ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    That Wolf...it's me {fic exo}

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 6 :: ผู้รอดชีวิตกับศพที่ 4 {100%}

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 56


    CHAPTER 6 :: ผู้รอดชีวิตกับศพที่ 4

     
    "1989.03.09"

    [Baekhyun]

                    จงแดและจุนมยอนตกใจเมื่อเห็นพวกเรา แต่พอตั้งสติได้จงแดก็ยิ้มกว้าง เป็นยิ้มที่ดูบูดเบี้ยวแต่ผมก็รู้ว่าเขาดีใจ จุนมยอนเอามือปิดปาก เหมือนเขาเองก็ดีใจมากที่เจอพวกเรา

     

                    “ฉันดีใจที่เรา...”

                    “รีบวิ่งเถอะ! ไปทางนู้น”

     

                          จงแดพูดขึ้น เขาอ้าแขนคล้ายจะรอการกอดต้อนรับ แต่จุนมยอนกลับพูดขัดขึ้น

     

                    เราวิ่งเท่าที่แรงมีมาที่ลำธาร น้ำเริ่มจะนิ่ง และผมก็ไม่รู้ว่ามันจะลึกแค่ไหน เราหยุดกันที่ริมลำธารก่อนจะมองดูน้ำไหลเอื่อยๆ ผมกำลังคิดว่าจะข้ามไปดีหรือเปล่า...

     

                    “ถ้าเราข้ามไปก็เป็นไปได้ว่าเราจะรอด...จากหมานั่น”
     

                    “แล้วจะข้ามไปยังไง? ฉันว่ามันน่าจะลึกนะ”
     

                    จุนมยอนกับชานยอลพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหอบ เราไม่มีใครพูดอะไรทั้งนั้น เสียวหอนเริ่มเงียบไป ไม่หรอก เรียกว่าหยุดไปจะดีกว่า

     

                    “เราลองลงไปวัดระดับน้ำกันเถอะ ชานยอล นายสูงที่สุดนะ”

     

                    “ฉันว่ายน้ำไม่เป็น”

     

                    จงแดทำหน้าไม่พอใจ เขาก้มลงมองอะไรบางอย่างบนพื้น และยืนหันไปรอบๆตัวตลอดเวลา เพราะระแวงว่ามันอาจจะโผล่มาทางใดทางหนึ่ง

     

                    “เอานี่”
     

                    จงแดยื่นไม้ท่อนยาวท่อนหนึ่งขึ้นมา มันยาวพอสมควรที่จะยื่นไปให้ถึงกลางลำธารได้

     

                    “แล้วใครจะลงไป?”
     

                    เรามองหน้ากัน ไม่มีใครอยากเสี่ยง ไม่มีใครเสนอตัว..แม้แต่ผมเอง
     

                    “ใครจะลงไป?”

                    จงแดถามย้ำอีกรอบ แต่ทุกคนก็ยังเงียบ

     

                    เสียงหอนดังขึ้นอีกรอบ แต่ครั้งนี้มันใกล้กว่าเดิม แทบจะเรียกว่ามันสามารถได้กลิ่นพวกเราเลยด้วยซ้ำ



     

                    “ฉันลงไปเอง...”

     

                    จุนมยอนก้าวออกมาข้างหน้า เขาคว้าไม้ไปจากจงแด มองน้ำที่มืดมิดแล้วค่อยๆก้าวเท้าลงไป น้ำมันไม่น่าจะลึกเท่าไหร่ มันประมาณหน้าอกเขา แต่ด้วยน้ำที่ไหลตลอดเวลาถึงแม้กระแสน้ำจะไหลไม่แรง แต่ก็ทำให้เขาเกือบเสียหลักหลายครั้ง

     

                    “นายไหวมั้ย?”


     

                    จงแดตะโกนถาม จุนมยอนยกมือขึ้นมาทำสัญลักษณ์ว่าเขาโอเค เมื่อไปถึงกลางลำธารจุนมยอนก็ยื่นไม้กลับมาทางเรา

     

                    “มาสิ”


     

                    พวกเรามองหน้ากัน ผมดันหลังคยองซูให้เดินไปก่อน เขาเดินลงไปอย่างว่าง่ายแล้วเกาะไม้ที่จุนมยอนยื่นให้ จากนั้นจงแดก็เดินตามลงไป ตามด้วยผมและชานยอลเป็นคนสุดท้าย ทันทีที่เท้าแตะน้ำผมก็สะดุ้ง น้ำที่นี่เย็นเฉียบ...


     

                    “แบคฮยอนนี่ รีบเดินได้มั้ย?”


     

                    ชานยอลดุนหลังผมให้เดินต่อ คยองซูเดินไปถึงฝั่งคนแรก เขานั่งรอบนฝั่งจากนั้นจงแดก็ตามขึ้นไป อีกไม่กี่ก้าวผมก็จะถึงแล้ว




     

                    กรรรรรรซ์ซ์ซ์



     

                    เสียงที่กระชากสติทุกคน ชานยอลคว้าไหล่ผมทันที ส่วนจุนมยอนนั้นโยนไม้ที่พวกเราให้พวกเราเกาะทิ้ง เขารีบเดินลุยน้ำเพื่อเข้าฝั่งโดยไม่สนใคร ส่วนชานยอลนั้นยังคงเกาะผมไม่ปล่อย คยองซูผวา ทุกคนนิ่ง


     

                    “แบคฮยอนรีบขึ้นมา ขึ้นมาเร็วๆ”


     

                    จงแดเรียกผม สายตาของเขาจ้องไปที่ฝั่งตรงข้าม ผมหันกลับไปมองบ้าง...






     

                    ดวงตาสีทองจ้องมาที่ผมเขม็ง...



     

                    “ชานยอลเดินเร็วๆ!






     

                    ผมกระตุกแขนชานยอลให้รีบก้าวทวนกระแสน้ำ เขาพยายามอย่างยากเย็น ผมใช้แรงที่มีดันกันเพื่อให้เขาขึ้นฝั่งได้




     

                    กรรรรรรซ์ซ์ซ์



     

                    เสียงขู่ของมันกระตุ้นให้จุนมยอนกับจงแดรีบเข้ามาช่วยกันดึงผมและชานยอลขึ้นจากฝั่ง


     

                    “ไป!


     

                         จงแดจะโกนเรียกสติพวกเราเมื่อผมขึ้นถึงฝั่งแล้ว รวมถึงคยองซูด้วย เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเท้าวิ่งเข้าไปในป่าตามจงแดและชานยอลไป



     

                    ผมหันไปคว้ามือจุนมยอนที่ยังไม่ยอมออกวิ่ง...เขายังคงมองไอ้หมานั่น...ราวกับถูกดึงดูด

     

                    “จุนมยอน!! วิ่ง!!

     

                          จุนมยอนสะดุ้ง เขาก้าวเท้าวิ่งตามผมมา ตอนที่ผมหันไปมองอีกที...จุนมยอนก็กำลังช็อก


     

                    ....ช็อกสุดขีด




     

                    เขาทรุดเข่าลงนั่งกับพื้น ตาเบิกโพลงด้วยความกลัว  ปากอ้าค้าง ผมรับวิ่งกลับไปพยุงเขา ไอ้หมานั่นเหมือนกับจ้องเราอยู่ โดยที่ทันไม่ได้ทำอะไร มันมองเรา...เหมือนที่เราเคยมองมดเดินผ่าน มองเหมือนสักวันก็ถูกเหยียบจมดินอยู่ดี!


     

                    ผมลากจุนมยอนมาจนถึงจงแด คยองซูและชานยอลที่กำลังนั่งพักกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไอ้หมานั่นไม่ได้ข้ามน้ำตามเรามา...หรือถ้าข้ามมามันคงตามมาหลังจากที่เราลับสายตาไปแล้ว


     

                    “ทำไมถึงช้าล่ะ?”


     

                    จงแดขมวดคิ้วไม่พอใจ เขาไม่ได้มองผม แต่เขามองจุนมยอน

     

                    “เขาช็อก”
     

                    “เป็นอะไรถึงได้ช็อก กลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”

     

                    ชานยอลถามขึ้นด้วยเสียงตกใจ เขารีบเข้ามาดูจุนมยอนที่ตาค้าง เขายังอยู่ในภาวะ หลุด


     

                          “จุนมยอนได้ยินฉันมั้ย?”

                    จุนมยอนกลืนน้ำลาย ผมคิดว่าเขายังคงไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น


     

                    “ปล่อยเขาไว้อย่างนั้นแหละ”


     

                    จงแดพูดมาตามเสียงลม มันเป็นเสียงแผ่วเบาแต่หนักแน่นพอที่จะทำให้ชานยอลเชื่อและถอบออกจากจุนมยอนได้



     

                    “เราควรทำยังไงต่อ? นี่มันต้องอีกกี่วันที่เราจะหนีไปเรื่อยๆอย่างนี้”



     

                    คยองซูถามอย่างเหลืออด เขามองจงแดที่ดูฉลาดที่สุด(ในตอนนี้)แต่จงแดส่ายหน้า เขาเบะปากแล้วถอนหายใจ


     

                    “ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ”

                    เรานั่งเงียบกันกลางแสงจันทร์และเสียงนก ฟ้าเริ่มสว่างลงเรื่อยๆ นกเริ่มออกจากรัง มันทำให้ผมนึกถึงไข่นกอีกครั้ง แต่พอมองคยองซูแล้วความคิดนั้นก็หายไป



     

                    ผมหันไปมองทุกคน จุนมยอนกับผมเป็นเพียง 2 คนที่ยังไม่หลับ จุนมยอนนั่งกอดเข่าอยู่ข้างจงแด สายตาที่กังวลขงอเขาจ้องที่พื้นดิน เขาค่อยๆบรรจงใช้นิ้วเขี้ยพื้น สักพักเขาก็ใช้เท้าเขี่ยดินให้เรียบเพื่อลบ จากนั้นก็เขียนพื้นอีกครั้ง...ผมพยายามมองให้ออกว่าเขาเขียนอะไร

     

                    “อยากรู้ใช่มั้ย?”



     

                    ผมสะดุ้ง นี่ผมมีพิรุธขนาดนั้นเลยเหรอ? ...แย่จัง

     

                    “ฉันน่ะ...พอจะเดาออกตั้งแต่ที่เยจินตายแล้ว ว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาแน่ จนวันที่มาที่นี่...วันที่เราได้กลิ่นแปลกๆ”

     

                    “นายหมายความว่าไง?”

     

                    จุนมยอนเงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาแดงก่ำที่จ้องเข้ามาในสมองผม...หัวใจผมก็ตกไปอยู่ตาตุ่มชั่วขณะ

     

                    “ฉันพูดไม่ได้ มันจะฆ่าฉัน”


     

                    “ใคร?”

     

                    “ไอ้หมานั่น....มันไม่ใช่หมาธรรมดา
     

                    จุนมยอนหลบตาผม เขาพูดเสียงแผ่วคล้ายกับกลัวว่าผมจะได้ยินมัน ผมไม่ชอบเลยที่มีคนทิ้งอะไรให้ผมงงอย่างนี้!




     

                    “เรื่องนั้นฉันรู้...รู้มาสักพักแล้ว”

                    “ก็ดี...”





     

                    จุนมยอนยิ้มแบบพิกลๆกับผม ก่อนที่จะเริ่มหลับตาเอาหน้าซุกเข่า แต่เขายังคงพูดไม่หยุด


     

                    “ฉันอยากจะพูดเรื่องนี้กับทุกคน...แต่ฉันไว้ใจใครไม่ได้เลย”


     

                    “แสดงว่านายไว้ใจฉัน?”

                    จุนมยอนหัวเราะเสียงแหลมเบาๆ
     

                    “เปล่า...แต่ฉันคิดว่านายน่าจะรู้มันไว้”

                    “ฉัน...แค่ฉันเหรอ?”
     

                    ทำไมต้องเป็นผม? จุนมยอนไว้ใจที่จะเล่าให้ผมฟัง

     

                    “นายคงไม่ได้เป็นมัน แน่อยู่แล้วก็เราหนีมาด้วยกันนี่”

                    ผมเงียบ จุนมยอนก็เงียบด้วย ฟ้าเริ่มสว่างแดดอ่อนๆส่องมาแล้ว ผมมองไปรอบๆ ตรงนี้เป็นป่าโล่ง แทบไม่มีต้นหญ้าสูงเลย

     

                    “นายจะนอนก็ได้นะ”

                    คยองซูนั่งชันเข่าอยู่ข้างหลังผม เขายิ้มแหยๆให้ผมก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินไปยืนมองดวงอาทิตย์ที่พึ่งขึ้นอยู่ข้างชานยอลที่ยังนอนหลับอยู่ ผมล้มตัวลงบนพื้นโดยที่ไม่รังเกียจอีกต่อไป เพราะตอนนี้บนกองอาจมผมก็นอนได้โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดใด

                   

     

    ▀�▀�▀

     

     

                          “นายไปอยู่ไหนมา? แล้วหนีมาได้ยังไงคนเดียว? บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า? โธ่...”

     

                    ผมลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงโวยวายที่ดังแว่วมาไม่ไกล ผมกระพริบตาสองสามครั้งเพื่อปรับสายตาแล้วคว้าแว่นมาสวม ก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง
     

                    “นายทำแบคฮยอนนี่ตื่นนะ!

                          “หุบปากบูดๆของนายซะเถอะด๊อบบี้”

                    “ไอ้บ้าจงแด!

     

                          ผมพยายามปรับสายตาให้เข้ากับแสงอาทิตย์ ก่อนจะมองไปที่ต้นเสียง ชานยอลยืนหันหลังให้ผม จงแดยืนอยู่ข้างชานยอล ส่วนอีกคนยืนอยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ ผมรู้ว่าเขาคือใคร เพราะชานยอลบังเขาไว้มิดเลย


     

                    ผมยันตัวขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะก้าวเข้าไปหาทั้งสามช้าๆตามแรงที่มีอยู่



     

                    “แบคฮยอนนี่ มาดูสิว่าใครมา...”





     

                    ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูระหว่างไหล่ของชานยอลกับจงแด คนที่ยืนคุยกับทั้งคู่คือผู้มาใหม่...ไม่ใช่ทั้งจื่อเทา เลย์ จงอิน ลู่หานหรือคริส









     

                    แต่เป็น...มินซอก

     




    -----------------------------------------

     

    “นายกลับไปที่นั่นมาเหรอ?”

     

    มินซอกพยักหน้า ชานยอลมองกระเป๋าที่วางตรงหน้าเขา ข้างในมีเสบียงหลายชนิด เรียกได้ว่าพวกเรารอแค่คำว่า พวกนายกินได้เลย  จากปากของมินซอกเท่านั้น



     

    “แล้วทำไมนายไม่อยู่ที่นั่นล่ะ?”

     

    จงแดถามมินซอกที่มองไปรอบๆตัวตลอดเวลา เขาดูเป็นกังวลและไม่อยากจะพูดกับพวกเราสักเท่าไหร่

     

    “ฉันกลัว...ฉันคิดว่ามันรู้ว่าฉันกลับไปที่นั่น”


     

    “แล้วมันจะรู้ได้ยังไง?”

     

                    มินซอกเงียบ เขาเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าใส่อาหารกระป๋องและขนมกับน้ำทั้งหลายมาวางบนตัก


     

                    “ฉันจะแบ่งให้พวกนาย แต่เราต้องประหยัดมันไว้”

                    “ได้สิ”
     

                    พวกเรารีบรับปากกันแทบไม่ทัน จงแดแบ่งขนมมาให้พวกเรา หลังจากที่กินหมด ผมก็รู้สึกดีขึ้นเหมือนมีแรงขึ้นเยอะเลย

     

                    พวกเรานั่งเงียบกันอีกรอบ มินซอกเดินไปนั่งเงียบๆอยู่คนเดียว ผมคิดว่าเวลาที่น่ากลัวอย่างนี้ เราน่าจะพูดคุยกันให้มากกว่านี้

     

                    “ไง” ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆมินซอก

                    “ไง”

     

                    เขายิ้มบูดๆให้ผม ก่อนจะก้มลงไปมองพื้นเหมือนเดิม

     

                    “ไม่เอาน่า อย่าเศร้าสิ”

                 
                         -----60%------

     

                    “แต่ถ้าบอกให้ฉันยิ้มฉันคงทำไม่ได้ ฉันคิดว่าคนอื่นๆก็ด้วย”


     

                    “ขอโทษ...”

     

                    ผมนั่งลงข้างๆเขา ดวงตาของเขาหรี่เล็กแถมยังบวมแฉะ เขากระพริบตาถี่และพยายามไม่ให้ตาถูกแสง

     

                    “นายเป็นอะไร...ตานาย..”



     

                    มินซอกหลบหน้าผมเขาหันไปอีกด้านหนึ่ง


     

                    “เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร”


     

                    “แต่ตานายบวมนะ ดูเหมือนนายจะ...”



     

                    ผมหยุดชะงักเพราะมินซอกยกมือขึ้นมาห้ามไว้ เขายกมืออีกข้างขึ้นมาปิดตา


     

                    “ฉันก็แค่อดนอน ตาเลยบวมอีกอย่างคอนแทคเลนส์ฉันมันหลุด”


     

                    “อ๋อ เหรอ....”



     

                    ผมขยับตัวออกห่างจากมินซอกทันที!!! ก็เมื่อกี้....ผมเห็นเขาแอบยิ้ม

     

    ▀�▀�▀

     

                    ผมใช้เท้าเขี่ยรอยเท้าบนพื้นมาเรื่อยๆตามทางที่เดิน ตอนนี้เรากำลังเดินอ้อมไปอีกทางที่มินซอกมา..ทั้งๆที่ผมเองก็พยายามเกลี้ยกล่อมทุกคนแล้วแต่ทุกคนกลับเห็นด้วย


     

                    แล้วผมควรทำยังไง ถ้าไม่ใช่รอยยิ้มแปลกๆที่ผมเห็นจากมินซอกเมื่อกี้...ผมคงจะไว้ใจเขามากกว่านี้

     

                    “แบคฮยอน นายเงียบไปนะ”

                    “หะ...หืม? อ๋อ ฉันกะว่าจะรักษาพลังงานไง แบบไม่อยากเผาผลาญแคลอรี แฮ่ๆๆ”


     

                    ชานยอลหยุดแล้วเดินมาถามผม เขาเป็นคนสะพายกระเป๋าเสบียงทำให้ทุกคนพยายามเดินให้ใกล้เขามากที่สุด ทันทีที่ชานยอลหยุดทุกคนก็หยุด ผมตอบแล้วยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะผลักหลังเขาเบาๆให้เขาเดินต่อ

     

                    “เออ...มินซอกนายจำทางได้ยังไง นี่มันไกลแล้วก็ซับซ้อนมากเลยนะ”

     

                    จงแดพูดขึ้นทำลายความเงียบ ระหว่างที่พวกเราเดินมาถึงป่าทึบอีกครั้ง

     

                    “นายเห็นนั่นมั้ย?”

     

                    มินซอกชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง พวกเรามองตาม

     

                    “นายเห็นที่เปลือกไม้นั่นมั้ย?”

                    “มันมีอะไรอยู่เหรอ?”


     

                    ชานยอลเดินไปใกล้ต้นไม้นั่น เขาใช้มือลูบเปลือกไม้เบาๆก่อนจะร้องอ๋อออกมา

     

                    “อ้าาาาา นี่ไง มันมีรอยอยู่บนเปลือกไม้”

     

                    ผมขยับแว่นอีกรอบแล้วพยายามมองไปที่ต้นไม้นั่น มันมีรอยขีดอยู่ 3 ขีด ต้นถัดไปก็ด้วย นั่นก็ด้วย นู่นก็ด้วย มันเป็นอย่างนี้แทบจะตลอดทาง


     

                    ผมหันไปมองมินซอก เขาตีหน้านิ่งและไม่ได้พูดอะไรออกมา...เขาเป็นหนึ่งในคนที่ผมเคยไว้ใจ อย่างจงอินและจื่อเทา


     

                    ผมพยายามผูกเรื่องทั้งหมดในสมองอีกครั้ง แต่ไม่ว่าผมจะลองคิดดูสักเท่าไหร่....มินซอกก็ยังไม่เคยมีพิรุธเลยสักครั้ง มันทำให้ผมผูกเรื่องไม่ติดสักที


     

                    “แบคฮยอน! คิดอะไรอยู่”

     

                    จุนมยอนตบบ่าผม เขายิ้มให้ผมอย่างจริงจังก่อนจะยื่นเม็ดกลมๆสีแดงสดใสมาให้ผม

     

                    “ลูกอมน่ะ ฉันขโมยมาจากกระเป๋าด้านข้าง อย่าบอกใครนะ”


     

                    จุนมยอนทำเป็นกระซิบแล้วหัวเราะชอบใจ แต่จงแดก็ได้ยินมันอยู่ดี เขาหันมามองด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะยกนิ้วขึ้นจรดปากเพื่อบอกให้พวกเราเงียบ

     

                    ผมรับลูกอมมาใส่ปากไว้ มันช่วยเรื่องเรียกน้ำลายได้ดี ทำให้ผมเกือบลืมไปแล้วว่าคอแห้งและหิวแค่ไหน


     

                    “ว่าไง ตกลงคิดเรื่องอะไรอยู่?”

     

                    “นี่นายติดสินบนใช่มั้ย? เอาลูกอมมาให้ฉันแล้วหลอกถามนี่หน่า”

     

                    จุนมยอนหัวเราะเบาๆ

     

                    “ก็...คิดเรื่องบางเรื่องน่ะ เกี่ยวกับสิ่งที่นายก็รู้ดี

     

                    จุนมยอนเงียบลงทันที เขาดึงชายเสื้อผมให้ผมหยุดเดิน ไม่มีใครสังเกตเรา ทุกคนเดินต่อไปโดยไม่รู้ว่าเราหยุด



     

                    “มีอะไร?”

                    “มินซอกยิ้ม...ฉันเห็นเขายิ้ม”




     

                    จุนมยอนขมวดคิ้ว

     

                    “เขายิ้มแล้วไง? ใครก็ยิ้มได้ทั้งนั้น”

                    จุนมยอนพูดแล้วก็ฉีกยิ้มใส่ผม แล้วกลับมาทำหน้าปกติ เขาจงใจล้อเลียนผม!!!

     

                    “ก็ฉันถามเขาว่าทำไมตาเขาถึงบวมแดงขนาดนั้น เขาบอกว่าเขานอนไม่พอแถมคอนแทคเลนส์หลุด นายคิดว่าเขาจะยิ้มทำไม?!!!!

     

                    จุนมยอนถอนหายใจ เขามองผมอย่างเหลืออด

     

                    “มันเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะยิ้มเวลาทำเรื่องเปิ่นๆลงไปแล้วมีคนรู้ นายก็ขี้ระแวงไปแล้วนะ”

                    “แต่เขาหลบตาด้วยตอนพูด...นายคิดว่าไง?”
     

                    จุนมยอนจ้องหน้าผมด้วยสายตาที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก

     

                    “มินซอกไม่ใช่...ไม่ใช่เขาหรอกที่เป็น”

     

                    จุนมยอนหันกลับไปแล้วเริ่มก้าวต่อ ผมโกรธที่ถูกว่า มุกครั้งที่ผมพูดมักไม่มีคนเชื่อผม ทำไมล่ะ? แล้วทำไมจงแดที่ปั้นน้ำเป็นตัวได้เก่งกว่าผมถึงได้มีคนเชื่อ?

     

                    “ทำเหมือนนายรู้ว่าใครเป็นมัน....นายรู้ใช่มั้ย?”


     

                    จุนมยอนหยุดชะงัก แล้วค่อยๆหันหน้ามาแค่ครึ่งหน้า ปากของเขาขยับช้าๆ


     

                    “เรื่องบางเรื่อง...ก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ ......ถ้ามันจะทำให้เรารอด”


     

                    ผมยืนนิ่งทบทวนคำพูดของจุนมยอน ผมจำมันได้แม่นถึงจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ ผมเร่งฝีเท้าตามทุกคน เราเดินมาจนถึงลำธารอีกครั้ง แต่คราวนี้ห่างจากที่ที่เราข้ามมาพอสมควร มันเป็นที่ที่มินซอกข้ามมาครั้งแรก


     

                    “นี่เราจะกลับไปที่บ้านพักเหรอ?”

     

                    คยองซูหันไปถามมินซอกที่เป็นคนนำทางและคิดแผนทั้งหมด

     

                    “ใช่ ฉันคิดว่าไอ้หมานั่นน่าจะตามพวกเรามาฝั่งนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราเลยจะตลบหลังมันด้วยการกลับมาที่บ้านพัก แล้วหาทางหนีกันอีกทีดีกว่าจะหลงเข้าไปในป่าเรื่อยๆ”

     

                    ชานยอลวางกระเป๋าเสบียงลงบนพื้นข้างๆตัว เขาทุบแขนตัวเองเบาๆก่อนจะลงไปนั่งที่พื้น คยองซูนั่งลงบ้าง ส่วนจงแดกำลังลองก้าวเท้าลงไปในน้ำ เขาพยักหน้าเป็นเชิงว่าน้ำไม่ลึกมาก

     

                    “ใกล้มืดแล้ว รีบๆข้ามเถอะ เราจะได้ถึงบ้านพักก่อนมืด”

     

                    มินซอกพูดแล้วก้าวลงไปทันที น้ำตรงนี้ลึกแค่เอวของมินซอก ส่วนคนอื่นๆก็ลึกตามความสูงแต่รู้สึกว่าจุนมยอนนี่น้ำจะอยู่ใต้ราวนมเขาเลยนะ  เราเดินต่อทันทีที่ข้ามมาถึงฝั่ง มินซอกยังคงเป็นคนเดินนำ ตอนนี้ผมเริ่มกดดันอีกแล้ว


     

                    จู่ๆมินซอกก็หยุด จงแดจิ๊ปากด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินไปหามินซอก แล้วเขาก็ร้องเสียงหลงออกมาดังลั่น


     

                    “อะ.....อ๊าาาาากก คะ...คระ...”

     

                    พวกเราที่เหลือได้แต่ยืนงง ชานยอลเดินไปอีกคน ปฏิกิริยาของเขาเป็นแบบจงแดอีกคน จู่ๆคยองซูก็กรีดร้องแล้วถอยหลังมาหาผม เขาเกาะแขนผมไว้ส่วนจุนมยอนยังคงยืนงงเหมือนกับผม ใจของผมมันร้อนรุ่มด้วยความหวาดกลัวว่า....สิ่งที่พวกเขาเห็น.....

     

                    .....มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมคิด

     

                    อะไรกันที่พวกเขาเห็น?

     

                    “เละ...เละไปหมดเลย” มินซอกพูดเสียงสั่น แต่หน้าของเขายังคงเรียบเฉย




     

                    “อะ...อะไร?”











     

                    จุนมยอนถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่ไม่มีใครตอบ มินซอกก้าวไปด้านข้าง จงแดก็เช่นกัน แล้วผมก็เห็นอย่างที่พวกเขาเห็น....














     

                    ...ศพอีกราย

























     

                    คนที่หายไปตั้งแต่วันแรก....


























     

                    .....ครูแทยอน

     

     [Baekhyun] 

     

      

     




    หวัดดีที่รักทุกคน
    T////T ขอโทษที่หายไปนานนะคือแบบไม่ว่างเลยจริงๆ

    ทั้งเรียนทั้งติว เสาร์-อาทิตย์ก็เรียนพิเศษ ฮือออ

    อันที่จริงเราไม่ได้อยากอัพเป็นเปอร์เซ็นต์เลยจริงๆ

    เพราะเราเองก็ไม่ค่อยชอบพวกที่อัพเป็นเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว มันน่าหมั่นไส้ 5555555555555

    {เพื่อกันช่วงทอล์คยาวเกินไปเจอกันตอนหน้า จะเป็นช่วงสปอยล์ตอนหน้า+บอกเวลาอัพอย่าลืมอ่านนะ}

     

    รักครับทุกคน 5555

    Ha .ha
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×