คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : นางร้าย 4
The villain
นาง (นาย) ร้าย ที่รัก
ตอนที่ 4
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือที่ดังขึ้นทันทีที่หลังจากที่เล่นเพลงจบ ผู้คนมากมายต่างชื่นชมในฝีมือของการบรรเลงรวมทั้งเขาคนนั้นที่กำลังยิ้มอย่างสุขใจ ใบหน้าเปื้อยรอยยิ้มกว้างจนทำเอาผมหลงใหลและอยากได้ แต่มันติดตรงที่ว่าเขาไม่ได้ยิ้มให้กับผม
ถ้าหากว่าผมได้ขึ้นแสดงเปียโนเขาจะชื่นชมเหมือนกับที่ชื่นชมลูกรักของเขาไหมนะ?
ผมไม่ได้อยากคิดน้อยใจแต่มันอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้ ยอมรับว่าผมเป็นเด็กขาดความอบอุ่นเลยแสดงออกมาให้ตัวเองเป็นคนที่ดูแข็งกร้าวทั้งๆ ที่ใจจริงแล้วผมแทบอยากจะกรีดร้องด้วยความทรมาน ผมเป็นคน เป็นลูกของพ่อเหมือนกันแล้วก็เจ็บเป็นเหมือนกันแต่พ่อทำไมถึงไม่รักผม
“หนึ่งเก่งจังเลย”
“สุดยอดเลยหนึ่ง”
“เก่งขนาดนี้เป็นนักดนตรีมืออาชีพได้เลยนะเนี่ย”
“ไม่หรอก หนึ่งไม่ได้เก่งขนาดนั้น”
“ใครว่า.....หนึ่งนะ เก่งออก”
“ใช่ๆ เก่งมากจริงๆ”
เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินอยู่หรือเปล่า คนอีกคนที่ได้รับความสนใจจากคนรอบข้างแต่กับอีกคนที่ยืนมองเพียงข้างหลังอยู่คนเดียว ต้องทำยังไงนะผมถึงจะได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเสียงหัวเราะนั้น ต้องทำตัวยังไงทุกคนถึงจะมองว่าผมไม่ได้ร้ายอย่างที่เขาคิด
“เหอะ น่าเบื่อจริงๆ พวกนี้นี่กะอีแค่เล่นเปียโนได้หน่อยทำเป็นชื่นชมไม่เห็นจะมีอะไรน่าปลื้มปิติสักนิด”อัลฟาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเชิงหมั่นไส้ ดูท่าว่าเขาจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไร่ที่คนอื่นๆ ให้ความสนใจกับหนึ่งเป็นพิเศษ ด้วยความที่เริ่มรู้สึกเบื่อผมเดินเลี่ยงเดินออกมาจากมัลดีฟแล้วไปอีกทางแต่ผมกลับเจอคนที่ไม่อยากเจอเท่าไร่เดินมาทางผมพอดี หนึ่งที่กำลังทำหน้ายิ้มแป้นหุบลงแล้วก้มหน้าต่ำมองพื้นส่วนกัณฑ์ก็จ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละตามประสาเพื่อนที่แสนดีที่คอยปกป้องเพื่อนจากภัยอันตราย
“เป็นอะไร? ดูทำหน้าเข้าเหมือนกับคนที่กำลังผิดหวัง อ้อ ลืมไปนายคงผิดหวังซินะที่แผนตัวเองล่มไม่เป็นท่า”
เอาอีกแล้ว นี่ต้องการอะไรกับผมกันนักนะ ขนาดผมแค่เดินมาเฉยๆ ก็ยังถูกกัณฑ์พูดแขวะใส่ มันจะอะไรกันนักกันหนา!
“แผนอะไร พูดให้มันดีๆ นะกัณฑ์”
“แผนอะไร? อย่ามาทำซื่อหน่อยเลยต่อให้นายจะแกล้งหนึ่งอีกกี่ครั้ง ยังไงคนดีๆ ก็ต้องได้ดีอยู่วันยังค่ำ”กัณฑ์ยิ้มเยาะแล้วมองมาทางผม น้ำเสียงที่เอ่ยดังของเขาเจตนาทำให้ผมได้ยินแล้วสิ่งที่เขาพูดมันก็เป็นเรื่องเดิมๆ ผมถูกกล่าวหาโดยที่ไม่มีมูลความจริงเลยสักนิด
“ต้องการจะพูดอะไรก็พูดออกมาเลยดีกว่า”ผมเชิดหน้าตอบด้วยท่าทีหยิ่งผยองอย่างไม่ยอมแพ้ ในเมื่อผมถูกใส่ร้ายก็ช่างมันเถอะ ถ้าใครอยากมองว่าผมผิดก็ไม่เป็นไร ทำไงได้ก็สำหรับพวกเขาผมเป็นนางร้ายนี่นา
“เหอะ ฉันแค่จะบอกว่าต่อให้นายขโมยโน๊ตของหนึ่งไปอีกสักกี่ครั้งมันก็ไม่จำเป็นเลยสักนิด เพราะหนึ่งเขาเก่งอยู่แล้วต่อให้ไม่มีโน๊ตเขาก็เล่นได้”
“หึ น่าเสียดายนะ ฉันน่าจะทำให้มันแรงกว่านี้ เอาแบบเล่นเปียโนไม่ได้เลย”ใจของผมสั่นระรัวแต่ก็พยายามปั้นหน้าร้ายเข้าใส่ จนกัณฑ์เริ่มที่จะหมดความอดทน แต่ก็ถูกมือสั่นๆ ของหนึ่งดึงไว้ซะก่อน
“พอได้แล้วกัณฑ์”
“หนึ่ง! มาห้ามฉันทำไม”
“อย่ามีเรื่องกันเลยนะ”
ลูกรักของพ่อร้องห้ามเพื่อนข้างตัว แววตาสั่นระริกทอดมองมายังผมก่อนที่จะหลุบต่ำลงพื้น เพราะท่าทีแบบนี้หรือเปล่านะที่ทำให้คนอื่นๆ อยากปกป้องถ้าผมทำตัวแบบหนึ่งทุกคนจะหันมามองผมไหม?
“อ้าว หนึ่งอยู่นี่เอง”
“ครูเมย์”
ในช่วงจังหวะที่ทุกคนต่างเงียบเสียงอาจารย์สอนดนตรีก็เอ่ยดังขึ้น ครูเมย์เป็นอาจารย์แนะแนวของพวกชมรมดนตรีแล้วก็เป็นที่ปรึกษาให้หนึ่งในการแสดงเปียโนครั้งนี้ด้วย แต่ดูเหมือนว่าช่วงสามสี่วันครูเมย์จะเป็นหวัดเลยทำให้ไม่ได้มาโรงเรียน
“เมื่อกี้เห็นว่าคุยเรื่องโน๊ตกัน อ้าว นี่จ๊ะ”
ครูเมย์พูดจบก็ยื่นแผ่นโน๊ตให้กับหนึ่ง ถ้าผมเดาไม่ผิดน่าจะเป็นโน๊ตที่หายไป กัณฑ์ทำหน้าตาเลิกลักคงจะตกใจนิดๆ ที่จู่ๆ โน๊ตที่คิดว่าผมเอาไปอยู่กับครูเมย์ได้
“เอ่อ มันอยู่กับอาจารย์เหรอครับ”กัณฑ์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แล้วเหลือบมองมาทางผมนิดหน่อย
“ใช่จ๊ะ พอดีวันนั้นครูเห็นที่มันวางเอาไว้ที่ห้องซ้อมเปียโน ว่าจะเอามาคืนในวันรุ่งขึ้นแต่ดันเป็นหวัดซะก่อนเลยไม่ได้คืนเลย ทำไมเหรอ?”
“เอ่อ ปะ ปล่าวครับ”ทั้งกัณฑ์และหนึ่งต่างก็มองหน้ากันนิดหน่อยแล้วก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ผมได้แต่ยิ้มเยาะให้กับตัวเองเบาๆ นี่พวกเขาลืมอะไรไปหรือเปล่านะ ผมถูกกล่าวหาในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำแต่พวกเขากลับลืมที่จะขอโทษผม คงไม่ใช่หรอกพวกเขาไม่ได้ลืมพูดแต่ไม่คิดที่จะพูดต่างหากเพราะสำหรับคนอย่างผมคำว่า ‘ขอโทษ’ มันเอ่ยยากกว่าคำด่าเสียอีก
หลังจากที่จัดงานโรงเรียนเสร็จทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ไม่มีการแสดง ไม่มีการแนะแนวโรงเรียน ผมก็เรียนตามปกติ ความทรงจำของทุกคนถูกเอ่ยขึ้นอย่างสนุกสนานพร้อมกับรูปถ่ายที่ถูกถ่ายขึ้นแล้วเอามาแบ่งกันชม รูปที่หนึ่งเล่นเปียโนก็ถูกเอามาแปะที่บอร์ดของโรงเรียนเพื่อเป็นการชื่นชมที่การแสดงจบลงไปด้วยดี ผมเองก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมมุมหลังห้องริมหน้าต่าง ไม่คิดที่จะสนใจเข้าไปร่วมวงสนธนาเพราะทุกเรื่องที่พูดถึงมันไม่มีผมรวมอยู่ด้วย
กริ๊งงงงง
เสียงกริ่งที่บ่งบอกว่าถึงเวลาเลิกเรียนทุกคนต่างก็ทยอยกันกลับบ้านแต่ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วก็ไม่คิดที่จะขยับ เสียงฝีเท้ากับเสียงคุยเจื้อยแจ้วดังมาให้ได้ยินแต่ผมก็ไม่คิดที่จะใส่ใจเลยสักนิดจนกระทั่งไม่นานทุกอย่างก็เงียบลง ภายในห้องเรียนกว้างเหลือแต่ผมเพียงคนเดียวที่นั่งอยู่มันเงียบเหงาจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง ผมทรุดนอนลงกับโต๊ะอย่างรู้สึกเหนื่อยอ่อนไม่รู้จะอยู่ทำไม? แต่ผมยังไม่อยากกลับบ้านเท่านั้น ผมนอนฟังเสียงหัวใจตัวเองไปเรื่อยๆ มันดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอจนในที่สุดผมก็นอนหลับไปจริงๆ
ฟี้ ฟี้ ฟี้.....
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงฝีเท้าที่ทอดเดินเข้ามาใกล้ร่างบางที่กำลังหลับใหลอยู่ในห้องนิทรา ใบหน้าคมมองคนตัวเล็กด้วยความรู้สึกหลากหลายที่เกิดขึ้น ท่านอนที่เหมือนกับคนอมทุกข์ ใบหน้าหวานที่มักจะยุ่งเหยิงตลอดเวลาแต่กลับมีแววตาที่เศร้าสร้อยจนเหมือนคนร้องไห้ ภายนอกที่ดูรุนแรงแต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความเศร้าหมองจนอยากจะปกป้องด้วยสองมือตัวเอง จะผิดไหม? ถ้าหากว่าอยากเห็นรอยยิ้มที่มาจากใจไม่ใช่การเสแสร้ง จะผิดไหม? ที่อยากเห็นตอนหัวเราะมากกว่าน้ำตาซ่อนใน
“ฮึก”
เสียงครางถูกเปล่งออกมาจากลำคอกับน้ำสีใสที่ซึมออกมาจากหางตาเล็กๆ แค่ดูก็รู้ว่าคนที่หลับกำลังฝันร้าย ชายหนุ่มใจกระตุกวูบทันทีจากนั้นก็นำมือหนายื่นเข้าไปเกลี่ยน้ำตาหวังเช็ดให้แห้ง เขารู้สึกไม่เข้าใจตัวเองนักทำไมถึงต้องทำแบบนี้รู้แค่ว่าร่างกายมันไปเร็วกว่าสมองสั่ง
เรื่องแผ่นโน๊ตก็เหมือนกันเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมร่างบางถึงไม่ปฏิเสธแต่กลับพูดและทำท่าทางเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคนเอาไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่สักนิด
ใช่! ทำไมเขาจะไม่รู้เพราะเขามองอยู่ตลอดเวลาได้ยินและรู้ทุกอย่างที่คนรอบข้างเอ่ยขึ้น คำกล่าวโทษ คำว่าร้าย ถูกสาดส่งเข้ามาแต่เจ้าตัวก็ยังทนแบกรับความเจ็บปวดตกเป็นจำเลยรับความผิดทันที
ชายหนุ่มครุ่นคิดหนักมองร่างบางที่ตอนนี้หลับเหมือนเด็กน้อยอย่างไม่วางตา ยิ่งเช็ดน้ำตาของเจ้าตัวก็ยิ่งไหลมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทำยังไงก็ไม่แห้งสักทีจนสุดปัญหาที่จะห้าม ร่างสูงขมวดคิ้วเป็นปมเชิงใช้ความคิดแล้วก็ไม่รู้อะไรมาดลใจจนต้องก้มลงไปสัมผัสที่หางตาเบาๆ ความหอมหวานจากร่างกายที่ได้กลิ่นทำให้ร่างสูงรู้สึกอยากที่จะทำมากกว่านี้แต่ก็ทำไม่ได้ มีแต่ต้องพยายามข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้เตลิดก่อนที่จะผละตัวออกมาอย่างเร็วด้วยกลัวว่าจะทำให้คนหลับตื่น มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ส่งให้โดยที่อีกฝ่ายไม่เห็นพร้อมกับน้ำนิ้วมือหนาไปแตะที่แก้มนวลอีกครั้งเพื่อเช็ดน้ำตาครั้งสุดท้าย
อย่าร้องไห้เลยนะคนดี เงียบเถอะนะ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของคุณ.....
เฮือก!
ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจเล็กๆ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองกำลังเต้นระรัวอย่างไม่ทราบสาเหตุ รู้สึกถึงริมฝีปากที่สัมผัสกับใบหน้าและความอ่อนโยนที่ได้รับ มันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่นะในขณะที่ผมกำลังหลับ เหมือนกับว่ามีใครสักคนเดินเข้ามาในห้องแล้วก็ทำอะไรสักอย่างแต่มันอ่อนโยนจนทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจ นานเท่าไร่แล้วนะที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้
ความฝัน.....ใช่! ทุกอย่างที่ผมรู้สึกอาจจะเป็นความฝันก็ได้คงไม่มีใครคิดที่จะมาอ่อนโยนกับผมหรอก ก็เพราะว่าผมนะ ร้ายจะตายไป
“เฮ้อ กลับบ้านดีกว่า”
ผมพยายามสะบัดหัวไล่ความคิดออกแล้วเก็บกระเป๋าเตรียมตัวที่จะกลับบ้าน ถึงแม้ว่าจะป็นช่วงเย็นของเวลาหลังเลิกเรียนแต่บางคนที่ยังไม่กลับก็มี ถึงจะมีนักเรียนอยู่แต่ก็ไม่มากเหมือนเหมือนตอนกลางวันแล้ววันนี้ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตุบ
“อ่ะ ขอโทษครับ”
ในช่วงจังหวะที่ผมก้มหน้าก้มตามเดินโดยที่ไม่ได้สนใจคนรอบข้างผมก็เดินชนเข้ากับคนๆ นึงอย่างจัง แต่พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละถึงกับทำเอาผมเบ้หน้าขึ้นมาทันที
“จะไปไหน?”
“ฉันจะไปมันก็เรื่องของฉัน มันไม่เกี่ยวกับนายนะไค”
“เย็นแล้วทำไมไม่กลับบ้าน”
“นั่นมันก็เรื่องของฉันอีกเหมือนกัน หลีกไป!”
ให้ตายสิ! ทำไมผู้ชายคนนี้ชอบยุ่งวุ่นวายกับผมจังนะ ไม่ได้อยากเจอหน้าเลย
“เฮ้ย! ปล่อยฉันนะ”ผมที่จะเดินเลี่ยงไปอีกทางแต่กลับถูกมือหนาของไคจับไว้ซะก่อน เขาจับแขนผมไว้แน่นก่อนที่จะพาผมไปอีกทาง ผมทั้งตกใจแล้วก็ดิ้นหนีแต่ไคไม่ยอมฟังผมสักนิด
“ไค! นายปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่”
ไคพาผมมาที่รถแล้วจับผมใส่เข้าไปด้านใน ด้วยแรงที่มากกว่าทำให้ผมต้องเจ็บตัวไม่น้อย ผมหันมองสบตาร่างสูงด้วยความเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ คนอะไรแรงเยอะชะมัด!
“นายจะทำอะไร ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”ผมร้องโวยวายแล้วพยายามจะวิ่งออกมาจากตัวรถ แต่ไคก็ไม่ยอมปล่อยผมอีกตามเคย
“หยุด! นั่งไปเฉยๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน”
“ไม่หยุด!”
“ไม่หยุดใช่ไหม ได้.....งั้นฉันจูบ”ไม่พูดเปล่า ร่างสูงยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนทำเอาผมต้องเอนหลังหนีเพื่อให้หลุดพ้นจากใบหน้าหล่อเหลา จนแผ่นหลังบางของผมชิดกับเกียร์รถ
“เออๆ หยุดแล้ว”
“ก็แค่เนี่ย แล้วนั่งอยู่เฉยๆ นะ ถ้าคิดหนีเมื่อไร่ ฉันจับนายจูบกลางโรงเรียนแน่ๆ อ้อ แล้วอย่าคิดว่าฉันไม่กล้า ฉันพูดจริงทำจริง”
ไคยอมผละออกจากตัวผมง่ายๆ แต่ก็ยังคงพูดขู่ผมอยู่ ผมไม่ได้กลัวเขานะแต่ห่วงสวัสดิภาพของตัวเองมากกว่าจึงได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ อย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร่
“หึ”เสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากหนา ก่อนที่ประตูฝั่งด้านผมจะถูกปิดลงแล้วไคก็เดินอ้อมมาทางด้านฝั่งคนขับ
ผมไม่รู้ว่าไคทำแบบนี้เพื่ออะไร? ทำไมวันนี้เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตผมจังทั้งๆ ที่ปกติไม่เห็นแม้แต่จะชายตาแลด้วยซ้ำ ตัวรถที่ถูกขับเคลื่อนออกจากรั้วโรงเรียนเอกชนตลอดระยะทางผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับไคทั้งนั้น ความเงียบจึงเกิดขึ้นจนผมได้ยินถึงเสียงของแอร์รถที่ดังตลอดระยะทาง ดูจากเส้นทางที่วิ่งผมก็พอเดาออกว่าเขากำลังไปส่งผมที่บ้านมันทำให้ผมอดแปลกใจไม่ได้ มันต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ ไม่อย่างนั้นไคไม่ไปส่งผมหรอก
“ทำไมนายไม่แก้ตัว”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยดังขึ้นแต่ผมก็ไม่คิดที่จะใส่ใจ ไม่ถามกลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แค่ดูจากประโยคที่เอ่ยถามผมก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไร
“นี่! ฉันถามไม่ได้ยินหรือยังไง”
“.....”
“เรย์!”
“ได้ยิน! แต่ไม่คิดที่จะตอบ”ผมสวนกลับทันทีแล้วหันไปมองร่างสูงที่กำลังขับรถอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังเดือดยังไงยังงั้นเพราะดูจากการที่ไคกำพวงมาลัยไว้แน่นจนแทบหัก
“เอาละ ฉันจะไม่พูดเรื่องอื่น แค่นายตอบคำถามฉันมา”
“เหอะ ทำไมฉันต้องเชื่อนาย”
“เรย์! อย่ามายอกย้อน นายก็รู้ว่าฉันไม่ใช่คนใจเย็น”ไคพูดกับผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็น จนทำเอาผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา นี่ถ้าหากว่าผมขัดใจเขามีหวังได้ถูกฆ่าหมกป่าแน่!!!
“มีอะไรก็พูดมา!”ผมกระชากเสียงอย่างรู้สึกไม่พอใจ เอะอะก็ขู่ เอะอะก็ใช้กำลัง นี่เขาเห็นผมเป็นกระสอบทรายหรือไงนะ
“ทำไมนายถึงไม่แก้ตัวเรื่องโน๊ต”
“ที่นายจะพูดก็มีแค่นี้ใช่ไหม?”
“ใช่ หนึ่งเขารู้สึกผิดที่เพื่อนของเขากล่าวหาว่านายเอาไป”
“ทำไม! สำนึกแล้วอยากจะขอโทษงั้นเหรอ? เลยให้นายมาพูดแทนเนี่ยนะ ขอบอกไว้เลยฉันไม่รับ!”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดังนิดๆ หันมองไปยังคนขับที่ตอนนี้ก็กำลังเหลือบสายตามามองผมเหมือนกันก่อนที่จะหันไปขับรถต่อแล้วพูดขึ้นอีกครั้ง จะให้ผมยกโทษให้เหรอ? มันก็ง่ายมากแต่สิ่งที่ทำให้ผมโกรธไม่ใช่เพราะเรื่องที่เข้าใจผิด แต่เป็นเรื่องที่เจ้าตัวไม่มาพูดกับผมโดยตรงต่างหาก
“หนึ่งเขาไม่ได้มาขอร้องฉันแต่ฉันมาเอง หนึ่งเขาเสียใจมากนะที่เข้าใจนายผิด”
“ก็แล้วยังไง? ก็บอกแล้วว่าฉันไม่รับคำขอโทษจากมัน!”
“เรย์! พูดให้มันดีๆ หน่อย แล้วตอนนั้นทำไมนายไม่แก้ตัวว่านายไม่ได้เอาไป”
นี่เขากำลังมองว่าผมผิดสินะ.....ต่อให้ผมไม่ผิด ไม่ได้เอาไปตั้งแต่ต้นแต่ก็ยังมีข้อกล่าวหามาให้ผมอีกจนได้ ผมทำอะไรก็คงผิดในสายตาพวกเขาตลอด ไม่มีใครจะมองว่าผมดีสักนิดแล้วที่มาพูดปาวๆ แบบนี้ก็เพื่อปกป้องหนึ่งไม่ใช่เพราะอยากจะมาพูดขอโทษผมสักหน่อย
“ถ้าเป็นนาย.....”
“.....”
“นายจะทำยังไงเหรอไค คนรอบตัวนายมองว่านายเป็นคนผิดโดยที่ไม่ได้ถามสักนิดว่าเอาไปหรือเปล่า แต่พอบอกว่าไม่ได้เอาไปก็หาว่าแก้ตัวแล้วโยนความผิดให้คนอื่น ทั้งๆ ที่คนที่กล่าวหาไม่ได้รู้อะไรเลย”
ผมหยุดนิ่งพยายามระงับเสียงไม่ให้มันสั่นออกมารวมทั้งน้ำตาที่มันกำลังจะไหล ผมเบนสายตามองไปทางอื่นเพื่อไม่ให้เห็น เขาจะรู้ไม่ได้ว่าผมกำลังอ่อนแอ
“แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันก็จะพูดแก้ตัวยังไงซะ คนไม่ผิดก็คือไม่ผิด”
“ใช่! สำหรับนายและคนอื่นๆ ก็พูดแบบนั้นได้นี่เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ผิดสักนิด แต่กับฉันละที่ถูกมองว่าผิดตั้งแต่ต้นเคยจะมีใครบ้างไหมที่จะถามออกมาว่าฉันเอาไปหรือเปล่า มีแต่จะคอยซ้ำเติมและต่อว่าแล้วจะให้ฉันพูดแก้ตัวไปเพื่ออะไร ยังไงซะคนผิดก็คือฉันอยู่ดี”
ผมพูดโดยที่ไม่มองหน้าไค ความอัดอั้นที่มีมันทำให้ผมถึงขีดสุดจนต้องปล่อยน้ำตาออกมา ผมเช็ดน้ำตาตัวเองอย่างลวกๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก ไคเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเหมือนกันจนกระทั่งมาส่งผมถึงหน้าบ้าน ไม่มีการร่ำราหรือการพูดจาหวานๆ ใส่กัน พอไคมาส่งผมถึงที่ผมก็รีบออกจากตัวรถทันทีแล้ววิ่งเข้าบ้านอย่างเร็ว
ให้ตายสิ! น่าอายชะมัดที่ดันมาร้องไห้ให้คนอื่นเห็น
“คุณเรย์กลับมาแล้วเหรอคะ”
ทันทีที่ผมเข้ามาในบ้าน เย็นก็ออกมาต้อนรับแล้วเอาน้ำมาให้ผมเพื่อคลายร้อน เย็นเขาดีกับผมมากคอยดูแลและเอาใจใส่ผมทุกอย่าง จนผมอดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากว่าวันนึงผมกับเย็นต้องจากกันผมจะเป็นยังไง? จะอยู่ได้หรือเปล่านะ
“เหนื่อยไหมคะ ให้เย็นนวดให้ไหม?”
“ไม่ต้องหรอกเย็น เย็นทำงานเหนื่อยแล้วไปพักผ่อนเถอะ”
“คะ”
“เอ่อ เดี๋ยวเย็น”
“ต้องการอะไรเพิ่งอีกเหรอคะ คุณเรย์”
เย็นที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องหยุดลงแล้วหันมาทางผมอีกครั้ง ผมลังเลเล็กน้อยไม่รู้ว่าสมควรที่จะถามไปดีไหม เพราะว่าตั้งแต่เข้าบ้านมาผมก็ยังไม่เห็นใครสักคนซึ่งปกติผมจะต้องเจอภาพบาดตาบาดใจซะก่อนที่จะเดินขึ้นห้อง แต่ด้วยความอยากรู้จนแล้วจนรอดผมก็ถามออกไปจนได้
“เขาไปไหน?”
“เอ่อ”
“พูดมาเถอะ”
“ไปทานข้าวกับ.....”
“กับลูกกับเมียเขาใช่ไหม”
เย็นพยักหน้าเบาๆ ให้กับผมเป็นคำตอบ แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าหมายถึงอะไร เนี่ยเหรอ? คนที่บอกว่าสำนึกผิดแทนเพื่อน แต่กลับระริกระรี้ออกไปทานข้าวอย่างหน้าตาเฉย เหอะ นี่ผมสมควรจะดีใจไหมนะ
“เย็นออกไปเถอะ ผมอยากพักผ่อน”
“คะ”
ปัง
เสียงประตูถูกปิดลงผมก็ล้มตัวลงนอนทันที บ้านหลังใหญ่ที่ผู้คนไฝ่ฝันอยากมาอยู่ เงินทองมากมายที่ใช้เท่าไร่ก็ไม่หมดแต่ทำไมผมถึงใช้เงินเหล่านั้นซื้อความสุขไม่ได้กันนะ จู่ๆ ภาพสามคนพ่อแม่ลูกกำลังนั่งทานข้าวด้วยรอยยิ้มผุดขึ้นมาในสมอง ผมจะมีความสุขมากกว่านี้ถ้าหากว่าคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นมันเป็นผมไม่ใช่หนึ่งลูกรักของพ่อ แต่มันก็เท่านั้นในเมื่อทุกอย่างมันก็ฟ้องมาตั้งแต่แรกว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันที่ผมมโนภาพขึ้นเอาเอง
ผมหลับตาลงช้าๆ คิดถึงสัมผัสที่อบอุ่น ภายในห้องเรียนกว้างที่มีผมนอนอยู่ ถ้าหากว่าผมไม่ได้ฝันไปก็คงจะดีไม่น้อย เหมือนกับผมได้รับความสำคัญเป็นที่รักของคนในความฝัน เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนจนผมอยากโอบกอดเอาไว้แน่นๆ
คุณจะมีตัวตนอยู่จริงๆ ไหมนะ ชายในฝันของผม.....
อีกด้านหนึ่ง
เสียงเจาะแจะจากผู้คนรอบข้างดังขึ้นด้วยความสุขสม ภาพครอบครัวที่อบอุ่นกำลังนั่งทานข้าวด้วยรอยยิ้มกว้าง มีทั้งคุณพ่อและคุณแม่ที่ใจดีกับลูกชายที่น่ารักกำลังคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ในสายตาของผู้คนรอบข้างก็คงคิดว่ามันดูอบอุ่นไม่น้อย แต่ไม่ใช่สำหรับเขาที่เริ่มมองเห็นช่องว่างระหว่างครอบครัว
คนหนึ่งคนที่ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากพ่อแม่ดูมีความสุขดีอย่างน่าอิจฉาแต่กับอีกคนที่ถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังไม่มีใครสักคนที่จะหันไปมอง สายตาที่เต็มไปด้วยน้ำตามองพวกเขาด้วยความเว้าวอนแกมขอร้อง
อย่าทิ้งผมเอาไว้คนเดียว.....
ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ จะร้องไห้หรือเปล่า? หรือว่ากำลังทุกข์อยู่ ชายหนุ่มได้แต่ค่อนคิดในใจด้วยความเป็นห่วง ทำไมเขาถึงมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้ ทำไมถึงมองข้าคนๆ นึงได้นานขนาดนี้ทั้งๆ ที่เสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดมันดังอยู่ตลอดเวลาแต่กลับไม่มีใครได้ยินสักคน
หนึ่งคนที่กำลังทานข้าวด้วยความสุขแต่อีกคนกำลังนั่งทานข้าวคนเดียวด้วยน้ำตา.....
แค่คิดมันก็ทำให้ใจของเขาปวดร้าวจนอยากจะเข้าไปปลอบประโลมด้วยซ้ำ ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดูมีความสุขมากเท่าไร่ เขาก็ยิ่งคิดถึงคนถูกทิ้งไว้เบื้องหลังแต่สิ่งที่ทำได้คือแค่ทนและรอคอยทำให้มันจบๆ ไปเร็วๆ
“ไค! ตะวัน! เป็นอะไรเงียบเชียว”
“เอ่อ เปล่าไม่มีอะไร”ไคเอ่ยยิ้มๆ แล้วเริ่มลงมือทานอาหารที่อยู่ในจานอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตุ ทำไมกันนะ? เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมต้องนึกถึงอีกคนด้วย
“ตะวันละ คิดอะไรอยู่”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรนิดหน่อย”ตะวันยิ้มบางให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าก่อนที่จะทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้บอกได้ยังไงว่ากำลังคิดถึงใครอีกคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้
“อะไรของพวกนายเนี่ย”
ร่างเล็กครุ่นคิดกับท่าทีที่ไม่ปกติของชายหนุ่มทั้งสองแต่ก็ไม่ใส่ใจแล้วเริ่มทานอาหารตรงหน้าต่อ ในเมื่อเจ้าตัวไม่อยากจะพูดก็ไม่คิดที่จะบังคับเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย
เสียงหัวเราะเกิดขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความสนุกสนานของคนในครอบครัวแต่ภายในใจของชายหนุ่มกลับว่างเปล่า ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายด้วยสักนิดเพราะตอนนี้ใจของเขากลับโบยบินไปหาร่างบางอีกคนที่คิดว่าตอนนี้คงกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
อย่าร้องไห้เลยนะคนดี เงียบเถอะนะ ผมไม่อยากเห็นน้ำตาของคุณ.....
====================================
มาแย้วววววว ขอโทษที่มาช้านะ พอดีเทคมีธุระนิดหน่อยในตอนเย็นเลยทำให้แต่งไม่ทัน คิวปิคอย่าเพิ่งงอนเทคนะ
งานราชงานหลวงของเทคเยอะมากมาย เหนื่อยเล็กๆ ถ้าเทคแต่งไม่สนุกก็ขอโทษอีกครั้งนะ เพราะว่ารีบจริงๆ เอ่อ แล้วเรื่องนี้ไม่ P นะ พระเอกมีแค่คนเดียวเท่านั้น หนึ่งในสองคนนั่นแหละ ลองเดาดู เดาถูกจุ๊บทีนึง//โดนเตะ
แล้วเจอกันครั้งหน้าไม่ศุกร์ก็เสาร์นะ รู้สึกว่าวันหยุดช่วงนี้เทคมีธุระเยอะจริงๆ พวกเรียกตัวตลอดๆ
ความคิดเห็น