-ยักษ์- - -ยักษ์- นิยาย -ยักษ์- : Dek-D.com - Writer

    -ยักษ์-

    โดย Twogooddd

    คุณเชื่อเรื่องยักษ์หรือเปล่าครับ :)

    ผู้เข้าชมรวม

    133

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    133

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  20 ก.พ. 63 / 17:48 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

                                                     

    คุณเคยเชื่อเรื่องตำนานยักษ์หรือเปล่า?

    คุณคงจะเคยได้ยินคำว่า “ยักษ์”มาก่อน อสุราที่มีนิสัยดุร้าย ขี้โมโห รูปร่างใหญ่โต ใบหน้าถมึงทึงดูน่ากลัวเหมือนที่เคยอ่านหรือได้ยินมา แต่พวกคุณก็คงคิดว่าเป็นเพียงเรื่องในนิทานที่พิสูจน์ไม่ได้ แล้วถ้าผมบอกว่ายักษ์มีจริงล่ะ คุณจะเชื่อผมไหม? คุณคงคิดว่าผมบ้า แต่ผมนี้แหละครับ ยักษ์  

     แท้ที่จริงแล้วยักษ์ไม่ได้มีแค่เพียงในนิทานและไม่ได้เลือนหายไปไหน  พวกเราเพียงแค่ปะปนซ่อนตัวไปกับมนุษย์  พวกเราก็เหมือนกับมนุษย์ทุกอย่างยกเว้นเพียงแต่เวลาโกรธเขี้ยวที่เก็บซ่อนไว้จะโผล่ออกมาทันทีนั้นจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้พวกเราต้องระงับอารมณ์โกรธเสมอเพื่อคอยระวังตัวเองไว้ เดิมทีเชื้อสายของผมมีวิมานอยู่ที่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาของท้าวเวสสุวรรณ แต่หลังจากศึกลงกาของท้าวทศกัณฑ์ ราชันย์แห่งอสุรี ผู้ครองนครลงกากับ พระราม หรือร่างอวตารของพระนารายณ์ ศึกนี้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเหล่าอสุรา ท้าวเวสสุวรรณสั่งขับไล่เหล่ายักษ์ลงจากสรวงสวรรค์ทันที ผมเพียงยิ้มขื่นทุกครั้งเมื่อได้ฟัง เพราะบทสรุปของเรื่องจบลงตามสูตร ความดีย่อมชนะอธรรมผมเคยได้ยินกลอนที่กล่าวถึงยักษ์ว่า

                      “ โบราณว่าไว้ผู้มีจิตใจต่ำทราม

                                          ให้เปรียบเป็นยักษ์เป็นมารเป็นที่เหยียดหยามของคน”

    หากแต่ถ้าใครสักคนมองย้อนไปตั้งแต่ต้นเรื่อง ถ้าเหล่าเทวดาไม่รุมกลั่นแกล้งนนทกจนเกิดความแค้น นนทกจะแก้แค้นเข่นฆ่าสังหารเหล่าเทวดาหรือ? หรือเพราะเป็นเพียงอสุราต่ำต้อยเท่านั้น ต่อให้เกิดใหม่มีสิบเศียร ยี่สิบกรแล้วอย่างไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วคำสัตย์ของพระนารายณ์จุดจบของนนทกก็คือตายเท่านั้น ผมได้แต่แย้งอยู่ในใจ แต่เพราะเรื่องในอดีตล้วนผันผ่านไม่สามารถย้อนกลับมา พวกเรายังคงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเงียบเชียบไม่ให้พวกเทวดารับรู้ถึงการคงอยู่ของพวกเรา ผมมีอคติกับเหล่าเทวัญจากเรื่องในอดีตจนเรียกได้ว่าเกลียดชังน้ำหน้าพวกมันยิ่งนัก แต่วันหนึ่งไม่รู้ว่าสวรรค์บันดลหรือท้าวเวสสุวรรณต้องการให้ยักษ์ที่มีสายตามืดบอดอย่างผมได้รู้จักเทวดาตนหนึ่งที่มีนิสัยดีงามต่างกับเผ่าพันธุ์ของตนในอดีตยิ่งนัก  ปุณพจน์ ผู้มีคำพูดบริสุทธิ์

     

    “กวิน”

    ผมหันไปตามเสียงเรียกจากด้านหลัง ก่อนจะส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มหน้าใสที่เดินลงจากตึกมา

    ปุรพจน์รับหมวกกันน็อกจากผมไป ใบหน้าเล็กของเทวดาตัวน้อยดูซีดเซียวจนผมอดจะถามไม่ได้

    “ปุณไม่สบายหรือเปล่า ให้พาไปหาหมอไหม?” ผมถาม

    ปุณชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มสดใสกลับมาให้ผม “ช่วงนี้มีสอบ เลยนอนดึกนิดหน่อย นอนพักเดี๋ยวก็หาย”

    ผมขมวดคิ้ว “แน่ใจนะว่าไม่เป็นไร”

    ใบหน้าเล็กของปุณพยักหน้าเร็วจนผมอมยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้ ผมแกล้งพูดขึ้นว่า”จับดีๆนะ เดี๋ยวพาซิ่ง” เสียงหัวเราะใสลอยมาตามลมก่อนที่ผมจะบิดแฮนมอเตอร์ไซต์ออกตัวจากหน้าตึกมุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทาง

     รอมอเตอร์ไซต์สีดำแล่นมาจอดหน้าหอพักชาย ก่อนที่เจ้าของร่างบางจะลงจากรถอย่างทุลักทุเล ปุณพจน์ถอดหมวกส่งคืนให้คนข้างหน้า ก่อนที่โบกมือบ๊ายบายพร้อมรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าเป็นคำบอกลา 

    “เดี๋ยว” ผมเรียกปุณที่ตั้งท่าจะเดินเข้าไปในตัวอาคาร “แน่ใจนะว่าไม่ไปหาหมอ”

    ปุณพยักหน้าเบาๆก่อนย้ำว่า “นอนตื่นหนึ่งก็คงดีขึ้น”

    ผมอ้าปากจะถามเพราะเห็นแววตาของปุณดูร้อนรนแปลกๆ แต่ก็โดนดักคอกลับมาว่า”เราเพลียนิดหน่อย ไม่เกี่ยวกับพวกนั้นหรอก กวินเองก็กลับไปได้แล้ว อยู่ที่นี้นานๆไม่กลัวพวกนั้นหรือไง” 

    ผมไหวไหล่ทำท่าไม่ใส่ใจ ถึงแม้พอจะรู้อยู่ว่าพวกนั้นที่ปุณหมายถึงคืออะไร  ปุณอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นท่าทางไม่ไยดีของผมก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไป  

     ผมยืนพิงมอเตอร์ไซต์คันเก่ง ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าถ้าปุณนอนเวลาประมาณนี้ตื่นขึ้นมาคงหิวพอดี  ไม่สู้ให้ผมออกไปซื้อข้าวต้มกับยาเอาใจคนป่วยดีกว่าหรือ ผมร้องเพลงเบาๆอย่างอารมณ์ดี ยกยิ้มบางๆพาให้ใบหน้าที่ปุณบอกว่าดูแข็งกร้าวนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน

           ผมมองถุงโจ๊กกับซองใส่ยาในมือ ตอนนี้ประมาณเกือบสองทุ่มแล้ว ถ้าผมคำนวณเวลาไม่ผิดปุณน่าจะตื่นพอดีแล้ว ผมกดเบอร์โทรหาปุณแต่โทรไปถึงหลายสายก็ยังมีใครรับ ผมขมวดคิ้วขัดใจไม่คิดว่าปุณจะนอนหลับลึกขนาดนี้ ถ้ารวมๆกันแล้วก็เกือบสี่ชั่วโมงที่ปุณหลับไป  หางตาผมเหลือบไปเห็นรถยนต์คันสีดำที่อยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถมากนัก ข้างๆรถมีมนุษย์หรืออมุนษย์ยืนเฝ้าอยู่ ผมกลอกตาไม่คิดว่าจะเจอพวกนั้นของปุณที่นี้เข้า

    พวกนั้นที่ว่าก็คือ เหล่าเทวดาที่ลงมาอาศัยอยู่รวมกับมนุษย์ มีมหาธนเป็นหัวหน้ากลุ่ม ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องของเทวดาสักเท่าไรเรียกได้ว่าไม่สนใจเลยดีกว่า  แต่ประเด็นคือเทวัญกลุ่มนี้ค่อนข้างจะกร่างไม่น้อย ยิ่งกับเหล่ายักษาไม่เว้นแม้แต่พวกเดียวกันอย่างเทวดาหรือนางอัปสรที่ไร้ทางสู้ นิสัยไม่ผิดเพี้ยนเหมือนกันกับบรรพบุรุษของพวกมันในอดีต หลายคนคงสงสัยและแปลกใจเมื่อยักษ์ที่เกลียดชังเทวดาอย่างผมมารู้จักมักจี่จนเรียกได้ว่าสนิทกับเทวัญน้อยแสนอ่อนแออย่างปุณเข้า แต่จะว่าไปที่ผมเจอปุณได้ก็เพราะพวกมันนี้แหละ ถ้าวันนั้นผมไม่ยื่นมือเข้าช่วยปุณพจน์จากกลุ่มของมหาธน ถ้าวันนั้นปุณไม่ถูกกลุ่มของมหาธนแกล้งเราก็คงไม่รู้จักกันจนถึงตอนนี้หรอกครับ  

    ตอนนี้ประมาณสองทุ่มครึ่งแล้ว ผมแกว่งโจ๊กที่เย็นชืดในมือเล่นพลางกดโทรศัพท์หาปุณต่อไป ผมเริ่มโกรธที่ปุณไม่รับสายผมแล้วนี้แหละ นี้แหละครับข้อเสียของพวกยักษ์ก็จะโกรธง่ายแบบนี้และครับ แต่ลึกๆผมเองก็เป็นห่วงคนตัวบางอยู่ไม่น้อย ไม่รู้จะนอนซมเพราะพิษไข้หรือเป็นอะไรขึ้นมา ผมกำโทรศัพท์แน่นมองเบอร์ของปุณทีผมโทรไปเกือบยี่สิบกว่าสายแล้ว ก่อนที่จะตัดสินใจเดินเข้าไปหานิติบุคคล อย่างน้อยก็ฝากไว้ที่พี่เขาก่อน นิติบุคคลของหอพักส่งยิ้มหวานมาให้ผม คงเพราะเห็นผมมารับมาส่งปุณอยู่บ่อยๆ เธอเลยถามผมว่า “น้องมาหาน้องปุณเหรอ พี่เห็นน้องปุณจะเดินออกไปแล้วก็ขึ้นกลับมาเมื่อกี้เอง”

    ผมขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “ครับ?”

    “ตอนแรกพี่เห็นน้องปุณเดินลงมานี้แหละค่ะ แต่ลงมาเจอคุณมหาธนก่อนเลยเดินกลับขึ้นห้องไป” เธอเลิกคิ้วมองผมก่อนถามต่อ “น้องมีอะไรหรือเปล่า?”

    ผมค้อมศีรษะให้เธอเบาๆเป็นเชิงขอบคุณ ในมือยังคงกดโทรไปยังปุณอยู่ แทบสวดภาวนาให้ผสิ่งผมคิดมโนขึ้นไปเอง

       ข้อเสียของยักษ์ไม่ใช่มีแค่โมโหง่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีความหวาดระแวงสูง!!! ผมเม้มปากแน่นพยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ ผมโกรธที่ปุณไม่รับสายผมแต่ที่แน่ๆคือผมเป็นห่วงปุณมาก!!! ตามปกติแล้วแค่เพียงสายแรกปุณก็รับโทรศัพท์แล้ว แต่ตอนนี้ผมโทรไปมากกว่ายี่สิบสายก็ไร้ซึ่งการตอบมาทุกช่องทาง ยิ่งพอรู้ว่ากลุ่มของมหาธนอยู่ด้วยผมยิ่งหวาดระแวงเข้าไปใหญ่  ในขณะที่ผมกำลังกระวนกระวายใจจู่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะกับร้องไห้เคล้าคลอกันไปดูอย่างน่ารังเกียจ ข้อดีของยักษ์คือจะมีประสาทสัมผัสที่ฉับไว ผมลองตั้งใจฟังให้ดีก่อนที่จะกัดฟัดแน่นได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกำลังสะอื้นไห้!

     ผมก้าวเท้าเดินตรงไปยังรถยนต์คันสีดำมันปราบ ยิ่งพอเห็นลิ่วล้อของมหาธนยื่นกระสับกระส่ายใบหน้าซีดเผือดยิ่งทำอารมณ์โกรธของผมปะทุขึ้น ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรรีบคว้าตัวลูกน้องของมหาธนมาถาม

    “ไอธันอยู่ไหน!!!”ผมตะคอกเสียงดังจนคนตรงหน้าที่ผมคิดว่าเป็นมนุษย์ตัวสั่น

    “ผะ ผมไม่รู้เรื่องครับ”ลูกน้องของไอเทวดาชั่วพยายามดันผมออก แต่เพราะแรงคนไม่สามารถสู้แรงยักษ์อย่างผมได้อยู่ดี

    ผมพูดเสียงเรียบ จงใจกดนิ้วลงไปตรงหลอดลม “บอกมา”  ลูกน้องของมหาธนทำตาเหลือก รีบเอ่ยเสียงกระท่อนกระแท่น “ยะ..อยู่ ข้างบนหอครับ”

    ผมแค่นเสียงเย็นชา ปกติแล้วผมเป็นยักษ์ที่อารมณ์เย็นต่างกับตนอื่นๆแต่พอเป็นเรื่องของปุณผมกลับควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย

    ผมเดินเข้าไปหาพี่สาวนิติบุคคลคนเดิม เพียงแต่อารมณ์ที่กำลังขุ่นมัวทำให้ผมไม่สนใจยิ้มของเธอแม้แต่น้อย

    “พี่ครับ ช่วยพาผมขึ้นไปหาปุณหน่อย”

    พี่สาวนิติบุคคลทำหน้าเหลอหลา ก่อนปฏิเสธเสียงสั่น “ ขึ้นไปไม่ได้นะคะ น้องต้องรอให้เจ้าของห้องลงมารับเท่านั้นนะคะถึงจะขึ้นไปได้”

    ผมแยกเขี้ยวใส่เธอไปทีหนึ่ง ก่อนจะคว้าคีย์กาดของหอพักที่สามารถใช้ได้ทุกห้องมา พี่สาวนิติบุคคลรีบวิ่งมาดักทางข้างหน้าผม “ขึ้นไปไม่ได้นะคะ! 

    ไม่จำเป็นต้องดูกระจกผมก็คงพอรู้ว่าหน้าของผมแดงก่ำไปด้วยความโกรธแค่ไหน ผมผลักพี่สาวนิติบุคคลให้พ้นทางด้วยโดยไม่สนใจเสียงโวยวายของเธอ ที่ผมไม่ให้เหตุผลเพราะต่อให้ผมบอกว่าผมได้ยินเสียงปุณร้องไห้ หรือไม่ไว้ใจไอมหาธนก็คงคิดว่าเหตุผลแค่นี้ฟังไม่ขึ้น

     ลิฟต์ขึ้นมาหยุดที่ชั้น4 ผมก้าวขายาวๆไปหยุดหน้าห้อง403 เสียงร้องไห้กับเสียงหัวเราะเคล้าคลอกันไปอย่างน่ารังเกียจจนผมเองยังอดที่จะสะอิดสะเอียนไม่ได้ ผมแสกนคีการ์ดก่อนที่จะถีบประตูเข้าไปอย่างแรง

    สิ่งมีชีวิตทุกตนในห้องหยุดชะงัก ผมกวาดตามองไปทั่วห้อง ก่อนจะหยุดลงตรงที่ร่างเล็ก ใบหน้าเล็กของปุณซีดเผือด ดวงตากลมใสราวตากวางเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกระคนดีใจ ผมก้าวเข้าไปช้อนร่างของปุณขึ้นจากพื้น ถึงได้เห็นแผลถูกของมีคมบาดตรงต้นแขนขวา ผมกัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น ตวัดสายตามองมหาธน ผู้มีเชื้อสายของเทวาชั้นสูง   มหาธนคงจะรู้ตัวว่าถูกมองอยู่เลิกคิ้วใส่ผม ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

    “คืนเทวดาของเรามา” มหาธนปรายตามองปุณที่ถูกผมอุ้มอยู่ ปุณตัวสั่นพยามยามจะลง แต่ถูกผมขืนตัวเอาไว้  ส่วนมหาธนที่เห็นผมไม่ยอมปล่อยปุณ ก็กดเสียงเรียกปุณอีกครั้ง “มานี่” 

    ผมเป็นยักษ์ ไม่ใช่เทวดา และไม่ใช่คนที่อยู่ภายใต้การปกครองของมัน ผมเลยหมุนตัวพาปุณออกจากห้องนั่งเล่นไปยังห้องนอน

    ปุณรั้งเสื้อของผมไว้ ก่อนจะเอ่ยขอร้องผม “ วิน อย่ามีเรื่องกันเลยนะ”

    ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน ทำให้เรื่องมันจบลง มันก็ยังไม่เลิกตอแยตามวุ่นวายพวกเราหรอก” ผมปลดมือปุณออก ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้อง

    ผมมองหน้ามหาธนนิ่งๆ เมื่อครู่ถือว่าผมควบคุมอารมณ์ได้ดีไม่น้อย ไม่ใช่ว่าผมไม่โกรธแต่แค่ระงับอารมณ์เอาไว้เท่านั้น มหาธนแสยะยิ้ม “เรื่องนี้เป็นเรื่องของเทวดา ยักษ์ไม่เกี่ยว”

    ผมแสยะยิ้มกลับ เลิกคิ้วมองอย่างยียวน “ปุณเป็นเพื่อนของฉัน”

    มหาธนขบฟัน “ปุณพจน์เป็นเทวดาของเรา ยักษ์อย่างกวินอย่าได้วุ่นวายไม่เช่นนั้นเราจะฟ้องท้าวเวสสุสรรณว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์รุกรานเหล่าเทวดา”

    “แกมันก็มีดีแค่วิ่งโร่ไปฟ้องท้าวเวสสุวรรณเท่านั้น”

    มหาธนผุดลุกขึ้นยืน จ้องหน้าผมอย่างเกลียดชัง ผมเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ ไม่คิดว่าไฟโทสะของมหาธนจะจุดติดง่ายถึงเพียงนี้ กลายเป็นว่าคนที่โมโหง่ายกลับไม่ใช่เหล่าอสุรายักษาอย่างผมเสียแล้วกระมัง  “ถึงฉันจะเป็นยักษ์ เป็นอมนุษย์ที่มินิสัยโหดเหี้ยม ดุร้ายแต่ฉันไม่เคยเหยียดหยามหรือหักหลังพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ของตัวเอง”

    "ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่ามาพูดปรักปรำคนอื่นเสียดีกว่า"มหาธนสวนกลับมาแทบจะทันที ดวงตาคู่เรียวหรี่ลงคล้ายเริ่มไม่พอใจ 

    "เหรอว่ะ หลักฐานตำตาขนาดนี้ไม่ได้จะทำร้ายปุณหรอกรึไง หรือต้องให้ฉันเห็นแกเอามีดปาดคอปุณแล้วจะพูดได้ใช่ไหม? อ้อ แต่คงไม่เป็นอะไรนิ เดี๋ยวพอเรื่องถึงหูท่านท้าว พ่อแกไปก็ไปประจบไม่ให้เอาผิ...

     มหาธนพุ่งหมัดใส่ผมจนผมเซ ใบหน้าคมของเทวาหนุ่มแดงก่ำด้วยความโกรธ ในมือมีพระขรรค์อาวุธประจำตนของเทวดา ผมกระตุกยิ้มใครกันที่เคยบอกว่าเหล่าเทวดามีจิตเมตตาสู้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระธรรม แล้วยามนี้แตกต่างกับเหล่ายักษ์มารตรงไหน กรุงลงกาถูกเปรียบเปรยเป็นดั่งเมืองที่เต็มไปด้วยความเลวร้าย แล้วยามนี้โลกาไม่ต่างจากกรุงลงกาหรือหรือ? ผู้คนต่างใส่หน้ากากตีสองหน้าเข้าหากัน ผู้ที่เหล่าประชาสรรเสริญกลับไม่ต่างกับอสุรี ในโลกนี้สิ่งที่น่ากลัวหาใช่สัตว์ร้าย แต่กลับเป็นจิตใจของมนุษย์ที่ยากแท้หยั่งถึง อาจดีงามเหมือนเทวา อาจดุร้าย น่ารังเกียจเหมือนอสุรา แต่ล้วนตัดสินคาดเดามิได้ กลับกันเทวดาที่ผู้คนเคารพแท้จริงมิต่างกับอสูรร้าย  ส่วนยักษ์มารที่น่ารังเกียจ แท้จริงกลับเป็นเหมือนเทวดาลงมาจุติ ก็ล้วนที่จะตัดสินไม่ได้เพียงตาเห็น

     พระขรรค์ของมหาธนเกือบแทงถูกสีข้างของผม เลือดที่ไหลรินอยู่ยิ่งกระตุ้นให้ความโกรธของผมบ้าคลั่งขึ้น เหตุการณ์นี้ไม่ต่างกับที่เทวดาหลอกใช้ให้เหล่าอสูรมารช่วยกันกวนเกษียณพระสมุทร เมื่อพิธีกรรมเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายเหล่าอสูรกลับถูกฆ่าตายจากเผ่าพันธุ์ของเทวา!!! ผมฝังเขี้ยวลงบนหัวไหล่ของมหาธน เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดยิ่งทำให้ความโกรธของผมปะทุขึ้น คล้ายดั่งหนี้แค้นจะได้รับการสะสาง ผมตั้งท่าจะกัดคอของมหาธนแต่ก็รู้สึกถึงแรงดึงจากด้านหลังทำให้จำต้องหันไปดู ผมตกใจเล็กน้อยที่เป็นปุณพจน์ ความโกรธเกรี้ยวของผมคล้ายจะถูกพัดหายไปด้วยกับสายลม

    “วิน พอเถอะ” ปุณดึงตัวมหาธนออกก่อนที่จะตายคามือผม ผมตั้งท่าจะพูดแต่ถูกปุณพูดขึ้นก่อน “ไปทำแผลกันเถอะนะ”

    ผมคล้ายจะรู้สึกว่าบนโลกใบนี้ก็มีคนที่เป็นคนดีทั้งภายในและภายนอกจริงๆคนอะไรจะจิตใจดีไม่แค้นเคืองคนที่ทำร้ายตัวเอง

    "ไสหัวไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับปุณอีก!" ผมเอ่ยปากไล่ไอมหาธนที่นั่งกุมไหล่อยู่ ก่อนจะเดินตามคนตัวเล็กไปอย่างสนใจว่าไอเทวาชั่วจะพาหน้าตัวเองออกไปจากห้องแล้วหรือยัง

      

             ผมมองคนตัวเล็กที่ทำแผลให้อย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่โตที่กำลังมองแผลอย่างตั้งใจ ไหนจะท่าทีขะมักเขม้นของปุณยิ่งทำให้หัวใจผมอุ่นวาบราวถูกกอดด้วยปีกครุฑ (ผมมีเพื่อนเป็นครุฑคนหนึ่งครับแต่ใช่ว่าเราจะเคยกอดกัน นอกจากพ่อแม่พี่น้องแล้ว กอดระหว่างคนรักนั้นผมจะเก็บไว้ในคืนแต่งงานครับ)

     “ปุณไม่กลัวเราเหรอ” ผมตัดสินใจถามปุณทีกำลังทำแผลให้ผมอยู่

    ปุณมองหน้าผมงงๆ”ทำไมต้องกลัววินด้วย?”  ก่อนที่จะมองออกไปที่โซฟาก็ส่ายหน้าหวือ “เราไม่กลัววินหรอก เพราะเรื่องนี้วินทำเพื่อเรา” ปุณอมยิ้มน้อยๆทำให้ผมวางใจ

    ผมกลัวกับการที่ต้องมาอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนเคย ผมเป็นยักษ์แต่ผมก็มีความกลัว ความเจ็บปวดไม่ต่างกับมนุษย์

    “แล้วปุณไม่กลัวยักษ์แล้วหรอ แต่ก่อนเดินหนีเราแทบตาย” ผมเย้า

    ปุณทำหน้าอึ้งๆไม่คิดว่าผมจะเอาเรื่องสมัยดึกดำบรรพ์มาพูด แต่ก็ยังอุตส่าห์ตอบผมมาว่า “เราไม่กลัวยักษ์แล้วตั้งแต่รู้จักกับวินมา เรากลัวยักษ์เพราะเขาว่ากันว่ายักษ์มีนิสัยโหดร้าย แต่พอเราคิดๆดูอีกทีเทวดาบางตนก็มีนิสัยไม่ต่างกับยักษ์ในตำนาน พวกเราเองก็ล้วนแต่มองคนที่ภายนอกทั้งนั้น ขีดเส้นแบ่งมาตรฐานให้แก่ทุกคนทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกันมาก่อน” ปุณเว้นไปสักพักก่อนเย้าผมกลบว่า “แล้ววินยังเกลียดเทวดาอีกไหม?”

    ผมหัวเราะเบาๆไม่คิดว่าปุณจะแกล้งผมแบบนี้  ผมไม่ตอบแต่ปุณก็คงรู้แล้วว่าผมไม่ได้เกลียดชังพวกเทวดาแต่ก็ไม่ได้ไยดีเป็นพิเศษ ขอเพียงแค่ไม่มีใครก้าวล้ำกันและกันความสงบสุขแบบนี้ก็จะคงอยู่กันไปอีกนาน  ผมเพียงแต่คิดว่าโลกมันไม่ได้ใจร้ายกับผมเสมอไป ผมอาจจะเจออมนุษย์และมนุษย์ในหลายรูปแบบ ทั้งดีต่อกัน ริษยานินทาว่าร้ายกันก็ล้วนเป็นสิ่งต้องเกิดกับเราทุกคน แต่มิตรแท้ดีๆสำหรับปุณผมก็ไม่สนใจว่าเขาจะเผ่าพันธุ์ไหน จะยักษ์ ครุฑ เทวาหรือนาคาผมก็ไม่แยแส เพราะกว่าจะมีคนดีๆเข้ามาในชีวิต ผมก็คงต้องทำบุญชดเชยบุญเก่าไปมากๆเสียแล้ว

    เพราะเขาเป็นคนสำคัญผมก็อยากอยู่ข้างเขาไปนานๆ:)








     สวัสดีค่า ทูกู๊ดเองนะคะ วันนี้พานิยายวายที่เราแต่งขึ้นเพราะคลายเครียดขึ้นมาเสิร์ฟค่า เรื่องนี้เรามีแพลนที่จะแต่งเป็นเรื่องยาว ส่วนเรื่องนี้เป็นสเปเชียลเร้กๆก่อนสัมมีภรรเมียเขาจะญาติดีกัน._. จริงๆแล้วเรื่องนี้เราแต่งตั้งแต่ตอนม.1ส่งเข้าค่ายนักเขียน ส่วนตอนนี้เราอยู่ม.6กำลังเวลคัมทูม.3 ดังนั้นถ้าแปลกๆไปเอ็นดูโผ้มมมมมมมมมมมด้วย คอมเมนต์เอ็นดูเจ้าวินกับคุณธันได้เรยบัดเด่วเน้!!!

    #เรื่องนี้ผัวไทป์ลูกหมาดื้อนะคะ


    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×