[OS B1A4] J. Olantern
บ้าจริง…ท่านพ่อมอบหมายงานให้มาทำวันแรกก็ดันมาโดนดีแบบนี้แล้วเหรอเนี่ย
ไม่สิ
จะว่าไปพูดแบบนั้นก็คงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่า ‘คืนแรก’
ต่างหาก
แสงจากพระจันทร์สีนวลขาวดวงกลมโตบนฟากฟ้าที่มืดดำราวกับมีใครตั้งใจดับแสงดาวนับล้านบนนั้นให้พร้อมใจกันมืดมิดไปเสียในยามราตรีเฉกเช่นนี้
ทอแสงอ่อนๆให้เห็นร่างบางของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ที่นั่งห้อยขาอยู่บนต้นแอปเปิลขนาดความสูงไม่เกินสองเมตรครึ่งด้วยท่าทีที่ดูลุกลี้ลุกลนไม่น่าอยู่ในบริบทที่สบายเท่าไหร่นัก
สองมือผอมบางขาวซีดยึดเกาะกิ่งไม้ที่แข็งแรงที่สุดบนต้นไว้แน่น
หากพิจารณาดีๆแล้วร่างผู้เคราะห์ร้ายที่ติดแหงกบนต้นไม้นั้นไม่ได้อยากจะหาทางลงไปข้างล่างมากกว่ายึดประคองตัวเองให้อยู่ข้างบนต้นไม้นี้ต่อไป
เพราะอะไรน่ะเหรอ…
“ซาตานของจริงเลยเว้ย ฮาโลวีนคืนแรกก็แจ็คพ็อตซะแล้วพวกเรา”
ชายวัยรุ่นที่ถือคบเพลิงแต่งตัวเป็นแดรกคิวล่าพูดด้วยความคึกคะนอง
หลังจากที่ได้จ้องมองพิจารณาลักษณะท่าทางของสิ่งมีชีวิต
หรืออาจจะไร้ชีวิตไปนานแล้วบนต้นแอปเปิลอย่างละเอียดถี่ถ้วน ใครจะไปรู้…วางกับดักเอาไม้กางเขนไปผูกข้างใต้ต้นแอปเปิลสั่วๆเอาสนุกเฉยๆ แล้วจะดันมีซาตานที่ออกมาเพ่นพ่านในค่ำคืนของงานฮาโลวีนเช่นนี้มาติดเข้าจริงๆ
วิธีหลอกล่อซาตานของแจ็ค
โอแลนเทิร์นชายผู้เป็นตำนานของหมู่บ้านนี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อนเคยได้ผลยังไง
สุดท้ายในวันนี้ก็ยังได้ผลดีไม่ต่างกัน
ในคืนวันปล่อยผีออกจากขุมนรกแบบนี้
เป็นที่รู้กันดีของคนในหมู่บ้านว่าจะมีวิญญาณ ปิศาจร้าย
หรือผีซาตานที่ออกมาท่องราตรียังโลกมนุษย์เป็นวิสัย
เป็นค่ำคืนที่ประตูมิติระหว่างขุมนรกและโลกมนุษย์จะเชื่อมเปิดถึงกัน
ภูตผีปิศาจวิญญาณสัมภเวสีนับร้อยจะออกมาสังสรรค์ท่องโลกมนุษย์ด้วยความหิวกระหาย
จึงกลายเป็นประเพณีวันฮาโลวีนที่ว่าพวกมนุษย์จะต้องแต่งตัวเลียนแบบให้คล้ายคลึงกับภูตผีพวกนี้ให้มากที่สุด
เพื่อกันไม่ให้โดนสิ่งชั่วร้ายที่ว่าเหล่านี้เข้าสิงร่างตัวเอง
อยากจะหัวเราะกับประเพณีบ้าๆนี่ให้ฟันหัก
ภูตผีวิญญาณน่ะเหรอที่จะอยากมาเข้าสิงร่างมนุษย์ที่ทั้งอ่อนแอ
ทั้งไร้ซึ่งพลังอำนาจเช่นนี้ ดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็น่าจะรู้แล้ว
ว่าระหว่างมนุษย์กับซาตานอย่างเขาใครกันแน่ที่ร้ายกาจชั่วช้ากว่ากัน
กงชานเหนื่อยที่จะต้องปริปากมานั่งอธิบายให้มนุษย์เลวๆพวกนี้ได้เข้าใจ
ว่าแท้จริงแล้วท่านพ่อของเขาผู้เป็นเจ้าแห่งซาตานได้มอบหมายหน้าที่ของเขาให้เพียงแค่คอยควบคุมวิญญาณที่ถูกปลดปล่อยมายังโลกมนุษย์ในค่ำคืนนี้ไม่ให้มาก่อความวุ่นวายที่นี่ก็แค่นั้น
พวกมนุษย์จากบ้านไปนานยังคิดถึงบ้านกันได้
แล้วเหตุใดคนที่ไร้ชีวิตจากโลกนี้ไปนานแสนนานนับหลายปีแล้วจะคิดถึงบ้านบ้างไม่ได้กันเล่า
ทั้งๆที่วันนี้เป็นเพียงวันเดียวในรอบหนึ่งปีที่วิญญาณพวกนี้จะมีโอกาสได้กลับไปหาครอบครัวและคนที่ตัวเองรักเท่านั้น
ช่างเถอะ
ขึ้นชื่อว่าซาตานแล้วในสายตาของพวกมนุษย์ก็ต้องถูกมองว่าชั่วร้ายเลวทรามวันยังค่ำ…
“ถ้ามันไม่ยอมลงมาเราเผามันให้ตายคาต้นแอปเปิลนี่แหละ”
ชายคนที่สวมหน้ากากผีไร้หน้าในมือถือไม้กางเขนอันโตเบ้อเริ่มเทิ่มออกความเห็น ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดเห็นที่ไร้สมองที่สุดเท่าที่กงชานเคยพบเจอมา
ร่างเล็กที่กำลังสั่นเทาไม่ได้สนใจฟังเสียงกลุ่มคนที่อ้างตัวเองว่าทีความคิดเป็นอารยชนข้างล่างนี้ถกเถียงกันเท่าไหร่นักว่าจะฆ่าหรือทรมานเขาด้วยรูปแบบไหน
สิ่งเดียวที่เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักและทำให้ริมฝีปากเล็กๆสีแดงเลือดนกเม้นขบเข้าหาเช่นนี้ก็คือตอนนี้พวกผีวิญญาณที่ถูกพ่อเขาปล่อยออกมาจากขุมนรกมันหายไปไหนกันหมด
ทำไมไม่มีใครย้อนกลับมาช่วยเขาเลยซักคน
อ้อลืม…ตอนนี้พวกนั้นอาจจะกลับเข้าหมู่บ้านไปกันหมดแล้ว
มีแต่เขานี่ไงล่ะที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ที่ชายป่านอกหมู่บ้านแล้วดันโชคร้ายมาเจอกับพวกมนุษย์ชั่วๆพวกนี้ไล่ล่าให้ค้างเติ่งบนต้นแอปเปิลแบบนี้
รู้งี้เข้าไปในหมู่บ้านด้วยเสียก็ดี
“ดูมันสิ
เหมือนคนแทบทุกอย่างเลยว่ะ
เผลอๆหน้าตาน่ารักบอบบางกว่าพวกผู้หญิงปากจัดในหมู่บ้านด้วยนะเว้ย”
“ไอ้พวกห่า
แม้แต่ซาตานมึงก็ไม่เว้น อย่าไปโดนรูปลักษณ์ภายนอกของมันหลอกเข้าล่ะ
ยังไงซะไอ้ตัวนี้มันก็ไม่ใช่คนมึงจำเอาไว้”
ร้อน…ถึงเขาจะไม่ได้มีความชั่วในตัวมากเท่ากับคนเลวๆพวกนี้
แต่อย่างไรเสียธรรมชาติของซาตานหรือภูตผีก็ต้องไม่ถูกกับไม้กางเขนเป็นวิสัยตามที่โบราณได้เล่าขานต่อกันมา
แต่ที่แน่ๆคนพวกนี้ถ้าตายไปเขาจะบอกให้ท่านพ่อเอาจับลงขุมนรกที่แปดร้อยสิบสี่แล้วตัดตอนทำหมันไม่ให้มันไปพูดจาลามกกับใครคนไหนไปยันชาติหน้าเลยคอยดูสิ!
“นั่นอะไรวะ…”
เสียงของมนุษย์หนึ่งในนั้นที่จ้องคอยเผาเขาเบนความสนใจไปยังอีกทางด้านหนึ่งของชายป่า
ไม่ใช่แค่พวกมนุษย์หรอกที่สนใจเสียงสวบสาบที่ใกล้เข้ามาเป็นระยะๆทางด้านนั้น
กงชานเองก็เพ่งสายตาที่ตื่นตระหนกมองดูเจ้าของต้นเสียงนั้นเช่นกัน
หากแต่เป็นการมองดูด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากมนุษย์พวกนั้นตรงที่เขากำลังสิ่งนั้นด้วยความหวังเพื่อรอคอยขอความช่วยเหลือ
อาจจะเป็นวิญญาณของท่านพ่อที่หลงอยู่แถวนี้แล้วบังเอิญมาเห็นเลยผ่านมาช่วยเขาก็เป็นได้…
“หมาป่าหรือเปล่าวะ”
“หรือจะเป็นหมี?”
“ไอ้หน้าโง่! หมาจิ้งจอกตัวเบ้อเริ่มมึงยังเห็นเป็นหมีเป็นหมาป่าได้อีกหรือไง”
คนที่สวมผ้าคลุมแดรกคิวล่าสบถด้วยความหงุดหงิด ระหว่างที่ส่องคบเพลิงไปที่เงาดำตะคุ่มๆที่ย่างกรายเข้ามาใกล้กับทางนี้ทุกฝีก้าว
สายตาของกงชานเริ่มถูกปรับให้คุ้นชินกับแสงนวลๆสว่างอ่อนๆของดวงจันทร์ในยามค่ำคืนที่สะท้อนแสงกับดวงตาของสัตว์อะไรบางอย่างที่ยาวเรียวมองดูดุดันพร้อมจะตะครุบเหยื่อตรงหน้าได้ทุกเมื่อ
ร่างของจิ้งจอกสีขาวสะอาดตารับกับแสงจันทร์ที่ส่องประกายทอแสงอยู่ข้างบนฟากฟ้าในยามราตรี
หางพวงๆของมันถูกยกขึ้นเหนือลำตัวพร้อมกับส่งเสียงขู่ครางฮืมๆแยกเขี้ยวในลำคอบ่งบอกถึงสัญชาตญาณของสัตว์ป่าที่ดุร้าย
กรงเล็บและเขี้ยวของมันแม้จะไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเพราะโดนความมืดในยามราตรีบดบังแต่ก็พอจะสามารถจินตนาการได้ว่าสามารถฆ่าคนสี่ห้าคนตรงหน้านี้ให้ตายได้ทีเดียวไม่ยาก
“ยังไม่ทันได้เผาไอ้ตัวข้างบนเลย
ไอ้ตัวนี้ดันเสร่อมาอีกแล้ว” เสียงคนข้างล่างเริ่มสั่นด้วยความหวาดกลัว แหงล่ะ…คนพวกนี้ไม่ได้พกปืนผาหน้าไม้เข้าป่ามาเลยซักคน เพราะคิดสั้นๆว่ากะจะมาล่าแค่ซาตานตัวเดียว
ซึ่งปืนผาหน้าไม้ที่ว่าดังกล่าวนั้นก็ไม่ได้สำคัญไปมากกว่าไม้กางเขนหรือคัมภีร์ไบเบิลสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พกมาเลยแม้แต่น้อยสำหรับการมาล่าซาตาน
“ไอ้ตัวสกปรก
ออกไปสิวะ!”
หนึ่งในนั้นยังทำใจดีสู้เสือเอาคบเพลิงจ่อพลางแหกปากไล่สัตว์ร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาอย่างไม่กลัวเกรง
ลูกสมุนที่เหลือเริ่มมือไม้แข้งขาอ่อนพลางกล่าวเตือนเสียงสั่นระริกเมื่อเริ่มเห็นขนาดตัวสัตว์ป่าที่กำลังเผชิญหน้าอยู่
“มันอาจจะกำลังหิวแล้วออกมาหาเหยื่อก็ได้นะเว้ย
กูว่าพวกเราถอยกันก่อนดีกว่ามั้ย”
“มึงแหกตาดูเขี้ยวมันซะก่อน
ใครไม่หนีกูหนีเอง มึงไม่หนีก็เรื่องของมึง!”
พูดจบยังไม่ทันขาดคำพวกลูกน้องสองคนก็พากันวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงออกนอกชายป่าไปอย่างคนขี้ขลาด
อีกซักพักคนที่เป็นลูกพี่จึงรีบทิ้งของที่พกมาแล้วแหกปากโวยวายวิ่งตามเพื่อนที่วิ่งนำไปแล้วอย่างรวดเร็ว
“โชคดีของมึงไป
กูฝากไว้ก่อนเหอะ ฮาโลวีนปีหน้ากูไม่มีทางพลาดเหมือนปีนี้อีกแน่!”
เสียงที่หยาบคายพูดจาสาปส่งไว้แค่นั้นก่อนจะวิ่งออกนอกชายป่ากลับสู่หมู่บ้านตัวเองไป
กงชานยังคงเกาะยึดกิ่งแอปเปิลไว้พลางยื่นปากชะโงกหน้าไปดูกลุ่มมนุษย์พวกนั้นเพื่อความแน่ใจว่าทางนี้ปลอดภัยจริงแล้วหรือไม่ก่อนจะหันกลับมามองหวังจะได้เห็นสัตว์ที่ช่วยเหลือตัวเองไว้อีกครั้ง
แต่กลับเป็น…
“เจ้าปีนขึ้นไปทำอะไรข้างบนนั้นน่ะ
^^”
“…”
ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่ง
ดวงตายาวรีเป็นประกาย
ริมฝีปากสีอ่อนที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์เพทุบายแต่งตัวมอมแมมแต่ดูไม่สกปรกด้วยชุดชาวนาเก่าๆกำลังยืนเอียงคอเอาลำตัวพิงต้นไม้จ้องมองพลางส่งยิ้มมายังเขาด้วยท่าทีที่ดูไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่นัก
กงชานมองดวงตาเรียวรีกลับเพียงแค่ปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มคนนี้คือสุนัขจิ้งจอกตัวเดียวกับเมื่อกี้ที่เข้ามาช่วยชีวิตเขาไว้
“เป็นซาตานแล้วยังต้องอยากกินแอปเปิลบนโลกมนุษย์อีกหรือไง”
เสียงที่เอ่ยแซวนั้นกลั้วขำเมื่อเห็นร่างเล็กที่ว่านั้นเอาแต่ยืนเกาะเก้ๆกังๆอยู่บนนั้นไม่ยอมลงมาข้างล่างเสียที
แต่ยังไม่ทันไรก็โดนสายตาเขียวปั้ดจากคนที่กำลังหงุดหงิดค้อนวงใหญ่ใส่
“ข้าไม่ยักคุ้นหน้าเจ้ามาก่อน
เจ้าไม่ใช่วิญญาณปิศาจที่มาจากขุมนรกของพ่อข้า -*-”
“แน่นอนว่าไม่ใช่
แล้วก็ไม่มีทางเป็นตลอดไปด้วย”
น้ำเสียงทุ้มๆนั้นว่าวกไปวนมาอย่างยียวนพลางเหลือบมองคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกซาตานตัวน้อยราวกับกำลังคาดเดาว่าอีกคนกำลังจะโต้ตอบเขากลับอย่างไร
“เจ้ารอดพ้นบัญชีรายชื่อวิญญาณในขุมนรกไปได้ยังไงกัน
ไม่เคยมีวิญญาณหรือภูตผีปิศาจตัวไหนที่ทำได้มาก่อนเลยนี่”
“งั้นเหรอ
งั้นข้าก็น่าจะเป็นคนแรกแล้วก็คนเดียวที่ทำได้ล่ะมั้ง”
ร่างสูงโปร่งนั้นหัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่น่าตลก
“แล้วก็ฝันไปซะเถอะหากเจ้ากำลังคิดว่าจะส่งตัวข้ากลับไปให้พ่อของเจ้าที่ขุมนรก
ที่แบบนั้นร้อนก็ร้อนอย่างกับโรงอบซาวน่าใครเขาจะอยากไปอยู่”
ไหล่กว้างนั้นยักอย่างไม่ยี่หระเดือดร้อนหรือเกรงกลัวต่อคำพูดเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
กงชานได้แต่ทำเสียงถอนหายใจฮึดฮัดอย่างขัดใจอยู่บนต้นแอปเปิลสูงชะลูด
ส่งผลให้ปิศาจที่ยืนทำตัวชิลอยู่ตรงโคนต้นไม้ต้องแหงนหน้าขึ้นมองคนที่เขาเพิ่งช่วยเหลือไปอีกครั้ง
“ไม่ลงมาล่ะ
ข้าไม่กัดหรอกน่า อุตส่าห์เก๊กดุทำตัวเป็นจิ้งจอกบ้าไล่ไอ้พวกนั้นไปเพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้าดันไม่ลงมาข้าคงเสียใจแย่เลยนะ~”
“พวกมันผูกไม้กางเขนไว้ที่โคนต้นไม้”
กงชานปรายตามองคนพูดมากด้วยสีหน้าคล้ายกับเหนื่อยหน่าย
ดวงตายาวรีหลุบมองเส้นเชือกที่ผูกตรึงไว้แน่นพร้อมกับเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ที่ว่าพร้อมกับยกคิ้วขึ้นเหมือนแค่เจอลูกเบอร์รี่ผลหนึ่งตกอยู่
“อ้อ
ข้ายืนบังตรงนั้นพอดีเลยไม่ทันสังเกตเห็น”
“เยี่ยม
ต่อให้เจ้าช่วยข้าขับไล่พวกมนุษย์นั่นไปได้แต่เราก็ไม่มีทาง…” กงชานมีโอกาสได้พูดบ่นเพียงแค่นั้น
เพราะคนที่เขากำลังก่นด่าอยู่ในใจว่าพูดมากเกินความจำเป็นกำลังย่อตัวลงไปใช้กรงเล็บในร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งหมาจิ้งจอกที่เพิ่งแปลงกายไปเมื่อกี้
เฉือนเข้าที่เส้นเชือกซึ่งพันธนาการไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังแผดเผาอยู่อย่างง่ายดายรวดเร็วอย่างไม่ต้องออกแรงหรือใช้วิธีใดเข้าช่วยเลยแม้แต่น้อย
“จะยืนตะลึงบนนั้นอีกนานมั้ย
เดี๋ยวกิ่งไม้ก็หักร่วงลงมาหรอกจะหาว่าข้าไม่เตือน”
พอเงยหน้าขึ้นมาคราวนี้กงชานจึงได้เห็นโฉมหน้าใหม่ของปิศาจตนนี้ได้ชัดเจนมากขึ้น
ร่างเล็กที่อยู่เหนือกว่าสังเกตมองเห็นหูแหลมๆและหางพวงเป็นพุ่มสีขาวสะอาดงอกออกมาจากทางด้านหลังของลำตัวและบนศีรษะที่เป็นมนุษย์
อาจเป็นผลมาจากการแปลงกายครึ่งๆกลางๆที่ต้องอาศัยเล็บคมๆของสุนัขจิ้งจอกตัดเชือกให้เขา
ทำให้อีกคนอยู่ในสภาพครึ่งคนครึ่งจิ้งจอกอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้
“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่…”
พอไต่ตัวลงจากต้นไม้สูงได้ซาตานน้อยฝึกหัดก็มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเริ่มตั้งคำถามทันที
อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากยิ้มตาหยีให้เขาอีกรอบ
“ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง
นึกว่าเจ้าจะรู้ตั้งแต่ที่เห็นข้าครั้งแรกแล้วซะอีก”
“ไม่…เจ้าไม่ใช่ปิศาจ ไม่มีปิศาจตนใดที่ไม่เกรงกลัวไม้กางเขน”
“งั้นข้าก็คงจะเป็นคนแรกอีกแล้วกระมัง
^^”
“นี่! อย่ามาพูดจาโยกโย้ข้านะ -*-”
กงชานชักเริ่มหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ยอมตอบอย่างตรงประเด็นซักที
แถมยังใช้คำตอบเดิมย้อนตอบเขาด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงแบบนั้นอีก
คิดแล้วน่าหงุดหงิดชะมัด…มันต้องเป็นเขาไม่ใช่เหรอที่ต้องเป็นฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่า
เขาเป็นถึงลูกของหัวหน้าซาตานผู้คุมวิญญาณภูตผีปิศาจทุกตัวบนโลกนี้เชียวนะ
“ข้าพูดความจริง
เจ้าจะไม่เชื่อก็ตามใจ เพราะข้าก็คงไปบังคับจิตใจใครให้เชื่อตามสิ่งที่ข้าคิดไม่ได้”
ปิศาจประหลาดตัวนั้นเอาหัวพิงต้นแอปเปิลแล้วยักคิ้วใส่ “เจ็บตรงไหนหรือเปล่าล่ะ”
“ก็…เอ่อ…แสบร้อนตัวนิดหน่อย” กงชานเอาแขนลูบตามตัวเพื่อตรวจเช็คสภาพร่างกายตัวเอง
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าติดค้างอะไรบางอย่างกับคนตรงหน้า “ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้…”
“นึกว่าเจ้าจะปล่อยเบลอเรื่องนั้นไปแล้วเสียอีก”
“ข้าไม่ได้ไร้มารยาทขนาดนั้นหรอกน่า
ที่ข้าไม่พูดตั้งแต่แรกเพราะข้ากำลังหงุดหงิดกับคำพูดเจ้าต่างหาก =*=”
“ที่ข้าแซวว่าเจ้าเป็นซาตานที่อยากกินแอปเปิลน่ะเหรอ”
ปิศาจที่เป็นหนี้บุญคุณเขาพูดด้วยน้ำเสียงกลั้นขำเมื่อเห็นสายตาจิกของซาตานหน้าสวยตรงหน้า
จะว่าไปกงชานก็เป็นซาตานที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับมนุษย์ทั่วไป
ดวงหน้าหวานรับกับดวงตากลมโตสีน้ำตาลอมเขียวที่ดูคล้ายคนกำลังหงุดหงิดกับเรื่องบางอย่างในใจอยู่ตลอดเวลา
ตัวผอมกงโก้ ผิวขาวติดออกไปทางเกือบซีดเผือด แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เท่ากับปิศาจจิ้งจอกเก้าหางที่กำลังพูดจากวนทะเล้นเขาอยู่
แก้มของกงชานขึ้นสีน้ำตาลอมเลือดฝาดอย่างคนมีน้ำมีนวลมากกว่าเหมือนซาตานที่กำลังเติบโตเต็มวัย
มีหางหนามยาวๆสีแดงอมชมพูที่ชี้เป็นลูกศรตรงปลายหางตวัดไปมาไม่อยู่นิ่งเฉย
บนศีรษะมีเขาเล็กๆแหลมอยู่พอตัวที่เพิ่งงอกพ้นเส้นผมนุ่มนิ่มสีเทาควันบุหรี่เหลือบเงินให้พอดูรู้ว่าไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา
ตรงกลางหลังมีปีกสีน้ำตาลคู่จิ๋วที่ดูแล้วใช้คำว่าน่ารักน่าจะเหมาะมากกว่าคำว่าสง่างามเป็นไหนๆ
“เจ้าดูมีปัญหากับเรื่องกับแอปเปิลเสียจริงนะ
-*-”
“อย่าถือสาข้าเลย
ข้าเพียงแค่เคยได้ยินเรื่องที่ซาตานในสวนเอเดนที่ล่อลวงมนุษย์หญิงอีวาให้กินแอปเปิลก็เท่านั้น
แต่ไม่เคยเห็นซาตานตนไหนที่อยากกินแอปเปิลเสียจนปีนขึ้นไปติดกับดักที่มนุษย์ทำไว้เลยสักคน
เจ้าเป็นคนแรก”
ยิ่งพูดเหมือนยิ่งตอกย้ำในความเขลาของตัวเองที่เกิดเป็นซาตานมีอำนาจมากกว่ามนุษย์แท้ๆแต่ดันถูกหลอกให้ติดอยู่บนต้นไม้ตั้งนานสองนาน
กงชานชำเลืองมองดูปิศาจจิ้งจอกเก้าหางในร่างชายหนุ่มหน้าตาดีที่ยืนแทะแอปเปิลด้วยความแค้นเคือง
หากแต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรไปมากกว่านั้น “เพิ่งมาฝึกงานตามคำสั่งท่านพ่อวันแรกเหรอ? ^^”
“ท่านพ่อข้ามอบหมายให้ข้ามาคอยควบคุมพวกวิญญาณที่กลับมายังโลกมนุษย์ในค่ำคืนฮาโลวีน
นี่จึงเป็นคืนแรกที่ข้าได้ขึ้นมาฝึกงานบนโลกมนุษย์ในฐานะผู้คุมซาตานฝึกหัด”
“ฮ่าๆ
มิน่าล่ะสีหน้าเจ้าถึงดูไม่เต็มใจทำหน้าที่นี่เอาซะเลย
อยากได้ไกด์พาไปเที่ยวชมเทศกาลในหมู่บ้านข้างล่างนั่นแก้เซ็งมั้ยล่ะ”
ดวงตาเจ้าเล่ห์เฉกเช่นสุนัขจิ้งจอกทอดสายตานำร่องไปยังหมู่บ้านข้างล่างหุบเขาที่ถูกตกแต่งประดับประดาด้วยลูกไฟสีส้มในผลฟักทองแกะสลัก
มีกระดาษสีตัดแขวนตามหน้าบ้านจัดแต่งไว้อย่างสวยงามต้อนรับเทศกาลในคืนปล่อยผีให้คนมาเดินเที่ยวชม
รอยยิ้มมีเลศนัยน์นั้นยกที่มุมปากหยักรอให้อีกคนได้มีเวลาตัดสินใจ
ดวงตากลมโตบนใบหน้าหวานนั่นกะพริบปริบๆพลางขมวดคิ้วราวกับคิดในใจว่าเขาคงเพี้ยนไปแล้วที่อยู่ดีๆก็ยื่นข้อเสนอนี้มา
“ข้าไม่ได้ร้องขอเจ้าเลยซักนิด”
เรียวปากบางสีแดงราวกับโลหิตนั้นว่ากลับขณะที่ชักสีหน้า
ทำให้อีกฝ่ายเพิ่งสังเกตได้ว่าอีกคนมีเขี้ยวสีขาวเล็กๆน่าเอ็นดูขึ้นอยู่ที่มุมปากด้วย
“อยู่บนหุบเขานี่น่าเบื่อกว่าตั้งเยอะ
ข้าต้องรู้ดีอยู่แล้วเพราะตัวข้าเองก็อยู่ที่นี่มาตั้งเกือบหลายร้อยปี
ที่นี่ไม่มีอะไรนอกจากหน้าผากับเสียงสายลมยามราตรีที่กรีดร้องโหยหวน
ข้าเดาว่าเจ้าคงชินกับสิ่งเหล่านี้จากในนรกมาจนไม่อยากต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกแล้วถูกมั้ยล่ะ”
เสียงทุ้มนั่นยังคงพูดจาเกลี้ยกล่อมต่อไป กงชานกำลังอยู่ในภาวะไม่สบอารมณ์อย่างหนักที่ถูกพ่อบังคับให้มาทำหน้าที่ที่สุดแสนจะน่าเบื่อเช่นนี้จนไม่อยากเสวนากับใครให้มากเรื่องมากความ
“เอ่อ
นั่นอะไรน่ะ…”
กงชานถามขณะที่จับจ้องไปยังลูกไฟในผลฟักทองสลักสีส้มสดใสที่เห็นจากบนหุบเขาไกลจากตัวหมู่บ้านลิบๆ
จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มีโอกาสมาใกล้ชิดกับโลกมนุษย์มากขนาดนี้
มากจนเมื่อกี้เกือบจะเอาตัวเองไปเสี่ยงตายเป็นซาตานโดนย่างแล้วมั้ยล่ะ…
“สนใจเรื่องโลกมนุษย์ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะสิ
^^” ปิศาจหน้าตากะล่อนเข้ามาประกบทางด้านหลังพลางใช้สายตากวาดมองดูว่าสิ่งที่เขากำลังพูดถึงหมายถึงอะไร
“เจ้าไม่รู้จักแจ็ค โอแลนเทิร์นหรือไง”
“ไม่
ถ้าเป็นแจ็คฟรอสต์หรือแจ็คสแปร์โร่วก็พอรู้จักอยู่ หมอนั่นเป็นคนสำคัญมากจนต้องรู้จักหรือไง”
กงชานถามด้วยเสียงประชดประชัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจ
“เป็นซาตานแต่ดันไม่รู้จักแจ็ค
โอแลนเทิร์น….หมอนี่ดังกระฉ่อนในด้านชื่อเสียจะตายสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่”
พุ่มหางจิ้งจอกสีขาวสะบัดต้องแสงจันทร์เต็มดวงไปมาระหว่างที่เรื่องถูกเริ่มต้นเล่า
“แจ็คเป็นมนุษย์คนแรกที่ล่อลวงเจ้าแห่งซานตานให้มาติดกับดักบนต้นแอปเปิลอย่างที่เจ้าโดนเมื่อกี้ได้สำเร็จ
แต่อย่ากังวลไป มันไม่น่าจะเป็นต้นแอปเปิลต้นเดียวกันกับที่เจ้าขึ้นไปยักแย่ยักยันอยู่ข้างบนหรอก
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นนานมาก..นานจนแทบจะกลายเป็นตำนานของหมู่บ้านนี้ไปได้แล้ว”
เสียงที่เล่ามีโทนต่ำสูงน่าฟังจนกงชานเกือบเคลิบเคลิ้มนั่งเท้าคางฟังอย่างเพลิดเพลินบนขอนไม้ใกล้ๆ
แต่พอเห็นประกายวิบวับในแววตาเจ้าเล่ห์ซาตานน้อยก็ได้สติและสะดุ้งออกจากภวังค์ทันที
“เจ้าแห่งซาตาน? นี่เจ้ากำลังหมายถึง…”
“พ่อของเจ้าไงล่ะ”
“อย่ามาอำกันซะให้ยาก
ท่านพ่อไม่เห็นจะเคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังซักครั้ง -*-”
“เป็นข้าถ้าพลาดท่าเสียทีให้กับมนุษย์จนกลายเป็นตำนานเล่าขานต่อกันมาขนาดนี้
ข้าก็คงเลือกที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับไม่เล่าให้ลูกตัวเองฟังหรอก ^^”
“…” พอได้ฟังเหตุผลของคนเล่าที่ยกขึ้นมาประกอบก็ทำให้ริมฝีปากบางสีแดงจัดที่เคยเถียงฉอดๆหุบนิ่งหยุดคิดไป
อีกฝ่ายหนึ่งจึงได้ใจเล่าต่อทันที
“แจ็คคือคนที่กล้าหาญพอที่จะต่อกรกับซาตานได้สำเร็จถึงสองครั้งพร้อมกับข้อแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง
และแน่นอนว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างเขาชนะอย่างไม่ต้องสงสัย…”
ไม่รู้ว่าปิศาจจิ้งจอกตรงหน้าหยุดเรื่องเล่าเพื่อหัวเราะเบาๆกับตัวเองเพื่ออะไร
แต่กงชานก็ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะสายตากลับไปสะดุดกับรอยสักสีดำเข้มบนลำคอสีขาวเผือดของคนที่กำลังเล่าเรื่องแทน
รอยสักนั้นเป็นเหมือนรูปสัญลักษณ์ตะขอที่คล้ายกับตัวเจ…
“ข้อแลกเปลี่ยนอะไร”
เสียงหวานของซาตานตัวน้อยยังถามไปตามน้ำ
“เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่สูงค่า
และต้องแลกกับชีวิตหลังความตายแทบทั้งชีวิตของเขาไปตลอดกาล”
รอยยิ้มที่มุมปากผุดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อฟังน้ำเสียงของคู่สนทนาแล้วสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นเล็กๆ
“เล่าต่อสิ”
กงชานยิ้มแยกเขี้ยวคู่เล็กๆกลับ
แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองเขากลับด้วยแววตาบางอย่างที่เปลี่ยนไปพร้อมกับคำปฏิเสธเสียดื้อๆ
“เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าคำขอบคุณของเจ้าเมื่อกี้นี้มันเทียบกันไม่ได้เลยกับที่ข้าต้องเสี่ยงตายแปลงร่างเป็นจิ้งจอกเพื่อช่วยเข้าจากกลุ่มมนุษย์เลวๆพวกนั้น
^^”
“ไม่อยากเล่าต่อก็เรื่องของเจ้าสิ
ทำอย่างกับข้าอยากรู้มากจนต้องงอนง้อให้เจ้าเล่าต่อนักนี่!”
“ไม่รับฟังข้อเสนอของข้าก่อนเหรอ
นอกจากจะได้ฟังเรื่องที่เจ้าอยากรู้จากปากข้าต่อแล้วข้ายังจะพาเจ้าไปเที่ยวชมเทศกาลที่หมู่บ้านข้างล่างนั้นด้วยนะ”
ปิศาจเจ้าเล่ห์ปรายตามองผ่านเล็บมือพลางอมยิ้มกรุ้มกริ่มมีเลศนัยน์
“เจ้าต้องการอะไรจากข้ากันแน่
ที่มาช่วยข้าเมื่อกี้นั่นอย่าบอกนะว่าก็เป็นเพราะหวังผลตอบแทน” กงชานถามด้วยสายตาที่ขุ่นไม่แพ้น้ำเสียง
ปีกสีน้ำตาลคู่จิ๋วที่กลางหลังห่อลงตามระดับอารมณ์
“ก็ไม่เชิง
อย่ามองข้าในแง่ร้ายนักเลย
ถึงโบราณจะว่าจิ้งจอกเป็นสัญลักษณ์ของความเจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ได้จริงเสียทั้งหมดหรอก”
เท้ายาวก้าวเดินเข้ามาใกล้แล้วหยุดตรงหน้าซาตานที่กำลังจ้องหน้าเขากลับอยู่เช่นกัน
“ข้าช่วยเจ้าเมื่อกี้นี้เพราะข้าอยากช่วยจริงๆ ^^”
“….” หมอนี่…ยิ่งมองยิ่งคุ้นเหมือนเคยเห็นหน้าที่ไหนมาก่อนหรือเปล่านะ
“ข้าเป็นไกด์ที่ดี
ฮาโลวีนปีหน้ารับรองเจ้าจะต้องติดใจอ้อนวอนให้ข้าพาเที่ยวรอบหมู่บ้านข้างล่างนั่นอีกแน่…”
“ต้องการอะไรว่ามา”
กงชานบอกปัดเรื่องให้จบๆไป
เท่านั้นปิศาจตรงหน้าก็ยิ้มแก้มแทบปริแล้วรีบพูดเข้าเรื่องทันที
“เสกไฟให้ข้าที
^^”
“ว่าไงนะ”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก
ข้าต้องการลูกไฟ แค่ดวงเดียวเล็กๆก็พอข้าไม่ชอบดวงใหญ่มาก” ร่างสูงของครึ่งคนครึ่งจิ้งจอกทำไม้ทำมือประกอบให้เห็นภาพขนาดของลูกไฟที่ตัวเองต้องการไปด้วย
กงชานมองด้วยความฉงนสงสัย
“เจ้าจะเอาลูกไฟที่ข้าเสกให้ไปทำอะไร”
“ข้ากลัวความมืด
เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ถ้าข้าจะบอกเจ้าว่าที่ข้าออกมาช่วยเจ้าเมื่อกี้ก็เพราะว่าข้าออกมาเดินเล่นนอกถ้ำคนเดียวเพื่อต้องการให้มีแสงจันทร์ส่องคอยเป็นเพื่อน”
“เจ้าเนี่ยนะกลัวความมืด
แต่เจ้าเป็นปิศาจ…ปิศาจกับความมืดย่อมต้องเป็นของคู่กัน”
“ข้าเป็นสิ่งไร้ชีวิตที่เดินมาไกลมากยิ่งกว่าคำว่าปิศาจ…”
เสียงที่ลงท้ายประโยคนั้นดูแผ่วลงไม่ร่าเริงเท่าประโยคก่อนหน้านี้ “และเชื่อเถอะว่าดวงไฟที่เจ้าเสกให้ข้าจะมีประโยชน์และอยู่กับข้าไปอีกนานแสนนาน
เพราะอย่างไรเสีย…ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอยู่บนโลกนี้ต่อไปจนกว่าอสงขัยแห่งเวลาจะสิ้นสุดลง”
ความลับเยอะเสียจริง
เรียกร้องให้ทำนั่นนี่ให้แล้วยังจะมากั๊กความจริงเรื่องตัวเองอีกงั้นเหรอ แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าพอได้ฟังน้ำเสียงหดหู่และใบหน้าเศร้าๆของอีกคนที่ทอดให้เห็นเลือนลางใต้แสงจันทร์ดวงกลมโตที่ส่องอยู่ก็ทำให้กงชานใจอ่อนยวบเอนเอียงไปได้เหมือนกัน
จากดวงตายาวพาดเฉียงบนใบหน้าคมคายที่เคยดูเจ้าเล่ห์กะลิ้มกะเหลี่ยขาดความน่าเชื่อถือ
ตอนนี้เขากลับเห็นร่องรอยความเจ็บปวดของอะไรบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือและเยียวยาจากผู้อื่นคอยชะโลมจิตใจ
“ไม่ขอร้องให้ผู้อื่นเสกให้บ้างล่ะ”
กงชานถามหยั่งเชิง
“ข้าเคยมีอยู่ดวงหนึ่ง
แต่ในตอนนี้มันสิ้นอายุขัยไปแล้ว” สิ้นอายุขัย? หมายความว่าอยู่มานานมากจนมนต์นั้นเสื่อมสภาพแล้วอย่างนั้นเหรอ ปิศาจตนนี้อยู่ที่โลกมนุษย์มานานเท่าไหร่แล้วนะ
“แปลว่าเจ้าเคยขอกับท่านพ่อข้ามาแล้วสินะ”
“มีเพียงแค่ซาตานที่มีเวทมนต์แก่กล้าเท่านั้นที่จะสามารถมอบสิ่งนี้ให้กับข้าได้
อย่างที่เจ้ารู้…พวกปิศาจอย่างข้าสามารถเสกอะไรด้วยเวทมนต์ให้ตัวเองตามใจชอบได้ที่ไหน
นอกเสียจากว่าจะเสกสิ่งนั้นให้ผู้อื่นด้วยจิตใจที่อยากให้จริงๆเท่านั้น ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วล่ะว่าจะเมตตาข้ามากน้อยเพียงใด”
คนที่เอ่ยขอระบายรอยยิ้มบางๆ
แต่แปลกที่ครั้งนี้รอยยิ้มนั้นดูอบอุ่นน่าคบหากว่าเดิมขึ้นมาชั่วพริบตา เพียงเพราะเขามีท่าทีเห็นอกเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมาบ้าง
“ดวงไม่ใหญ่มากก็พอเสกให้ได้
จะยืนนิ่งทำหน้าเศร้าอีกนานมั้ย…ไปหาตะเกียงมาใส่สิ”
ดวงหน้าสวยบอกด้วยเสียงที่เรียบนิ่งรักษากริยาได้ดีเสมอต้นเสมอปลาย
ต่างจากอีกฝ่ายที่ยิ้มยิงฟันขาวสะบัดพุ่มหางจิ้งจอกไปมาอย่างร่าเริง ก่อนจะเดินไปหาวัสดุแถวต้นแอปเปิลอย่างกระวีกระวาด
“งั้นเจ้ารอข้าแป๊บเดียว
^__^”
“อย่านานนักล่ะ
ข้าไม่ชอบคนโอ้เอ้ทำให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์”
ถึงน้ำเสียงจะฟังดูชักสีหน้ามากแค่ไหนแต่มือทั้งสองข้างก็ใช้ร่ายมนต์ประคองลูกไฟดวงกลมสีเหลืองอมเขียวมะนาวที่เสกขึ้นมาอย่างตั้งใจไม่ให้เวทย์สลายตัวไปเสียก่อน
ได้ยินเสียงสวบสาบของฝีเท้าปิศาจหนุ่มช่างขอที่ยังพอดังให้ได้ยินเป็นระยะว่าไม่ได้เดินไปไหนไกลเท่าไหร่นัก
สักพักเสียงฝีเท้าที่ว่านั้นก็เดินเข้ามาใกล้ทางด้านหลังจนต้องหันหน้ากลับไปดูว่าอีกคนไปหาสิ่งใดมาทำเป็นตะเกียงกันแน่ถึงได้รวดเร็วนัก
“ทำไมตะเกียงของเจ้าจะต้องทำมาจากแอปเปิลด้วย
=*=”
คนที่ทำตามคำขอว่าเสียงเกือบแหวเมื่อเห็นอีกฝ่ายถือลูกแอปเปิลขนาดกำลังดีสีเขียวสดใกล้เคียงกับลูกไฟที่เขาเสกให้ยื่นมาให้เขา
ปิศาจเจ้าเล่ห์หัวเราะจนตัวโยนพอเห็นเขาทำหน้ามุ่ยไม่พอใจ
“ก็แถวนี้มันมีแต่ต้นแอปเปิล
เจ้าจะให้ข้าไปหาทุเรียนมาทำเป็นตะเกียงหรือไง”
“เจ้าจงใจตอกย้ำซ้ำเติมเรื่องที่ข้าติดกับดักมนุษย์พวกนั้นเมื่อครู่นี้ชัดๆ”
“เมื่อก่อนข้าเคยใช้ฟักทองทำเป็นโคมไฟ
สวยดีอยู่หรอกแต่ออกจะใหญ่เทอะทะไปเสียหน่อย เปลี่ยนมาใช้ลูกแอปเปิลขนาดเท่านี้ก็ดีแล้ว
พกพาไปไหนมาไหนง่ายสะดวก แถมเวลาที่เห็นมันยังทำให้ข้านึกถึงคนที่ให้ลูกไฟดวงนี้กับข้าด้วย
^^”
พอโดนยักคิ้วกวนประสาทขณะที่ให้เหตุผลกงชานเองก็จนปัญญาจะหาคำไหนมาต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีก
เนื่องจากแก้มทั้งสองข้างเกิดร้อนผะผ่าวขึ้นมาเสียดื้อๆ ซาตานฝึกหัดจึงทำได้แค่เพียงร่ายมนต์เสกให้ลูกไฟนั้นลอยเข้าไปอยู่ในผลแอปเปิลที่อีกคนถืออยู่อย่างช้าๆไร้ทางเลือก
หากพิจารณามองดูอย่างไร้อคติแล้วก็ปฏิเสธได้ยากว่าถึงมันจะเป็นโคมไฟที่ค่อนข้างประหลาด
แต่ก็ดูสวยงามด้วยแสงทอประกายสีเขียวอมเหลืองแก่ของผลแอปเปิลที่เปล่งแสงเรืองรองงดงามในยามค่ำคืนที่มืดมิดได้อย่างลงตัวมากกว่าที่คิดไว้ตอนแรก
ดูท่าว่าเจ้าตัวจะชอบของขวัญที่เขาเพิ่งมอบให้มากเสียด้วยจึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ยอมหุบเสียที
“ขอบคุณ…”
“…”
“รู้มั้ยว่าเจ้าเป็นซาตานที่ดี…ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จักมาในชีวิตเลย”
“ไม่ต้องมาทำเป็นยกยอข้าไปหรอกน่า
เล่าต่อได้หรือยังว่าอีตาแจ็คอะไรนั่นตกลงข้อแลกเปลี่ยนอะไรกับซาตานกันแน่”
กงชานได้ทีเลยรีบวกเข้าเรื่องพลางสะกิดชายแขนเสื้อที่รุ่ยเกือบขาดของปิศาจที่ยืนตรงหน้ายิกๆเพื่อทวงข้อตกลง
ดวงตาเรียวรีที่พาดเฉียงยาวเหนือใบหน้าหล่อเหลาใต้แสงจันทร์ยกคิ้วเข้มพลางละสายตาจากโคมไฟผลแอปเปิลในมือชั่วครู่ก่อนจะยิ้มกว้างระบายเสียงหัวเราออกมาเบาๆ
“ข้าได้ทำตามข้อตกลงไปแล้วต่างหาก
^^”
“อะ..อะไรนะ! แต่เจ้ายังไม่ได้เล่า…”
“ไปเถอะ
ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมรอบหมู่บ้าน”
มือหนาที่ใหญ่กว่าเลื่อนลงมาคว้ามือเล็กซีดที่หนาวเย็นของอีกคนมากุมไว้อย่างถือวิสาสะ
พลางออกแรงดึงกระตุกเล็กๆให้อีกคนเดินตามมาใกล้ๆกัน
กงชานอยากจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดสะบัดออกแต่ก็น่าแปลกที่ซาตานมากด้วยอิทธิฤทธิ์เวทมนต์อย่างเขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยพอได้มาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
โดยเฉพะกับปิศาจจิ้งจอกเก้าหางที่เจ้าเล่ห์เพทุบายตนนี้ที่กำลังกุมมือเขาอยู่….นี่เขากำลังปล่อยให้อีกฝ่ายเดินจับมือไปไหนมาไหนก็ได้ตามใจชอบงั้นเหรอ
ท่านพ่อสั่งให้ข้ามาทำงานในคืนนี้นะไม่ได้ให้มาเที่ยวเล่นซะหน่อย!
“โคมไฟของเจ้าเหมือนถูกเสกมาได้ทันใช้งานพอดีเลยเห็นหรือเปล่า
ข้าไม่ได้ขอในสิ่งที่เปล่าประโยชน์เสียหน่อย” ระหว่างที่มองรอยสักตัวอักษรสีดำทะมึนบนลำคออีกฝ่ายขณะที่เดินตามไปด้วยกงชานก็สังเกตได้ว่าคนที่เดินนำหน้าเขากำลังอมยิ้มเป็นปริศนาอยู่
คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันพร้อมกับดวงตากลมโตที่หรี่ลงอย่างสงสัยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร…”
“…”
“ใช่ชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัวเจหรือเปล่า
ข้ามองรอยสักที่คอเจ้ามานานแล้ว”
“…เจ้าจะเรียกข้าว่าจินยองก็ได้”
“อ้อ
ข้าชื่อ…”
“ไม่ต้องหรอก
ข้ารู้จักชื่อเจ้าดี”
“เอ๋…”
“ว่าแต่เจ้าอยากไปที่ไหนของหมู่บ้านก่อนดีล่ะกงชาน
^^”
รอยยิ้มภายใต้แสงจันทร์ที่สาดแสงนวลมายังหุบเขาในป่าร้างรกทึบในวันนั้น
เสียงนุ่มน่าฟังที่เอ่ยชื่อเขาได้ถูกแม่นยำอย่างเป็นปริศนา ภายใต้ดวงตาเจ้าเล่ห์เป็นประกายหากแต่น่าจับตามองคู่นั้นมีบางอย่างที่ทำให้กงชานรู้สึกว่าเขาเองก็คุ้นเคยกับชายผู้นี้อย่างน่าประหลาดเสียจนไม่อยากจะถามเซ้าซี้สิ่งใดเพิ่มจากอีกฝ่ายแล้ว
“ข้า…อยากลองกินขนมบนโลกมนุษย์ที่อร่อยๆ…”
“งั้นข้าจะพาไปเล่นสนุกข้างในหมู่บ้านนั่นกัน”
ช่างเป็นปิศาจจิ้งจอกเก้าหางที่น่าค้นหาที่สุดในชีวิตของเขาที่เคยเจอมาเสียจริงๆ….
“ทริคออร์ทรีท?”
“ใช่
มนุษย์ที่นี่เขามีวัฒนธรรมเล่นกันแบบนั้น” จินยองเอ่ยสมทบอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นกงชานที่เดินเกาหัวอยู่ข้างๆกำลังเอ่ยทวนคำที่เพิ่งได้เรียนรู้มาจากเขาเมื่อกี้หยกๆ
เขาสอนกงชานให้ได้เรียนรู้ว่าหากจะขอขนมจากมนุษย์บนโลกในวันนี้
สิ่งสำคัญที่พวกมนุษย์ต้องทำกันก็คือแต่งกายให้เหมือนภูตผีปิศาจมากที่สุดแล้วพากันตระเวนไปเคาะประตูบ้านแทบทุกหลังในหมู่บ้านที่แขวนโคนไฟรูปฟักทองสีส้มเอาไว้ที่หน้าบ้าน
ถามคำถามยอดนิยมด้วยการให้เจ้าของบ้านได้เลือกว่าจะ ‘ให้หลอก’ หรือว่า ‘จะเลี้ยงขนมเอง’
ถ้าหากว่าตอบทริค…คนที่แต่งกายเป็นภูตผีปิศาจที่มาเคาะประตูนั้นมีสิทธิ์ที่จะหลอกหรืออาละวาดเจ้าของบ้านด้วยวิธีการต่างๆอย่างไรก็ได้เพื่อให้เจ้าของบ้านกลัวจนยอมแพ้และยอมให้ขนมแต่โดยดี
แต่หากตอบทรีทตั้งแต่ต้นนั่นแปลว่าเราก็จะได้ขนมหวานอร่อยๆมากินฟรีๆโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย
“น่าสนุกจังแฮะ
ข้าไม่ยักรู้ว่าประเพณีวันฮาโลวีนที่ท่านพ่อได้ปล่อยภูตผีปิศาจเหล่านี้ได้กลับบ้านไปหาคนที่ตัวเองรักทุกๆปีจะต้องมีการละเล่นสนุกๆอะไรแบบนี้ในวันนั้นด้วย”
กงชานหยิบขนมข้าวโพดสีเหลืองสุกหอมฉุยที่จินยองเพิ่งได้มาจากการสาธิตเข้าไปเล่นกับเจ้าของบ้านหนึ่งที่เป็นหญิงชราหูตาฝ้าฟางให้เขาดูเป็นตัวอย่างเข้าปากเคี้ยวกร้วมๆอย่าเอร็ดอร่อย
แน่นอนว่าหญิงชราคนนั้นตอบคำว่าทรีทเพื่อเต็มใจยกขนมให้ปิศาจจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ไปง่ายๆ
โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนที่มาเคาะประตูบ้านเจ้าหล่อนแท้จริงก็คือปิศาจตัวจริงที่แอบเนียนปลอมตัวเป็นมนุษย์มาขอขนมนั่นเอง
-_-
“แต่จากนี้หากเจ้าได้คุมวิญญาณมายังโลกมนุษย์ทุกปีในวันนี้
เจ้าก็จะได้เห็นประเพณีของจริงจนเบื่อไปเลยล่ะว่าคนที่นี่เขามีวิธีเฉลิมฉลองกันยังไง”
จินยองอธิบายเสริมพลางหยิบขนมในตะกร้าที่ถือมาขึ้นมากัดชิ้นหนึ่งอย่างสบายใจ ทั้งคู่กำลังเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเปลี่ยววังเวงบนถนนสายแคบๆในหมู่บ้านที่ทอดยาวจนเห็นเพียงแค่ดวงจันทร์กลมโตดวงเดิมที่อยู่ไกลลิบต่างจากที่เห็นบนภูเขาเมื่อกี้
สองข้างทางแทบทุกบ้านถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟสลักทำจากฟักทองสีส้มสดใส
แกะสลักเป็นรูปหน้าภูตผีปิศาจหน้าตาน่ากลัวประดับแขวนไว้ที่หน้าบ้าน
ได้กลิ่นขนมหวานลูกกวาดรสต่างๆที่พวกมนุษย์ตั้งใจทำเตรียมต้อนรับแขกที่จะมาเยือนหน้าบ้านในวันนี้โชยอบอวนหอมหวนมาจากข้างในบ้านที่มีกระดาษหลากสีสันแปะดูสวยงาม
รอบกายมีมนุษย์เด็กตัวเล็กตัวน้อยวัยไล่เลี่ยกันตั้งแต่วัยกำลังซนไปจนถึงวัยรุ่นที่พากันแต่งกายเป็นภูตผีปิศาจประชันกันว่าใครจะน่ากลัวมากกว่าใคร
“ข้าชอบวันนี้…เป็นไปได้ข้าจะขอท่านพ่อกลับมาคุมวิญญาณที่โลกมนุษย์วันนี้ทุกปีเลย”
กงชานเอ่ยยิ้มๆหลังจากที่ได้มองบรรยากาศแห่งความสุขโดยรอบแล้ว
จินยองหัวเราะกับประกายแววตาที่ดูตื่นตาตื่นใจกับสิ่งรอบข้างด้วยความขัน
“ครั้งแรกที่ข้าเจอเจ้าโดนมอบหมายให้มาทำหน้าที่นี้บนโลกเจ้ายังหน้าหงิกเป็นตูดอยู่เลยไม่ใช่หรือไง”
“นั่นมันก่อนที่ข้าจะได้มารู้ว่าการเฉลิมฉลองของพวกมนุษย์ในหมู่บ้านจะสนุกแบบนี้นี่นา”
กงชานเถียงกลับแล้วหยิบช็อคโกแลตรูปแมงมุมยักษ์ขึ้นมากัดกร้วมๆ “อร่อย
เอาเจ้านี่กลับไปกินที่นรกข้าว่ามันคงได้ละลายเสียก่อน”
“เพราะงั้นนี่คือความพิเศษของคืนฮาโลวีนไง
^^” จินยองเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะยักคิ้ว
“เจ้าต้องตักตวงทุกอย่างในคืนนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่งั้นโอกาสเจ้ามีอีกทีนั่นก็คือ…”
“ปีหน้า…” กงชานถอนหายใจอย่างปลงตกก่อนจะกลืนช็อคโกแลตลงคอ
เศษคราบขนมยังคงติดที่มุมปากเรียวเล็กเป็นบางจุดดูน่าตลกมากกว่าที่จะใช้คำพูดว่าน่าเกลียด
“ฟังดูยาวนานจังเลยนะ”
“ไม่นานหรอก
หากเจ้าใช้ชีวิตทุกวันให้อยู่อย่างมีค่า
มีคนรอคอยต้อนรับเจ้าอย่างอบอุ่นอยู่ที่เดิมแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นเดือนหรือเป็นปี…แม้ว่ามันจะมีวันนั้นวันเดียวที่คนคนนั้นรอคอยเจ้า
เจ้าก็จะตั้งตารอคอยวันนั้นและคิดว่าวันนั้นเป็นวันที่พิเศษที่สุดเสมอ”
จินยองหลบตาก่อนจะตวัดสายตาไปทางเด็กกลุ่มหนึ่งที่อุ้มลูกหมาแต่งชุดมาสคอตฟักทองหน้าตาน่าเกลียดมาทางพวกเขา
“ว้าว~ ชุดพี่เหมือนจริงมากเลยค่ะ”
เด็กผู้หญิงที่อุ้มลูกหมาหน้าตาอัปลักษณ์นั่นเอาปลายนิ้วมาจิ้มที่หางพวงๆของจินยองอย่างชื่นชมใคร่รู้ขี้สงสัย
ในขณะที่เด็กอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นน้องชายเดินไปแตะที่ปีกด้านหลังของกงชานด้วยความตื่นเต้น
“ปีกนี่ก็ด้วย
ผมอยากใส่ชุดสวยๆพวกนี้ปีหน้าบ้าง!”
“บอกให้แม่เราตัดให้เสียก็สิ้นเรื่อง
แม่ของเราต้องตัดให้เราได้อยู่แล้ว!”
เรื่องเด็กน่ะไม่มีปัญหาหรอก ปัญหามันอยู่ที่…
“แฮร่…บ๊อกๆๆๆ!!”
เจ้าหมาอัปลักษณ์ในชุดฟักทองนี่ต่างหากล่ะ -*- ไป ชิ่วๆ!
อย่าปากโป้งไปล่ะว่าข้าไม่ได้เป็นมนุษย์อย่างเจ้านายแก
“เป็นอะไรไปโทบี้
นี่ไม่ใช่หมาจิ้งจอกตัวจริงซะหน่อย ของปลอมที่เขาเย็บขึ้นมาต่างหากเห็นมั้ย”
เด็กน้อยรีบเอาหมาตัวเองให้ออกจากจินยองทันทีเมื่อมันเริ่มมีท่าทีไม่เป็นมิตรกับชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด
กงชานเผลอหลุดหัวเราะพลางเหลือบมองจินยองที่ยืนหน้าถมึงทึงแยกเขี้ยวใส่เจ้าหมาปากโป้งนั้นอย่างเงียบๆด้วยความตลก
ปิศาจจิ้งจอกหนุ่มหันมามองซาตานหน้าหวานที่กำลังใช้ปากปิดเสียงหัวเราะด้วยสายตาขุ่นมัว
“เจ้าขำนักหรือไง
-_-*”
“หมามันดมกลิ่นแล้วก็คงคิดว่าเป็นพวกเดียวกันน่ะ
ฮ่ะๆ ><”
“อย่าเข้าไปใกล้มัน…อยากให้เจ้าหมาโง่นั่นป่าวประกาศให้พวกมนุษย์รู้หรือไงว่าเจ้าไม่ใช่คน”
“หมามันพูดภาษาคนไม่ได้ซักหน่อย
มันจะฟ้องเจ้านายมันได้ยังไงกัน” กงชานแหย่เสียงเย้าพลางใช้สายตายิ้มมองจิ้งจอกที่กำลังเก๊กเข้มทำท่าทีเหมือนไม่ได้เสียฟอร์มอะไร
“คงมีแต่พวกเดียวกันนั่นล่ะที่ฟังรู้เรื่อง ^^”
“เงียบไปเลย”
จินยองว่าสั้นๆก่อนจะใช้หางตาคมตวัดมองเจ้าลูกหมาพันธุ์ทางในอ้อมกอดเจ้าของมันอีกครั้งด้วยความโมโห
แววตาสีน้ำตาลอมเขียวเป็นประกายกลับสะท้อนแสงเปลี่ยนเป็นสีแดงในชั่ววิบตาเดียว
เจ้าหมานั่นถึงกับครางหงิงๆสิ้นฤทธิ์กลัวตัวสั่นหางหดอยู่ในอ้อมกอดเจ้านายมัน
“ว้าวเจ๋งสุดยอดไปเลย! เมื่อกี้ตาพี่ชายคนนี้เปลี่ยนแสงได้ด้วย
พี่ว่าแม่จะทำลูกตาแบบนี้ให้เราได้ด้วยหรือเปล่า” ในขณะที่น้องชายคนเล็กกำลังตื่นเต้นไร้เดียงสากับการเปลี่ยนสีตาของเขา
ส่วนเด็กผู้หญิงคนพี่ก็กลับตาค้างกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พลางจับมือน้องชายตัวดีที่กำลังพล่ามไม่หยุดให้เดินหลบไปอีกทางด้วยมือที่สั่นเทา
“ปะ..ไปเถอะแดนนี่” ก่อนไปเธอหันมาโค้งตัวก้มหัวปะหลกๆให้พวกเขาทั้งสองด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบเผ่นไปอีกมุมถนนหนึ่ง
กงชานส่ายหัวน้อยๆให้กับความเล่นเป็นเด็กของอีกคน
“เจ้าจะไปแกล้งเด็กทำไม”
“ข้าแค่สั่งสอนเจ้าหมาซื่อบื้อหมาของแม่หนูคนนั้นต่างหาก”
จินยองยิ้มกริ่มอย่างผู้ชนะ ยังไงเสียสัญชาตญาณความเป็นสุนัขจิ้งจอกสัตว์ขนาดใหญ่กว่าก็ต้องสามารถทำให้ลูกหมาตัวเล็กๆตัวนั้นกลัวเคารพและยอมเชื่อฟังได้อย่างไม่ยากอยู่แล้ว
“ไม่รู้จักโต”
กงชานว่าอุบอิบ
เพราะยังนึกเสียดายไม่หายที่ไม่มีเวลาได้เล่นกับลูกหมาตัวเมื่อกี้นานกว่านี้
ใช่ว่าเขาจะได้เห็นหมาบนโลกมนุษย์ใกล้ๆแบบนี้ทุกวันนะ…
“ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักโต
ข้าเห็นใครบางคนแถวนี้กินช็อคโกแลตเลอะปากมาเกือบนานสองนานก็ยังไม่รู้ตัวอีก”
ใบหน้าติดไปทางขาวซีดยื่นเข้ามาจ้องใกล้ๆก่อนที่สมองจะประมวลทุกอย่างรอบกายได้ทัน
มืออบอุ่นคู่เดิมที่เคยกุมมือเขาก่อนหน้านี้มาแล้วก็เช็ดเอาสิ่งที่ว่านั้นออกจากเรียวปากบางให้อย่างแผ่วเบาไม่ทันได้ยั้งคิด
ดวงตาคู่โตของกงชานหากมองแล้วไม่ต่างอะไรจากพระจันทร์ที่เต็มดวงลอยอยู่บนฟากฟ้า
ยิ่งมองลึกลงไปจินยองยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหลงใหลในความงดงามหากแต่ลึกลับของพระจันทร์สองดวงที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือคว้ามากขึ้นเรื่อยๆอย่างไม่อาจถอดถอนได้
แต่สำหรับฝ่ายตรงข้ามกลับถอนตัวออกจากความรู้สึกวังวนประหลาดที่ว่านั้นได้อย่างรวดเร็วจนเขาเองยังนึกเสียดาย
“เอ่อ…แล้วมีใครที่นี่อยู่คอยเจ้ากลับมาในวันนี้บ้างหรือเปล่า”
กงชานแกล้งทำเป็นกระแอมกลบเกลื่อน แล้วถอยใบหน้าตัวเองออกมาจากลมหายอุ่นๆของอีกฝ่ายที่คลอเคลียแผ่วรดผิวหน้าเมื่อกี้
เสียงของอะไรบางอย่างในอกที่ไม่ได้เต้นมานานแสนนานกลับเหมือนมีฝูงค้างคาวนับล้านโบยบินจนปั่นป่วนไปหมดจนเขาต้องถอนตัวออกมาเอง
“ใครที่คอยข้างั้นหรือ?”
“เมื่อกี้ก่อนหน้านั้นเรากำลังพูดถึงการทำทุกเวลานาทีให้เป็นการรอคอยอย่างมีคุณค่าอย่างไรล่ะ”
ใบหน้าของกงชานขึ้นสีแดงเรื่อขึ้นมาเสียดื้อๆ แต่ในทางกลับกันคิ้วสวยกลับขมวดเป็นปมเพื่อที่เลือกจะกลบเกลื่อนมันเสีย
“เจ้าบอกข้าว่าหากมีคนรอคอยต้อนรับอย่างอบอุ่นสถานที่นั้นจะกลายเป็นที่ที่มีความหมาย
และทุกวันในวันนั้นต่อให้มีเพียงแค่ปีละหนมันก็จะเป็นวันที่มีความหมายมากที่สุดในชีวิตของเจ้า
เพราะเจ้ารอคอยมันมาตลอด”
“ไม่มีใครอยู่รอคอยข้าตรงนี้แล้วล่ะกงชาน
^^”
จินยองหยุดเดินพลางมองลมหายใจของตัวเองที่พวยพุ่งออกมาเป็นควันสีขาว
นัยน์ตาคู่หม่นทั้งสองข้างเหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีที่เริ่มมีละอองหิมะโปรยปรายลงมาเบาบาง
“มีแต่ข้าที่อยู่ตรงนี้เพื่อใช้เวลาตลอดทั้งชีวิตของตัวเองให้มีค่าเพื่อรอคอยคนอื่น…”
“เจ้า…ไม่มีญาติพี่น้องหรือคนรักหลงเหลืออยู่เลยเหรอ?” กงชานเริ่มห่อตัวเมื่อรู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็นตัวลงเรื่อยๆ
“ข้าไม่ได้เป็นคนดีมีค่าพอให้ใครอยู่รอคอยข้ามาจนถึงตอนนี้หรอก”
แม้จะรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกับคำถาม
แต่กงชานก็ไม่ได้คิดหงุดหงิดอะไรคนตรงหน้า
นัยน์ตาใสหลบลงมองพื้นสลับกับมองหน้าคู่สนทนาก่อนจะเอ่ยขึ้นมานิ่งๆ
“ที่นรก…เรายินดีต้อนรับเจ้าเสมอนะ”
“…”
“…ข้า…ข้าไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น
-_-;; คือข้ากำลังหมายความว่าถ้าเจ้ารู้สึกว่าการที่อยู่บนโลกมนุษย์มันทรมานและทำให้วันเวลาในชีวิตของเจ้าเกิดไร้ค่าขึ้นมาแล้วล่ะก็…นรกยังเป็นสิ่งสุดท้ายที่เจ้าจะนึกถึงและไปที่นั่น
อย่างน้อยเจ้ายังได้มีใครให้พูดคุยหรือนึกถึง
ไม่ต้องอยู่โดยลำพังเป็นปิศาจเร่ร่อนเช่นนี้”
“ข้าไปที่นั่นไม่ได้…”
“ทำไม
คนคนนั้นที่เจ้ารอคอยเขาสำคัญมากจนไม่ว่าจะนานแค่ไหนเจ้าก็จะรอเขางั้นหรือ”
กงชานไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงเริ่มเสียงดังเพราะอารมณ์บางอย่างที่ตีตื้นขึ้นมา
เพียงแค่ปิศาจตรงหน้าจอมกะล่อนนี่ปฏิเสธความหวังดีของเขาทำไมเขาต้องรู้สึกหงุดหงิดแบบนี้ด้วย
“มันก็ไม่ใช่เรื่องนั้นทั้งหมด
แต่ข้าเองก็เชื่อแบบนั้นมาตลอดเช่นกัน” จินยองมองหน้ากงชานด้วยความรู้สึกลำบากใจพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก
“ในที่สุดแล้วเขาจะกลับมาหาข้าเพื่อทำให้ช่วงเวลาในวันนี้ของข้าเป็นช่วงเวลาที่น่ารอคอยกว่าทุกปี…”
“แปลว่าเจ้าเคยเจอเขาแล้ว?”
“ต่อให้ข้าต้องอยู่ที่นี่ตลอดไปเพื่อรอคอยให้วันนี้เป็นวันที่มีค่าเหมือนอย่างภูตผีตนอื่น
ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการรอ…”
อีกครั้งที่อีกคนเลี่ยงประเด็นที่ควรตอบตรงๆไปแล้วกลับถามต่อด้วยคำถามที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับประโยคแรกสักเท่าไหร่
“เจ้ากำลังหงุดหงิดงั้นเหรอ ^^”
“อะ..อะไร ข้าจะต้องหงุดหงิดกับเรื่องส่วนตัวเจ้าทำไมกัน -*-” กงชานโต้กลับเสียงตะกุกตะกักเพราะความหนาวหรือหาเหตุผลมาเถียงไม่ออกก็ไม่สามารถรู้ได้
จินยองพ่นเสียงหัวเราะ
หูจิ้งจอกทั้งสองข้างที่เคยลู่ลงเพราะอารมณ์เศร้าเมื่อครู่กลับมาตั้งอีกครั้งเพียงแค่เพราะเห็นอีกคนกำลังทำท่าตลกกลบเกลื่อนเขา
“งั้นหงุดหงิดเรื่องอะไรกัน
เจ้ายังอยากกินขนมหวานอยู่อีกหรือไง เมื่อกี้ก็แย่งข้ากินไปเกือบหมดตะกร้าแล้วนะ” จินยองชูตะกร้าขนมขึ้นมาแกว่งเล่นตรงหน้าคนที่กำลังทำหน้างอไม่รู้ตัวอยู่
“ข้าหนาว…เลิกเล่นเสียแล้วพาข้าหาที่กำบังได้แล้ว หิมะลงแล้วยังพูดจาไร้สาระอยู่ได้”
กงชานตัดบทด้วยการเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่จินยองก็รีบตามพูดจากวนประสาททัน
“เป็นภูตผีซาตานยังมีความรู้สึกหนาวหลงเหลืออยู่อีกหรือไง
^^”
“…!!” เออใช่…เขาไม่ใช่มนุษย์ซักหน่อยที่จะมีความรู้สึกร้อน
หนาว เจ็บปวดหลงเหลืออยู่ ปล่อยไก่เล้าเบ้อเริ่มไปแล้วมั้ยล่ะ!
“ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำตัวเป็นไกด์ที่ไม่ดีเท่าที่ได้โฆษณาตัวเองเอาไว้ในตอนแรก
แต่ข้าไม่รู้ตัวจริงๆว่ากำลังทำให้เจ้าโกรธเรื่องอะไร เวลาเที่ยวของพวกเรายังมีจนกว่าจะถึงหกโมงเช้า
ข้าไม่อยากให้ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันตอนนี้มันกร่อยโดยเปล่าเหตุ”
จินยองบอกกันตรงๆพลางพยายามจ้องตาค้นหาคำตอบจากอีกฝ่าย
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งหงุดหงิดที่โดนคาดคั้นก็เลยไม่ได้รับความร่วมมือซักเท่าไหร่
“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้ากำลังทำให้บรรยากาศตอนนี้เซ็งงั้นสิ”
“เปล่าเลย
ข้าถามเจ้าตรงๆเพราะข้าไม่รู้จริงๆ หากมันจะมีอะไรที่พอทำให้เจ้าอารมณ์ดีขึ้นมาบ้างข้าก็ยินดีจะทำให้
ขอเพียงแค่วันนี้เจ้าช่วยทำให้มันเป็นวันที่ดีสำหรับข้าเหมือนกับที่มันเป็นวันดีๆของภูตผีตนอื่นได้หรือไม่”
“เจ้าอย่ามายุ่งกับข้าให้มากนักได้มั้ย
เราเพิ่งเจอกันวันนี้แค่วันเดียวครั้งแรกเจ้าก็จับมือข้าโดยไม่บอกกล่าว ครั้งที่สองเจ้ายังเอามือของเจ้ามาโดนปากของข้าโดยพลการอีก
หากเจ้าทำอะไรมากกว่านี้ข้าจะ…”
กงชานยังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรไปมากกว่านี้
ฉับพลันอมยิ้มทรงเปลือกหอยกลมๆสีรุ้งขนาดใหญ่
มีโบว์ผูกเป็นรูปผีเสื้อกลางคืนกางสยายปีกตรงก้านไม้เสียบลูกกวาดก็ร่วงลงมาพร้อมกับเกล็ดหิมะใสเล็กๆที่กำลังโปรยปรายลงมาจากบนฟ้าลงสู่มือเล็กๆอย่างช้าๆ
ไม่รู้ว่าอมยิ้มมหัศจรรย์นั้นถูกเนรมิตมาจากที่ใด หรือด้วยเวทมนต์ของใคร
จนกระทั่งกงชานหันไปมองหน้าปิศาจที่เคยช่างพูดที่อยู่ดีๆก็มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเหวอจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่ต่างกันอย่างครุ่นคิด
และแล้วซาตานตัวน้อยก็เหมือนจะหาคำตอบให้กับตัวเองได้ในที่สุด…
“เจ้า…” ใบหน้าสวยนั้นกำลังกลั้นยิ้มอย่างหนักจนทำให้แก้มนุ่มนั้นบุ๋มลงไปยามเมื่อนึกถึงสิ่งที่ใจตนเองกำลังนึกสันนิษฐานอยู่
“เจ้าคิดว่าอมยิ้มนี่จะทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นได้งั้นเหรอ”
“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร
ข้า..ไม่เข้าใจ”
“เจ้าเป็นคนเสกอมยิ้มนี่ให้ข้าไง”
กงชานชูขนมหวานในมือที่ว่านั้นให้ปิศาจตรงหน้าดูใกล้ๆพลางยิ้มคนเดียวไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น
จินยองใช้สองมือล้วงกระเป๋าเสื้อขาดๆพลางหันหน้าหนีไปกระแอมทางอื่นแล้วบอกปัดเสียงเข้ม
“ปิศาจอย่างข้าจะไปมีเวทมนต์ทำอย่างนั้นให้เจ้าได้ไงกันเล่า
เจ้าเสกขึ้นมาเองแล้วไม่รู้ตัวมากกว่า”
“เสกได้…หากคิดจะเสกสิ่งนั้นเพื่อให้กับผู้อื่น
ไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง” ซาตานตัวผอมเพรียวแยกเขี้ยวยิ้มเงียบๆกับตัวเองอย่างชอบใจ
แน่นอน…เขาอยากลองชิมอมยิ้มมานานแล้ว หากแต่บ้านคุณยายที่ไปขอขนมเมื่อกี้มีแต่ทอฟฟี่
ช็อคโกแลตแมงมุม แล้วก็ขนมข้าวโพดที่เพิ่งกินหมดไป
แม้แต่จินยองเองก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเช่นกัน
เขายอมรับว่าเมื่อครู่นี้ชั่วแว้บหนึ่งในความคิดเขาพยายามคิดถึงสิ่งที่จะทำให้กงชานอารมณ์ดีขึ้น
แล้วเมื่อครู่นี้กงชานก็เพิ่งชมว่าขนมที่โลกมนุษย์นี้อร่อยแต่ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน
ทำให้เขาคิดถึงลูกกวาดหน้าตาน่ารักๆอย่างอมยิ้มสีรุ้งนี่ขึ้นมาเพราะมันเป็นขนมที่สามารถกินได้นานทีละนิดจนกว่าจะหมด
และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอมยิ้มที่กงชานกำลังถืออยู่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับสิ่งที่เขาคิดในหัวทุกอย่าง
ปกติปิศาจทุกชนิดแทบจะถูกจัดให้เป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่ไร้เวทมนต์และพลังอำนาจ
เพราะถึงต่อให้มีเวทมนต์จริงแต่หากต้องใช้เสกให้ผู้อื่นแล้ว
แน่นอนว่าย่อมเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์สิ้นดี
ไม่เคยมีปิศาจตัวไหนที่ใช้เวทมนต์ของตัวเองที่มีได้เพราะโดยธรรมชาติแล้วขึ้นชื่อว่าปิศาจนั้น…ย่อมเป็นสิ่งมีชีวิตที่นิสัยไม่ดี เลวทราม เจ้าเล่ห์
ไร้ความรักความโอบอ้อมอารีในหัวใจ
และเห็นแก่ตัวมากกว่าที่จะเสกสิ่งใดเพื่อเนรมิตความสุขให้กับผู้อื่น
แต่เขากลับทำได้…เพียงแค่อยากจะเห็นซาตานตรงหน้าอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น
“อย่างน้อยข้าก็ไม่มีวันจินตนาการถึงอมยิ้มหน้าตาไร้รสนิยมแบบนั้นอยู่ในหัวแน่”
แต่ความสับสนงงงันในจิตใจก็ทำให้เสียงงทุ้มนั้นรีบตอบปฏิเสธไป
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงข้าเสกกองไฟอุ่นๆให้เจ้าสักกองไม่ดีกว่าหรือไง
เจ้าเองก็บ่นหนาวห่อไหล่แบบนั้นมาตั้งนานสองนานแล้ว”
ไม่ทันสิ้นคำผ้าพันคอที่ทำจากฝ้ายสีขาวนุ่มมือก็ค่อยๆปรากฏขึ้นพันรอบลำคอระหงของอีกคนอย่างแผ่วเบา
แก้มสีอมชมพูของกงชานดูมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างมองสิ่งโอบพันรอบลำคอขาวอย่างพึงพอใจ
ตรงชายผ้าพันคอถักเป็นรูปผลแอปเปิลสีแดงเล็กๆห้อยประดับอยู่ให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น
บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าใครเป็นคนที่เนรมิตมันขึ้นมาให้เขา
“เชื่อสิ
เจ้าไม่ได้อยากให้กองไฟข้าไว้แก้หนาวหรอก” ซาตานหน้าหวานอมยิ้มอย่างอิ่มเอมใจขณะที่หันกลับไปมองใบหน้าของปิศาจจิ้งจอกที่ปกติก็ซีดเผือดไร้ชีวิตอยู่แล้ว
กลับยิ่งซีดเป็นไข่ต้มลงไปอีกเมื่อเห็นผลงานว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“เป็นไปไม่ได้…” จินยองพึมพำ
“ขอบคุณสำหรับผ้าพันคอนะ
แต่…ยอมรับก็ได้ว่าข้าเองก็บ่นว่าหนาวเพื่อบอกปัดไม่อยากตอบคำถามเจ้าก็แค่นั้น”
กงชานกระชับผ้านุ่มๆที่ห่มคอให้อุ่นสบายยิ่งขึ้นพลางลอบยิ้มกับพื้นถนนที่เริ่มมีหิมะร่วงลงมาปกคลุมจนเป็นสีขาวดำของก้อนอิฐและหิมะสลับกันกระดำกระด่าง
จินยองเกาจมูกตัวเองพลางแสร้งถามเรื่องอื่นเพื่อไม่ให้บทสนทนาดูน่าเคอะเขินจนเกินไป
“เจ้ารู้มั้ย
ข้ามีมุมส่วนตัวเอาไว้เพื่อนั่งชมแสงจันทร์ที่หุบเขา”
“เจ้าทำเหมือนกำลังชวนข้าออกเดทยังไงอย่างงั้น”
เพียงแค่กงชานพูดแซวขึ้นลอยๆอีกฝ่ายก็ถึงกับจิ๊ปากกับความช่างขัดของอีกคนแทบทันที
“หากเดินรอบหมู่บ้านเมื่อยแล้ว
ข้าจะได้ให้เจ้าได้พักกินขนมที่โน่นอยู่เฉยๆพักหนึ่ง
อยู่ตรงหุบเขามุมนั้นเจ้าจะได้มองเห็นภูตผีวิญญาณแทบทุกดวงที่อยู่ในหมู่บ้านนี้โดยไม่ต้องมาเดินตรวจดูแบบนี้ให้เสียเวลาเลยด้วยซ้ำ”
“เอาสิ
แต่ไม่ต้องใช้เวทมนต์เสกขนมอะไรเพิ่มให้ข้าแล้วนะ ^^”
“หยุดแซวข้าซักทีเถอะน่า”
จินยองแอบอมยิ้มด้วยเช่นกัน “ข้าเป็นคนเสกอมยิ้มกับผ้าพันคอนั่นให้เจ้าเอง
ยอมรับแบบนี้พอใจเจ้าหรือยัง” ในที่สุดปิศาจตรงหน้าก็ยอมรับออกมาอย่างจนมุมจะแก้ตัว
เรียกเสียงหัวเราคิกคักจากกงชานได้ไม่เบาจนร่างสูงต้องแอบลูบโคมไฟแอปเปิลในมือเพื่อลดความประหม่า
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมือเล็กเย็นๆค่อยๆสอดประสานนิ้วมือเข้าหาเขาพลางออกแรงดึงกระตุกแขนเขาน้อยๆเป็นการเรียกสติ
“งั้นก็นำทางข้าไปสิ”
“…”
ยิ่งเห็นรอยยิ้มงดงามที่ฉาบฉายลนเรียวหน้า
กับฟันเขี้ยวเล็กๆที่มุมปากสีขาววาววับดั่งไข่มุกก็ยิ่งทำให้ความมั่นใจที่เคยมีอยู่ในตัวชายหนุ่มเสียศูนย์
ครั้งนี้เขากลับเป็นฝ่ายเสียเปรียบลูกซาตานจอมแสบที่เคยซื่อบื้อไปติดกับดักมนุษย์บนต้นแอปเปิลได้ยังไงกันนะ
ได้แต่ท่องในใจว่าอย่าไปปล่อยไก่เผลอเสกนั่นนี่ให้ยัยตัวป่วนนี่เข้าให้เหมือนเมื่อกี้นี่อีกก็แล้วกัน…
“อืม
แล้วข้าจะเล่าเรื่องสนุกๆบนโลกมนุษย์นี่ให้เจ้าฟัง”
“เจ้าบอกว่ายังมีเทศกาลที่มนุษย์บนโลกนี้สร้างขึ้นมาอีกมากมายนอกจากวันฮาโลวีนเช่นนั้นเหรอ”
“มีอีกเยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน
ถัดจากนี้ไปสองเดือนยามเมื่อฤดูหนาวอันยาวนานเข้ามาเยี่ยมเยือนยังโลกนี้เมื่อไหร่
พวกเขาจะจัดสิ่งที่เรียกว่าปาร์ตี้วันคริสต์มาส”
จินยองนั่งกอดเข่าตัวเองมองแสงจันทร์สว่างนวลตาที่ส่องทาบทามระหว่างหุบเขาทั้งสองลูกตรงหน้า
ส่วนกงชานนั่งห้อยขาแกว่งเล่นไปมาอย่างเพลิดเพลินอยู่ตรงสุดปลายหน้าผาอยู่ข้างๆกับเขา
ซาตานหน้าหวานกำลังกินอมยิ้มสีรุ้งแสนหวานที่เขาเนรมิตให้อย่างสุขใจ มีต้นแอปเปิลแห้งๆที่กำลังผลัดใบเตรียมเข้าสู่ฤดูหนาวขนาดไม่ใหญ่มากเป็นที่กำบังหลบหิมะที่กำลังโปรยปราย
ข้างล่างนั้น…หมู่บ้านเล็กๆที่มีแสงไฟสีส้มสดใสเรืองรองและบทเพลงเฉลิมฉลองเทศกาลฮาโลวีนในค่ำคืนนี้ดังแว่วแผ่วมากับสายลมหนาวที่พัดปุยนุ่นหิมะให้ปลิวว่อนรอบกาย
ภาพทัศนียภาพที่สวยงามทั้งดวงจันทร์และแสงไฟวิบวับจากหมู่บ้านช่วยต่อชีวิตให้ป่าในหุบเขาที่เงียบเหงาวังเวงเช่นนี้ให้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นขึ้นมาได้ทันตา
“ปาร์ตี้วันคริสต์มาส?” กงชานมุ่นคิ้วเมื่อได้ยินชื่อที่ประหลาดแบบนั้นออกมาจากปากอีกคน
แน่นอนว่าการที่ใช้ชีวิตเป็นลูกซาตานได้อยู่แต่ในขุมนรกแบบเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่รู้จักเทศกาลอื่นเลยนอกจากฮาโลวีนที่ได้มาเห็นของจริงในวันนี้
จินยองพยักหน้าสำทับ
“มีทั้งของขวัญ
ต้นสนประดับแสงไฟ ถุงเท้าแขวนหน้าบ้าน ตุ๊กตาหิมะ ไก่งวง ช่อดอกโฮลี่ มิสเซิลโท
อืม…อะไรอีกล่ะ…”
จินยองเคาะคางพยายามนึกเพื่อเล่าให้อีกคนฟัง “มันฝรั่งบด
คุกกี้กับบนมอุ่นๆไว้เตรียมรอต้อนรับซานตาคลอส ขนมขิงกับ…”
“เจ้าพูดแต่ชื่อของกินทั้งนั้นเลยนี่”
กงชานหัวเราะอารมณ์ดีพลางผลักไหล่จินยองด้วยความขำ ปิศาจจิ้งจอกที่กำลังเล่าจึงหัวเราะตามไปด้วยเมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของคนที่นั่งข้างๆ
“ข้าหิว
มองเจ้ากินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ยอมแบ่งปันข้าเช่นนี้แล้วมันก็อดนึกถึงของกินไม่ได้ ^^”
“หิวนักก็แทะโคมไฟแอปเปิลในมือตัวเองไปก็ได้นี่”
กงชานยักคิ้วอย่างเหนือชั้นกว่าก่อนจะอมอมยิ้มสีรุ้งทั้งอันเข้าปาก
“นี่มันตะเกียงนำทางที่เจ้ามอบให้ข้านะ
จะให้ข้าตัดใจกินได้ยังไง ขืนกินไปข้าก็ต้องอยู่บนโลกนี้มืดๆคนเดียวทุกคืนน่ะสิ”
จินยองลูบผลแอปเปิลที่เปล่งแสงสีเหลืองอมเขียวเรืองรองในมือตัวเองอย่างหวงแหน
“ข้าเหมือนคิดไอเดียดีๆอะไรออกแล้ว~” กงชานลากเสียงยาวพลางมองแท่งอมยิ้มตัวเองสลับกับตะเกียงผลแอบเปิลที่จินยองถืออยู่อย่างใช้ความคิด
มือขาวซีดแกะโบว์รูปผีเสื้อกลางคืนออกแล้วเปลี่ยนสีปีกของมันเสียใหม่ให้เป็นสีแดงโลหิตสดใส
กงชานใช้กิ่งของต้นแอปเปิลแห้งๆที่ร่วงตามพื้นแถวนั้นนำมาเนรมิตเป็นด้ามจับตะเกียงเสียบเข้ากับลูกแอปเปิลแล้วติดโบว์ที่ถอดมาจากก้านอมยิ้มของตัวเองเข้าไป
จินยองมองซาตานตัวน้อยที่กำลังหยิบจับประดิษฐ์แก้ไขนู่นนี่ให้โคมไฟของเขาใหม่พลางหัวเราะออกมา
“นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ”
“ทำด้ามจับแบบนี้…เวลาเดินถือไปไหนมาไหนในยามราตรีเจ้าจะได้ไม่ต้องลำบากไงล่ะ”
กงชานยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจกับผลงานของตัวเองพลางทำหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่างต่ออีก
“ข้าว่ามันยังขาดอะไรบางอย่างไป แต่ข้าก็นึกไม่ออกว่ามันยังขาดอะไรอีก”
“ข้ารู้”
จินยองยิ้มเจ้าเล่ห์พลางยื่นหน้าเข้าไปมองตะเกียงผลแอปเปิลสีแอปเปิลไลม์ที่อีกคนถืออยู่ใกล้ๆ
ปิศาจเจ้าความคิดใช้หินคมๆแถวนั้นสลักรูปผลแอปเปิลเป็นรูปกะโหลกมนุษย์ให้ดูเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
วาดรูปหัวใจแล้วใช้โลหิตที่มีในร่างกายของตนเองเติมลงไปในหัวใจที่ใช้แทนตาของกะโหลกทั้งสองข้าง
ดวงตารูปหัวใจของโคมไฟสีแอปเปิลไลม์ข้างซ้ายจินยองวาดวงกลมล้อมรอบดวงตาแล้ววาดขนตาให้มันรอบวงกลมด้วย
“โคมไฟแอปเปิลของเจ้าเป็นผู้หญิงหรือไงกัน”
กงชานถาม มุมปากบนใบหน้าหล่อเหลากระดกขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเสียงทุ้มที่ตอบเบาๆ
โดยไม่ได้ละสายตาไปจากงานที่ตัวเองกำลังตั้งใจทำเลยแม้แต่น้อย
“ตารูปหัวใจข้างซ้ายที่มีขนตานั่นคือเจ้า
ส่วนข้างขวานั่นคือหัวใจข้าต่างหาก…”
“…”
ซาตานที่เคยช่างพูดหลบสายตากรุ้มกริ่มที่เหลือบมองหน้าเขาเพื่อลดความเขินอายที่แล่นสูบฉีดบนใบหน้าพลางกัดกระพุ้งแก้มห้ามไม่ให้ตัวเองยิ้มออกมา
“เสร็จแล้ว”
“อะ..อ้อ หน้าตามันดูอัปลักษณ์พิลึก”
กงชานว่าค่อนแคะเล่นๆพลางแสร้งเมียงมองสายตาไปทางอื่น
จินยองพ่นเสียงหัวเราะออกมาทางจมูก
“งั้นเจ้าก็กำลังว่าตัวเองน่ะสิ
เพราะถ้าจำไม่ผิดเจ้าเป็นคนทำมันให้ข้านี่ ^^”
“ดูโคมไฟฟักทองที่พวกชาวบ้านเอามาแขวนหน้าบ้านพวกนั้นสิ
เหมือนกับที่เจ้าเคยทำตอนที่พ่อข้าให้ลูกไฟดวงแรกกับเจ้าเลย”
กงชานเปลี่ยนเรื่องคุยพลางใช้มือชี้ไปที่แสงจุดสีส้มเล็กๆรอบหมู่บ้านที่เปล่งประกายวิบวับดูงดงามยามเมื่อมองลงมาจากหุบเขาในป่า
จินยองเงียบไปไม่ได้ขยายความอะไรต่อจากนั้นจนกงชานอดหันกลับมามองด้วยความคลางแคลงใจไม่ได้
“เจ้าเป็นอะไรไป”
“เปล่า…”
“เจ้าเงียบทุกครั้งที่ข้าพูดถึงเรื่องโคมไฟนี่เลยรู้ตัวมั้ย
มีอะไรกำลังปิดบังข้าอยู่หรือเปล่า”
“พวกเขาทำแบบนั้นเพื่อระลึกถึงความร้ายกาจของข้าเอง…”
จินยองว่ากล่าวเสียงค่อยพลางเหม่อมองไปยังดวงจันทร์ที่ทอแสงมายังเขาทั้งคู่
“ใคร? ชาวบ้านที่แกะสลักโคมไฟเป็นรูปฟักทองน่ะเหรอ”
กงชานถามคำถามอย่างไม่เข้าใจนัก แต่พอเห็นใบหน้าของจินยองที่สลดลงไปทันตาดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะเดาทางออกได้ไม่ยาก
“อย่าบอกนะว่าเจ้าคือ…”
“แจ็ค
โอแลนเทิร์นนั่นคือชื่อของข้าเอง”
“…!”
“ข้าเองที่เป็นคนล่อลวงเจ้าแห่งซาตานให้มาติดกับดักตอนที่ข้ายังมีชีวิตเป็นมนุษย์อยู่
ข้าเองที่หลอกพ่อของเจ้าให้ยอมทำสัญญาข้อตกลงบางอย่างจนทำให้ทั้งชีวิตหลังความตายของข้าต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานแบบนี้
แต่นั่นมันก็สาสมแล้วกับสิ่งเลวร้ายที่ข้าเคยทำ…”
คำสารภาพพรั่งพรูหลั่งไหลออกมาจนหมดสิ้น
จินยองใช้ฝ่ามือที่เย็นชืดไร้สีเลือดลูบหน้าตัวเองพลางถอนหายใจหลังจากที่ได้พูดทุกอย่างนี้หมดไป
กงชานยังคงกะพริบตาปริบๆจับต้นชนปลายเรื่องนั่นนี่เข้าหากันได้อย่างยากลำบาก
แต่ความจริงที่จินยองได้เล่าออกมาจากปากเมื่อกี้นี้ด้วยตัวเองก็ทำเอาซาตานตัวน้อยช็อคไปไม่ใช่เล่นเหมือนกัน
เมื่อรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างเขาแท้จริงแล้วเคยเป็นมนุษย์คนนั้นที่ทำร้ายพ่อของเขาจนกลายเป็นตำนานเช่นนี้
“ข้าคงไม่ได้ละลาบละล้วงเกินไปหรอกใช่มั้ย
หากจะถามว่าข้อตกลงระหว่างพ่อข้ากับเจ้าที่กลายมาเป็นพันธะสัญญาผูกติดกับตัวเจ้าในตอนนี้มันคืออะไร…”
แม้แต่เสียงที่จะเอ่ยถามในคำถามที่เคยอยากรู้ก็ยังเรียบเรียงออกมาได้อย่างยากเย็น
นัยน์ตายิ้มเยาะในโชคชะตาของตัวเองที่เรียวรีคู่นั้นมีน้ำใสๆเป็นม่านบางๆเอ่อคลอหน่วยอยู่
ก่อนที่เสียงทุ้มของปิศาจที่เคยมากด้วยเล่ห์เพทุบายจะเอ่ยเล่าออกมา
“ในวันนั้นที่ข้ายังมีชีวิตเป็นมนุษย์แล้วจับพ่อเจ้าไม่ให้ลงมาจากต้นแอปเปิลได้
ข้าขอข้อแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งเพื่อแลกกับการที่จะต้องปล่อยเขาให้มีชีวิตรอด
นั่นก็คือ…ข้าขอให้เจ้าแห่งซาตานไม่สามารถนำดวงวิญญาณของข้าไปยังนรกได้
พ่อเจ้าตกลงยอมเพราะเห็นแก่ชีวิตตัวเองที่ไม่มีทางเลือกอื่น”
“…!”
“ในวันที่ข้าได้จากโลกนี้ไปพ่อเจ้าก็ยังรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับข้า
เขาไม่เอาวิญญาณของข้าลงไปที่นรกตามที่ได้สัญญากันไว้…”
พอจะพูดประโยคต่อไปจินยองก็เกิดรู้สึกจุกในใจขึ้นมาเสียดื้อๆ
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงเล่าต่อไป “ข้าไม่ได้ไปที่นรก
แต่ในขณะเดียวกันข้าก็เป็นคนเลวเสียจนไม่สามารถขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ได้”
“…” กงชานนิ่งงันไปกับสิ่งที่ได้ฟัง
เพราะแบบนี้เองจินยองถึงต้องทนทุกข์ทรมานเป็นปิศาจเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์มานานนับหลายปีจนแม้แต่เวทมนต์ที่พ่อของเขาเมตตาเสกลูกไฟให้ก็ยังสิ้นอายุขัย
และจินยองอาจจะต้องอยู่ในสภาพแบบนี้บนโลกมนุษย์ไปตลอดกาลตราบใดที่คำสัญญาที่พ่อเขาได้ให้ไว้เพื่อร้องขอชีวิตยังคงอยู่…จะไปที่นรกก็ไม่มีใครให้เข้า จะขึ้นสวรรค์ก็ดันไม่ใครยอมรับเพราะตอนเป็นมนุษย์ได้ทำบาปไว้เยอะเหลือเกิน
“ข้าไม่ใช่มนุษย์ที่ดี…กงชาน ข้าเคยเป็นคนที่เลว เลวมากเสียจนแม้แต่ข้าตายไปก็ยังไม่มีใครนึกเสียใจหรือเสียดายที่ข้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ
ข้าไม่มีความดีอะไรให้คนบนโลกนี้ได้จารึกถึงเว้นเสียแต่ชื่อนั้นที่เรียกขานหลอกหลอนข้าอยู่ตลอดเวลาว่าแจ็คคนบาป
ผู้ร้ายกาจเสียยิ่งกว่าซาตาน…” รอยยิ้มที่ขมขื่นถูกฉายเป็นริ้วรอบของความสมเพชเวทนาตัวเองจนกงชานไม่รู้จะพูดปลอบคนตรงหน้าว่าอย่างไรดี
จึงได้แต่นิ่งเงียบให้บรรยากาศโดยรอบทำหน้าที่ของมันเอง
“ข้าเกลียดความทรงจำเกี่ยวกับตัวข้าที่คนในหมู่บ้านนั้นพูดถึง
เกลียดชื่อนั้นที่พวกเขาใช้เรียกข้าแม้ในยามที่ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้วมากเสียจนต้องเรียกตัวเองเสียใหม่
กาลเวลาผ่านไปนานนับหลายร้อยปีทำให้ดวงวิญญาณของข้าที่ยังคงไปผุดไปเกิดไม่ได้มีพลังอำนาจมากขึ้นจนกลายเป็นปิศาจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างที่เจ้าเห็นในตอนนี้
ข้าจากหมู่บ้านนั้นมาอาศัยอยู่ในป่าคนเดียว…เพราะอย่างน้อยป่าแห่งนี้ก็ไม่มีความทรงจำอันเลวร้ายเกี่ยวกับตัวข้าสมัยยังเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่”
“ข้าเชื่อว่าต้องมีสักคนแน่ๆในหมู่บ้านนั้นที่ยังคงระลึกถึงเจ้าในแง่ดีเสมอ
แม้ในยามที่เจ้าได้ตายจากโลกนี้ไป” กงชานกัดริมฝีปากล่างขณะที่เอ่ยปลอบ
แววตาลึกซึ้งแฝงด้วยความหมายอะไรบางอย่างของจินยองส่องมาที่เขาก่อนจะระบายรอยยิ้มบางๆระหว่างที่จ้องมองเขา
น้ำตาบนใบหน้าหล่อเหลายังคงไม่เลือนหายไปจากดวงตาที่แดงก่ำจากการกลั้นร้องไห้เลยแม้แต่น้อย
“จะว่าไปก็เคยมี…มีแน่นอนอยู่แล้ว
แต่ในตอนนี้เขาอาจจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเขาเคยรักและทำเพื่อข้ามามากมายแค่ไหน”
“เขาคือคนคนนั้นที่เจ้ารอคอยเขามาตลอดหลายร้อยปีใช่มั้ย”
“คนคนนั้นก็คือเจ้าไง
กงชาน”
“…!!” กงชานอึ้งพลางนิ่งไป
เขาไม่รู้ว่าจินยองกำลังพูดถึงเรื่องอะไรถึงได้เอาชื่อเขามาเอ่ยอ้างทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแค่คืนนี้เพียงคืนเดียว
ราวกับสรรพสิ่งรอบตัวในตอนนี้หยุดการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน เกล็ดหิมะที่ปลิวว่อน
พระจันทร์ดวงโตที่กำลังจะตกลับขอบฟ้า
แสงไฟทั้งจากหมู่บ้านและตะเกียงผลแอปเปิลที่เขาเสกให้จินยอง
เสียงร้องเพลงอันไพเราะเพื่อเฉลิมฉลองงานเทศกาลที่เคยดังแผ่วเบาทำให้บรรยากาศรอบตัวดูไม่เงียบเหงามีเพียงสายลมยามค่ำคืนที่กรีดร้องโหยหวนวังเวง
บัดนี้ทุกอย่างกลับเงียบสงบไป มีเพียงแค่เสียงลมหายใจของเขาและเสียงพูดของงจินยองที่หูของเขายังรับรู้ได้ยิน
“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆหรือนี่…”
สีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มของจินยองขณะที่ถามคำถามนั้นกับเขาดูเศร้าหมองลงไปถนัดตา
สันกรามคมกริบดูดีเด่นชัดมากขึ้นยามเมื่อต้องแสงจันทร์ระหว่างที่เงยหน้าให้น้ำตาที่กำลังใกล้จะไหลย้อนกลับไป
“ไม่เป็นไร…สมควรแล้วกับสิ่งที่ข้าเคยเพิกเฉยเจ้ามาตลอดสมัยที่ยังเป็นมนุษย์
สมควรแล้วกับความเลวที่ข้าไม่เคยสนใจคนที่รักและดีกับข้ามาตลอด…ในตอนนี้แม้แต่การที่ข้าได้พบเจอคนที่เฝ้ารอคอยเขามานับหลายร้อยปีเพราะคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนเดียวที่ยังคงมองข้าเป็นคนดีเสมอ
เขาก็กลับไม่เหลือความทรงจำอะไรในตัวข้าอีกต่อไปแล้ว”
“เจ้า…เจ้าพูดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าไม่เข้าใจ
เจ้าบอกว่าเจ้ากับข้าเคยรู้จักกันมาก่อนงั้นเหรอ”
กงชานว่าเสียงสั่นราวกับจะร้องไห้ตาม ในตอนนี้จินยองกำลังร้องไห้ไม่หยุดอย่างไม่สามารถปิดบังความจริงใดๆได้อีกต่อไปจนทำให้เขารู้สึกเศร้าตามไปด้วย
แม้จะไม่รู้ความจริงหรือจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เลยซักอย่าง
แต่เขาไม่เคยปฏิเสธความรู้สึกครั้งแรกตอนที่ได้เจอกับจินยองได้เลยว่าเขารู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้มากเพียงใด
รู้สึกเหมือนกับว่าเคยรู้จักกันมานานแสนนาน…นานมากเสียจนกลายเป็นความทรงจำที่ถูกบางอย่างกดทับไว้เสียจนยากที่จะรื้อฟื้นเรื่องทั้งหมดนี้เองได้
งั้นสิ…จินยองจึงได้รู้จักชื่อของเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันโดยที่เขาไม่ต้องบอกเป็นเพราะเราเคยรู้จักกันมาก่อนงั้นเหรอ
“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าเชื่อทุกคำที่ข้าจะพูดต่อไปนี้
แต่เจ้าจงรู้ไว้แค่เพียงว่าเจ้าเป็นคนที่เคยรักข้ามากมาเพียงข้างเดียวตลอดโดยที่ไม่เคยได้รับความรักจากข้ากลับเลย”
จินยองน้ำตาไหลในระหว่างที่เริ่มต้นเล่าเรื่องอีกครั้ง “แม้ในยามที่ข้าตาย เจ้าคือคนเดียวที่ระลึกถึงข้าและสวดมนต์อ้อนวอนภาวนาให้ข้ามีชีวิตหลังความตายที่ดี
แต่ข้ามันบาปหนาเกินกว่าที่จะไปเกิดในภพภูมิดีๆตามคำขอของเจ้าได้ ข้าขอโทษ”
น้ำตาของจินยองไหลพรากนองหน้าพร้อมกับเสียงทุ้มที่สะอื้นออกมาอย่างหนักราวกับเรื่องที่กำลังเล่านี้กำลังกรีดทิ่มแทงสร้างความเจ็บปวดในใจของคนเล่าอย่างแสนสาหัส
กงชานสั่นหน้าร้องไห้ตามแล้วโอบกอดอีกคนไว้ในอ้อมแขน
ไม่ใช่เพราะเขาสามารถจำเรื่องทุกอย่างที่จินยองเล่าให้ฟังได้
แต่เป็นเพราะเขาอยากจะบอกปิศาจตรงหน้าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่ติดลึกอยู่ในหัวใจจริงๆ
ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยสักนิด
“เจ้าบอกว่าข้าเองก็เคยเกิดเป็นมนุษย์บนโลกนี้?” ยากที่จะคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือตามแรงสะอื้น
จินยองที่ฝังหน้าร่ำไห้อยู่กับลาดไหล่บางผละออกพลางใช้ดวงตาคมที่ฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองหน้าเขาพร้อมกับฝืนยิ้ม
“เมื่อนานมาแล้ว
^^ เจ้าเคยตกหลุมรักข้าอย่างสุดหัวใจเลยล่ะ”
“ยังจะมาพูดจาเป็นเล่นอยู่ได้
ข้าอยากรู้เรื่องทั้งหมดจริงๆนะ”
กงชานหน้าแดงหลุดหัวเราะออกมากับความทะเล้นไม่รู้จักเวล่ำเวลาของอีกคน
“แล้วทำไมข้าถึงได้มาเกิดใหม่เป็นซาตานแบบนี้ได้ ทำไมข้าถึงไม่ได้ไปเกิดเป็นคนเหมือนเดิม
ข้าทำบาปไว้เยอะจนไม่สามารถมาเกิดเป็นคนได้อย่างนั้นหรือเปล่า”
“ไม่เลย
เจ้าเป็นคนดี”
จินยองใช้นิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มนุ่มอย่างแผ่วเบาพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสุกใสของซาตานตรงหน้า
“สิ่งเดียวที่เจ้าทำบาปต่อชีวิตตัวเองก็คือการที่เจ้าฆ่าตัวตายหลังจากที่ข้าจากโลกใบนี้ไปไม่ถึงเดือนนั่นแหละ”
“…ข้าฆ่าตัวตายตามเจ้า?”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าเผลอใจไปรักเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อก่อนที่ข้ามีชีวิตอยู่เจ้าแทบไม่เคยมีตัวตนอยู่ในสายตาของข้าด้วยซ้ำ
ข้ามองข้ามความดีที่เจ้าพยายามทำเพื่อข้าทุกอย่าง”
“…” น้ำเสียงของจินยองเริ่มกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง
“แต่พอเจ้าได้ใช้ชีวิตหลังความตายเป็นซาตานเช่นนี้แล้ว…ข้าคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก
แต่คงเป็นเพราะสิ่งที่เลวร้ายที่ข้าเคยทำกับเจ้า และเจ้าทำกับตัวเองมากกว่าจึงส่งผลให้เจ้าต้องมาเกิดเป็นซาตานเช่นนี้”
“จริงด้วย…ข้าเคยได้ยินมาว่าคนที่ฆ่าตัวตายถือว่าเป็นบาปที่ลบล้างไม่ได้”
กงชานออกความเห็น
ส่วนใหญ่แล้วที่เขาเคยเห็นมนุษย์โลกที่สิ้นอายุขัยด้วยการดับชีวิตตัวเองมักจะต้องมาเกิดเป็นยมทูตหรือไม่ก็ซาตานเพื่อชดใช้ความผิดที่ได้คร่าชีวิตที่มีค่าของตัวเองให้ดับสูญไป
“ถูกต้อง
และเมื่อเจ้าได้เป็นซาตานเจ้าจะได้อยู่เพียงแต่ที่ขุมนรกเท่านั้น
ที่ซึ่งข้าไม่สามารถเดินทางไปหาเจ้าได้ ราวกับทุกอย่างเป็นชะตากรรมที่ถูกกำหนดไว้ให้ข้าได้ชดใช้บาปที่ข้าได้เคยทำลงไปกับเจ้า
ข้าทำได้แค่เพียงรอ…รออย่างมีความหวังว่าหากเจ้ายังเป็นวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิดที่ไหน
เราอาจจะได้พบกันอีกสักครั้งในวันนี้ของทุกปี ข้าเพียงแต่อยากจะขอโทษเจ้า…” จินยองหลบตาอย่างสำนึกผิดพลางเลื่อนมือมากุมมือเล็กที่วางอยู่ไว้
กงชานสะดุ้งพลางรีบฝืนยิ้มซ่อนความเจ็บปวดแล้วชักมือออก
เขาอาจจะแค่รู้สึกผิดที่ตลอดเวลาไม่เคยทำดีตอบแทนข้าในตอนที่ยังมีชีวิตเป็นมนุษย์
ครั้งนี้ก็เลยรอคอยเพียงแค่อยากจะแสดงความจริงใจให้ข้าได้เห็นด้วยการช่วยชีวิตข้าที่ต้นแอปเปิลก็เพียงเท่านั้น
พยายามทำดีด้วยการชดใช้สิ่งที่ไม่ดีที่เขาเคยทำให้ข้าเสียใจเพียงแค่เพราะความสงสารเห็นใจที่ข้าเคยแอบรักเขาข้างเดียวมาตลอด
“ไม่ต้องขอโทษหรอก
ข้าจำเรื่องทั้งหมดที่เจ้าเล่าไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าสิที่ต้องขอโทษเจ้าที่ให้เจ้าเล่าเรื่องทั้งหมดนี่คนเดียวเสียนาน”
กงชานพูดจาตัดเยื่อใยไปทำให้จินยองจ้องใบหน้าสวยที่มีท่าทีห่างเหินหมางเมินเขาไปด้วยความคิดที่รู้ทัน
“ข้าไม่ได้ช่วยเจ้าจากมนุษย์พวกนั้นเพียงแค่เพราะต้องการจะไถ่โทษที่เคยทำไม่ดีกับเจ้าไว้นะกงชาน”
“…”
“การที่ข้าเป็นปิศาจเร่ร่อนใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์มานานนับหลายร้อยปีไม่ใช่เพียงแค่เพราะพันธะสัญญาที่พ่อเจ้าตกลงไว้กับข้า
แต่เป็นเพราะข้าอยู่เพื่อรอคอยที่จะได้พบกับเจ้าในชีวิตหลังความตายมาตลอดหลังจากที่ข้าได้รู้ถึงความรู้สึกในหัวใจตนเอง
เจ้าไม่เข้าใจหรือไง”
“เจ้าแค่สับสนระหว่างความรู้สึกผิดต้องการจะไถ่โทษกับความรักน่ะ”
กงชานแค่นยิ้มอย่างเสียใจขณะที่ซ่อนร่องรอยแห่งความเจ็บปวดไม่แพ้กันเอาไว้ลึกเข้าไปในดวงตา
“งั้นเหรอ…ถ้าอย่างนั้นการที่ข้าใช้เวทมนต์เสกทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีความสุขได้นั่นเป็นเพราะอะไรกัน”
“เจ้าแค่สงสารข้าที่เคยรักเจ้าตอนที่เป็นมนุษย์แต่เจ้าไม่เคยรับรักข้าจนเกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจก็เท่านั้น
เหตุผลที่เจ้าสามารถใช้เวทมนต์นั่นได้ก็เป็นเพราะเจ้ามีความรู้สึกหวังดีและสงสารเวทนาข้า”
กงชานว่าเสียงสั่นจนเกือบร้องไห้ออกมา เขารู้สึกจากเบื้องลึกของจิตใจที่คงเคยเป็นมนุษย์กงชานคนเก่าที่แสนดีว่าเขากำลังเจ็บปวดทรมานมากแค่ไหนยามเมื่อแค่คิดว่าที่ผ่านมาคนตรงหน้าไม่เคยรู้สึกรักเขาด้วยหัวใจจริงๆเลยสักครั้ง
จินยองจ้องมองเขาด้วยแววตาที่สั่นไหวระริก
เงาในดวงตาคู่นั้นสะท้อนฉายภาพของเขาออกมาเพียงแค่ผู้เดียวด้วยความมั่นคงแน่วแน่…กงชานพอมองออกว่านั่นเป็นสายตาของความผิดหวังที่ไม่สามารถพูดให้เขาเชื่อในความเป็นจริงได้
“ลืมไป…เจ้าคงจำเรื่องราวทุกอย่างไม่ได้จนกระทั่งลืมความรู้สึกที่เคยรักข้าในตอนนั้นหมดไปจากหัวใจแล้วสินะ”
เสียงทุ้มนั้นแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อพลางถอยกายที่เคยแนบชิดกันให้ออกห่างจากกันมากกว่าเดิม
กงชานยังคงฝืนพูดสิ่งที่ทำให้ภายในใจของตัวเองเจ็บปวดมากกว่าเดิมในขณะที่เบือนหน้าหนี
“ก็จริง
เจ้ากับข้าเป็นคนที่เคยเจอกันเพียงแค่คืนนี้คืนเดียว
มีแต่เจ้าที่หยิบยกเรื่องเก่าๆมาพูดอยู่ฝ่ายเดียวทั้งที่ข้าไม่เคยรู้เรื่องหรือรู้สึกอะไรกับเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยสักนิด”
เสียงแข็ง เชิดลำคอระหงตรงแหน็วแทบจะตั้งฉากกับพื้น
ริมฝีปากเล็กสีแดงโลหิตที่เบะออกอย่างถือดี
นั่นแหละที่ทำให้จินยองนึกแอบขำอยากที่จะเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้เสียจริง
“ลืมกันง่ายดายเสียจริงนะ
งั้นข้าขออมยิ้มกับผ้าพันคอผืนนั้นคืนหน่อยจะเป็นอะไรไปเล่า”
ลำตัวหนาเขยิบเข้ามาใกล้ร่างบางหมายจะคว้าแท่งอมยิ้มจากมืออีกคนมาให้ได้
แต่กงชานก็กลับมีปฏิกริยาตอบสนองย่นลำคอและห่อตัวหนีจากอ้อมแขนเขาได้อย่างว่องไว
“เรื่องอะไร
เจ้าเนรมิตสิ่งนี้ให้ข้าแล้วจะมาเอาคืนกันง่ายๆอย่างนี้เนี่ยนะ”
“ข้าเนรมิตให้กับคนที่เขารักและเฝ้ารอข้า
และข้าเองก็รักรอคอยที่จะได้พบเขามาตลอดทั้งชีวิตต่างหากล่ะ
แต่เจ้าเพิ่งบอกข้าเมื่อกี้เองว่าเจ้าไม่ใช่คนคนนั้น…”
ยิ้มเจ้าเล่ห์กระตุกขึ้นอย่างร้ายกาจทำให้กงชานพอจะจินตนาการออกทันทีว่าตอนเป็นมนุษย์จินยองมีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายมากเพียงใด
“ไม่เห็นจะฟังแล้วดูเข้าท่าตรงไหนเลย
อมยิ้มนี่ข้าก็กินไปแล้วจะเอาคืนไปให้ได้ประโยชน์อะไร -*-”
ใบหน้าหวานเริ่มหงิกง้ำเมื่อวงแขนแข็งแรงเริ่มรุกล้ำเข้ามาใกล้เอวบางเรื่อยๆทีละนิดพลางเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนเขาเริ่มกระดุกกระดิกไม่ได้
ลมหายใจอุ่นๆของจินยองวนเวียนคลอเคลียรดใบหน้าเขาบรรเทาความหนาวเย็นจากสายลมหนาวและเกล็ดหิมะเย็นที่กำลังตกโปรยปรายอยู่ในตอนนี้
“เป็นการพิสูจน์ไงว่าเจ้าไม่ได้มีใจหลงเหลือให้กับข้าแล้วตามที่พูดจริงๆ
เพราะถ้าเป็นแบบนั้นของพวกนี้ก็คงไม่ได้มีความหมายใดต่อเจ้านักหรอก
ไปหาที่ขุมนรกหรือจะให้ท่านพ่อเจ้าเนรมิตเสกให้เป็นสิบๆอันก็ยังได้” จองจินยองแสยะยิ้ม
หางจิ้งจอกเป็นพุ่มยาวที่อยู่ด้านหลังเริ่มใช้กระหวัดลำตัวบางอีกชั้นไม่ให้ไปไหนรอด
“เจ้ามันคนขี้ตืด!”
“อ่า...จะว่าไปฉายาข้าตอนที่เป็นยังมีชีวิตเป็นมนุษย์ก็ถูกเขาเรียกกันว่าอย่างนั้นแหละ
ขอบคุณที่ช่วยย้ำเตือนความทรงจำให้กันนะ ^^”
จินยองว่าอย่างยียวนมองกงชานที่ยิ่งทำหน้างอมีท่าทีฟึดฟัดพยศใส่เขาอย่างเดือดดาล
“ข้าล่ะไม่แปลกใจเลยซักนิด
ขนาดกับอีแค่อมยิ้มกับผ้าพันคอที่ใช้แล้วเจ้าก็ยังจะเรียกคืนจากคนที่ไม่มีทางสู้ได้ลงคอ!”
“ไม่มีทางสู้งั้นเหรอ
งั้นข้าเสนอทางเลือกให้เจ้าได้สู้หน่อยก็แล้วกัน
เจ้าจะได้ไม่ประนามว่าข้าเป็นปิศาจใจดำคอยแต่จะรังแกลูกเจ้าแห่งซาตานที่ไม่มีทางสู้”
จินยองย้อนทวนประโยคของอีกคนกลับแทบทุกคำ
กงชานเบี่ยงหน้าหนีไม่ยอมสบสายตากับใบหน้าหล่อเหลาที่ประจันอยู่ข้างหน้าพลางถามแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
“ทางเลือกอะไรของเจ้า”
“มาเล่นทริคออร์ทรีทกันสิ
^^”
“อะ..อะไรนะ!”
“ติ๊ต่างว่าเจ้าเป็นเจ้าของบ้านที่ข้าไปเคาะประตูขอขนมกับลูกกวาด
ข้าให้เจ้าเลือกระหว่างทริคกับทรีท เจ้าจะเลือกอะไร”
จินยองยอมคลายอ้อมกอดเล็กน้อยพอให้อีกคนได้มีช่องว่างได้พอหายใจและคิดตัดสินใจเลือกตัวเลือกของเขาบ้าง
คิ้วโก่งสวยวิ่งชนเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปมด้วยความคิดหนักเพราะไม่รู้ว่าปิศาจตรงหน้าจะมาไม้ไหน
“ข้าไม่เลือก”
“เจ้าต้องเลือก”
จินยองสวนกลับอย่างรวดเร็วทันทีที่อีกฝ่ายตอบปฏิเสธราวกับรอดักทางเอาไว้แล้ว
“เจ้าทวงถามหาความยุติธรรมที่สมเหตุสมผลให้กับตัวเอง และนี่แหละคือข้อตกลงที่ข้าจะเสนอให้เจ้าเป็นทางเลือก
เลือกทริค…ข้ามีสิทธิ์จะหลอกหลอนหรืออาละวาดเจ้าด้วยวิธีการใดก็ได้จนกว่าเจ้าจะยอมยกขนมให้
แต่หากตอบทรีทเท่ากับว่าเจ้ายอมแพ้และต้องยอมคืนอมยิ้มนี่กับผ้าพันคอมาเสียตั้งแต่แรกโดยไม่มีข้อแม้”
“….”
“ว่าไง
ทริคออร์ทรีท…”
จินยองยิ้มละไมแฝงไปด้วยเล่ห์กลพลางมองอมยิ้มที่กงชานกำลังถืออยู่ในมือและอมเข้าปากอยู่
ดวงตากลมๆที่มีแววขุ่นเคืองนั้นกะพริบปริบๆอย่างไร้ทางเลือกก่อนจะตัดสินใจลั่นวาจาออกมา
“ทริค! ข้าขอเลือกทริค”
“เจ้าเป็นคนเลือกเองนะ”
ฉับพลันใบหน้าของปิศาจจิ้งจอกที่เคยอยู่ใกล้แค่อมยิ้มแท่งหนึ่งกั้นก็โน้มลงมาใช้ริมฝีปากอุ่นๆแตะประกบลงที่เรียวปากนุ่มและอมยิ้มสีลูกกวาดที่อีกคนกำลังอมอยู่ในปากอย่างช้าๆละเมียดละไม
ค่อยๆใช้ลิ้นเรียวตวัดรุกล้ำเข้าไปในริมฝีปากอ่อนนุ่มสีแดงสดจนได้กลิ่นหวานหอมของลูกกวาดที่เขาเพิ่งให้ไปอย่างไม่ผลีผลาม
ทุกสิ่งค่อยๆเป็นไปอย่างอ่อนหวานนุ่มนวลจนจินยองได้ยินเสียงลมหายใจของอีกคนที่เริ่มติดขัดและพยายามเบี่ยงตัวหนี
จึงได้ละกลีบปากล่างที่ทั้งนุ่มทั้งหวานออกเพื่อเปิดช่องว่างให้อีกคนได้หายใจเข้า ก่อนที่จะใช้ลิ้นเรียวอุ่นๆดันอมยิ้มที่แสนหอมหวานนั้นให้เข้าไปในเรียวปากเล็กชื้นๆที่หวานละมุนนั่นอีกครั้งและอีกครั้ง...
กงชานมือไม้อ่อนไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืนกับรสชาติความหวานของรสจูบและรสลูกกวาดที่ค่อยๆหลอมละลายในโพรงปากอยู่เลยแม้แต่น้อย
รสจุมพิตที่จินยองกำลังป้อนให้นั้นหวานละมุนเกินกว่าที่เขาจะปฏิเสธหัวใจตัวเองเพื่อถอดถอนสัมผัสที่แสนอ่อนโยนนั้นออกได้ ซาตานตัวน้อยจึงยอมสงบปล่อยให้อีกคนนั้นได้ตักตวงความหวานที่ลิ้มรสจากเรียวปากตัวเองแต่โดยดีอย่างไร้ข้อแม้ จนกระทั่งริมฝีปากและลิ้นเรียวที่อุ่นจัดได้ผละออกเพื่อพักยกพลางใช้ดวงตาคมกริบเรียวรีมีเสน่ห์นั้นจ้องหน้าเขาเพื่อถามย้ำอีกที
“กลัวข้าหรือยัง”
“…”
“หากกลัว
จงมอบอมยิ้มและผ้าพันคอคืนให้ข้า
แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระโดยไม่หลอกหลอนอะไรแบบเมื่อกี้อีก”
“…”
“ข้าให้โอกาสเจ้าได้เลือกอีกครั้ง
ทริคออร์ทรีท”
“ทริค”
คราวนี้กงชานเป็นฝ่ายตอบอย่างรวดเร็ว มือบางใช้โน้มลำคออีกคนให้ก้มลงมาประกบลิ้มรสความฉ่ำหวานจากริมฝีปากเขาเองอย่างเต็มใจ
ดวงตาของจินยองจ้องมองขนตายาวเป็นแพสวยที่กำลังหลับพริ้มบนผิวหน้าใส ใช้มือประคองใบหน้างดงามที่ส่องประกายภายใต้แสงจันทร์นวลตาที่ทอแสงผ่านไหล่ภูเขาตรงหน้า ขณะที่กำลังป้อนลมหายใจและสัมผัสที่อ่อนหวานให้อีกคนด้วยความรู้สึกยินดีตื้นตันจนแทบล้นหัวใจที่เหี่ยวแห้งกับการรอคอยมานานนับปี พวงหางสีขาวสะอาดตาของปิศาจจิ้งจอกและหางหนามที่เป็นลูกศรแหลมสีชมพูอ่อนของซาตานที่นั่งอิงแอบตระกองกอดมอบจุมพิตให้กันอย่างลึกซึ้งค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ชิดแล้วเลื่อนเกี่ยวพันเข้าหากันอย่างแนบแน่น
ไม่ต่างจากมือของทั้งสองที่ค่อยๆสอดประสานเข้าหากันอย่างอบอุ่นมั่นคงราวกับจะไม่มีโชคชะตาใดๆหรือใครคนไหนที่จะมาพรากเขาทั้งคู่ได้แยกจากกันได้อีก
จินยองและกงชานตักตวงช่วงเวลาแห่งความสุขที่หอมหวานภายใต้หิมะหนาวเย็นปลิวว่อนโอบร่างทั้งคู่ไว้ด้วยความหนาวเย็นอย่างช้าๆ
แต่ลมหายใจและเสียงของจังหวะหัวใจที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นกลับทำให้ทั้งสองรู้สึกว่าคืนนี้เป็นช่วงเวลาฮาโลวีนที่แสนอบอุ่นและคุ้มค่าแก่การรอคอยมากที่สุดในหลายๆปีที่ผ่านมา
“เห็นได้อย่างชัดเจนเลยล่ะว่าเจ้ายังรักข้าอยู่”
จินยองยิ้มกริ่มพลางใช้อ้อมแขนโอบกอดเรือนกายของอีกคนให้เข้ามาแอบอิงกันให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายก็มีหัวใจที่ตรงกันแล้ว
ซาตานตัวน้อยที่สิ้นฤทธิ์ค่อยๆวางศีรษะอิงไหล่เขาพร้อมกับเถียงเสียงงุบงิบ
“ใครว่าข้ายังรักเจ้าอยู่”
“ยังจะโกหกตัวเองต่ออีกหรือไง”
จินยองขำ มือใช้กระหวัดเอวบอบบางของอีกคนให้อุ่นสบายหลวมๆไม่แน่นจนเกินไป
“ข้าไม่ได้รักคนที่ชื่อแจ็คจอมเจ้าเล่ห์นั่นแล้ว ข้าชอบปิศาจชื่อจินยองที่ช่วยข้าลงมาจากต้นแอปเปิลต้นนั้นต่างหาก”
“แล้วก็เป็นปิศาจที่พาเจ้าเที่ยวงานเทศกาลวันฮาโลวีนที่หมู่บ้าน
ปิศาจที่รอคอยเจ้าอยู่ที่เดิมมานานนับร้อยปี และเขาก็ยังเป็นปิศาจที่เสกอมยิ้มหวานๆกับผ้าพันคอนุ่มๆให้เจ้า
^^”
จินยองเสริมด้วยน้ำเสียงกวนประสาทพลางมองริมฝีปากบางสีโลหิตสวยที่บวมตุ่ยเล็กๆหลังจากที่โดนเขาครอบครองไปเสียนานอย่างยั่วๆ
กงชานค้อนขวับวงใหญ่ด้วยความหมั่นไส้
“แล้วก็เป็นปิศาจที่เพิ่งขโมยจุมพิตข้าไปอย่างหน้าไม่อายด้วย!”
“แล้วก็เป็นปิศาจที่เจ้ารักหมดทั้งใจด้วยสินะ~”
“เลิกกวนประสาทข้าเล่นซักทีเถอะน่า! T///T รู้ว่าข้าไม่มีวันเอาชนะเจ้าได้ก็ยังจะหาเรื่องข้าอยู่นั่นแหละ”
กงชานทำตาเขียวใส่อย่างขัดใจ แก้มมีน้ำมีนวลที่เคยซีดเพราะอุณหภูมิโดยรอบที่เย็นลงเริ่มมีไอร้อนผะผ่าวด้วยความเขินอาย
เรียกเสียงหัวเราะจากปิศาจเจ้าเล่ห์ที่สวมกอดเขาอยู่ได้เป็นอย่างดี
“ฮ่าๆๆ
ข้าอยากให้เจ้าได้อยู่เห็นเทศกาลวาเลนไทน์ที่นี่เสียจริงๆ
ผู้คนที่นี่จะมอบดอกไม้แสดงความรักให้กัน
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นดอกกุหลาบมากกว่าชนิดอื่น…อ้อ
เจ้าจะได้รอคอยคนที่เจ้ารักให้ช็อคโกแลตหวานๆที่เจ้าชอบกินด้วย”
ประกายตาของจินยองดูช่างฝันและมีความสุขยามเมื่อได้เล่าสิ่งที่ตัวเองเคยพบเห็นมา
“ข้ากินอมยิ้มที่เจ้าให้อันใหญ่เบ้อเริ่มครั้งนี้ก็ไม่ต้องกินขนมอะไรไปอีกหลายปีแล้ว
อมซักสิบปีจะหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ข้าก็ช่วยกินไปตั้งเยอะแล้วไม่ใช่หรือไง
^^” ดวงตาเจ้าเล่ห์มีประกายแวววาวกรุ้มกริ่มยามพูดถึงเหตุการณ์เมื่อกี้
“นี่จินยอง
มันอาจจะฟังดูเห็นแก่ตัว…”
“…”
“แต่ข้าอยากให้เจ้าอยู่รอข้าแบบนี้ต่อไป”
กงชานเกาจมูกตัวเองอย่างเขินๆระหว่างที่เอ่ยคำขอ
“จนกว่าจะถึงเทศกาลฮาโลวีนปีหน้าและปีต่อๆไปในอนาคต
ข้ายังอยากเห็นเจ้ารอคอยข้าอยู่ตรงนี้ ครั้งนี้ข้าจะพยายามเป็นคนที่ทำให้ทุกวันที่
31 ตุลาคมของเจ้ามีความหมายทุกปี จะไม่ยอมให้เจ้ามองข้ามข้าไปหรือเห็นข้าอยู่นอกสายตาอย่างตอนที่เป็นมนุษย์อีก”
กงชานหันมาสั่งกำชับเจ้าของอ้อมกอดอุ่นเสียงดุนิดๆ แต่กลับได้รอยยิ้มกว้างของอีกคนรอต้อนรับมอบให้ยามเมื่อหันหน้ามามองก่อนอยู่แล้ว
“เจ้าทำสำเร็จตั้งนานแล้วต่างหาก”
“…”
“ข้ารักเจ้า
อาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นหลังชีวิตหลังความตาย แต่ยังไงเสียมันก็ได้เกิดขึ้นและผลิบานในหัวใจของข้าแล้ว
ข้าจะยังคอยเจ้าอยู่ตรงที่เดิมเสมอ ในวันที่หิมะโปรยปรายเช่นนี้
หากข้าปล่อยให้เจ้าเดินไปตามเส้นทางที่หิมะร่วงหล่นทางนั้นแล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นอย่างวันนี้ใช่หรือไม่”
จินยองทอดมองพระจันทร์ดวงโตสีขาวสว่างที่ค่อยๆตกลับขอบฟ้าจนหายไปเรื่อยๆ
เหลือเพียงแสงสว่างของดวงตะวันที่ค่อยๆเรืองรองและความอบอุ่นของแดดยามเช้าที่เข้ามาแทนที่
บ่งบอกว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของเขาทั้งคู่กำลังใกล้จะหมดลงแล้วถูกแทนที่ด้วยความพลัดพรากเข้ามาแทน
กงชานประคองใบหน้าของปิศาจที่ตนเองรักก่อนจะถอนใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินอาบแก้มนวล
เรียวปากบางประทับรอยจุมพิตที่อ่อนหวานนุ่มนวลลงไปบนริมฝีปากหนาอย่างโหยหาอีกครั้งก่อนที่ภาพทุกอย่างจะเลือนหายไปราวกับหิมะที่ถูกแสงอาทิตย์หลอมละลายในยามเช้า
ยามเมื่อหิมะที่โปรยปรายนี้หยุดลงเมื่อใด…ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยไขว่คว้าเอาไว้ก็ไม่มีทางย้อนกลับคืนมาได้อีกครั้ง…
“อีกสามร้อยหกสิบห้าวันข้าจะกลับมา…”
“…”
“ตะเกียงผลแอปเปิลนั้น…ใช้มันนำทางยามที่ข้าไม่สามารถขึ้นมาอยู่บนโลกมนุษย์นี้กับเข้าได้
จงใช้มันเพื่อระลึกถึงข้าว่าข้าไม่เคยจากเจ้าไปไหน” กงชานเอ่ยคำลาทั้งน้ำตา
จินยองดึงร่างบางเข้ามาสวมกอดป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ทุกสิ่งจะหายเลือนไปพอดีพร้อมกับดวงตะวันที่ขึ้นมาฉายแสงโผล่พ้นขอบฟ้ายังโลกมนุษย์
เมื่อนั้นช่วงเวลาของซาตานและภูตผีต่างๆก็ต้องกลับคืนสู่ขุมนรกดังเดิม
ยกเว้นแต่เขา…เขาซึ่งเป็นปิศาจตัวเดียวที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้เพียงลำพังอย่างเดียวดายไปตลอดกาล
“ข้าจะรอเจ้าเสมอ
ขอบคุณเจ้าที่ทำให้การรอคอยที่แสนยาวนานของข้ามีความหมายในวันนี้นะกงชาน”
ไร้เสียงหวานที่ขานตอบรับเขาเช่นเคย
ดวงตาเรียวยาวค่อยๆลืมขึ้นมาก่อนจะพบกับความว่างเปล่าที่เข้ามาแทนที่ร่างที่เคยอิงแอบเขาอย่างเลือดเย็น
ริมฝีปากหยักยกยิ้มให้ตัวเองอย่างยากเย็นขมขื่นยากที่จะยอมรับได้ว่าการจากลานั้นได้เกิดขึ้นกับเขาอีกครั้งแล้ว
จินยองค่อยๆประคองร่างสูงโปร่งของตัวเองให้ลุกขึ้นยืนที่ปลายริมหน้าผา
ในมือของเขายังคงถือโคมไฟผลแอปเปิลสีเหลืองแอปเปิลไลม์สดใสแกะสลักทอสว่างตาที่อีกคนได้ให้ไว้พร้อมกับรอยยิ้มยามเมื่อได้นึกถึงเรื่องราวความทรงจำดีๆที่อีกคนหนึ่งได้มอบให้เขาไว้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
หากแต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆที่เขามีความสุขและคุ้มค่ามีความหมายเกินกว่าจะบรรยายออกมาได้หมดทั้งชีวิตที่เขาเคยมีเสียอีก แสงอาทิตย์ของเช้าวันใหม่บนไหล่เขาที่สาดส่องต้องร่างของเขาที่ยืนเคว้งคว้างเดียวดาย ทิ้งไออุ่นจากร่างกายของกงชานที่เคยแนบชิดอยู่ในอ้อมกอดเขาไว้ประทับลึกลงในความทรงจำทุกอณู
ไม่มีวันที่เขาจะหยุดเฝ้ารอใครคนนั้นให้กลับมาได้เลย
เวลาได้ไหลผ่านไปอีกครั้ง…ทุกอย่างในตอนนี้ราวกับภาพวาดที่แสนจะเลือนรางในความทรงจำส่วนลึกในจิตใจ
ในเวลานี้เขาคงทำได้แค่เพียงยอมรับกับอดีตอันแสนเจ็บปวดที่ได้ผ่านพ้นไปก็เท่านั้น
ในยามที่หิมะโปรยปรายร่วงหล่นลงเมื่อใด…เมื่อนั้นความเจ็บปวดจะถูกพัดแผ่วไปกับสายลมที่หนาวเย็น
ความคิดถึงอันแสนทรมานนั้นคงจะจางหายไปจากในหัวใจเขาด้วยเช่นกัน
และในยามที่หิมะนั้นได้หยุดลง
หากทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้หยุดลงพร้อมกับหิมะที่พัดพาเอาความเหน็บนั้นมาสู่ใจเขาเมื่อใด
ทุกอย่างที่เคยไขว่คว้าเอาไว้คงไม่สามารถย้อนกลับมาอีกครั้งได้แล้ว
ข้าจะยังรอเจ้าอยู่เดิมตรงนี้เสมอ จะรอจนกว่าคำว่าตลอดกาลที่แสนยาวนานนั้นจะล่วงเลยกลายเป็นอดีต และเมื่อนั้นดวงวิญญาณของข้าก็อาจกลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางที่คนบนโลก เจ้า หรือแม้แต่ตัวข้าเอง ก็ไม่มีใครระลึกถึงมันอีกตลอดไป กงชาน….
“ฮยอง! วาดรูปอะไรน่ะ ^^” เสียงสดใสของมักเน่วง B1A4 ที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องทำงานของลีดเดอร์วงโดยไม่ได้รับอนุญาตแกล้งแหย่ชายหนุ่มอีกคนที่กำลังจับดินสอวาดสิ่งหนึ่งขยุกขยุยลงกระดาษอย่างหน้าดำคร่ำเคร่ง จองจินยองในชุดสูทสีดำเข้มมีราคาคล้ายชุดแวมไพร์ฉลองปาร์ตี้ฮาโลวีนที่บริษัทค่ายเพลงหันมามองตัวต้นเรื่องที่ทำให้เขาสมาธิหลุดกับสิ่งที่จดจ่อพักหนึ่ง ก่อนจะระบายรอยยิ้มออกมาอย่างไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไร
“ฉันกำลังออกแบบแท่งไฟให้บาน่า”
เสียงทุ้มว่าอย่างยิ้มๆพร้อมกับหันหน้ามามองใบหน้าใสที่กำลังโน้มลงมามองสิ่งที่เขาวาดลงในแผ่นกระดาษอย่างสนอกสนใจด้วยสายตาที่เอ็นดูมากกว่าเมมเบอร์คนอื่นๆในวง
“เป็นไง สวยมั้ย”
“น่ารักดี…แต่เอ…ผมมองแล้วรู้สึกคุ้นตายังไงก็ไม่รู้
ฮยองไปได้ไอเดียนี้มาจากไหนหรือเปล่าฮะ” กงชานมุ่นคิ้วโก่งสวยเข้าหากันยามเมื่อได้จ้องวิเคราะห์รูปวาดที่ว่านั้นใกล้ๆแล้ว
ราวกับว่าภาพตรงหน้านั้นติดอยู่ในส่วนหนึ่งของความทรงจำเขาเมื่อนานแสนนานมาแล้ว…
“ฉันวาดมันขึ้นมาจากในความคิด ไม่สิ...ภาพในความฝัน เหมือนมันมีอะไรบางอย่างที่บอกฉันว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เคยมีความหมายมากกับใครบางคน” จินยองเองก็มีสีหน้าคร่ำเคร่งเมื่อพยายามจะนึกเค้นและเรียบเรียงสิ่งที่ติดอยู่ในหัวออกมาไม่ต่างกัน “เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่ามีความหมาย ฉันถึงได้อยากมอบสิ่งนี้ให้กับบาน่า”
“ฮ่ะๆ บางทีฮยองอาจจะอินกับปาร์ตี้ฮาโลวีนวันนี้มากไปหน่อยก็เลยเก็บมาคิดล่ะมั้งฮะ แต่ผมว่าถ้าจะให้ดี…เติมโบว์ตรงแท่งจับให้ดูน่ารักๆหน่อยดีกว่านะ”
ไม่รอช้ามือบางก็คว้าเอาดินสอที่เขาถืออยู่ไปวาดโบว์ตรงด้ามจับแท่งไฟให้เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อย
จินยองมองแล้วหัวเราะออกมา
“นายคิดเหมือนฉันเป๊ะเลย
นี่ฉันนั่งคิดมาตั้งนานว่ามันดูเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ที่แท้ก็เป็นโบว์นี่เอง”
“ผมเก่งที่รู้ใจลีดเดอร์ของวงใช่มั้ยล่ะ
^^” กงชานชิคเอ่ยแซวพลางยื่นดินสอคืนให้กับมือหนาที่รอรับอยู่แล้ว เสียงเปิดประตูห้องดังติดกันสองสามครั้งพร้อมร่างของเมมเบอร์อีกสามคนที่เดินตามกันเข้ามาล้อมรอบโต๊ะทำงานของลีดเดอร์วงอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลงก่อนหน้า
“มาหลบกันอยู่นี่เอง ท่านประธานให้มาตามพวกนายไปประชุมปรึกษากันเรื่องแนวเพลงการคัมแบครอบหน้าน่ะ” ซานดึลที่ดูจริงจังกับการกินเค้กช็อคโกแลตแมงมุมในจานที่กำลังถืออยู่บอกจุดประสงค์ของการปรากฎตัวในครั้งนี้สั้นๆ ในขณะที่พี่ใหญ่ชินดงอูไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นนอกแผ่นกระดาษที่จินยองกำลังวาดรูปอยู่อย่างเคร่งเครียด
“รูปตัวอะไรวะ
น่าเกลียดพิลึก -_-”
“จินยองฮยองกำลังออกแบบแท่งไฟให้กับวงของพวกเราน่ะฮะ”
กงชานอาสาเป็นคนตอบแทนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มปรากฏให้เห็นฟันเขี้ยวคู่เล็กสีขาวคมๆที่อยู่ตรงมุมปากทั้งสองจ้าง ชาบาโรที่ได้เห็นกระดาษนั้นเต็มๆตาถึงกับเบ้ปาก
“ทำไมถึงได้วาดตัวอะไรน่ากลัวแบบนั้นออกมาได้นะฮยอง”
“จริงด้วย
ฉันว่ารูปลักษณ์บาน่าที่น่ารักไม่น่าจะมีอะไรที่เหมาะกับกับกะโหลกผีที่จินยองฮยองวาดมาเลยซักนิด”
ซานดึลรีบเสริมเพื่อนสนิทตัวเอง
“ใครบอก
เดี๋ยวพอเติมสีลงไปมันก็น่ารักเองล่ะน่า”
จินยองจิ๊ปากอย่างขัดใจที่ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขายกเว้นกงชาน
“สีอะไรฉันกว่ามันก็ทำให้กะโหลกผีอัปลักษณ์ของแกน่ารักขึ้นมาไม่ได้หรอก”
ชินอูปรายตามองอย่างขยาดๆ
ขนาดแค่ในรูปวาดยังน่าเกลียดขนาดนี้ถ้าทำเป็นสินค้าออฟฟิชเชียลตัวจริงออกมาจะหน้าตาน่ากลัวแค่ไหนกันนะ
“ก็เติมสีที่มันสดใสๆลงไปสิฮะ”
กงชานเสริมอย่างคนมองโลกในแง่ดีจนซานดึลที่หมั่นไส้ต้องรีบถามดักทาง
“อย่างเช่นอะไรไหนนายลองบอกมาหน่อยซิ”
“แอปเปิลไลม์/แอปเปิลไลม์ไง”
“…”
ทีนี้ไม่ใช่แค่เสียงเดียวที่พยายามจะแก้ตัวให้อีกฝ่าย
แต่กลับเป็นสองเสียงของมักเน่ละลีดเดอร์ของวงที่ตอบขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกันอย่างไม่ได้นัดหมายราวกับรู้ใจกันอย่างดิบดี ทั้งคู่สบสายตามองกันอย่างมึนงงว่าอีกคนรู้ได้ยังไงว่าเขากำลังคิดถึงสีอะไรอยู่
“เอ่อ…พวกนายสองคนคุยปรึกษากันมาก่อนแล้วเหรอ ^^;”
บาโรยิ้มแห้งหลังจากที่เมมเบอร์ที่เหลือก็ได้แต่ทำตาปริบๆมองหน้ากันไปมาด้วยความงงงวยไม่ต่างกัน
จินยองรีบสั่นหัว
“เปล่า…ฉันก็เพิ่งรู้ว่ากงชานอยากให้แท่งไฟเป็นสีนี้”
"ผมก็แค่คิดว่าถ้าเป็นสีแอปเปิลไลม์มันน่าจะดูน่ารักสดใสเวลาส่องแสงในที่มืดๆดี (.__.)"
“แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ลดความน่ากลัวของไอ้เจ้าสิ่งนี้ไปไม่ได้หรอก
ดูตามันสิ!”
“ดวงตาของมันเป็นรูปหัวใจเกิดจากครั้งแรกที่เรามองใครบางคนแล้วกลายเป็นความรักตั้งแต่แรกพบกันต่างหาก”
จินยองแก้ต่างให้ผลงานตัวเองเสร็จสรรพ
“งั้นชื่อที่ตั้งก็ต้องน่ารักๆเพื่อกลบความน่ากลัวของมัน”
ชินอูเอามือลูบแขนที่ขนลุกตั้งชันของตัวเองให้อุ่นขึ้น “อย่างเช่นอะไรดีล่ะ…”
“ปย๊งมั้ยฮะ
ผมว่าคำนี้มันก็น่ารักดีนะเวลาออกเสียงหลายครั้งติดๆกัน ปย๊งๆๆๆ~ ><”
กงชานเสนอความเห็นเพื่อช่วยลีดเดอร์ของวงอย่างเต็มที่พร้อมทำท่าแอคโย่ใส่ฮยองที่เหลือไปด้วย
แต่ละคนเห็นแล้วก็ต่างพากันมองหน้ามักเน่จอมแบ๊วแล้วส่ายหัวด้วยความระอา
“ใครจะไปตั้งชื่อแท่งไฟพิลึกแบบนั้น”
“แต่ฉันชอบนะ
ชื่อเรียกง่ายแถมยังจำง่ายดีด้วย”
“…”
จินยองว่าเสียงเรียบพลางจ้องหน้ากงชานที่ค่อยๆเปลี่ยนจากสีหน้าประหลาดใจที่เขาเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นคลี่ยิ้มให้เขาอยู่เช่นกัน
มีชาบาโรแรพเปอร์ของวงที่กระแอมคอเป็นซิกแนลให้เมมเบอร์อีกสองคนที่เหลือพูดอะไรบางอย่างขึ้นบ้างเพื่อขัดบรรยากาศแปลกๆที่กำลังก่อตัวขึ้นในห้องนี้โดยด่วน
“งั้นฉันว่าพวกแกก็ปรึกษาเรื่องแท่งไฟกันไปสองคนเถอะถ้าใจจะตรงกันขนาดนี้”
ชินอูว่าปลงๆพลางถองศอกใส่ซานดึลและบาโรเป็นเชิงว่าให้ออกจากห้องนี้กันเถอะ
“แต่อย่าปรึกษากันนานนักล่ะ
ท่านประธานยังรอความเห็นจากพวกนายเรื่องคัมแบครอบหน้าอยู่ -.,-”
ซานดึลพูดย้ำครั้งสุดท้ายระหว่างที่เดินตามเมมเบอร์อีกสองคนออกนอกประตูห้องไป
แต่ก็ยังไม่วายจะแกล้งเอาก้นตัวเองดันกงชานแรงๆหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้จนร่างเบาหวิวเสียหลักเซไปหาลีดเดอร์ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานบุนวมข้างๆ
“ระวัง!”
“เหวอ
O_O!”
จบด้วยการที่ร่างเล็กๆของมักเน่จอมแบ๊วจะปลิวไปอยู่บนตักของจินยองได้อย่างพอดิบพอดีพร้อมกับวงแขนแกร่งที่โอบรัดประคองเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไปก้นจ้ำเบ้าที่พื้น
ดวงตาคู่กลมเหมือนพระจันทร์สีเงินเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงลมหายใจจากสันจมูกโด่งที่อยู่ใกล้จนเป่ารดผิวแก้มเนียนแค่ระยะฝ่ามือบัง
ปลายจมูกอุ่นๆนั้นเผลอเฉียดไล้กับแก้มใสที่ขึ้นสีแดงจัดจนได้กลิ่นหอมของสบู่กลิ่นลูกกวาดหวานๆที่อีกคนใช้อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ราวกับโลกได้หยุดหมุนในช่วงเวลานั้นไปเสี้ยววินาที…
“อมยิ้มงั้นเหรอ”
จินยองถามยิ้มๆต่างจากอีกคนที่อายจนแทบจะเอาหน้าที่ร้อนฉ่าไปซุกกับคีย์บอร์ดที่ใช้แต่งเพลงในห้องทำงานได้อยู่แล้ว
“เอ่อ…ฮะ สบู่เพิ่ง..เพิ่งออกกลิ่นใหม่มา (.///.)” เสียงหวานเบาๆที่ตอบอย่างเงอะงะไม่ได้ทำให้จินยองนึกอยากปล่อยเอวบางให้เป็นอิสระ
แต่กลับคลายให้หลวมสบายมากขึ้นยามเมื่ออีกคนค้างอยู่ในท่ายักแย่ยักยันบนตักเขา
“เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนจะเดบิวต์หรือเปล่า
ทำไมฉัน…”
จินยองหรี่ดวงตายาวเรียวของตัวเองอย่างตั้งใจขณะที่มองวิเคราะห์ใบหน้าของอีกคนใกล้ๆยามเมื่อได้มีโอกาสเช่นนี้แล้ว
ริมฝีปากเล็กสีแดงเลือดนกดูชุ่มชื่นมีสุขภาพ คิ้วโก่งสวยกำลังดี
จมูกโด่งเชิดรั้นขึ้นอย่างคนที่ถือตัว เขี้ยวเล็กคมๆสีขาวเหมือนไข่มุกแวววาวที่มุมปาก แก้มสีชมพูสุกปลั่งเหมือนขนมสายไหม
และดวงตาเป็นประกายคู่กลมโตเหมือนพระจันทร์ที่ทอแสงนวลตาอยู่บนท้องฟ้ายามราตรีมองดูน่าค้นหาทำให้จินยองไม่สามารถละสายตาออกจากเค้าโครงหน้าสวยที่กำลังมองเลยแม้แต่น้อย
“ทำไมเหรอฮะ”
เสียงหัวใจของกงชานเต้นตึกตักข้างในอกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ยามเมื่อได้สบสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์มากด้วยกลเพทุบายคล้ายจิ้งจอกที่กำลังพินิจเหยื่อของมันอย่างใจเย็น
ยิ่งจ้องลงไปในนัยน์ตายาวเรียวคู่นั้นของจินยองมันยิ่งทำให้เขารู้สึกนึกถึงใครบางคนที่เขาเคยคุ้นเคยกันมานานอย่างประหลาด
“ปละ..เปล่า”
“อ้อ
(.///.)”
ต่างคนต่างหลบตาแล้วค่อยๆผละออกจากกันอย่างช้าๆในที่สุด
กงชานจัดเสื้อสีดำและที่คาดผมรูปเขาเดวิลสีแดงบนหัวของตัวเองให้เข้าที่แก้อาการขัดเขินของร่างกายตัวเองก่อนที่จะเหลือบตามองคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นฮยองของวงอย่างเก้ๆกังๆ
“สู้ๆกับการออกแบบแท่งไฟนะฮะ
ผมว่าจะ…ไปหาขนมกินในงานก่อนเข้าพบท่านประธานซะหน่อย”
“ไม่ต้อง
ฉันไปด้วย ว่าจะเอาตัวอย่างแบบแท่งไฟไปให้ท่านประธานดูพอดี”
จินยองลุกขึ้นเก็บของทุกอย่างให้เข้าที่แล้วพับแผ่นกระดาษรูปแท่งไฟประหลาดที่ตัวเองได้ออกแบบลงในกระเป๋าเสื้อ
มืออุ่นเผลอจับดึงมือบางให้ออกมาจากห้องพร้อมกัน
“นายอยากกินขนมอะไรก่อนดีล่ะกงชาน”
“ช็อคโกแลตแมงมุมฮะ”
“ฮ่าๆ
เชื่อมั้ยว่าฉันก็ชอบเมนูนี้เหมือนกัน”
ทั้งคู่ชวนกันพูดคุยขณะที่กำลังเดินออกจากห้องแล้วปิดประตู
กงชานหัวเราะเสียงใสพลางจ้องโครงหน้าหล่อของอีกคนที่กำลังขำกับคำตอบเขา
ข้างหน้าประตูลิฟต์ของบริษัทถูกแขวนด้วยโคมไฟจากฟักทองสีส้มเปล่งประกายสดใสดูเป็นบรรยากาศที่อบอุ่นน่าเฉลิมฉลองด้วยกัน
ริมฝีปากบางเอ่ยคำบางคำขึ้นมาในระหว่างที่รอลิฟต์ลงไปชั้นล่างด้วยกันเบาๆ
“สุขสันต์วันฮาโลวีนนะฮะ
จินยองฮยอง”
“อืม”
มุมปากหยักยิ้มอย่างพอใจเงียบๆก่อนจะหันไปสบสายตาดวงตากลมๆที่กำลังยิ้มรอคอยคำพูดนั้นจากเขาเช่นกัน
เสียงสัญญาณของประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมบานประตูที่เปิดให้คนทั้งสองได้เข้าไปยืนอยู่เคียงข้างใกล้ๆกันในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
มืออบอุ่นของจินยองเผลอสอดประสานเข้ากับนิ้วมือเรียวของกงชานอย่างมั่นคงระหว่างที่เอ่ยคำสุดท้ายพร้อมกับประตูลิฟต์ที่ค่อยๆปิดลงอย่างพอดี
“ขอบคุณที่ทำให้วันนี้กลายเป็นวันที่พิเศษสำหรับฉันนะ
กงชาน”
PS. เป็น OS ที่ยาวถูกมั้ยคะ TwT 555555 ตั้งใจแต่งเพื่อฉลองเทศกาลวันฮาโลวีนพอดีเลย
ไม่รู้ว่าบาน่าจะชอบฟิคที่ยาวๆเวิ่นเว้อแบบนี้หรือเปล่า
แต่ก็เหมือนกับทุกเรื่องที่เราตั้งใจแต่งให้บาน่าได้อ่านนั่นแหละ
ใครที่อ่านแล้วยังงงๆกับตำนานตะเกียงแจ็ค
โอแลนเทิร์นอยู่เราแนะนำให้ไปหานิทานอ่านได้จากในเน็ตก่อนก็ได้ค่ะ
เป็นเรื่องราวตำนานนิทานของวันฮาโลวีนสนุกๆที่เราได้นำมาดัดแปลงเสริมแต่งเล็กๆน้อยๆจนกลายเป็นแจ็คเวอร์ชั่นใหม่กับแท่งไฟปย๊งของบาน่านั่นเอง
^^ ฟิคนี้เราแต่งตอนที่กำลังฟังเพลง 눈이 오면 ของ B1A4 ที่แนบอยู่ตรงหน้าปกฟิคไปด้วย
เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งเป็นไปตามความหมายเพลงที่เศร้าๆเตรียมต้อนรับหน้าหนาว(?)ที่กำลังจะมาถึง
ถ้าบาน่าฟังแล้วเข้าใจไปกับความหมายของเพลงเราเชื่อว่าทุกคนจะอ่านฟิคเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกที่เข้าใจมากกว่าเดิมแน่นอนค่ะ
อ่านเสร็จแล้วติดแท็ก #โอแลนเทิร์นจินชาน
ได้ถ้าอยากจะให้กำลังใจหรือติชมฟิคเรื่องนี้กัน หรือจะเม้นข้างใต้นี้เลยเราก็ไม่ว่าให้เราพอรู้ว่ายังมีคนอยากอ่านฟิคที่เราแต่งอยู่อีกเนอะ
T_T ขอให้มีช่วงเวลาดีๆในการอ่านฟิคเรื่องนี้และสนุกสนานไปกับเทศกาลฮาโลวีนให้เต็มที่นะคะ
แฮปปี้ฮาโลวีนเดย์ค่ะบาน่า~
B
เป็นเขินใหญ่เลยค่ะ ในช่วงของพาร์ทแรกที่เจอกัน กงชานดูน่ารักบอบบางราวแก้วเลยนะคะ พอลงมาจากต้นไม้นี่แสนจะเชิ่ดจริงๆ ส่วนตัวไม่เคยอ่านเรื่องแจ็คโอแลนเทิร์นมาก่อนเลย แต่ก็ยังเข้าใจมันได้ไม่ยาก ชอบช่วงที่ทั้งสองได้เดินเที่ยวในเทศกาลมากเลยค่ะ เป็นโมเมนต์น่ารักๆ ที่ทั้งสองได้พูดคุยหยอกล้อกัน และพอมาถึงพาร์ทหลัง เรานี่เขินไปหมดเลยค่ะ แหมะ ละมุนมาก สัมผัสได้ถึงความรักที่มีต่อกันแรงฝุดๆ เป็นราวที่น่าหลงไหลดีเลยนะคะ อ่านแล้วก็อยากจะร่วมงานเทศกาลฮาโลวีนเลยยยย TT
พาร์ทสุดท้ายตอนจบ แอบมีโมเมนต์ในวงตอนปัจจุบันด้วย งุยยยย เป็นน่ารักกกก ขอบคุณนะคะที่เขียนให้อ่านแล้วนึกถึงบรรยากาศเทศกาลแบบนี้ สู้ๆค่ะ
ปล.ขำความโคมไฟน้องปย๊งจังเลยค่ะ ไม่รู้ควรจะบอกน่ารักหรือสยองดีหากเจอคุณพี่จิ้งจอกถือมายามค่ำคืน 5555