ซีรีย์รัก...ก่อนวันเทศกาลจะมาถึง
เรื่องราวความรักหลากหลายที่แตกต่างกันด้วยเงื่อนไขต่างๆมากมาย สุดท้ายจะสามารถลงเอยสมหวังรักใคร่หรือจากกันไปตลอดกาล......
ผู้เข้าชมรวม
752
ผู้เข้าชมเดือนนี้
13
ผู้เข้าชมรวม
จีนโบราณ นิยายจีนโบราณ พระเอกคลั่งรัก โรแมนติก รักจีนโบราณ นิยายจีน ทะลุมิติ แก้แค้น ตลก ย้อนเวลา จีนย้อนยุค แฟนตาซี ครอบครัว ความรัก ต่อสู้
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ณ หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งของแคว้นเหลียง ยามนี้แสงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า เหล่าชาวบ้านที่กลับจากทำไร่ไถนาก็ต่างถือเครื่องมือทำมาหากินของตน ทยอยเดินกลับบ้านของตนกันอย่างขวักไขว่
เสียงชาวบ้านที่เดินสวนทางกันไปมาต่างก็แวะทักทายพูดคุย
เนื่องด้วยทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รักสามัคคีอยู่กันมานานนับหลายสิบปีจึงไม่ค่อยมีปัญหาอันใดกับคนรุ่นเก่าๆ จะมีก็แต่ในรุ่นของเด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ๆ เท่านั้น
จากเสียงทักทายเสียงฝีเท้าที่ย่ำไปตามพื้นถนน ทุกสิ่งต่างก็ค่อยๆ เลือนลางหายไปเมื่อความมืดมิดของค่ำคืนมาเยือนอีกครั้ง
คืนนี้ท้องฟ้าโปร่ง ดวงจันทร์แสงนวลส่องสว่างสดใส สายลมเอื่อยชวนให้เย็นสบาย แต่กลับทำให้คนคู่หนึ่งหนาวเหน็บในใจยิ่งนัก
บ้านหลังหนึ่ง ในห้องนอนเล็ก มีแสงตะเกียงริบหรี่วูบไหวไปมาตามสายลม สองสามีภรรยากำลังกอดกันแน่นอยู่บนเตียงในห้องนอนของพวกเขาด้วยความรู้สึกอัดอั้น มีเสียงสะอื้นเบาๆ จากหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมอกที่เขาผู้เป็นสามีฟังแล้วรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ต้าเฟิงอวิ๋น ชายหนุ่มรูปงาม สูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างกำยำมีมัดกล้ามเนื้อดูองอาจแข็งแรง ต้าเฟิงอวิ๋น หากผู้ใดจะเข้าใจว่า เขานั้นเป็นบุตรชายของคนใหญ่คนโตพวกผู้ดีในเมืองหลวงก็คงจะไม่แปลกใจอันใดนัก
ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยบิดาทำไร่ ทำนา ผิวกายกรำแดด แต่รูปร่างหน้าตาลักษณะของเขากลับคล้ายผู้คงแก่เรียน คุณชายเจ้าสำอางผู้มีความองอาจและอ่อนน้อมน่านับถือในเวลาเดียวกัน
ต้าเฟิงอวิ๋น มักพูดจาอ่อนโยนนุ่มนวลกับผู้คนทั่วไปในหมู่บ้าน และมักช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ
วันหนึ่งเมื่ออาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาในอำเภอ เดินทางผ่านมาที่หมู่บ้านของเขาและรถม้าของอาจาร์ยใหญ่เกิดติดหล่มดินโคลนที่เละเทะจากฝนตกใหม่ในค่ำคืนก่อน ก็ได้ต้าเฟิงอวิ๋น วัยสิบสี่ปีเข้าไปช่วยเหลือ ผลักดันล้อรถม้าพร้อมกับบ่าวของอาจารย์ใหญ่จนหลุดจากหล่มโคลนตม
แม้อาจารย์จะกล่าวขอบคุณและมอบเงินทองไม่น้อยเพื่อตอบแทนให้กับความมีน้ำใจของเขา แต่ต้าเฟิงอวิ๋น กลับเลือกเอาตำราเรียนเพียงหนึ่งเล่มเท่านั้น ทำให้อาจาร์ยใหญ่ตู้เกิดความประทับใจในตัวเขาเป็นอย่างมาก
ผ่านไปราวสามวันก็มีหนังสือพร้อมเครื่องเขียนมาส่งมอบให้เขาชุดใหญ่พร้อมด้วยเทียบเชิญให้ไปศึกษา ณ สำนักศึกษาของอาจารย์ตู้
ครอบครัวของเขาต้าเฟิงอวิ๋น นั้นลำบากลำบนมาก ถึงแม้จะมีที่ทำกินอยู่บ้างแต่ครอบครัวเขาก็มีเพียงบิดาและเขาเท่านั้นที่สามารถใช้แรงกายทำงานได้ มารดาของเขาหลังจากล้มป่วยก็ไม่สามารถทำงานหนักใดๆ ได้อีก นางสามวันดีสี่วันไข้มีแต่ทรงและทรุดเท่านั้น
เมื่อได้รับเทียบเชิญให้ไปศึกษาที่สำนักศึกษาครานี้ เขาจึงคิดหนักเป็นอย่างมาก
เนื่องจากไม่อยากทิ้งบิดาให้ทำงานตามลำพัง เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มผู้ยากจนจะเป็นตัวอะไรได้หากไปอยู่ร่วมกับบรรดาลูกคุณหนู เหล่าคุณชายในสถานศึกษา
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าจะไปขอบคุณอาจารย์ใหญ่และปฏิเสธข้อเสนอนี้จะดีกว่า
ต้าเฟิงอวิ๋น ยืนอยู่หน้าสำนักศึกษามองป้ายที่อยู่เหนือบานประตูใหญ่ ตู้ฉือ (ฉือ แปลว่า เมตตา)
หลังจากยืนมองอยู่พักใหญ่เขาจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยเรียกคนข้างในให้เปิดประตู
หลังจากนั้นก็ส่งเทียบเชิญที่ได้รับมาให้กับคนเฝ้าประตูไป ผ่านไปสักครู่เขาจึงได้รับเชิญให้ไปยืนอยู่หน้าเรือนหลังหนึ่งที่ดูสะอาด ร่มเย็น รายล้อมไปด้วยต้นไผ่สีเขียวเย็นตา
“ เข้ามาสิ ”
เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นหลังบานประตูบานนั้น
ต้าเฟิงอวิ๋นผลักบานประตูเปิดออกอย่างช้าๆ เขาคุกเข่าลงทันทีที่ได้พบอาจารย์ใหญ่
ตู้ฉือ ที่ตั้งชื่อสำนักศึกษา ตามชื่อแซ่ของเขา ตู้ฉือนั่งอยู่บนพื้นห้องที่ยกสูงจากพื้นดินราวครึ่งเมตร มีชั้นหนังสือเรียงรายและโต๊ะหนึ่งตัวรายล้อมด้วยเบาะรองนั่ง
“ ข้าน้อยต้าเฟิงอวิ๋นขอรับ ”
น้ำเสียงของเขาเจือปนความขลาดกลัวอยู่
ตู้ฉือมองเด็กชายวัยสิบสี่ปีด้วยความเมตตา แล้วเอ่ยออกมา
“ ลุกขึ้นมานั่งก่อนสิ เจ้าจะมารายงานตัวเรื่องเข้าเรียนที่สถานศึกษาหรือ ”
ต้าเฟิงอวิ๋นแม้จะลุกขึ้นยืนแล้วแต่ก็ทำได้เพียงก้มหน้ามองปลายเท้าของตนเท่านั้น
ชาวบ้านธรรมดาหากพบหน้าขุนนางหรือคหบดีผู้ใหญ่โต และผู้มีตำแหน่งต่างๆ ให้พวกเขาก้มหน้าและเจียมตัวให้มากที่สุดอย่าทำให้ท่านพวกนี้ผิดใจเชียว มิเช่นนั้นพวกเขาจะต้องทำให้พบกับเหตุการณ์ที่ว่า อยู่มิสู้ตาย พวกเขาล้วนถูกสั่งสอนต่อๆ กันมาเช่นนั้น..
ไม่ใช่ว่าอาจารย์ใหญ่ตู้ฉือจะไม่ทราบถึงเรื่องราวของเด็กชายตรงหน้า เขาสืบค้นมาหมดแล้วถึงครอบครัว นิสัยใจคอ ความเป็นอยู่ต่างๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะส่งเทียบเชิญไปให้เด็กคนนี้รึ เขาไม่ได้โง่สักหน่อย ที่จะเอาใครก็ได้มาเล่าเรียนที่นี่ ไม่มีเงินก็แล้วไปเถอะ ใครสนกัน แต่ประพฤติตัวแย่แย่ต่างหากเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้
แต่เด็กชายตรงหน้าคุณสมบัติดีพอสำหรับที่เขาจะส่งเสริมอย่างแน่นอนในแทบจะทุกด้าน เรื่องอะไรเขาจะไม่ส่งเสริมกันล่ะ
“ ขะ คือ ว่า ข้าน้อยขอขอบคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ใหญ่ขอรับ แต่ว่าข้าน้อย …”
ต้าเฟิงอวิ๋นก้มหน้ากล่าวด้วยความเกรงใจ แต่เขายังไม่ทันได้กล่าวจบ
ตู้ฉือก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ ข้ามีวัวอยู่หนึ่งตัว ไม่รู้จะเลี้ยงดูมันยังไง พละกำลังมันล้นเหลือครั้นจะให้เดินไปเดินมาไม่ลงแรงอันใดมันก็ดูเบื่อหน่ายนัก เจ้าว่าถ้าเอามันไปทำนา ให้มันได้ออกแรงเสียบ้างจะดีหรือไม่ แต่ข้ายังหาที่นาที่ต้องการรับเลี้ยงมันไม่ได้เลยสิ เจ้าพอจะเอามันไปเลี้ยงได้หรือไม่ ”
ต้าเฟิงอวิ๋น เบิกตาโตอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งได้ยินกับหู อาจารย์ใหญ่จะมอบวัวให้กับเขาหรือ วัวที่มีค่าหลายตำลึง คนธรรมดากว่าจะซื้อหาได้ต้องเก็บสะสมเงินถึงห้าปีเชียวนะ
วัวที่จะไปทำนา ไถดินที่แตกระแหงแทนบิดาและเขาได้ ช่วยลดความเหนื่อยล้าและทำเวลาได้รวดเร็วมากมาย
ต้าเฟิงอวิ๋นยังขบคิด เจอหน้าครั้งแรกหากเขารับวัวไป จะดูเป็นคนเห็นแก่ได้หรือไม่ เขาจึงตอบกลับเสียงแผ่วเบา
“ เอ่อ.. บ้านข้าน้อยเลี้ยงได้ขอรับ ข้าเคยไปเลี้ยงวัว ให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านบ่อยๆ หากแต่จะเป็นการรบกวนท่านอาจารย์เกินไปหรือไม่ ”
ตู้ฉือได้ยินดังนั้นจึงแสร้งทำหน้าตาเบื่อหน่าย ส่งเสียงจิ๊จ๊ะ
“เฮ่อ ..เอามันไปออกแรงซะบ้างก็ดี ไปให้พ้นๆ หน้าข้า ไม่ต้องเอามาคืนล่ะ ข้าจะทำหนังสือยกให้เจ้าเสีย อ้อ ! ข้ามีห่อยาบำรุงร่างกายคาดว่าจะกินได้สักครึ่งปี เอาให้แม่เจ้าด้วย นางจะได้มีเรี่ยวแรงช่วยบิดาเจ้าเลี้ยงวัว ทีนี้เจ้าก็หมดปัญหาเรื่องมาเรียนที่สำนักศึกษาแล้วใช่หรือไม่ หากอยากตอบแทนข้าก็มาทำความสถานศึกษาเรือนไม้ไผ่ สามหลังนี้ช่วยดูแลจัดหนังสือ ตำรับตำรา ประดุจผู้ช่วยเหล่าอาจารย์ ทำได้หรือไม่ ”
ต้าเฟิงอวิ๋นหลังจากได้ฟังคำกล่าวทั้งหมดจบลงก็ตื่นตะลึงอีกครั้ง ทั้งหมดนี่อาจาร์ยใหญ่สำนักศึกษาตู้ฉือ ทำเพื่อเขาหรือ
ท่านอาจารย์มองเห็นสิ่งใดในต้วเขากัน ถึงได้เลือกสงเสริมเขาเช่นนี้ เขาปฎิญาณกับตนเองในใจ เขาต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้มากที่สุด เขาต้องไม่ทำให้ครอบครัวและอาจาร์ยผิดหวัง หากสิ่งใดที่เขาสามารถตอบแทนผู้มีพระคุณนี้ได้ เขาก็จะทำ
เมื่อคิดจบลง ต้าเฟิงอวิ๋นก็คุกเข่าลงโขกหัวคำนับตู้ฉือ พลางกล่างขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาด้วยความตื้นตันใจ
หลังสนทนาต่อกันได้พักใหญ่ ต้าเฟิงอวิ๋นก็ขอตัวกลับเนื่องจากต้องไปช่วยงานที่บ้าน และเตรียมตัวมาสถานศึกษาในวันพรุ่งนี้
“ ท่านพ่อเจ้าคะ ข้านำของว่างมาให้เจ้าค่ะ ข้าเข้าไปได้หรือไม่ ”
เสียงสดใสของดรุณีน้อยวัยสิบสองปีดังขึ้นหน้าห้อง ตู้หนิงอันบุตรสาวคนเดียวของตู้ฉือ นางอ่อนหวานนอบน้อม พูดจาดี มีน้ำใจแก่คนทั่วไปเช่นกัน นางเองก็เรียนในสำนักศึกษานี้ที่เปิดสอนด้านการเรือนต่างๆ และหนังสือหนังหาตำราทั่วไปที่สตรีควรเรียนรู้
“ เข้ามา ” ตู้ฉือตะโกนเสียงไม่ดังไม่เบาให้คนหน้าห้องได้ยิน
ต้าเฟิงอวิ๋นที่นั่งอยู่กับอาจารย์ใหญ่ตู้ฉือถึงกับตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆ เท่าฝ่ามือเขาใบงดงามอ่อนหวานมีรอยยิ้มจางๆ ตู้หนิงอันนางก็มองมายังเขาเช่นกัน นางยิ้มบางๆ ให้เขาเป็นการทักทาย
“ ไม่ทราบว่าท่านพ่อมีแขกลูกขออภัยเจ้าค่ะ”
ตู้อันหนิงแย้มรอยยิ้มยืนอยู่หน้าพื้นยกสูงในห้อง
ตู้ฉือแย้มรอยยิ้มและเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลกับบุตรสาว
“เจ้ามาพอดีเลยหนิงหนิง พ่อจะแนะนำให้รู้จักนักเรียนคนใหม่ของเรา นี่คือ ต้าเฟิงอวิ๋นที่พ่อเคยเล่าให้ฟัง ที่เขาช่วยพ่อจากรถติดหล่มคราวก่อน เขาจะมาศึกษาในสำนักของเราและช่วยทำงานที่นี่ เจ้าก็ให้พวกศิษย์พี่ของเจ้าช่วยดูและแนะนำเขาด้วยก็แล้วกันนะ ”
ตู้อันหนิงมองบิดาด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวตอบจากนั้นจึงพยักหน้าทักทายต้าเฟิงอวิ๋นหนึ่งคราพลางกล่าว
“ ได้เจ้าค่ะท่านพ่อ สวัสดีพี่เฟิงอวิ๋น ข้าเรียกท่านเช่นนี้ได้หรือไม่ "
ต้าเฟิงอวิ๋นบัดนี้ไม่รู้จะทำหน้าเช่นไรดี เด็กสาวตรงหน้างดงามและอ่อนโยนนุ่มนวลกับเขามาก แต่นางเป็นบุตรสาวของผู้มีพระคุณ เขาจะคิดอันใดกับนางได้ คำว่าชมชอบนั้น ช่างไกลเกินความฝันยิ่งนักกับคนต้อยต่ำยากจนเช่นเขา เขาได้แต่ก้มหน้าเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม
“ ได้ขอรับคุณหนู”
หลังจากวันนั้นที่เขาได้เข้ามาพูดคยกับท่านอาจารย์ใหญ่เรื่องการศึกษาเล่าเรียนของเขา ก็ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นดั่งสวรรค์ช่วยส่งเสริม
ที่บ้านของเขาหลังจากมีวัวไปช่วยงาน พ่อของเขาก็ไม่ต้องเหนื่อยล้ามากมายอีกต่อไป
หลังจากร้านรับซื้อของป่าทราบว่า พ่อของเขามีวัว เถ้าแก่ฝูก็เมตตามอบเกวียนเก่าๆ ที่ใช้กับวัวมาให้
พ่อของเขาเพียงบังคับให้วัวนั้นพรวนดิน ลากสิ่งของแล้วยังเอาเทียมเกวียนที่ได้รับมาจากเถ้าแก่ฝู รับจ้างขนย้ายสิ่งของหรือรับจากคนจากหมู่บ้านไปยังที่ต่างๆ ได้อีกด้วย
ทำให้ครอบครัวของเขาที่แทบจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ กินได้แค่น้ำข้าวต้มใสๆ บัดนี้ได้กินข้าวหุงขึ้นหม้อแบบคนอื่นได้แล้ว
ส่วนมารดาของเขาหลังจากได้ทานยาบำรุงที่อาจารย์ใหญ่มอบให้ ก็สุขภาพดีวันดีคืน เมื่อยาใกล้หมด บิดาก็สะสมเงินได้ครบพอดีที่จะไปซื้อหายาเพิ่มเติม
เนื่องจากรายได้ที่บิดาหามาเพิ่มเติมนอกจากทำไร่ มาจากเจ้าวัวตัวนี้ บิดามารดาของต้าเฟิงอวิ๋นก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนเจ้าของวัว ผักสดๆ จากสวนของพวกเขาและไข่ไก่มักถูกฝากมากับต้าเฟิงอวิ๋นเพื่อมอบให้อาจารย์ใหญ่ตู้ฉือและเหล่าคนที่สำนักศึกษาเสมอ
การศึกษาของต้าเฟิงอวิ๋นในสำนักศึกษาก็เป็นไปอย่างราบรื่น เขาเรียนดีและขยันจนอาจารย์หลายท่านต่างชื่นชม
งานการที่ได้รับมอบหมายไม่เคยบกพร่อง ยามว่างเว้นจากการกวาดถูเรือนเขาได้ไปจัดหนังสือและทำความสะอาดชั้นหนังสือ เขาก็ไม่ลืมที่จะขออนุญาตนำหนังสือเหล่านั้นมาอ่านศึกษาเพิ่มเติม
เหล่าคุณหนูในสถานศึกษาเมื่อเห็นคนเรียนดีหน้าตาหล่อเหลาก็ย่อมจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ เหล่าคุณชายเองก็เช่นกัน เมื่อพบกับคนเรียนดีอ่อนน้อมยอมช่วยเหลือพวกเขาในเรื่องการศึกษา
เหตุใดพวกเขาจะไม่เมตตาเล่า หากจะมีคนรังเกียจหรือหมั่นไส้ก็คงจะมีแต่คุณชายเจียงเฉียงผู้นั้น ที่เป็นอันธพานประจำสำนักศึกษา ที่ดูเหมือนว่าจะต้องตาสตรีคนเดียวกับต้าเฟิงอวิ๋น
“ พี่เฟิงอวิ๋น ช่วยข้าดูตัวตำราเล่มนี้ได้หรือไม่ ข้ากับสหายไม่เข้าใจเรื่องปรัชญาเช่นนี้ ท่านสอบได้ที่หนึ่ง น่าจะช่วยพวกเราได้ จริงหรือไม่ ”
ตู้หนิงอันแย้มรอยยิ้มเดินมาพร้อมตำราหนึ่งเล่มและสหายของนางอีกสองคน
สตรีทั้งสามยืนตาแป๋วจ้องรอคำตอบจากชายหนุ่ม ทำให้เขาที่ขัดเขินอยู่แล้วก็รู้สึกเขินอายเข้าไปใหญ่แทบจะเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่
ตู้หนิงอันนับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาสถานศึกษาแห่งนี้ ก็ได้นางคอยชี้แนะเรื่องต่างๆ ในการเข้าสังคมและอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทั้งยังคอยแนะนำข้อดีของเขาให้เหล่าสหายศึกษาในที่นี้รับรู้ คนพวกนั้นจึงไม่มองว่าเขาเป็นเพียงแค่ก้อนหินไร้ค่า ที่มาเกะกะลูกตาเท่านั้น
นางมักใจดีกับคนยากไร้เสมออย่างเด็กขอทานที่มาขอขนมหน้าสถานศึกษานั้น ลูกนกที่ตกจากต้นไม้ใหญ่ ที่นางมักจะเรียกเขาให้นำพวกมันกลับไปคืนให้แม่นกในรังเสมอ
นางใจดี อ่อนโยนอ่อนหวานเช่นนี้ จะไม่ให้เขารักเขาชอบนางได้อย่างไร เขาได้แต่ฝันเท่านั้นล่ะ ทำได้เท่านั้น ได้แต่แอบมองแผ่นหลังของนางจากที่ไกลๆ มองเพียงรองเท้าของนางเมื่อยามนางอยู่ใกล้ มันไกลเกินเอื้อมของเขาจริงๆ
“ คุณหนูทั้งสามเข้าใจแล้วใช่ไหมขอรับ ”
ต้าเฟิงอวิ๋นเอ่ยถามอย่างนอบน้อมเช่นเคยหลังจากอธิบายเนื้อหาในตำราจบลง
ดรุณน้อยวัยสิบหน้าปีทั้งสามนางตอบรับพร้อมกันพลางกล่าวชื่นชม
“ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ พี่เฟิงอวิ๋นนี่เก่งจริงๆ หากเรียนจบแล้วไปทำงานเป็นหลงจู๊ที่โรงเตี๋ยมบิดาข้าได้หรือไม่ ” เฉินจูกล่าว
“ นี่เจ้าอย่าพูดเอาแต่ได้สิจูเอ๋อ เจ้ามีกิจการคนเดียวหรืออย่างไร พี่เฟิงอวิ๋นเก่งกาจงานบัญชีต้องไปทำงานที่ร้านแลกเงินของบิดาข้าสิถึงจะถูก”
ซางเมี่ยวถลึงตาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสนงอนเหมือนโดนแย่งขนม หลังจากฟังสหายทั้งสองกล่าวจบลง
ตู้หนิงอันผู้ซุกซนก็แย้มยิ้มแววตาเป็นประกายนางเอ่ยด้วยเสียงสดใสปนทะเล้นอย่างที่เคยเป็นบ่อยๆ
“ ฮ่าๆๆ พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรพี่เฟิงอวิ๋นจะไปทำงานกับบิดาของพวกเจ้า สถานที่ทำงานที่พี่เฟิงอวิ๋นเต็มใจจะอยู่ ต้องเป็นที่ที่เขาอยู่แล้วสบายใจ ยิ้มทุกครั้งที่ได้มา และมีคนใจดีอยู่ข้างๆ อย่างสถานศึกษาตู้ฉือไง ฮ่าๆ”
หลังจากตู้อันหนิงกล่าวจบ สหายทั้งสองก็ไร้ข้อโต้แย้งเรื่องคุณสมบัติของสถานศึกษา แต่ใครจะไปรู้เล่า ตู้หนิงอันไม่ได้อวดอ้างสรรพคุณสถานที่เลยสักนิด
แต่เป็นตัวของนางต่างหากที่นางอยากอวดอ้าง อยากให้เขารู้ว่านางก็คิดใจตรงกับเขา เขาคิดว่านางจะไม่รู้เชียวหรือว่า ชายหนุ่มผู้แสนดี ที่คอยอยู่ใกล้ คอยช่วยเหลือนาง นั้นชอบนางเข้าแล้วหาใช่แบบพี่ชายน้องสาว นางมองรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา เขาที่จิตใจดีและเจียมตนนั่น มานั่งอยู่ในใจของนางนานแล้ว
“ พี่เฟิงอวิ๋นอีกสามวันท่านพ่อจะจัดงานปักปิ่นให้ข้าท่านก็มาด้วยเล่า อย่าลืมของขวัญนะ ”
นางตะเบงเสียงใสๆ ใส่เขาก่อนจะจับมือสหายแล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไป
ฝากติดตามนิยายซีรีย์ชุดนี้ด้วยนะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ 淑霄 ซูเซียว ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ 淑霄 ซูเซียว
ความคิดเห็น