? คุณคงคิดว่าผมบ้า แต่ผมนี้แหละครับ ยักษ์
แท้ที่จริงแล้วยักษ์ไม่ได้มีแค่เพียงในนิทานและไม่ได้เลือนหายไปไหน พวกเราเพียงแค่ปะปนซ่อนตัวไปกับมนุษย์ พวกเราก็เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่างยกเว้นเพียงแต่เวลาโกรธเขี้ยวที่เก็บซ่อนไว้จะโผล่ออกมาทันทีนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกเราต้องระงับอารมณ์โกรธเสมอเพื่อคอยระวังตัวเองไว้
เดิมทีเชื้อสายของผมมีวิมานอยู่ที่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาของท้าวเวสสุวรรณ
แต่หลังจากศึกลงกาของท้าวทศกัณฑ์ ราชันย์แห่งอสุรี ผู้ครองนครลงกากับ พระราม
หรือร่างอวตารของพระนารายณ์ ศึกนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเหล่าอสุรา
ท้าวเวสสุวรรณสั่งขับไล่เหล่ายักษ์ลงจากสรวงสวรรค์ทันที
ผมเพียงยิ้มขื่นทุกครั้งเมื่อได้ฟัง เพราะบทสรุปของเรื่องจบลงตามสูตร ‘ความดีย่อมชนะอธรรม’ ผมเคยได้ยินกลอนที่กล่าวถึงยักษ์ว่า
“
โบราณว่าไว้ผู้มีจิตใจต่ำทราม
ให้เปรียบเป็นยักษ์เป็นมารเป็นที่เหยียดหยามของคน”
หากแต่ถ้าใครสักคนมองย้อนไปตั้งแต่ต้นเรื่อง
ถ้าเหล่าเทวดาไม่รุมกลั่นแกล้งนนทกจนเกิดความแค้น
นนทกจะแก้แค้นเข่นฆ่าสังหารเหล่าเทวดาหรือ? หรือเพราะเป็นเพียงอสุราต่ำต้อยเท่านั้น
ต่อให้เกิดใหม่มีสิบเศียร ยี่สิบกรแล้วอย่างไร
ในเมื่อสุดท้ายแล้วคำสัตย์ของพระนารายณ์จุดจบของนนทกก็คือตายเท่านั้น
ผมได้แต่แย้งอยู่ในใจ แต่เพราะเรื่องในอดีตล้วนผันผ่านไม่สามารถย้อนกลับมา
พวกเรายังคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเงียบเชียบไม่ให้พวกเทวดารับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกเรา
ผมมีอคติกับเหล่าเทวัญจากเรื่องในอดีตจนเรียกได้ว่าเกลียดชังน้ำหน้าพวกมันยิ่งนัก
แต่วันหนึ่งไม่รู้ว่าสวรรค์บันดลหรือท้าวเวสสุวรรณต้องการให้ยักษ์ที่มีสายตามืดบอดอย่างผมได้รู้จักเทวดาตนหนึ่งที่มีนิสัยดีงามต่างกับเผ่าพันธุ์ของตนในอดีตยิ่งนัก ‘ปุณพจน์’ ผู้มีคำพูดบริสุทธิ์
“กวิน”
ผมหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง
ก่อนจะส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มหน้าใสที่เดินลงจากตึกมา
ปุรพจน์รับหมวกกันน็อกจากผมไป
ใบหน้าเล็กของเทวดาตัวน้อยดูซีดเซียวจนผมอดจะถามไม่ได้
“ปุณไม่สบายหรือเปล่า ให้พาไปหาหมอไหม?” ผมถาม
ปุณชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนจะส่งยิ้มสดใสกลับมาให้ผม “ช่วงนี้มีสอบ เลยนอนดึกนิดหน่อย นอนพักเดี๋ยวก็หาย”
ผมขมวดคิ้ว
“แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”
ใบหน้าเล็กของปุณพยักหน้าเร็วจนผมอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
ผมแกล้งพูดขึ้นว่า”จับดีๆนะ เดี๋ยวพาซิ่ง” เสียงหัวเราะใสลอยมาตามลมก่อนที่ผมจะบิดแฮนมอเตอร์ไซต์ออกตัวจากหน้าตึกมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง
รอมอเตอร์ไซต์สีดำแล่นมาจอดหน้าหอพักชาย
ก่อนที่เจ้าของร่างบางจะลงจากรถอย่างทุลักทุเล ปุณพจน์ถอดหมวกส่งคืนให้คนข้างหน้า
ก่อนที่โบกมือบ๊ายบายพร้อมรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าเป็นคำบอกลา
“เดี๋ยว”
ผมเรียกปุณที่ตั้งท่าจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร “แน่ใจนะว่าไม่ไปหาหมอ”
ปุณพยักหน้าเบาๆก่อนย้ำว่า
“นอนตื่นหนึ่งก็คงดีขึ้น”
ผมอ้าปากจะถามเพราะเห็นแววตาของปุณดูร้อนรนแปลกๆ
แต่ก็โดนดักคอกลับมาว่า”เราเพลียนิดหน่อย ไม่เกี่ยวกับพวกนั้นหรอก
กวินเองก็กลับไปได้แล้ว อยู่ที่นี้นานๆไม่กลัวพวกนั้นหรือไง”
ผมไหวไหล่ทำท่าไม่ใส่ใจ
ถึงแม้พอจะรู้อยู่ว่าพวกนั้นที่ปุณหมายถึงคืออะไร ปุณอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางไม่ไยดีของผมก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไป
ผมยืนพิงมอเตอร์ไซต์คันเก่ง
ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าถ้าปุณนอนเวลาประมาณนี้ตื่นขึ้นมาคงหิวพอดี ไม่สู้ให้ผมออกไปซื้อข้าวต้มกับยาเอาใจคนป่วยดีกว่าหรือ
ผมร้องเพลงเบาๆอย่างอารมณ์ดี ยกยิ้มบางๆพาให้ใบหน้าที่ปุณบอกว่าดูแข็งกร้าวนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน
ผมมองถุงโจ๊กกับซองใส่ยาในมือ
ตอนนี้ประมาณเกือบสองทุ่มแล้ว ถ้าผมคำนวณเวลาไม่ผิดปุณน่าจะตื่นพอดีแล้ว
ผมกดเบอร์โทรหาปุณแต่โทรไปถึงหลายสายก็ยังมีใครรับ
ผมขมวดคิ้วขัดใจไม่คิดว่าปุณจะนอนหลับลึกขนาดนี้ ถ้ารวมๆกันแล้วก็เกือบสี่ชั่วโมงที่ปุณหลับไป
หางตาผมเหลือบไปเห็นรถยนต์คันสีดำที่อยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถมากนัก
ข้างๆรถมีมนุษย์หรืออมุนษย์ยืนเฝ้าอยู่ ผมกลอกตาไม่คิดว่าจะเจอพวกนั้นของปุณที่นี้เข้า
พวกนั้นที่ว่าก็คือ
เหล่าเทวดาที่ลงมาอาศัยอยู่รวมกับมนุษย์ มีมหาธนเป็นหัวหน้ากลุ่ม ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเทวดาสักเท่าไรเรียกได้ว่าไม่สนใจเลยดีกว่า แต่ประเด็นคือเทวัญกลุ่มนี้ค่อนข้างจะกร่างไม่น้อย
ยิ่งกับเหล่ายักษาไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันอย่างเทวดาหรือนางอัปสรที่ไร้ทางสู้
นิสัยไม่ผิดเพี้ยนเหมือนกันกับบรรพบุรุษของพวกมันในอดีต หลายคนคงสงสัยและแปลกใจเมื่อยักษ์ที่เกลียดชังเทวดาอย่างผมมารู้จักมักจี่จนเรียกได้ว่าสนิทกับเทวัญน้อยแสนอ่อนแออย่างปุณเข้า
แต่จะว่าไปที่ผมเจอปุณได้ก็เพราะพวกมันนี้แหละ ถ้าวันนั้นผมไม่ยื่นมือเข้าช่วยปุณพจน์จากกลุ่มของมหาธน
ถ้าวันนั้นปุณไม่ถูกกลุ่มของมหาธนแกล้งเราก็คงไม่รู้จักกันจนถึงตอนนี้หรอกครับ
ตอนนี้ประมาณสองทุ่มครึ่งแล้ว
ผมแกว่งโจ๊กที่เย็นชืดในมือเล่นพลางกดโทรศัพท์หาปุณต่อไป
ผมเริ่มโกรธที่ปุณไม่รับสายผมแล้วนี้แหละ นี้แหละครับข้อเสียของพวกยักษ์ก็จะโกรธง่ายแบบนี้และครับ แต่ลึกๆผมเองก็เป็นห่วงคนตัวบางอยู่ไม่น้อย ไม่รู้จะนอนซมเพราะพิษไข้หรือเป็นอะไรขึ้นมา ผมกำโทรศัพท์แน่นมองเบอร์ของปุณทีผมโทรไปเกือบยี่สิบกว่าสายแล้ว
ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปหานิติบุคคล อย่างน้อยก็ฝากไว้ที่พี่เขาก่อน
นิติบุคคลของหอพักส่งยิ้มหวานมาให้ผม คงเพราะเห็นผมมารับมาส่งปุณอยู่บ่อยๆ เธอเลยถามผมว่า
“น้องมาหาน้องปุณเหรอ พี่เห็นน้องปุณจะเดินออกไปแล้วก็ขึ้นกลับมาเมื่อกี้เอง”
ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
“ครับ?”
“ตอนแรกพี่เห็นน้องปุณเดินลงมานี้แหละค่ะ
แต่ลงมาเจอคุณมหาธนก่อนเลยเดินกลับขึ้นห้องไป” เธอเลิกคิ้วมองผมก่อนถามต่อ
“น้องมีอะไรหรือเปล่า?”
ผมค้อมศีรษะให้เธอเบาๆเป็นเชิงขอบคุณ ในมือยังคงกดโทรไปยังปุณอยู่ แทบสวดภาวนาให้ผสิ่งผมคิดมโนขึ้นไปเอง
ข้อเสียของยักษ์ไม่ใช่มีแค่โมโหง่ายอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ยังมีความหวาดระแวงสูง!!! ผมเม้มปากแน่นพยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้
ผมโกรธที่ปุณไม่รับสายผมแต่ที่แน่ๆคือผมเป็นห่วงปุณมาก!!! ตามปกติแล้วแค่เพียงสายแรกปุณก็รับโทรศัพท์แล้ว แต่ตอนนี้ผมโทรไปมากกว่ายี่สิบสายก็ไร้ซึ่งการตอบมาทุกช่องทาง
ยิ่งพอรู้ว่ากลุ่มของมหาธนอยู่ด้วยผมยิ่งหวาดระแวงเข้าไปใหญ่
ในขณะที่ผมกำลังกระวนกระวายใจจู่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะกับร้องไห้เคล้าคลอกันไปดูอย่างน่ารังเกียจ
ข้อดีของยักษ์คือจะมีประสาทสัมผัสที่ฉับไว ผมลองตั้งใจฟังให้ดีก่อนที่จะกัดฟัดแน่นได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกำลังสะอื้นไห้!
ผมก้าวเท้าเดินตรงไปยังรถยนต์คันสีดำมันปราบ
ยิ่งพอเห็นลิ่วล้อของมหาธนยื่นกระสับกระส่ายใบหน้าซีดเผือดยิ่งทำอารมณ์โกรธของผมปะทุขึ้น
ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรรีบคว้าตัวลูกน้องของมหาธนมาถาม
“ไอธันอยู่ไหน!!!”ผมตะคอกเสียงดังจนคนตรงหน้าที่ผมคิดว่าเป็นมนุษย์ตัวสั่น
“ผะ
ผมไม่รู้เรื่องครับ”ลูกน้องของไอเทวดาชั่วพยายามดันผมออก
แต่เพราะแรงคนไม่สามารถสู้แรงยักษ์อย่างผมได้อยู่ดี
ผมพูดเสียงเรียบ
จงใจกดนิ้วลงไปตรงหลอดลม “บอกมา”
ลูกน้องของมหาธนทำตาเหลือก รีบเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “ยะ..อยู่ ข้างบนหอครับ”
ผมแค่นเสียงเย็นชา
ปกติแล้วผมเป็นยักษ์ที่อารมณ์เย็นต่างกับตนอื่นๆแต่พอเป็นเรื่องของปุณผมกลับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย
ผมเดินเข้าไปหาพี่สาวนิติบุคคลคนเดิม
เพียงแต่อารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวทำให้ผมไม่สนใจยิ้มของเธอแม้แต่น้อย
“พี่ครับ
ช่วยพาผมขึ้นไปหาปุณหน่อย”
พี่สาวนิติบุคคลทำหน้าเหลอหลา
ก่อนปฏิเสธเสียงสั่น “ ขึ้นไปไม่ได้นะคะ
น้องต้องรอให้เจ้าของห้องลงมารับเท่านั้นนะคะถึงจะขึ้นไปได้”
ผมแยกเขี้ยวใส่เธอไปทีหนึ่ง
ก่อนจะคว้าคีย์กาดของหอพักที่สามารถใช้ได้ทุกห้องมา พี่สาวนิติบุคคลรีบวิ่งมาดักทางข้างหน้าผม
“ขึ้นไปไม่ได้นะคะ!”
ไม่จำเป็นต้องดูกระจกผมก็คงพอรู้ว่าหน้าของผมแดงก่ำไปด้วยความโกรธแค่ไหน
ผมผลักพี่สาวนิติบุคคลให้พ้นทางด้วยโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเธอ ที่ผมไม่ให้เหตุผลเพราะต่อให้ผมบอกว่าผมได้ยินเสียงปุณร้องไห้
หรือไม่ไว้ใจไอมหาธนก็คงคิดว่าเหตุผลแค่นี้ฟังไม่ขึ้น
ลิฟต์ขึ้นมาหยุดที่ชั้น4
ผมก้าวขายาวๆไปหยุดหน้าห้อง403
เสียงร้องไห้กับเสียงหัวเราะเคล้าคลอกันไปอย่างน่ารังเกียจจนผมเองยังอดที่จะสะอิดสะเอียนไม่ได้
ผมแสกนคีการ์ดก่อนที่จะถีบประตูเข้าไปอย่างแรง
สิ่งมีชีวิตทุกตนในห้องหยุดชะงัก
ผมกวาดตามองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดลงตรงที่ร่างเล็ก ใบหน้าเล็กของปุณซีดเผือด
ดวงตากลมใสราวตากวางเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกระคนดีใจ
ผมก้าวเข้าไปช้อนร่างของปุณขึ้นจากพื้น ถึงได้เห็นแผลถูกของมีคมบาดตรงต้นแขนขวา
ผมกัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น ตวัดสายตามอง ‘มหาธน’ ผู้มีเชื้อสายของเทวาชั้นสูง มหาธนคงจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่เลิกคิ้วใส่ผม
ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“คืนเทวดาของเรามา”
มหาธนปรายตามองปุณที่ถูกผมอุ้มอยู่ ปุณตัวสั่นพยามยามจะลง
แต่ถูกผมขืนตัวเอาไว้
ส่วนมหาธนที่เห็นผมไม่ยอมปล่อยปุณ ก็กดเสียงเรียกปุณอีกครั้ง “มานี่”
ผมเป็นยักษ์
ไม่ใช่เทวดา และไม่ใช่คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของมัน
ผมเลยหมุนตัวพาปุณออกจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องนอน
ปุณรั้งเสื้อของผมไว้
ก่อนจะเอ่ยขอร้องผม “ วิน อย่ามีเรื่องกันเลยนะ”
ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
“ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน ทำให้เรื่องมันจบลง มันก็ยังไม่เลิกตอแยตามวุ่นวายพวกเราหรอก”
ผมปลดมือปุณออก ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้อง
ผมมองหน้ามหาธนนิ่งๆ
เมื่อครู่ถือว่าผมควบคุมอารมณ์ได้ดีไม่น้อย ไม่ใช่ว่าผมไม่โกรธแต่แค่ระงับอารมณ์เอาไว้เท่านั้น
มหาธนแสยะยิ้ม “เรื่องนี้เป็นเรื่องของเทวดา ยักษ์ไม่เกี่ยว”
ผมแสยะยิ้มกลับ
เลิกคิ้วมองอย่างยียวน “ปุณเป็นเพื่อนของฉัน”
มหาธนขบฟัน
“ปุณพจน์เป็นเทวดาของเรา
ยักษ์อย่างกวินอย่าได้วุ่นวายไม่เช่นนั้นเราจะฟ้องท้าวเวสสุสรรณว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์รุกรานเหล่าเทวดา”
“แกมันก็มีดีแค่วิ่งโร่ไปฟ้องท้าวเวสสุวรรณเท่านั้น”
มหาธนผุดลุกขึ้นยืน จ้องหน้าผมอย่างเกลียดชัง ผมเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าไฟโทสะของมหาธนจะจุดติดง่ายถึงเพียงนี้ กลายเป็นว่าคนที่โมโหง่ายกลับไม่ใช่เหล่าอสุรายักษาอย่างผมเสียแล้วกระมัง “ถึงฉันจะเป็นยักษ์ เป็นอมนุษย์ที่มินิสัยโหดเหี้ยม ดุร้ายแต่ฉันไม่เคยเหยียดหยามหรือหักหลังพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ของตัวเอง”
"ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดปรักปรำคนอื่นเสียดีกว่า"มหาธนสวนกลับมาแทบจะทันที ดวงตาคู่เรียวหรี่ลงคล้ายเริ่มไม่พอใจ
"เหรอว่ะ หลักฐานตำตาขนาดนี้ไม่ได้จะทำร้ายปุณหรอกรึไง หรือต้องให้ฉันเห็นแกเอามีดปาดคอปุณแล้วจะพูดได้ใช่ไหม? อ้อ แต่คงไม่เป็นอะไรนิ เดี๋ยวพอเรื่องถึงหูท่านท้าว พ่อแกไปก็ไปประจบไม่ให้เอาผิ...
มหาธนพุ่งหมัดใส่ผมจนผมเซ
ใบหน้าคมของเทวาหนุ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ ในมือมีพระขรรค์อาวุธประจำตนของเทวดา
ผมกระตุกยิ้มใครกันที่เคยบอกว่าเหล่าเทวดามีจิตเมตตาสู้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระธรรม
แล้วยามนี้แตกต่างกับเหล่ายักษ์มารตรงไหน กรุงลงกาถูกเปรียบเปรยเป็นดั่งเมืองที่เต็มไปด้วยความเลวร้าย
แล้วยามนี้โลกาไม่ต่างจากกรุงลงกาหรือหรือ? ผู้คนต่างใส่หน้ากากตีสองหน้าเข้าหากัน
ผู้ที่เหล่าประชาสรรเสริญกลับไม่ต่างกับอสุรี
ในโลกนี้สิ่งที่น่ากลัวหาใช่สัตว์ร้าย แต่กลับเป็นจิตใจของมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึง
อาจดีงามเหมือนเทวา อาจดุร้าย น่ารังเกียจเหมือนอสุรา แต่ล้วนตัดสินคาดเดามิได้
กลับกันเทวดาที่ผู้คนเคารพแท้จริงมิต่างกับอสูรร้าย ส่วนยักษ์มารที่น่ารังเกียจ
แท้จริงกลับเป็นเหมือนเทวดาลงมาจุติ ก็ล้วนที่จะตัดสินไม่ได้เพียงตาเห็น
พระขรรค์ของมหาธนเกือบแทงถูกสีข้างของผม
เลือดที่ไหลรินอยู่ยิ่งกระตุ้นให้ความโกรธของผมบ้าคลั่งขึ้น
เหตุการณ์นี้ไม่ต่างกับที่เทวดาหลอกใช้ให้เหล่าอสูรมารช่วยกันกวนเกษียณพระสมุทร
เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายเหล่าอสูรกลับถูกฆ่าตายจากเผ่าพันธุ์ของเทวา!!! ผมฝังเขี้ยวลงบนหัวไหล่ของมหาธน
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งทำให้ความโกรธของผมปะทุขึ้น คล้ายดั่งหนี้แค้นจะได้รับการสะสาง
ผมตั้งท่าจะกัดคอของมหาธนแต่ก็รู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลังทำให้จำต้องหันไปดู
ผมตกใจเล็กน้อยที่เป็นปุณพจน์ ความโกรธเกรี้ยวของผมคล้ายจะถูกพัดหายไปด้วยกับสายลม
“วิน พอเถอะ”
ปุณดึงตัวมหาธนออกก่อนที่จะตายคามือผม ผมตั้งท่าจะพูดแต่ถูกปุณพูดขึ้นก่อน
“ไปทำแผลกันเถอะนะ”
ผมคล้ายจะรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ก็มีคนที่เป็นคนดีทั้งภายในและภายนอกจริงๆคนอะไรจะจิตใจดีไม่แค้นเคืองคนที่ทำร้ายตัวเอง
"ไสหัวไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับปุณอีก!" ผมเอ่ยปากไล่ไอมหาธนที่นั่งกุมไหล่อยู่ ก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กไปอย่างสนใจว่าไอเทวาชั่วจะพาหน้าตัวเองออกไปจากห้องแล้วหรือยัง
ผมมองคนตัวเล็กที่ทำแผลให้อย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่โตที่กำลังมองแผลอย่างตั้งใจ ไหนจะท่าทีขะมักเขม้นของปุณยิ่งทำให้หัวใจผมอุ่นวาบราวถูกกอดด้วยปีกครุฑ (ผมมีเพื่อนเป็นครุฑคนหนึ่งครับแต่ใช่ว่าเราจะเคยกอดกัน นอกจากพ่อแม่พี่น้องแล้ว กอดระหว่างคนรักนั้นผมจะเก็บไว้ในคืนแต่งงานครับ)
“ปุณไม่กลัวเราเหรอ”
ผมตัดสินใจถามปุณทีกำลังทำแผลให้ผมอยู่
ปุณมองหน้าผมงงๆ”ทำไมต้องกลัววินด้วย?” ก่อนที่จะมองออกไปที่โซฟาก็ส่ายหน้าหวือ “เราไม่กลัววินหรอก เพราะเรื่องนี้วินทำเพื่อเรา” ปุณอมยิ้มน้อยๆทำให้ผมวางใจ
ผมกลัวกับการที่ต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเคย
ผมเป็นยักษ์แต่ผมก็มีความกลัว ความเจ็บปวดไม่ต่างกับมนุษย์
“แล้วปุณไม่กลัวยักษ์แล้วหรอ
แต่ก่อนเดินหนีเราแทบตาย” ผมเย้า
ปุณทำหน้าอึ้งๆไม่คิดว่าผมจะเอาเรื่องสมัยดึกดำบรรพ์มาพูด
แต่ก็ยังอุตส่าห์ตอบผมมาว่า “เราไม่กลัวยักษ์แล้วตั้งแต่รู้จักกับวินมา
เรากลัวยักษ์เพราะเขาว่ากันว่ายักษ์มีนิสัยโหดร้าย
แต่พอเราคิดๆดูอีกทีเทวดาบางตนก็มีนิสัยไม่ต่างกับยักษ์ในตำนาน
พวกเราเองก็ล้วนแต่มองคนที่ภายนอกทั้งนั้น
ขีดเส้นแบ่งมาตรฐานให้แก่ทุกคนทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกันมาก่อน”
ปุณเว้นไปสักพักก่อนเย้าผมกลบว่า “แล้ววินยังเกลียดเทวดาอีกไหม?”
ผมหัวเราะเบาๆไม่คิดว่าปุณจะแกล้งผมแบบนี้
ผมไม่ตอบแต่ปุณก็คงรู้แล้วว่าผมไม่ได้เกลียดชังพวกเทวดาแต่ก็ไม่ได้ไยดีเป็นพิเศษ
ขอเพียงแค่ไม่มีใครก้าวล้ำกันและกันความสงบสุขแบบนี้ก็จะคงอยู่กันไปอีกนาน ผมเพียงแต่คิดว่าโลกมันไม่ได้ใจร้ายกับผมเสมอไป
ผมอาจจะเจออมนุษย์และมนุษย์ในหลายรูปแบบ ทั้งดีต่อกัน
ริษยานินทาว่าร้ายกันก็ล้วนเป็นสิ่งต้องเกิดกับเราทุกคน
แต่มิตรแท้ดีๆสำหรับปุณผมก็ไม่สนใจว่าเขาจะเผ่าพันธุ์ไหน จะยักษ์ ครุฑ
เทวาหรือนาคาผมก็ไม่แยแส เพราะกว่าจะมีคนดีๆเข้ามาในชีวิต ผมก็คงต้องทำบุญชดเชยบุญเก่าไปมากๆเสียแล้ว
เพราะเขาเป็นคนสำคัญผมก็อยากอยู่ข้างเขาไปนานๆ:)
สวัสดีค่า ทูกู๊ดเองนะคะ วันนี้พานิยายวายที่เราแต่งขึ้นเพราะคลายเครียดขึ้นมาเสิร์ฟค่า เรื่องนี้เรามีแพลนที่จะแต่งเป็นเรื่องยาว ส่วนเรื่องนี้เป็นสเปเชียลเร้กๆก่อนสัมมีภรรเมียเขาจะญาติดีกัน._. จริงๆแล้วเรื่องนี้เราแต่งตั้งแต่ตอนม.1ส่งเข้าค่ายนักเขียน ส่วนตอนนี้เราอยู่ม.6กำลังเวลคัมทูม.3 ดังนั้นถ้าแปลกๆไปเอ็นดูโผ้มมมมมมมมมมมด้วย คอมเมนต์เอ็นดูเจ้าวินกับคุณธันได้เรยบัดเด่วเน้!!!
#เรื่องนี้ผัวไทป์ลูกหมาดื้อนะคะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ Twogooddd ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Twogooddd
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น