เรือนปรัชญา - นิยาย เรือนปรัชญา : Dek-D.com - Writer
×

    เรือนปรัชญา

    เรื่องราวความรักระหว่างชายสองคนที่ต้องพลัดพรากจากกัน คนหนึ่งยังคงรอคอย และอีกคนเขากำลังจะกลับมา ทว่าโชคชะตาก็ยังนำพาให้เขาทั้งสองต้องพลัดพรากจากกัน ความรักของเขาจะเป็นนิรันดร์และสถิตย์อยู่หัวใจตลอดไป

    ผู้เข้าชมรวม

    109

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    109

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  19 ต.ค. 65 / 21:37 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

     

     

    ผมจะอธิษฐานให้เราได้พบกันอีก

    ปรัชญาของเกียรติภูมิ

     

    ตอนที่ 1

    ภูมิรู้สึกถูกชะตากับบ้านร้างหลังนี้

     

    “ฮัลโหล พี่มัลลิกา พี่จัดการเรื่องนั้นให้ผมยังเนี่ย?”

    “แหม คุณภูมิ คุณภูมิย้ำเรื่องนี้กับพี่เป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั้งคะเนี่ย”

              มัลลิกาพูดพร้อมหัวร่อในคำสั่งที่เกียรติภูมิ คุณหนูทายาทเจ้าของโรงงานผลิตน้ำตาล และธุรกิจหลายแห่งในประเทศที่เธอเป็นพี่เลี้ยงมาตั้งแต่เขายังแบเบาะ

    “ว่าแต่คุณภูมิจะกลับมาไทยตอนไหนคะเนี่ย พี่คิดถึงคุณหนูของพี่จะแย่อยู่แล้วค่ะ”

    “เหงามากก็ไปทำงานนะพี่ แม่ฟ้องผมหมดแล้ว ว่าพี่ชอบอู้งานน่ะ”

    “อุ๊ย! คุณผู้หญิงรายงานคุณภูมิตลอดเลยเหรอคะเนี่ย เขินจัง”

    “สรุปคุณภูมิกลับมาตอนไหนคะ คุณภูมิยังไม่ได้ตอบพี่เลย”

              ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด 

    “เอ้า! ตัดสายไปซะแล้ว สงสัยคงติดธุระ”

     

     

              ภายในห้องสี่เหลี่ยมกว้างขวางผนังปูนสีขาวทึบถูกแทนที่ด้วยกระจกใส ทำให้สามารถมองไปข้างนอกได้อย่างง่ายดาย ท้องฟ้าในวันที่แดดร้อนระอุ ฝูงนกที่กำลังบินวนอยู่บนท้องฟ้า ราวกับว่ามันกำลังขยันขันแข็งทำงานแข่งกันกับผู้คนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ ที่เต็มไปด้วยโต๊ะทำงานสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเทาทึบ ขนาดพอเหมาะที่จะเป็นโต๊ะทำงานสำหรับหนึ่งคน ภาพบรรยากาศผู้คนเดินสลับกันไปมา บ้างก็ส่งต่อแฟ้มเอกสารกันเป็นทอด ๆ พร้อมการสนทนาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างที่จะจริงจัง ทันใดนั้นชายหนุ่มหน้าหวาน ตาคม ปากเป็นกระจับ ทรงผมสไตล์หนุ่มเกาหลี เขาใส่เสื้อยืดสีขาว สะพายกระเป๋าเป้สีดำแบบหลวม ๆ สวมกางเกงทรงบอยสีดำ พร้อมกับสวมรองเท้าแตะสีดำคู่ใจ ได้เปิดประตูจากข้างนอกเข้ามายังห้องทำงานที่เต็มไปด้วยผู้คนและบรรยากาศของการทำงาน

    “เอ่อ ขอโทษนะครับ พี่มัลลิกานั่งโต๊ะไหนเหรอครับ”

              หญิงสาวอายุราว ๆ สามสิบเห็นจะได้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานโต๊ะแรกที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้ามากที่สุด เธอใส่ชุดเดรสลายดอกทางตะวันสีเหลือง ผมยาวถึงแค่ติ่งหู พร้อมกับเธอทาลิปสติกสีแดง ราวกับว่าเธอกลัวว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอหากเธอแต่งตัวแบบธรรมดา เธอเงยหน้าขึ้นจากการจ้องมองเอกสารเมื่อได้ยินเสียงของชายหนุ่ม เธอกำลังมองหน้าเขาด้วยความสงสัย ขณะเดียวกันสายตาก็ลุกวาวราวกับว่าเธอกำลังพบกับบุคคลอันตรายที่กำลังยืนอยู่ระยะประชิดกับเธอ

    “นี่! คุณเป็นใคร มาที่นี่ทำไม ด้านหน้าก็ติดป้ายเอาไว้ว่าบุคคลภายนอกห้ามเข้า ตาไม่ดูหรือยังไง ออกไปเลยนะ ก่อนที่ฉันจะให้ รปภ. มาลากตัวออกไป”

     

    “ผมมาขอพบคุณมัลลิกา ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างสินค้าของที่นี่ครับ”

              เกียรติภูมิพูดพร้อมกับยืดอกขึ้นเล็กน้อยและทำเสียงแข็งราวกับว่ากำลังมีอารมณ์โมโหแต่ชายหนุ่มก็ยังคงแน่นิ่งเย็นยะเยือกพร้อมกับสายตาที่พร้อมที่จะปะทะกับหญิงสาวชุดเดรสที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาตลอดเวลา

    “ก็บอกว่าคนภายนอกห้ามเข้าไง พูดไม่รู้เรื่องเหรอ ชั้นจะโทรเรียก ร…”

    “นี่ ๆ เอะอะโวยวายอะไรกันห๊ะ”

              แมรี่ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจัดจ้างสินค้าของโรงแรม สวมชุดเดรสสีครีม ทรงผมรวบตึง จมูกโด่ง ตากลมสวยแต่ปากของเธอซีดราวกับว่าไม่ได้รับการสัมผัสกับลิปสติกหรือลิปมันมาแรมปี เธอสวมรองเท้าแตะคีบสีดำ พร้อมกับเธอกำลังถือแก้วกาแฟแก้วโปรด เดินเข้ามาทางด้านหลังของชายหนุ่ม 

    “เอ๊ะ! ละนี่ใคร เข้ามาได้ยังไง ดูแต่งตัวเข้าซิ ไป ไป ออกไป”

              ทันใดนั้น ชายหนุ่มลูกเจ้าของโรงแรมก็ได้หันหน้านิ่งมาสบตากับแม่รี่

    “คุณภูมิ! คุณภูมิจริง ๆ ด้วย หื้อ คุณภูมิกลับมาทำไมไม่บอกพี่ล่ะคะ พี่จะได้ให้คนไปรับ ถึงว่าคุณภูมิแกล้งตัดสายพี่ พี่ก็นึกว่าคุณภูมิแบตหมด ไม่ก็ติดธุระ หื้อ ”

              แล้วเธอก็เข้าสวมกอดชายหนุ่มด้วยความคิดถึง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ชายหนุ่มที่เธอเลี้ยงดูมาเองกับมือราวกับว่าเป็นน้องชายแท้ ๆ ของเธอได้ไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และตอนนี้เขาก็กำลังปรากฎอยู่ตรงหน้าของเธอ

    “เอ่อ ใจเย็นนะพี่ ผมหายใจไม่ออกละเนี่ย”

              มัลลิกาคลายมือออกจากการสวมกอดชายหนุ่มอย่างแนบแน่นด้วยความคิดถึง สายตาของเธอกำลังมีน้ำตาเอ่อซึมออกมาและแววตาของเธอก็กำลังสะท้อนความคิดถึงออกมาได้อย่างอ่อนโยน

    “หือ ก็พี่ทั้งตื่นเต้น ดีใจ ตื้นตัน ตอนนี้พี่หลายอารมณ์มากค่ะคุณหนู เอ๊ะ ว่าแต่ มาหาพี่นี่ ไปเจอคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายมาหรือยังคะเนี่ย”

    “เจอพ่อนั่งคุยกับพี่ ร.ป.ภ. ชั้นล่างน่ะพี่ กะว่าจะมาเซอร์ไพรส์สักหน่อย พ่ออะนะ เป็นคนตรวจบัตรผมเองกับมือเลย”

    “คุณผู้ชายก็เป็นแบบนี้แหละค่ะคุณภูมิ ถ้าจะให้เซ็นต์เอกสารอะไรสักอย่างก็ต้องประสานงานกันทั้งโรงแรม ท่านตามตัวยากมากค่ะ วันก่อนพี่ไปเจอให้ป้าแม่บ้านสอนขัดห้องน้ำน่ะค่ะ ขยันเวอร์ พนักงานที่นี่ไม่มีใครกล้าอู้งานกันสักคนค่ะคุณหนู”

    “เอ่อ นิ นี่ คุ คุณ เอ่อ”

              หญิงสาวผู้สวมชุดเดรสลายดอกทานตะวันสีเหลืองได้แต่พูดติด ๆ ขัด ๆ ด้วยความที่เธอกำลังตกใจยิ่งกว่าเธอกำลังปะทะกับโจร เธอไม่รู้ว่าคนที่เธอได้ไล่ไปเมื่อสักครู่นี้คือคุณหนูเกียรติภูมิ ลูกชายคนเดียวของเจ้าของโรงแรมแห่งนี้ 

    “ก็ใช่น่ะสิ นี่คุณภูมิ คุณเกียรติภูมิ ทรัพย์ไพศาล คนที่ชั้นบ่นคิดถึงบ่อย ๆ ไงล่ะเธอ”

    “เออะ เอ่อ ขอโทษนะคะคุณภูมิ คือดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะ ว่าเป็นคุณภูมิ”

    “พี่บอกแล้วเห็นไหมคะว่าให้มาถ่ายรูปติดบอร์ดบริหารได้แล้ว พนักงานลืมหน้าหมดแล้วมั้งคะเนี่ย”

    “ก็ผมไม่ได้อยากเป็นนักบริหารอะไรทั้งนั้นแหละพี่ พี่ก็รู้ว่าผมกลับมาครั้งนี้เนี่ย ผมกลับมาทำอะไร”

    “แน่ใจนะคะ”

    “sure แน่นอน มั่นใจ ล้านเปอร์เซ็นต์”

    “เหรอคะ”

    “หรือคะ หรือคะ หรือคะ”

    “ว้าว! ตามเทรนเหมือนกันนะคะเนี่ย”

    “นิดนึงน่ะพี่”

    “เราไปกันเหอะพี่”

    “ไป? ไปไหนคะ?”

    “ไปหาเจ๊พิมผกา ผมคิดถึงขนมฝีมือแม่จะแย่แล้วพี่”

              เกียรติภูมิทำเสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนพี่เลี้ยงของเธอ เขาทั้งสองสนิทกันเหมือนเป็นพี่กับน้อง มัลลิกายิ้มด้วยความปีติดีใจ เธออุ่นหัวใจที่สุดเวลาที่เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัวทรัพย์ไพศาล เพราะเธอรักเจ้านายและรักคุณหนูเกียรติภูมิประหนึ่งว่าเธอรู้จักกับชายหนุ่มคนนี้มานานแสนนาน

              

    ก๊อง ๆ  ๆ ๆ

    เสียงระฆังจิ๋วแต่กลับมีเสียงระดับก้องกังวานทำให้คนที่เปิดประตูเงยหน้าขึ้นไปมอง ระบบแจ้งเตือนที่สุดแสนจะคลาสสิกที่คอยส่งเสียงเมื่อมีลูกค้าเปิดประตูเข้ามา มัลลิกาและเกียรติภูมิตรงดิ่งมานั่งที่โต๊ะตัวที่กว้างที่สุดในร้านเพราะเป็นโต๊ะตัวประจำที่ทั้งสองคนนั่งเม้าท์กันอยู่บ่อย ๆ ก่อนที่เขาจะไปเรียนที่ต่างประเทศ

    ภายในร้านขนมไทยที่รายล้อมไปด้วยตู้แช่ขนมนานาชนิด ตกแต่งด้วยชุดเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดินที่แลดูทันสมัย โต๊ะเก้าอี้สีทองลวดลายสวยงามที่มองดูแล้วน่าจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความวิจิตรชดช้อย ตัดกับพื้นกระเบื้องสีขาวงาช้าง และผนังสีดำได้อย่างลงตัว ภายในร้านตกแต่งด้วยดอกไม้หลากหลายชนิด แต่เน้นดอกไม้สีขาวเสียส่วนใหญ่ กลิ่นหอมจากควันเทียนที่ใช้สำหรับอบขนมส่งกลิ่นอบอวนไปทั่วทั้งร้าน 

    “สวัสดีค่ะ วันนี้คุณแมรี่จะรับขนมอะไรดีคะ?”

              พนักงานสาวสวยสวมผ้ากันเปื้อนสีดำ ใส่เน็ตติดผมดูเรียบร้อยสบายตา เธอกำลังรับออเดอร์ลูกค้าประจำและขณะเดียวกันเธอก็กำลังวางแก้วน้ำที่มีดอกมะลิลอยอยู่ในน้ำเย็นฉ่ำอย่างสุภาพอ่อนน้อมต่อคนทั้งสองที่กำลังนั่งอยู่

    “รับขนมอะไรดีคะคุณหนู”

    “อ้อ! เกือบลืมแนะนำไปแน่ะ นี่คุณภูมิจ่ะ ลูกชายของคุณพิมผกา”

    “สวัสดีค่ะคุณภูมิ”

    “แม่อยู่หลังร้านหรือเปล่าครับพี่ ผมมาหาแม่น่ะครับ”

    “เดี๋ยวหนูไปตามคุณผู้หญิงมาให้นะคะ รอสักครู่นะคะ”

    “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวผมไปเองดีกว่า นั่นลูกค้ามาพอดี พี่ไปบริการลูกค้าดีกว่าครับ”

    “ได้ค่ะคุณภูมิ มีอะไรเรียกใช้หนูได้ตลอดเลยนะคะ”

    “แต๊งค์กิว”

    “ไปแกล้งเค้านะคะคุณหนู เดี๋ยวเค้าก็ลาออกหรอกค่ะ”

              มัลลิกาพูดไปขำไป ขณะเดียวกันเกียรติภูมิก็ยิ้มตอบรับพนักงานด้วยสายตาที่จริงใจ เขารู้สึกประทับใจที่มีพนักงานที่สุภาพอ่อนน้อมและบริการด้วยความจริงใจ 

    “ต่างจากพี่เจ้ผมติ่งลูกน้องพี่ที่เจอเมื่อเช้าเลยนะพี่มัลลิกา” 

              ใช่ เขากำลังพูดถึงหญิงสาวพนักงานชุดเดรสลายดอกทานตะวันสีเหลืองที่ไล่เขาออกจากห้องทำงาน พูดแล้วเกียรติภูมิก็รู้สึกปรี๊ดขึ้นมา 

    “แมรี่ค่ะ มายเนมอีสแม่รี่ ชื่อมัลลิกาพี่รู้สึกเหมือนเป็นสาวพันปียังไงไม่รู้ค่ะคุณภูมิ”

    “เหอะน่า มันก็เหมือนกันนั่นแหละพี่ ไป! ไปหาแม่หลังร้านกัน”

    “ไปค่ะ มัลลิก้า มัลลี่ แม่รี่นี่แหละค่ะเพราะที่สุดแล้ว”

    เธอเดินไปหลังร้านพร้อมกับชายหนุ่ม พลางเธอก็สับสนงงงวยไปกับชื่อของเธอ ไม่ว่าเธอจะถูกเรียกว่าอะไร เธอก็เป็นคนจริงใจ อารมณ์ดีเช่นนี้ เช่นเคย

    ภายในห้องทำขนมที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ทำขนมและรายล้อมไปด้วยชั้นวางวัตถุดิบระดับคุณภาพถูกจัดวางไว้ตามชั้นอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นถั่วแดง ถั่วเหลือง ข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวขาว แป้งสาลี แป้งข้าวเจ้า เมล็ดสาคู กะทิกล่อง และวัตถุดิบอีกหลายสิบอย่างที่วางเรียงชิดกันอยู่ ยังไม่นับรวมกองลูกมะพร้าวที่ถูกวางซ้อนกันเป็นภูเขาขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ด้านหลังร้าน ขณะนี้คุณหญิงพิมผกา หญิงวัยกลางคนอายุราว ๆ ห้าสิบห้าปีเห็นจะได้ เธอสวมชุดเชฟสีขาวมิดชิดไม่มีแม้แต่เส้นผมที่โผล่ออกมา ดูสะอาดสะอ้านสบายตา เธอกำลังบรรจงหั่นใบเตยเป็นชิ้น ชิ้นละเท่า ๆ กันราวกับว่าเธอได้ใช้ไม้บรรทัดวัดระยะห่างก่อนที่จะใช้มีดหั่นลงไป ทันใดนั้นเองก็มีเสียงชายหนุ่มดังขึ้นมา

    “มีอะไรให้ช่วยไหมครับเจ๊ใหญ่?”

    “ลูกแม่!”

    พิมผกาตกใจจนอุทานออกมา ใช่ เธอไม่ได้ตอบรับลูกชายของเธอ แต่เธอกำลังตกใจอย่างมากจนยกมีดขึ้นมาทำท่าทีว่าจะปามีดในมือของเธอใส่ชายหนุ่มในทันที

    “โห! ใจเย็น ๆ นะครับแม่ เดี๋ยวภูมิก็คอหักตายหรอก”

    “ภูมิ! ลูกแม่จริง ๆ ด้วย คุณหนูจอมแก่นของแม่ เจ้าหัวกะทิลูกรัก กลับมาตอนไหนไม่บอกแม่เลยนะ น่าตีจริง ๆ แม่เกือบหัวใจวายตายก่อนที่จะได้เจอลูกไปแล้วไหมล่ะ ตานักเรียนนอก”

    “แม่ก็อวยผมเกินไปน่า”

    พิมผกาลดมือลงจากที่ตอนแรกมือของเธอถือมีดอยู่ใกล้กับระยะสายตาของเธอ สัญชาติญาณการป้องกันตัวของเธอทำให้เธอเองก็ไม่รู้ตัวว่ายกมืดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน เพราะก่อนหน้านี้เธอกำลังหั่นใบเตยอยู่แท้ ๆ เธอวางมีดลงบนเขียงพลาสติกสีขาวและเดินไปที่อ่างล้างมือ เธอเปิดก๊อกน้ำกำลังล้างมือให้สะอาดเอี่ยม เธอตั้งใจที่จะกอดลูกชายสุดที่รักด้วยอ้อมกอดที่แสนสะอาด ขณะเดียวกันนั้นมือทั้งสองของชายหนุ่มกลับสวมกอดจากทางด้านหลังของแม่ของเขา ใบหน้าที่ขาวละมุนถูกวางไว้บนไหล่ขวาของคุณหญิงพิมผกา เธอดีใจแบบบอกไม่ถูก ลูกชายสุดที่รัก และเป็นดั่งดวงใจกำลังโอบกอดเธอหลังจากที่ไม่ได้สัมผัสกอดเช่นนี้มานานหลายปี

    “คิดถึงแม่ที่สุดเลยครับ คิดถึงสุดหัวใจ”

    “แม่รู้ แม่ก็คิดถึงลูก คิดถึงมาก ๆ เวลาแม่คิดถึงลูกแม่จะขอกอดพ่อเค้าบ่อย ๆ ก็พอจะทำให้หายคิดถึงอยู่บ้าง”

    “อยากกอดพ่อก็บอกมาตรง ๆ เหอะแม่ ไม่ต้องเอาภูมิมาอ้างเลย”

              ด้านมัลลิกาก็ได้แต่ยืนเอามือทั้งสองข้างประสานกันบิดตัวไปมาเธอกำลังซึมซับบรรยากาศแห่งการพบกันอันแสนอบอุ่น และขณะเดียวกันเธอก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาสวมกอดกับคนทั้งสองอย่างแนบแน่น แก้มด้านขวาของเธอสัมผัสกับแขนอันขาวนวลของเกียรติภูมิ ไม่มีอะไรมาทดแทนความหอมหวานของห้วงเวลาเช่นนี้ได้อีกแล้ว 

     

              ทั้งสามคนเดินออกมาจากด้านหลังร้านมุ่งตรงมายังโต๊ะลูกค้าตัวที่กว้างที่สุด บทสนทนาแห่งความคิดถึงก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

    “กลับมาคราวนี้อยู่ยาวเลยใช่ไหมลูก”

    “ใช่ครับแม่ ภูมิจะกลับมาเปิดร้านแข่งกับแม่ เอาให้ร้านขนมไทยคุณหญิงพิมผกาเจ๊งไปเลย”

    “ดูพูดเข้าสิตานี่” 

    พิมผกาพูดพลางเธอก็ใช้มือข้างหนึ่งตีแขนของลูกชายของเธอด้วยความเอ็นดูปนตำหนิ

    “แม่ก็อยากจะลองดูเหมือนกันว่าไอหลักสูตรขนมเรสเทอรองระดับแชมป์อ๊อฟเดอะเวิลด์เนี่ยจะมาโค่นล้มขนมสูตรโบราณของแม่ได้ไหม”

    “แหม ภูมิล้อเล่นน่ะแม่ จะขนมไทยขนมนอกมันก็มีเอกลักษณ์ของมันทั้งนั้นแหละ มันก็อร่อยคนละแบบ ดีไม่ดีภูมิอาจจะทำให้มันกลายเป็นขนมไทยขนมนอกผสมกันก็ได้นะแม่”

    “จ้าพ่อหนุ่ม แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ดีเหมือนกันแม่จะได้วางมือบ้าง”

    “พ่อเค้าให้แม่วางมือมาตลอด แม่ดื้อเอง อยู่สบาย ๆ เป็นท่านภริยาของเจ้าของโรงแรมไม่ชอบ ชอบมาเปิดธุรกิจของตัวเอง แม่เหนื่อยมันก็ถูกแล้ว”

    “ก็แม่ไม่ชอบอยู่เฉย ๆ นี่นา อีกอย่างแม่ไม่อยากให้สูตรขนมสูตรโบราณที่เป็นสูตรจากต้นตระกูลมันหายไป แม่ก็เลยมาสานต่อนี่ไง”

              เธอพูดพลางก็เอื้อมมือไปหยิบไม้จิ้มขนมสีทองที่กำลังเสียบขนมเปียกปูนใบเตย หั่นชิ้นพอดีคำ โรยหน้าด้วยมะพร้าวทึนทึกขูดพอหยาบกึ่งละเอียดที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะหลังจากที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ 

    “อ่านี่ ขนมเปียกปูนที่ภูมิชอบ แม่ป้อน”

    “อ้ำ! อร่อยที่สุดเลยครับ หายคิดถึงโคตร ๆ”

              ด้านมัลลิกาก็ได้แต่นั่งยิ้มแล้วยิ้มอีก เธอชอบเวลาที่บรรยากาศแห่งความผูกพันปรากฎขึ้นตรงหน้าของเธอ

    “อ่า ฉันป้อนเธอบ้างแมรี่ เธอก็เป็นลูกสาวชั้นอีกคน”

    “หูย! ใจฟูมากเลยค่ะคุณผู้หญิง อ้ำ! อร่อยที่สุดเลยค่ะ”

    “บอกให้เรียกคุณน้าก็ไม่ยอมเรียก เรียกคุณผู้หญิงมันดูห่างเหิน”

    “คุณผู้หญิงเป็นผู้มีพระคุณของหนู หนูขอเรียกแบบนี้สบายใจกว่าค่ะคุณผู้หญิง”

    “ย่ะ เอาที่หล่อนสบายใจละกัน ชั้นไม่อยากขัดศรัทธาคนสวย ๆ แบบหล่อน”

    “เอือะ” เกียรติภูมิแกล้งทำท่าทีจะสำลักเพราะได้ยินแม่ของเขาเอ่ยปากชมมัลลิกาว่าสวย ซึ่งเขามักจะแกล้งมัลลิกาเช่นนี้อยู่เป็นประจำ

    “เอ้อ! งั้นแม่ขอตัวก่อนนะ ทำขนมค้างไว้ตั้งหลายอย่าง ให้พนักงานช่วยกันทำเดี๋ยวจะเหนื่อยแย่ แม่ไปช่วยผ่อนแรงดีกว่า”

    “ง่ำ ๆ ๆ ๆ ครับแม่” เกียรติภูมิเคี้ยวขนมเปียกปูนแสนอร่อยไปพลางตอบรับคุณหญิงพิมผกาไปพลาง

    “สองคนก็ตามสบายเลยนะ แม่ไปทำงานก่อนล่ะ ไว้เจอกันที่บ้านนะลูก”

              สิ้นเสียงของผู้เป็นแม่ ทันใดนั้นสายตาของเกียรติภูมิก็หันไปสบตากับมัลลิกา

    “พี่แมรี่ พี่เอาแฟ้มที่ผมสั่งมารึเปล่า”

    “อ้อ เอามาค่ะคุณภูมิ นี่ค่ะ แต่พี่ไม่แน่ใจนะคะว่ารวบรวมมาหมดหรือเปล่า ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดี คนเซ้งร้านกันไปตั้งเยอะ แต่พี่ว่ามันน่าจะมีแบบที่คุณภูมิอยากได้นะคะ”

              เธอพูดไปพลางพร้อมกับยื่นแฟ้มเอกสารเล่มหนาให้เกียรติภูมิด้านในเต็มไปด้วยภาพอาคารที่ถูกติดป้ายประกาศขาย ใช่ เกียรติภูมิกลับมาประเทศไทยคราวนี้ เขาเติบโตกว่าหลายปีที่ผ่านมาทั้งวิสัยทัศน์ เป้าหมาย และการปฏิบัติต่อคนรอบข้างของเขา เขาไม่ใช่ลูกคุณหนูไฮโซที่เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าเงินจะหมด เขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์ เป็นคนเก่ง เป็นคนสมัยใหม่ เขาโตพอที่จะมีธุรกิจเป็นของตัวเองและเขามีความตั้งใจอย่างเหลือล้นที่จะเอาความรู้และประสบการณ์ของเขามาสร้างชีวิตด้วยตัวของเขาเอง โดยมีพี่สาวที่ชื่อแมรี่หรือที่เขามักจะเรียกว่ามัลลิกา ผู้ซึ่งคอยช่วยเหลือและอยู่เคียงข้างเขาอยู่เสมอ เขาไว้ใจ และเป็นเพื่อนคู่คิดคอยดูแลกันมาตั้งแต่เกียรติภูมิยังเป็นเด็ก 

    “งั้นเราเริ่มจากหลังนี้ก็แล้วกัน อยู่ใกล้ ๆ ใช่ไหมครับ”

    “วันนี้เลยเหรอคะ?”

    “จะวันไหนอีกล่ะพี่ เดี๋ยวผมก็ตามไม่ทันร้านขนมแม่ผมหรอก”

    “แต่พี่ไม่ได้ลางานที่โรงแรมไว้นะคะคุณหนู”

    “เรื่องนั้นผมจัดการเองพี่ ไม่มีใครว่าอะไรพี่หรอก”

    “ยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร คุณหนูเกียรติภูมิมากเลยค่า”

    “ไปกันเหอะพี่ วันนี้เรายังต้องไปอีกหลายที่”

    “ไปค่ะ ลุย!”

              บนถนนเส้นใหญ่นับว่าเป็นเส้นหลักตั้งอยู่กลางเมือง หากมองไปรอบ ๆ ก็จะพบว่ามีตึกสูงน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายกันอยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งเมือง แต่ทว่าตึกสูงเสียดฟ้าที่กำลังมองเห็นอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เกียรติภูมิกำลังออกตามหาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่อยากได้พื้นที่เล็ก ๆ ในการก่อร่างสร้างธุรกิจในแบบที่เขาปรารถนา เกียรติภูมิอยากมีร้านคาเฟ่เป็นของตัวเอง เขาร่ำรวยมากพอที่จะเสกร้านขายขนมสุดหรูสไตล์ฝรั่งได้เพียงแค่ใช้นิ้วสั่ง แต่เกียรติภูมิไม่ใช่คนแบบนั้น เขาตั้งใจไปเรียนทำอาหาร ทำขนม ชงเครื่องดื่ม เรียนรู้วัตถุดิบต่าง ๆ ด้วยตัวของเขาเองจากเมืองนอกเมืองนา เขาปรารถนาที่จะเป็นนักธุรกิจที่ดี เป็นเจ้าของร้านขนมที่ไม่ได้เป็นเพียงเจ้านาย เขากำลังใช้ตัวตนและจิตวิญญาณในการทำสิ่งนี้ ให้ออกมาอย่างดีด้วยตัวของเขาเอง 

    “นี่เรามาดูกันหลังที่ห้าแล้วนะคะคุณภูมิ คุณภูมิยังรู้สึกไม่ถูกใจอีกเหรอคะ”

    “ยังเลยพี่ อาคารหลังที่แล้วผมว่าก็สวยดีนะพี่ แต่เสียดายที่มันมีแค่ชั้นเดียว ผมกะว่าอยากจะทำชั้นบนเป็นห้องนอนห้องทำงานน่ะ เวลาเลิกงานดึก ผมจะได้นอนที่ร้านไปเลย”

    “มีชั้นเดียว คุณภูมิก็ใช้เงินเสกชั้นสองขึ้นมาสิคะ ง่ายนิดเดียว ระดับลูกเจ้าของโรงแรม เสกขึ้นมาอีกสิบชั้นก็ถือว่าสบายมากค่ะ”

    “ไม่รู้ทำไมนะพี่ ผมรู้สึกชอบอะไรที่มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ก็ได้ ผมไม่อยากขอเงินพ่อแม่เยอะขนาดนั้นมาสร้างตึกสร้างอาคารหรอกนะพี่ แค่ขอเงินพ่อมารีโนเวทร้านใหม่ผมก็เกรงใจเค้าจะแย่”

    “นี่ถ้าคุณภูมิตัดสินใจเป็นหุ้นส่วนร้านขนมไทยของคุณหญิงพิมผกา เราคงไม่ต้องตากแดดร้อน ๆ กันทั้งวันขนาดนี้ก็ได้นะคะคุณภูมิ”

    “ผมขอโทษด้วยนะพี่ ผมรู้ว่าพี่เหนื่อย ผมไม่น่าพาพี่มาลำบากไปกับผมเลย”

    “มะ ไม่ ไม่ ไม่เลยค่ะคุณหนู พี่ก็แค่หวังดีน่ะค่ะ ไม่อยากให้คุณภูมิของพี่ต้องมาเหนื่อย”

    “ชีวิตผมไม่เคยเหนื่อยเลยนะพี่ ผมว่านี่เป็นครั้งแรกเสียอีกที่ผมได้ลงมือทำอะไร ๆ ด้วยตัวของผมเอง วันหนึ่งผมคงภูมิใจกับมาก ๆ”

    “โถ คุณภูมิ ขนาดเกิดมาบนกองเงินกองทองแท้ ๆ ยังสู้ชีวิตขนาดนี้ นับประสาอะไรกับเด็กกำพร้าอย่างพี่ สู้ค่ะ พี่จะสู้ไปกับคุณหนู ไปต่อค่ะ ไม่ดึกพี่ไม่กลับค่ะ”

              มัลลิกาเธอเป็นเด็กกำพร้าที่ครอบครัวทรัพย์ไพศาลให้การอุปการะเธอครั้งที่เธอยังเป็นเด็ก เธอไม่เคยลืมบุญคุณของคนในครอบครัวนี้ ตอนนี้เธอกำลังรู้สึกว่าเธอได้รับมอบพลังความกล้าหาญในการใช้ชีวิต เธอไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวหรือไร้ค่าและเกียรติภูมิก็เป็นหนึ่งในคนที่มอบพลังพิเศษนี้ให้กับเธอ

    “บทจะสู้ชีวิตก็สู้ไม่ถอยเลยนะพี่ ผมว่าวันนี้เรากลับกันเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยมาหากันใหม่”

    “โอเคค่ะ ตอนนี้พี่เองก็รู้สึกเริ่มหิวแล้วล่ะค่ะ”

              ครอก! ครอก! มัลลิกาใช้มือลูบวน ๆ ที่ท้องของเธอเพราะเสียงท้องร้องได้ส่งสัญญาณว่าวันนี้เธอทั้งเหนื่อยและตอนนี้เธอก็เริ่มที่จะหิวเต็มที ทั้งสองคนพากันเดินขึ้นไปนั่งในรถตู้คันสีดำป้ายแดง ดูหรูหราเหมาะสมกันกับฐานะของคุณหนูเกียรติภูมิ ทรัพย์ไพศาล

    “พี่วินัย ขับติดเทอร์โบไปเลยนะพี่ แม่รี่หิวมาก จะกินควายได้ทั้งตัวละค่า”

    “คร้าบ คุณผู้หญิง ปัดโธ่! เจ๊แม่รี่ เดี๋ยวนี้ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

    “แหม! พี่วิชัย หนูรักหรอกน่า หนูเลยแกล้งพี่เล่นน่ะ”

    “เอ่อ ขอโทษด้วยนะครับคุณหนู เจ๊แมรี่นางชอบหาเรื่องผมน่ะครับ”

    “เอาเหอะน่าพี่ ไหน ๆ ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ผมว่าแบบนี้ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเครียด ตามสบายเลยพี่ ผมจอย ๆ อยู่แล้ว”

    “ครับคุณหนู”

    “ไปได้แล้วค่า เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน”

    รถตู้สุดหรูกำลังเคลื่อนล้อมุ่งหน้าไปยังบ้านทรัพย์ไพศาล ภายในกระจกรถที่มองออกไปกำลังมองเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า ท้องฟ้าสีส้มแดงอมเหลืองกำลังจะค่อย ๆ มืดลง นกน้อยใหญ่ต่างพากันบินตรงมาเกาะที่สายไฟ นั่งเรียงกันเป็นแนวยาวตลอดทาง เสียงเจื้อยแจ้วกำลังส่งสัญญาณให้ผู้คนรับทราบกันถ้วนหน้าว่าอีกไม่นานก็จะประกฎท้องฟ้ายามราตรี

              ฝั่งเกียรติภูมิเขากำลังนั่งเหม่อลอยดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง สายตาที่โหยหาแฝงไปด้วยความพยายามและมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่คนรอบข้างก็มิอาจจะล่วงรู้ แล้วสายตาของเขาก็พลันหันไปจ้องมองกับอะไรบางอย่างขณะที่รถกำลังแล่นไป

    “พี่วิชัย! จอด ๆ”

    “เกิดอะไรขึ้นค่ะคุณภูมิ?”

    มัลลิกาตกใจสะดุ้งตื่นหลังจากที่เธอกำลังนั่งพิงเบาะที่แสนจะนิ่มแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นเพราะวันนี้เธอเหนื่อยมามากแล้วทั้งวัน

    “ถอยพี่ ถอยกลับไปหน่อยครับพี่วิชัย”

    “เอ่อ ครับ ๆ คุณหนู”

    “บ้านหลังนั้นครับพี่”

    “ครับ ๆ”

    “เหมือนบ้านร้างเลยนะคะคุณภูมิ คุณภูมิไม่ได้กำลังคิดอะไรอยู่ใช่ไหมคะ”

              มัลลิกาพูดพลางเธอก็กลืนน้ำลายไปพลาง บ้านที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าสภาพเอื้ออำนวยให้เธอเรียกบ้านหลังนี้ว่าบ้านร้างจริง ๆ 

    “พี่ว่าอย่าดีกว่านะครับคุณหนู บ้านหลังนี้ใคร ๆ ก็ไม่กล้าแตะต้อง พี่ไม่เห็นด้วยเลยครับคุณหนู”

    “ยังไงครับพี่วิชัย ที่ว่าไม่มีใครกล้าแตะต้อง”

    “เอ่อ คืออย่างนี้ครับคุณหนู”

              วิชัยคนขับรถที่เพิ่งย้ายตำแหน่งงานจากคนขับรถประจำของคุณผู้ชายเปลี่ยนมาเป็นคนขับรถให้กับเกียรติภูมิ เล่าให้เกียรติภูมิฟังเกี่ยวกับเรื่องเล่าของบ้านร้างหลังนี้ที่เขาได้ยินจากการเล่าต่อ ๆ กันมาเกียรติภูมินั่งฟังเรื่องเล่าอย่างตั้งใจ เพราะเขารู้ดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้หมายถึงชีวิตและอนาคตในวันข้างหน้าของเขา 

    “ภูมิรู้สึกถูกชะตากับบ้านหลังนี้ครับพี่มัลลิกา!”

    “โอ๊ย! พี่จะเป็นลมค่ะคุณภูมิ”

              มัลลิกาหยิบยาดมคู่ใจในกระเป๋าออกมา เปิดฝาแล้วเธอก็สูดกลิ่นสดชื่นของยาดมเข้าไปเต็มแรง เธอได้แต่หวังว่าเธอจะยังไม่เป็นลมหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเกียรติภูมิ

    “พรุ่งนี้เช้าเราจะกลับมาที่บ้านหลังนี้ครับ ออกรถได้”

              เกียรติภูมิหันหน้ากลับไปหาคนขับรถหลังจากที่เขาจ้องมองบ้านหลักนี้อยู่พักใหญ่ เขาหนักแน่นมากพอถึงสั่งให้ออกรถอย่างเสียงแข็ง มัลลิกาและวิชัยรู้ดีว่าเสียงนี้คือคำเด็ดขาดและเขาทั้งสองก็คงทำได้ดีที่สุดคือทำใจและเตรียมตัวให้ดีสำหรับการเผชิญหน้าในวันถัดไป

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น