ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    That Wolf...it's me {fic exo}

    ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER 5 :: เราจะปลอดภัยไปด้วยกัน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.43K
      22
      13 มิ.ย. 56

    CHAPTER 5 :: เราจะปลอดภัยไปด้วยกัน





     

    [Baekhyun]
     

                    “พอที! นายกำลังไม่มีสตินะ!
     

                    ผมตะคอกออกไปอีกครั้งด้วยความกลัวในใจ คยองซูหลุบตาลงแล้วใช้นิ้วเขี่ยทราย

     

                    “ที่พูดอย่างนี้...นายรู้เหรอว่าใครคือหมาป่า?”

     

                    ชานยอลหน้าซีด เขามองคยองซูด้วยสีหน้าที่ผมก็อธิบายไม่ถูก ดูเหมือนเขาจะกลัวกับคำพูดแปลกๆของคยองซู

     

                    คยองซูเงียบ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆให้ชานยอล...แลดูเป็นรอยยิ้มที่....






     

                    เสแสร้ง....


     

                    ตัวผมชาวูบ ผมรีบสะบัดหัวไล่ความคิดที่เป็นไปไม่ได้นั้นทันที


     

                    “เอาล่ะ ฉันคิดว่าถ้าเดินตามหาดต่อไปเรื่อยๆอาจจะไม่มีถนนหรือบ้านคนก็ได้ เพราะงั้นเราน่าจะเดินขึ้นฝั่ง พวกนายคิดว่าไง?”

     

                    “แต่มันมืดนะ”ชานยอลพูด

     

                    “นี่มันเช้าแล้วนะ”

     

                    ผมขมวดคิ้วกับคำพูดของชานยอล ใช่! มันเช้าแล้ว แล้วเขาจะพูดอย่างนั้นทำไม?

     

                    “ฉันหมายถึง...ข้างในป่านั่น บนฝั่งนั่น....มันมืด”

     

                    ผมมองตามที่ชานยอลมอง ต้นไม้ที่อยู่บนฝั่งเป็นต้นสูงลิบ ทำให้บดบังแดดที่ควรจะส่องลงมาพื้นข้างล่าง มันก็มืดอย่างที่ชานยอลว่านั่นแหละ

     

     

                    “แต่ถ้าไม่ลองเดินขึ้นไปดู เราก็คงไม่เจอถนนแน่”

     

                    ผมพูดขึ้นมาลอยๆ พลางมองขึ้นไปบนฝั่งที่มีแต่ต้นไม้และโขดหินกับหญ้าสูงๆ

     

                    “คยองซู เร็วๆเข้า”


     

                    คยองซูยิ้มมุมปาก เขาส่ายหน้าเบาๆแล้วก้มหน้าลงใช้นิ้วมือเขี่ยทราย



     

                    “ไปเถอะ ฉันจะรออยู่ตรงนี้แหละ”



     

                    “เหลวไหลมากไปแล้วนะคยองซู!




     

                    ผมคว้าข้อมือเขาแล้วพยายามดึงขึ้น เขาขืนตัวก่อนจะตะโกนออกมา





     

                    “ก็บอกว่าปล่อยฉันไว้คนเดียวไง! ไม่เข้าใจเหรอไง!


     

                    คยองซูใช้มือปาดน้ำตาอีกครั้ง ชานยอลเบะปากเหมือนจะร้องไห้ตามอีกคน ผมมองคยองซูที่ก้มลงพื้นอย่างเดียว เขาเป็นคนที่เอาแต่ใจ แต่แทมินจะกล่อมเขาได้เสมอ...


     

                    ....แต่ตอนนี้ไม่มีแทมินแล้ว


     

                    “ไปเถอะนะ....นะ คยองซู”


     

                    “...”


     

                    “ถ้าฉันต้องไม่มีนายไปอีกคน...นายคิดว่าฉันจะเป็นยังไง”


     

                    “....”


     

                    “...ไปด้วยกันนะ...เพื่อน”


     

                    ผมเดินเข้าไปกอดเขาเบาๆ คยองซูปล่อยเสียงร้องไห้ที่อัดอั้นออกมา น้ำตาของเขาไหลเปื้อนบ่าผม


     

                    “ไปด้วยกันนะ นายจะปลอดภัยแน่ ไม่ต้องกลัว...มีฉันอยู่ทั้งคน”


     

                    คยองซูพยายามหยุดร้อง ชานยอลหน้านิ่วคิ้วขมวด เมื่อรู้ว่าต้องเดินเข้าไปในป่าบนฝั่ง  เขาหยุดมองที่ป่าสักอึดใจ ก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามมา ผมหยิบไม้กิ่งใหญ่แกว่งเพื่อถางทางออกให้คยองซูและชานยอลเดินตามมา


     

                    เสียงสัตว์ตัวน้อยวิ่งกันจ้าละหวั่น คล้ายกับรู้ว่าจะมีภัยมา ภัยที่ว่าก็น่าจะเป็นพวกผมเอง ผมแอบมองเห็นงูเลื้อยผ่านพวกเราไป แต่ผมพยายามคุมสติไม่ให้ร้องออกมา เอาเข้าจริงผมก็กลัวจนก้าวขาไม่ออกแล้ว

     

                    “เดี๋ยวแบคฮยอนนี่...”

     

                    ผมหันไปหาชานยอลที่เดินตามหลังมา

     

                    “มีอะไร? เหนื่อยแล้วเหรอ”

                    “เปล่า แต่เราจะเดินไปอีกนานแค่ไหน? แล้วไกลมั้ย?”



     

                    “ถ้าฉันรู้เราก็ไม่หลงหรอก”

                    “อะไรนะ นี่เราหลงเหรอ?”


     

                    ผมขมวดคิ้ว แล้วหันกลับมาทางเดินตามเดิมโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของชานยอล เราเริ่มเดินมาถึงที่โล่งแล้ว เริ่มไม่ค่อยมีต้นไม้และหญ้าสูงๆ เพราะมันเป็นเพียงต้นหญ้ามากกว่า



     

                    “ไหนล่ะถนน? ไม่เห็นมีถนนเลยแบคฮยอน...”


     

                    คยองซูทรุดตัวลงนั่งกับพื้น เขาเอามือกุมหัวก่อนที่จะเริ่มพึมพำเร็วจนผมจับใจความไม่ทัน


     

                    “เราไม่เจอถนน...รู้มั้ยทำไม? ก็เพราะมันไม่มีน่ะสิ แล้วเราก็จะหนีไปไหนไม่ได้....เราจะถูกเขาหาเจอ....เขาจะฆ่าเรา! เราไม่รอด เราไม่มีสิทธิ์รอด



     

                    คยองซูเบิกตาโพลง เขาเอามือกุมหัวแล้วพูดประโยคที่ผมฟังไม่เข้าใจละล่ำละลัก เขาครางออกมาด้วยเสียงที่หวาดกลัว เขาเรียกผมสลับกับแทมิน ผมได้แต่ยืนมองด้วยความสับสนและทำอะไรไม่ถูก...

     

                    “แบคฮยอนนี่ ทำอะไรสักอย่างสิ เขากำลังสติแตกแล้วนะ ดูเขาสิ!


     

                    ชานยอลหวีดเสียงร้องออกมา เขาตกใจกับอาการคลุ้มคลั่งของคยองซู ผมนั่งลงข้างๆคยองซูด้วยท่าทีเงอะงะ


     

                    “คยองซู...ได้ยินฉันมั้ย?”


     

                    คยองซูที่สายตาลอกแลกไม่ยอมมองผม เขาร้องไห้เสียงดังและพูดชื่อใครสักคนที่ผมพยายามจับใจความของประโยค...


     

                    “จงอิน....เขายังไม่ตาย”

     

                    “อะไรนะ?”

     

                    “จงอินตาย...จงอินหาย เขายังไม่ตาย”

     

                    “จงอินเป็นอะไร?”

     

                    “เขาหาย ฉันหาเขาไม่เจอ ตรงไหนก็ไม่มี...นายคิดว่าเขาหายไปไหน?”


     

                    คยองซูที่ตาแดงก่ำมองหน้าผม เขาเขย่าแขนผม ดวงตาที่สั่นระริกจนผมตัวชา คยองซูร้องไห้ครั้งล่าสุดก็ตอนที่แทมินตายแต่ไม่ใช่ร้องไห้เพราะวิตกจริตอย่างนี้


     

                    “แบคฮยอนนี่ ทำอะไรสักอย่างสิ”


     

                    ชานยอลยืนอยู่ห่างๆเอ่ยขึ้นเบาๆ ผมคว้าคยองซูเข้ามากอด แดดร้อนเริ่มแผดเผาจนแสบร้อน คยองซูเริ่มเงียบ เขาเพียงสะอึกเหมือนเด็ก ผมพาทั้งคู่ไปนั่งที่ต้นไม้ข้างๆกับทุ่งหญ้านั่น


     

                    “แบคฮยอน...มีน้ำกินมั้ย?”
     

                    “ไม่มี..นายหิวน้ำเหรอ?”
     

                    “ฉันคอแห้ง....หิวด้วย”

     

                    คยองซูพูดขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา ปากของเขาเริ่มแห้งอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่แค่คยองซูหรอกมั้ง บางทีอาจจะเป็นพวกเราทั้งหมดนั่นแหละ ชานยอลเลียริมฝีปากเพื่อให้ชุ่มชื้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้เพราะแม้แต่น้ำลายมันก็แห้งแทบจะสนิทแล้ว

     

                    “ให้ฉันลองเดินไปดูมั้ย? บางทีมันอาจจะมีตาน้ำอยู่ที่ไหนสักที่”


     

                    ชานยอลพูดขึ้นด้วยเสียงแห้งๆท่ามกลางความเงียบของป่า ผมหันไปมองคยองซูที่พิงโคนต้นสนอยู่ด้วยสีหน้าและแววตาที่หมดหวัง....


     

                    “นายไปคนเดียวได้ใช่มั้ย? ฉันไม่กล้าทิ้งคยองซูไว้คนเดียว”


     

                    เหมือนผมจะเห็นเขาหน้าถอดสักแป๊บนึง ก่อนที่เขาจะยิ้มกว้าง


     

                    “บางทีนายอาจจะไม่รู้ ฉันเคยเป็นหัวหน้าหมู่ลูกเสือนะ”

     

                    ชานยอลยิ้มกว้าง เขามองไปรอบๆก่อนจะก้มลงหยิบกิ่งไม้อันยาวขึ้นมา

     

                    “ฉันจะกลับมาพร้อมกับน้ำ คอยดูนะ!

                    ผมมองตามชานยอลที่เริ่มห่างออกไปแล้วใจแป้ว ผมหันกลับไปมองคยองซูที่นอนพิงต้นไม้อยู่ เขามองเมฆยามบ่ายบนท้องฟ้าหรือไม่ก็คงจะเป็นเหม่อไปเรื่อยๆ


     

                    “คยองซู...ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

     

                    “คุยอะไร”

     

                    คยองซูเลื่อนสายตากลับมามองผม บ่งบอกว่าเขาน่าจะระงับสติได้ในระดับหนึ่งแล้ว

     

                    “เรื่องที่นายพูดก่อนหน้านี้...หมายถึงอะไร?”

                    คยองซูหลับตานิ่ง เหมือนเขาอยากจะหลบตาผม
     

                    “คยองซู..นายบอกฉันไม่ได้เหรอ?”

                    “จะให้ฉันบอกอะไร...”

                    “บอกว่านายรู้อะไรเกี่ยวกับจงอินมา...”

     

                    คยองซูพ่นลมหายใจยาวๆ ก่อนจะหันมามองตาผมด้วยสายตานิ่งเรียบ
     

                    “จงอินหายไป...”

                    “ตอนไหน?!!
     

                    ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อคืนผมไม่ได้ดูว่าจงอินนอนอยู่บนเตียงหรือไม่ก็ตอนที่ไอ้หมานั่นบุกบ้านพัก...


     

                    ...แล้วจื่อเทาล่ะ?

     

                    จื่อเทาต่างหากที่เป็นหมาป่า! เขารู้ว่าผมรู้ความจริง และเขาก็ควรจะฆ่าผมก่อนไม่ใช่ชานยอล!!


     

                    “อย่าถามฉันเลย...ขอร้องล่ะ”


     

                    คยองซูพูดด้วยเสียงที่สั่น เขาพลิกตัวหนีผม ถ้าให้ผมเดา จงอินน่าจะหายไปก่อนมีเสียงนั่น...คิดได้ 2 ประเด็น


     

    หนึ่ง จงอินอาจจะถูกลวงไปฆ่าเหมือนเซฮุน

    สอง จงอินอาจจะ...เป็นหมาป่า!


     

                    ไม่หรอกน่า จื่อเทาต่างหากที่เป็นหมาป่า จงอินน่าจะถูกเขาลากไปจัดการแล้วมากกว่า...


     

                    “อย่าพูดเรื่องนี้ให้ใครฟังนะ...ได้มั้ย?”

     

                    คยองซูเลื่อนสายตาที่อ่อนล้าและหมดหวังมาที่ผม สถานการณ์แบบนี้แหละที่ผมเกลียด การกดดัน


     

                    “ทำไมล่ะ?”
     

                    “ก็ถือว่าฉันขอ...ฉันไม่อยากให้พวกเราใส่ร้ายกันเอง

     

                    “นายคิดว่าฉันใส่ร้ายจื่อเทาเหรอ?”

     

                    ผมรู้สึกฉุนขึ้นมาทันที เหมือนเขากำลังจะว่าผมอย่างนั้นแหละ


     

                    “พอล่ะ...ฉันไม่อยากจะทะเลาะกับนาย”

     

                    คยองซูเงียบไป ทิ้งให้ผมควบคุมอารมณ์โกรธที่คลุ้มคลั่งอยู่ในใจเพียงคนเดียว


     

                    “แล้วคนที่นายรักนี่นายหมายถึงใคร?”


     

                    “ไม่ได้หมายถึงใคร ฉันหมายถึงเพื่อนๆทุกคน”


     

                    “โกหกเถอะ!


     

                    “ทำไมนายถึงคิดว่าฉันโกหกล่ะ?”

     

                    นั่นสิ ทำไมผมถึงคิดว่าเขาโกหกล่ะ? เพราะการพูดล่ะมั้ง และเขาก็ดูเหมือนจะปกป้องใครบางคนอยู่


     

                    “โอเคๆ...ฉันจะเลิกถามแล้ว เพราะยังไงฉันก็คงไม่ได้คำตอบใช่มั้ย?”

     

                    คยองซูกระตุกยิ้มก่อนจะหลับตาลง แล้วเขาก็หลับไป...


     

                    กว่า 2 ชม.หลังจากนั้นชานยอลก็กลับมา เขาไม่ได้มีแค่น้ำที่ใส่กรวยจากใบอะไรสักอย่างมา แต่เขามีผลไม้สีแดงสดลูกเล็กๆเท่านิ้วโป้งมาด้วยสักเกือบถ้วยใหญ่


     

                    “ฉันเจอสตรอเบอร์รี่พุ่มใหญ่มากเลย มันเปรี้ยวนิดหน่อย แต่โอเคเลย”


     

                    เขาบรรจงวางกรวยใบไม้ที่ใส่น้ำลงบนมือผม มันเป็นใบอะไรสักอย่างที่ใหญ่มากพอที่จะทำเป็นกรวยใส่น้ำได้

     

                    “กินสิ”

                    “กินเลยเหรอ?”
     

                    ชานยอลยู่ปาก
     

                    “ก็กินเลยเส่ะ! จะรออะไร?”

     

                    ผมหันไปมองคยองซูที่นอนหลับอยู่ ผมนั่งลงข้างๆเขาแล้วเขย่าแขนเบาๆเพื่อปลุกเขา

     

                    คยองซูลืมตาขึ้น ปากของเขาแห้งผากจนแทบไม่มีสี

     

                    “กินน้ำก่อน...ค่อยๆนะ”
     

                    ผมยกกรวยใบไม้ขึ้นจ่อปากคยองซู เขาดูจะกระหายน้ำมากจนรีบกระดกน้ำ น้ำกระฉอกออกจนเกือบหมด และเมื่อคยองซูดื่มจนพอแล้ว มันก็แทบไม่พอให้ผมเลย ผมกินได้ประมาณอึกหนึ่ง


     

                    ชานยอลอาสาแบ่งสตรอเบอร์รี่ป่าลูกเล็กเอง เขาแบ่งมันเป็นสามส่วนตามความรู้สึกที่พยายามจะให้มัยเท่ากัน เขาเลื่อนสตรอเบอร์รี่มาให้ผม ขณะที่ผมเอื้อมมือไปรับมือของเขาแตะผมแป๊บนึงแล้วก็ชักกลับ


     

                    บังเอิญ?


     

                    ผมกินสตรอเบอร์รี่หมดภายในเวลาอันสั้น อย่างน้อยมันก็ทำให้ลดความกระหายน้ำไปนิดนึง รู้สึกมีกำลังขึ้นมาทันที

     

                    ผมนั่งมองตะวันที่เริ่มคล้อยลง ถ้าเราต้องพักที่นี่คงไม่ลำบากเท่าไร แต่มันก็ทำให้ผม...หลับไม่ลงอีกแล้ว

     

                    ชานยอลนั่งลงข้างๆผม ผมหันไปมองคยองซู เขากำลังนอนคิดอะไรอยู่ที่โคนต้นไม้


     

                    “นี่! แบคฮยอนนี่...”

     

                    “มีอะไร?”

     

                    ชานยอลก้มหน้าลงมองพื้น...ก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นอีกที
     

                    “ขอคุยด้วยหน่อย...”

                    “คุยอะไร?”

     

                    “ตรงนี้เลยเหรอ? ไปทางนู้นได้มั้ย? ฉันกลัวคยองซูจะตกใจ”

                    ผมหันไปมองคยองซูที่หลับตาลงไปแล้ว เขาน่าจะหลับอยู่

     

                    “ตรงนี้ก็ได้...ว่ามาสิ”
     

                    ชานยอลมองซ้ายแลขวา ก่อนจะกระซิบออกมา
     





     

                    “ฉันเจอคริส...คริสกับลู่หาน
     



     

                    “ที่ไหน?”
     



     

                    ผมรีบถามเขาทันที คริสกับลู่หานหนีออกมาทัน! พระเจ้า! ขอบคุณพระเจ้า!
     


     

                    “ที่ลำธารตรงนู้น...ฉันเดินตามเสียงน้ำไหลไป ตอนที่ฉันกำลังตักน้ำฉันก็เห็นเขา อยู่ฟากหนึ่งของลำธาร เขากำลังเอาเสื้อจุ่มน้ำอยู่ เหมือนเขาจะซักผ้าล่ะมั้ง...”
     



     

                    “แล้วลู่หานล่ะ?”
     



     

                    ชานยอลทำหน้าครุ่นคิด แล้วพูดออกมาลอยๆ
     



     

                    “ฉันคิดว่าเขาบาดเจ็บ...เขานอนหายใจพะงาบๆอยู่บนฝั่ง แต่เขาลืมตานะ...ฉันคิดว่าเขารู้ว่าฉันมา”
     




     

                    “แล้วทำไมไม่ชวนเขามาหาเราที่นี่! ทำไมนายถึงคิดไม่ได้?”

     

                    ชานยอลหลบตาผม เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยต้นหญ้าบนพื้น นี่คงเป็นเรื่องที่เขาแตะมือผม เขาคงไม่กล้าบอกผมเพราะกลัวคยองซูจะกังวล

     

                    “ฉันเรียกเขาแล้ว แต่เขาไม่หัน...เขาตกใจมากที่เห็นฉัน เขารีบวิ่งไปพยุงลู่หานเข้าป่าอีกฝั่งไปเลย...ฉันจะข้ามไปก็ไม่ได้ ฉันว่ายน้ำไม่เป็น”


     

                    ชานยอลทำหน้ารู้สึกผิด แต่สุดท้ายเขาก็ยิ้มร่า


     

                    “ฉันเลยคิดว่าเราน่าจะข้ามไปฝั่งนู้น เพราะหมาป่าไม่น่าจะตามไปได้ นายว่าไง?”

     

                    ผมเงียบ เพราะตอนนี้ผมเองก็แทบไม่รู้อะไรเลย รู้แค่ว่าต้องเดิน หาถนนให้เจอ ไปสถานีตำรวจ และ...





     

                    ....มีชีวิตรอด




     

                    “ฉันคิดว่า...คยองซูไม่น่าจะไปไหว”

     

                    ผมหันไปมองคยองซู เขายังคงหลับอยู่ ชานยอลถอนหายใจเขาทิ้งตัวลงนั่ง ผมเริ่มหิวอีกแล้ว แต่ก็รู้ว่าเราหาอะไรมารองท้องไม่ได้แม้แต่น้ำ...




     

                    “เริ่มมืดแล้ว...กลัวมั้ย?”



     

                    ชานยอลทำลายความเงียบด้วยการหันมาถามผม ฟ้าเริ่มมืดแล้ว แต่การมองเห็นของผมยังคงชัดแจ๋ว เพียงแต่อากาศหนาวจนแว่นผมขึ้นฝ้า ผมรีบถอดแว่นออกมาเช็ดด้วยชายเสื้อ แล้วสวมลงไปอีกครั้ง


     

                    “กลัวสิ...ไม่ได้กลัวความมืดนะ แต่ฉันกลัวสิ่งที่มาพร้อมกับความมืด”


     

                    “แบบเมื่อวาน?”

                    “ใช่ แบบเมื่อวาน”
     

                    ชานยอลยิ้มแห้งๆ ก่อนจะซุกหน้าลงกับเข่า เขาโยกตัวไปมา
     

                    “หนาวเหรอ?”


     

                    “ก็นิดหน่อย...นายล่ะ?”

     

                    “หนาว...นิดหน่อยเหมือนกัน”


     

                    ผมหันไปมองคยองซูที่ตื่นตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้นั่งจ้องท้องฟ้าสลัวอยู่ เขาไม่พูดอะไรเลย แม้แต่บ่นหิว หนาว หรือคิดถึงบ้านก็ไม่มี...


     

                    เสียงฮัมเพลงดังมาจากชานยอล ผมหันกลับไปทางเขาอย่างช้าๆ ดวงตากลมหลับพริ้ม ปากของเขาปิดสนิท มีเพียงจากลำคอเป็นทำนองเพลง safe and sound ตัวของเขาโยกไปซ้ายทีขวาทีช้าๆตามทำนองเพลง เพล

     

                       นีผมเองก็ร้องได้...



     

     

     “ฉันยังจำน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเธอได้ดี

    ตอนที่ฉันบอกเธอว่า ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอไปไหน

    แต่เมื่อเงามืดกลืนกินแสงลงไปเกือบหมด

    เธอบอกฉันว่า อย่าทิ้งฉันไปนะ

    แต่ทุกๆอย่างที่ตายจากไปเท่านั้น ที่จะผ่านคืนนี้ไปได้

     

     

     

    แค่เพียงหลับตาลง...
    ตะวันก็จะลับขอบฟ้า
    เธอจะไม่เป็นอะไร...
    ไม่มีใครทำอะไรเธอได้อีกแล้ว
    แล้วแสงแห่งอรุณก็จะสาดส่องลงมา
    เธอกับฉัน..เราจะปลอดภัยไปด้วยกัน


    อย่ามองออกไปนอกหน้าต่างนะที่รัก
    ทุกอย่างกำลังมอดไหม้
    สงครามข้างนอกกำลังคุกรุ่น
    มันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ...เรื่อยๆ
    ทนอีกหน่อยนะสำหรับเพลงกล่อมบทนี้
    ถึงแม้เพลงจะจบลงไปแล้วก็ตาม


    แค่เพียงเธอหลับตาลง
    เธอจะต้องไม่เป็นอะไร...
    แสงแรกแห่งอรุณจะส่องลงมา
    เธอกับฉัน...เราจะปลอดภัยไปด้วยกัน"

     

     

     

     

    ชานยอลค่อยๆลืมตาขึ้น เขาดูสงบกว่าที่เคยเป็น และผมก็รู้สึกได้ว่าเขามีอะไรจะพูด แต่เขาเลือกที่จะเก็บไว้

     

     

     

     

     

     

     

                    “ร้องเพลงเพราะนี่...”

     

     

     

                    “ใช่...”

     

                    “หลงตัวเอง”


     

                    “นายชมฉันก่อน...ฉันแค่ยอมรับความจริง”


     

                    ผมทำเป็นหัวเราะกับมุกตลกที่รู้ดีว่ามันไม่ตลกกับสถานการณ์ในตอนนี้ แม้แต่ชานยอลเองก็ยังหัวเราะฝืดๆ เราเงียบกันจนได้ยินเสียงนกเข้ารัง บนต้นไม้นี่มีนกและเสียงของมันก็ดังมากจนคยองซูที่เงียบมานานเอ่ยปากบ่น


     

                    “นกพวกนี้ทำไมถึงเสียงดัง เดี๋ยวก็จับกินหมดซะหรอก หิวนะ!


     

                    ผมดีใจที่คยองซูพูด แต่ก็แอบรู้สึกผิดกับคำพูดคำสุดท้าย คยองซูหิว ใช่! ผมเองก็หิว แม้แต่ชานยอลเองก็หิว ผมรู้ แต่เราจะทำอะไรได้นอกจากจะจับนกกินจริงๆ

     

                    ...หรือจะจับกินจริงๆดีล่ะ

     

                    “เฮ๊ย! นายทำอะไรน่ะ?”

                    “ปีนต้นไม้ไง”


     

                    ผมตอบชานยอลไป ผมปีนด้วยความรวดเร็วเนื่องจากต้นไม้นี่มีกิ่งเยอะ ผมจึงปีนได้เร็วขึ้น แต่ก่อนที่จะถึงรังที่ผมเล็งไว้ ผมนั่งลงบนกิ่งที่ใกล้ที่สุด เสียงนกเริ่มเงียบ


     

                    ผมเอื้อมมือไปปัดรังนกเพื่อจะเอาไข่ของมัน แต่เหมือนแม่นกจะรู้ดี มันบินออกมาจิกนิ้วผม มันเป็นนกตัวเล็กๆ เล็กกว่ากำปั้นผมซะอีก


     

                    “โอ๊ยๆ เจ็บนะ”


     

                    “แบคฮยอนลงมา”

                    เสียงเย็นๆของคยองซูเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงของผมกับนก


     

                    “แต่นายหิว...ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะทำไง โอ๊ย”

     

                    ผมสะบัดมือออกจากนกตัวน้อยที่ยังจิกแต่นิ้วของผมที่พยายามจะขโมยไข่ของมัน


     

                    “ลงมาเถอะ...”

                    “แต่นายหิว...”



     

                    “มันก็รักตัวกลัวตาย เหมือนนายนั่นแหละ”

     

                    ผมเงียบ ก่อนจะค่อยๆปีนลงมา แม่นกตัวน้อยก็กลับเข้าไปในรัง มือผมถลอกเลือดไหลซิบ มันแสบๆคันๆและไม่ได้อะไรตอบแทนมาเลย ชานยอลที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่เงียบๆ ลุกขึ้นมาดูมือผม สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจคล้ายจะบอกว่าเขาเองก็ช่วยอะไรผมไม่ได้



     

                    สรุปว่าคืนนี้เราก็นอนท้องกลวงกันอย่างช่วยไม่ได้ ผมนอนบนใบไม้ที่ไปหักมาปู อย่างน้อยก็แค่ได้นอนเอนหลัง เพราะผมเองก็หลับไม่ลงไม่ว่าจะมองไปทางไหน...ก็น่ากลัวไปหมด





     

                    ชานยอลนั่งเอาหน้าซุกเข่าอยู่ข้างๆคยองซูที่นอนลงไปกับพื้นหญ้าเฉยๆ ผมนอนจ้องทั้งคู่เพื่อความอุ่นใจพลางนึกถึงเรื่องที่ชานยอลเล่าให้ฟัง...




     

                    คริสกับลู่หานหนีออกมาด้วยกันได้ แต่แทนที่เขาจะดีใจที่เห็นชานยอลที่หนีออกมาได้เหมือนกัน แต่เขากลับตกใจ อีกอย่างลู่หานเองก็คงเจอไอ้หมาป่าทำร้าย แล้วที่คริสซักผ้านั้นน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด เวลาอย่างนี้ใครจะมานั่งซักผ้าตอนหนีตายกัน เขาน่าจะเอาไปเช็ดตัวให้ลู่หานมากกว่า


     

                    แล้วทำไมถึงตกใจชานยอล?

     

     

    ▀▄▀▄▀▄

     

                    ผมเผลอผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมตื่นเพราะถูกคยองซูปลุกด้วยการเขย่า เมื่อตั้งสติได้ผมก็รู้ว่าคยองซูปลุกผมทำไม...







     

                    เสียงหอนดังขึ้นจนแทบกระชากสติผม ผมรีบลุกขึ้นยืนด้วยความลุกลี้ลุกลน ชานยอลยืนหน้าซีดอยู่ข้างๆคยองซู เขาทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ก่อนจะหวีดร้องออกมาไม่เป็นภาษา คยองซูเองก็เช่นกัน



     

                    ผมพยายามตั้งสติให้ได้ เพราะชานยอลกับคยองซูมองตาผมด้วยแววตาหวาดกลัว เขายื่นมือมาให้ผมจับ ผมรีบคว้ามือเขาไว้ ตามด้วยมือชานยอลที่ผมเอื้อมมือไปจับเอง



     

                    เสียงหอนเป็นเพียงเสียงแว่วที่ดังมาจากที่ไกลๆ แต่เหมือนจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆด้วยความรู้สึกของผมเอง ผมลากทั้งคู่ออกวิ่งแต่คยองซูดูจะไม่ไหว...



     

                    “คยองซูอดทนหน่อยนะ”


     

                    คยองซูยิ้มมุมปากให้ผม เขายิ้มทั้งน้ำตา...

     

                    “ไปเถอะ...”

     

                    “ไม่เอา ไปด้วยกัน”


     

                    ผมกระชากมือเขาอีกครั้ง


     

                    “ไม่ไป..แบคฮยอนไปเหอะ”


     

                    ผมรู้สึกเหมือนหัวใจบีบรัดกันแน่นไปหมด ขาที่เมื่อยล้านั้นสั่นและพร้อมที่จะทรุดลงกับพื้นได้ทุกเมื่อ...


     

                    “ไปเถอะ...ไปด้วยกัน”

                    “ยังไงเราก็ไม่รอด...ฉันรู้”


     

                    ผมคว้ามือเขามาวางทาบที่อกซ้าย...ให้เขาได้รู้ว่าใจดวงนี้จะเป็นอย่างไรถ้าต้องเสียเพื่อนไปอีกคน


     

                    “ฉันเองก็กลัว...ถ้าไม่มีนาย ไปนะ”


     

                    ผมดึงมือคยองซูอีกรอบ เขายอมก้าวขาตาม ผมจึงรีบออกตัวเดิน ชานยอลดูไร้ซึ่งสติ เขาเดินตกหลุมหลายครั้ง เราก้าวเท้าเร็วจนแทบเรียกว่าวิ่งได้เลยด้วยซ้ำ



     

                    เสียงหอนยังคงดังต่อเนื่อง ผมรู้สึกเหนื่อยจนอยากพักแต่ก็กลัวจนสมองสั่งให้เดินต่อ สัตว์ตัวเล็กหนีพวกเราเหมือนที่พวกเราเองก็หนี...



     

                    ก็อย่างที่คยองซูพูด...ใครๆก็รักตัวกลัวตายทั้งนั้น

     

                    เสียงหญ้าที่ถูกเยียบดังขึ้นจากทางข้างหน้าเรา ไม่ใช่เสียงของเราหรือเสียงสะท้อน แต่เป็นเสียงของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่....






     

                    ทันทีที่ผมกำลังว่าสิ่งมีชีวิตนั่นคือตัวอะไร มันก็โผล่ออกมาเผชิญหน้ากับเรา...














     

              






         
    ผู้รอดชีวิตอีก
    2 คน...
















     

                จงแด

     

                    และ

     

     

     

     

     

     

     

     

                ...จุนมยอน

     

     

     

     

     

     

     

    [Baekhyun]

     

     

     

     

     

     

    ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วง TALK ที่ยาวที่สุดในปฐพี

    หวัดดีจ้ะ *ตีลังกาสิบตลบแล้วก้มกราบ*

    จากตอนที่แล้วที่ดราม่าเรื่องเม้นต้องขอโทษด้วยค่ะ เครียดจริงๆ (T/\T)

    แต่หลังจากที่ดราม่าไป นักอ่านผู้น่าฮักของเราก็ช่วยกันเม้นกันใหญ่เลย

    ขอบคุณค่ะ ขอให้น่ารักอย่างนี้ตลอดไปล่ะกันนะค่ะ ช่วงนี้มีติวโอเน็ตม.6เลยไม่ค่อยได้แต่ง

    ลงช้าบ้างอะไรบ้างขอโทษด้วยนะ

    เรื่องสำนักพิมพ์ที่บอกเรามานี่อยู่กทม.ใช่ป่ะ?

    คือหลายคนไม่รู้ เราเป็นคนโคราชค่ะ
    ถ้ารู้ก็บอกหน่อยก็ได้ .___.
    แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะรวมนะ

     

    เรื่องปริ่มๆ

    คือเมื่อวันก่อนลองไปส่องแท็ก #ficThatWolf มา

    มีนักอ่านคนหนึ่งบอกว่า...

    อ่านฟิคเราเป็นเรื่องแรกแล้วก็ชอบมาก

    คืออันที่จริงก็ปริ่มทุกแท็กค่ะ แต่เห็นแท็กนี้แบบหงายเลย

    ตอนที่อ่านแท็กนี้คือเรายังไม่ได้แต่งค่ะ พอเห็นแท็กนั้นปุ๊บหยิบดินสอทันทีเลย T///T

    ขอให้น่ารักอย่างนี้ตลอดไปเนอะ

    เอวังด้วยประการฉะนี้แล....

     

    อัพตอนต่อไปก็ดูเม้นเช่นเดิม โอเคนะ

    เม้นเยอะก็ได้อ่านเร็ว จุ๊ปปิ๊ =3=

     

    ปล้ำลู่.ถึงน้องเซฮุน(นามสมมติ) น้องบอกว่าไม่มีไอดีเด็กดี เม้นไม่ได้

    อยากบอกน้องว่า ไม่เป็นสมาชิกก็เม้นได้ค่ะ

    วิธีการดังนี้....

    1.เขียนเม้น ด่า ติ ชม ท่าตบ กรี๊ด ทวงฟิค

    2.กดที่ผู้เข้าชมทั่วไป จากนั้นกรอกข้อมูลให้ครบ

    3.กดส่งความคิดเห็น

    4.รออ่านฟิคตอนต่อไปได้ในเร็ววัน

    แซ๊งคิ้ววววว (_ _)

     

    ปล้ำเลย์.ถึงคนที่ไม่ได้เล่นเด็กดีทุกคนแต่อยากอ่านฟิค ให้ไปที่ทวิตเตอร์

    1.พิมพ์ทวีตเกี่ยวกับฟิค เช่น “ไรท์เรื่องนี้เหมือนจะสวยเลยค่ะ”

    2.ติดแท็ก #ficThatWolf เช่น “ไรท์เรื่องนี้เหมือนจะสวยเลยค่ะ #ficThatWolf แล้วทวีตโลด

    3.รอรับบริการ “ไรท์เตอร์เซอร์วิสส่งลิงก์ฟิคถึงที่” ได้เลยค่ะ

    เพราะเวลาอัพฟิคเราจะเข้าไปส่องดูแท็กคนที่อ่านฟิคเรา จากนั้นก็จะส่งลิงก์ฟิคให้ตลอดเลย

    อย่าลืมลองทำดูนะ ^^

    ส่วนใครไม่มีทวิตเตอร์ก็สมัครเด็กดีเถอะค่ะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน U___U

     

    บอกแล้วว่าช่วงทอล์กมันยาว =3=

    Ha .ha
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×