ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the villain - นาง(นาย)ร้าย ที่รัก(yaoi) END

    ลำดับตอนที่ #4 : นางร้าย 3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.62K
      79
      5 เม.ย. 57

     

     

    The  villain

    นาง (นาย) ร้าย  ที่รัก

     

    ตอนที่  3

    “น่าโมโหจริงๆ ยัยพวกนั่นนี่มาว่าคุณหนูของฉัน!

    คำสบถถูกพ่นออกมาจากปากของหญิงรับใช้อย่างหัวเสียเมื่อนึกถึงการต่อปากต่อคำเมื่อสักครู่ บังอาจนักมามาคุณหนูผู้บริสุทธิ์ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องสักอย่าง ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าคุณหนูของเธอเป็นเช่นไรเพราะเธอเลี้ยงของเธอมาตั้งแต่ยังเด็กๆ จากเด็กดีมีรอยยิ้มน่ารักแต่วันนึงก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แน่นอนสาเหตุไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากคนที่ได้ชื่อว่า พ่อ

    ก็อก ก็อก ก็อก

    “คุณหนูคะ เย็นเอาข้าวมาให้คะ”

    “.....”

    “คุณเรย์”

    ก็อก ก็อก ก็อก

    “คุณเรย์”

    ก็อก ก็อก ก็อก

    เสียงเคาะประตูและเสียงเรียกยังคงดังต่อเนื่องแต่ไม่มีท่าทีจะตอบรับจากอีกฝ่ายจนทำให้เธอรู้สึกใจไม่ดีเพราะเมื่อตอนที่กลับออกมาจากโรงพยาบาลคุณหนูของเธอได้มีปากเสียงกับบิดาจนลั่นบ้าน ด้วยความเป็นห่วงในชีวิตเจ้านายทำให้เธอร้อนรน โชคดีที่ประตูไม่ได้ล็อกไม่อย่างนั้นเธอจะต้องเสียเวลาลงไปเอากุญแจสำรองข้างล่างเป็นแน่

    ปัง!

    “คุณเรย์!

    สาวใช้วิ่งไปทั่วทุกมุมห้องแต่กลับไม่มีร่องรอยคนอยู่เลยสักคนยิ่งทำให้เธอเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างกลัวรับรู้ถึงอาการสั่นของมือตัวเองจนห้ามให้หยุดไม่ได้ ตอนนี้สมองของเธอคิดเพียงแค่อย่างเดียว กลัวว่าอีกคนจะคิดสั้น กลัวว่าคุณหนูอาจจากไปโดยที่ไม่มีวันกลับ

    “คุณเรย์คุณเรย์อยู่ไหนคะ”

    ผู้เป็นดั่งดวงใจของเธอไปไหนเธอไม่อาจรู้ รู้แต่ว่าต้องออกตามหาให้เจอ น้ำสีใสถูกหลั่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างจนห้ามไม่ได้ เธอรู้สึกกลัว.....กลัวจริงๆ

    ปรื้น ปรื้น

    ท้องถนนแม้จะเป็นยามค่ำคืนแต่ก็เต็มไปด้วยรถและกลุ่มควันมลพิษ ดวงตาที่หวาดระแวงทั้งสองข้างสอดส่องไปทั่วหมุนซ้ายหมุนขวาแล้ววิ่งตามหาอย่างไม่ลดละ เพียงไม่นานก็คลี่ยิ้มกว้างบนใบหน้าก่อนที่จะวิ่งเข้าหาคนตัวเล็กที่กำลังร้องไห้เหมือนขาดใจ

    “คุณเรย์!

    ผมร้องไห้อีกแล้ว.....ร้องไห้เหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต ผมวิ่งหนีไคออกมาไม่อยากให้เขารู้สึกสมเพชไปมากกว่านี้แต่ผมที่ไม่มีทั้งเงินและเสื้อผ้าทำให้ไปไหนไม่รอดต้องกลับมาบ้านที่ผมหนีออกมาอยู่ดี ถึงแม้ว่าจะไม่อยากกลับแต่ผมก็ไม่รู้จะไปไหน ทำให้ตัวเองต้องเดินกลับมาทางเดิม เสียงเรียกที่ดังเข้าโสตประสาททำให้ผมต้องเงยหน้ามองด้วยน้ำตา ถึงจะมองไม่เห็นแต่ผมก็รู้ว่าเป็นใคร?

    “ยะ เย็น ฮือ ฮือ”

    เย็นเข้ามากอดผมอย่างเต็มรัก ผมรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของเธอ ใบหน้าที่ผมเห็นมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์นองไปด้วยน้ำตามันทำให้ผมใจหลุนวูบ

    “คุณเรย์ ฮือ ฮือ เย็นเป็นห่วง อย่าหายไปอีกนะคะ”

    “ขอโทษนะ ฮึก”

    “ไม่เป็นไรคะ”

    บ้านที่ไม่มีใครต้องการอย่างน้อยผมก็มีเย็นที่คอยผมอยู่ ถ้าหากผมหนีไปคนเดียวก็เท่ากับทิ้งเย็นเอาไว้ผมคงทำไม่ได้เพราะเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมอยู่เคียงข้างผมในวันที่ผมไม่มีใคร

    ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติ ผมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นสีหน้าเย่อหยิ่งฉายชัดบนใบหน้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยทอดมองไปยังสาวใช้ที่นินทาผมเมื่อวานอย่างหาเรื่องจนเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งก้มหน้าต่ำมองพื้นไม่กล้าหันขึ้นมาสบตา สองมือที่ประสานกันสั่นระริกจนผมสังเกตุได้

    “คราวหลังหัดหุบปากบ้างนะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีงานทำแบบไม่รู้ตัว”

    ผมขู่.....ได้แค่ขู่เท่านั้นไม่คิดจะทำจริงๆ สองคนนั่นก็ยังคงก้มหน้าอยู่ ผมมองเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเดินออกมา

    มือของผมถือกระเป๋าสะพายแล้วกำมันจนแน่นก่อนที่จะหันไปมองบ้านหลังใหญ่ที่ผมอยู่มาตั้งแต่เกิด ตั้งแต่จำความได้พ่อไม่เคยรักผมเลย ผมเคยสงสัยนะว่าผมเป็นลูกของพ่อหรือเปล่าเหมือนกับอย่างในละครที่พ่อไม่รักเพราะเป็นลูกของคนอื่น ทำให้ผมอยากพิสูตรเลยลองเอา DNA ไปตรวจแต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ผมเป็นลูกพ่อร้อยเปอร์เซ็น เป็นลูกแม่เต็มตัว แต่ทำไมพ่อไม่รักผมเลย.....

    ทำไม? ไม่รักผมเหมือนกับที่รักหนึ่ง

    “.....เรย์.....เรย์.....เรย์!

    “หะ ห๋า ว่าไง”

    “อะไรของนายเนี่ย มัวแต่นั่งเหม่ออยู่ได้”

    “เอ่อ โทษทีนะอัลฟา”

    “โห่ ฉันชวนนายมาสนุกนะ ไม่ได้ชวนมานั่งเหม่อ ไปเต้นกันเถอะ”

    “นายไปเถอะ ฉันอยากนั่งมากกว่า”

    “ตามใจ”

    อัลฟาเพื่อนร่วมชั้นเรียนเอ่ยขึ้นก่อนจะทิ้งผมให้นั่งอยู่คนเดียวแล้วออกไปเต้นกลางลานพร้อมกับเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันกับเขาสองสามคน เสียงดนตรีที่ดังเข้าหูแต่มันกลับไม่เข้าสมองผมเลยสักนิด กลิ่นหล้าแรงๆ มันก็ไม่ได้ทำให้ผมอยากที่จะแตะต้องเลยได้แต่ปล่อยแก้ววางอยู่แบบนั้นจนน้ำแข็งละลาย

    ผมเบื่อไม่อยากกลับบ้านเลยมาตามคำชวนของอัลฟาที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง คิดว่าอย่างน้อยเสียงดนตรีก็คงทำให้ผมคลายความเศร้าลงได้บ้างแต่มันก็เท่านั้นเพราะไม่ว่ายังไงผมก็ยังคงนึกถึงแต่ผู้ชายคนนั้นอยู่ดี ไม่รู้ทำไมถึงชอบทำให้ตัวเองเจ็บ ในเมื่อเขาไม่รักแล้วจะคิดถึงทำไมก็ไม่รู้

    “ขอโทษครับ ขอนั่งด้วยได้ไหม?”

    ผมมองไปยังอีกคนที่เข้ามานั่งข้างผมอย่างถือวิสาสะ ใบหน้าหล่อเหลากระตุกยิ้มมาให้ถ้าผมเป็นคนอื่นก็คงจะหลงรอยยิ้มนั้นง่ายๆ แต่ผมไม่โง่พอที่จะลดตัวลงไปทำแบบนั้น ขึ้นชื่อว่า ผับ’ ก็ต้องย่อมมีคนหลายประเภทที่เข้ามาแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่รักสนุกมากกว่า พอเมื่อเจอคนที่ถูกใจก็เข้ามาทักแล้วก็จบลงเพียงชั่วข้ามคืนบนเตียงในคอนโดหรูหรือไม่ก็คงเป็นโรงแรมม่านรูดสักแห่งแถวนี้

    “ขอโทษครับ แต่ผมอยากนั่งคนเดียว”

    “ผมชื่อดนัย แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ”

    ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจสิ่งที่ผมพูดสักนิดยังพยายามที่จะสานสัมพันธ์ต่อทั้งๆ ที่ผมปฏิเสธไปอย่างโจ่งแจ้ง ผมยิ้มเล็กน้อยให้เขาก่อนที่จะตอบออกไปอย่างที่ใจคิดตั้งแต่แรก ให้มันรู้ไปสิว่าพูดขนาดนี้แล้วยังจะหน้าด้านอยู่อีกไหม!

    “คงไม่จำเป็นต้องบอกหรอกนะครับ อีกเดี๋ยวคุณก็ไปแล้ว”

    สีหน้าเขาเจื้อนลงเล็กน้อยแล้วเดินออกไปทันทีโดยที่ไม่พูดอะไรต่อ ผมเองก็เบื่อที่จะอยู่ในนี้เลยลุกออกไปข้างนอกเพื่อที่จะสูดอากาศที่บริสุทธิ์แต่ช่วงจังหวะที่ผมกำลังลุกด้วยความซุ่มซ่ามของตัวเองไปชนแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันเข้าทำให้มันหกรดกางเกงอย่างจัง

    ตึง!

    ว้า ซุ่มซ่ามจังเลยเรา

    ด้วยกลิ่นและความเปียกชื้นของเนื้อผ้าทำให้ผมเริ่มรู้สึกไม่ดีจนต้องเปลี่ยนใจกลับบ้าน มองดูนาฬิกาข้อมือก็เกือบเที่ยงคืนแล้วป่านนี้ก็คงเข้านอนกันจนหมด

    แอ๊ดดดด

    ผมเปิดประตูบ้านด้วยเสียงที่เบาทำตัวเหมือนกับแมวขโมยแต่ยังไม่ได้ไปไหนเพียงไม่นานบ้านที่น่าจะมืดกลับกลายเป็นสว่างในชั่วพริบตา

    พรึ๊บ!

    “แกไปไหนมา!

    เสียงประกาศกร้าวเอ่ยดังขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ดูก็รู้ว่ากำลังโกรธจัด นี่เขายังไม่นอนอีกเหรอ?

    “ฉันถามว่าแกไปไหนมา!

    “ไปเที่ยว”

    “ทำไมแกถึงทำให้ฉันปวดหัวอยู่เรื่อย ห่ะกลิ่นเหล้าก็เหม็นหึ่งเชียว แกกำลังอยู่ในวัยเรียนควรที่จะเรียนหนังสือ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นทำตัวไร้สาระ”

    “ถ้ามีเรื่องจะพูดแค่นี้ผมขอตัว”

    พูดจบผมก็รีบเดินขึ้นห้องทันที ที่ผมไม่อยากกลับบ้านก็เพราะว่ามีเขาเป็นคนต้นเรื่อง นอกจากจ้องแต่จะหาเรื่องด่าผมไปวันๆ ก็ไม่เห็นจะมาสนใจผมสักนิดหรือต่อให้ผมไม่ได้ทำอะไรเขาก็มักจะมีเรื่องด่าผมอยู่แล้ว กับเรื่องที่เข้าใจผิดคิดว่าผมกินเหล้ามันก็แค่เรื่องจิ๊บๆ ผมพยายามไม่ใส่ใจล้มตัวนอนบนที่นอนอย่างเหนื่อยล้าแล้วข่มตาให้หลับลง

    เฮ้อ.....เก็บแรงเอาไว้พรุ่งนี้ดีกว่า

     

    เช้า

    “เอาละคะนักเรียนทุกคน วันนี้อาจารย์มีข่าวดีมาบอก ห้องของเราได้รับเลือกให้หานักแสดงมาแสดงดนตรีในงานที่จะจัดขึ้น แล้วรู้ไหม? ว่าใครได้รับเลือกเล่นเป็นตัวเด่น”

    เสียงอาจารย์ประจำชั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มร่าให้กับเด็กนักเรียนของตน แต่สิ่งนั้นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจสักนิดเพราะสายตาของผมมักจะเหลือบมองไปยังอีกโต๊ะที่มีลูกคนละแม่ผมนั่งอยู่ ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนๆ ที่ดูสนิทสนม ผิดกับผมที่นั่งอยู่หลังห้องตัวคนเดียว

    “เฮ้ย หนึ่งฉันว่าต้องเป็นนายแน่เลย”

    “ไม่หรอก จะเป็นฉันได้ยังไง? คนอื่นมีตั้งเยาะแยะ”

    “เป็นเธอนั่นแหละหนึ่ง อาจารย์ดีใจด้วยนะ”

    เสียงสนธนาสิ้นสุดลงพร้อมกับเสียงปรบมือดังลั่นห้อง หนึ่งทำท่าเขิลอายอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ผมเบ้หน้าไปอีกทางอย่างนึกหมั่นไส้แล้วก็เป็นหนึ่งอีกจนได้ที่ได้ทุกอย่างไป ผมมันเป็นแค่คนขี้อิจฉา.....ผมอิจฉาหนึ่งที่ได้รับความรักจากทุกคนไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนๆ อาจารย์หรือแม้แต่กระทั่งครอบครัวตัวเอง

    ถ้าหากว่าผมเป็นเด็กดีจะมีคนรักผมเหมือนกับที่รักหนึ่งหรือเปล่านะ?....

    ความคิดที่มันมักจะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในใจของผมแต่ก็ไม่มีความกล้าพอที่จะทำมัน ผมกลัว.....กลัวว่าถ้าหากว่าผมทำมันลงไปจะไม่มีใครสนใจผมเหมือนกับวันนั้น

    ครั้งที่ผมยังเป็นเด็กตอนอายุ 14 ผมได้รับเลือกให้ไปแสดงไวโอลิน ตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่าผมดีใจมากที่ได้รับเลือก เป็นครั้งแรกที่มีคนไว้ใจผมจนทำให้ผมอดที่จะขยันซ้อมไม่ได้ ผมซ้อมไวโอลีนทุกวันเมื่อยามที่ผมว่างเพราะอยากทุ่มเทให้มันดีที่สุดแต่แล้วความหวังของผมก็พังไม่เป็นท่าเมื่อผมซุ่มซ่ามเพราะมัวแต่ดีใจที่ถึงวันที่ผมจะต้องแสดงจริงๆ ทำให้ผมไม่ระวังตัวเดินตกบันไดทำให้ข้อมือเคล็ดจนไม่สามารถที่จะเล่นไวโอลีนได้

    ผมจะแสดงผมทนได้ครับอาจารย์

    อย่าเลยเรย์ อาจารย์รู้ว่ามือเธอเจ็บและคงแสดงไม่ไหว

    ผมทำได้.....ผมทำได้จริงๆ อาจารย์ให้ผมแสดงเถอะนะ

    เธอไม่ต้องฝืนตัวเองหรอกเรย์ อาจารย์ให้หนึ่งเล่นเปียโนแสดงแทนแล้วละ

    ความหวังผมทลายลงในพริบตาพร้อมกับเสียงเปียนโนที่ดังเข้ามาในโสตประสาทจากอีกทาง ไม่นานนักก็หยุดลงพร้อมกับเสียงปรบมือที่ดังสนั่น น้ำตาผมร่วงลงมาทันทีโดยที่ไร้เสียงสะอื้น ความพยายามที่ผมซ้อมมาตลอดมันไม่มีค่าเลยสักนิดเหมือนเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่หลอกให้ผมตายใจ ถ้าจะให้โทษใครก็คงโทษไม่ได้ต้องโทษที่ตัวผมที่ทำตัวเองทั้งนั้น แล้วตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้ถูกเลือกให้แสดงอะไรอีกเลยเพราะหนึ่งได้รับเลือกแทนผมมาโดยตลอด

     

    ปล่อยมือยอมหากเธอนั้นคิดจะไป เมื่อเธอยืนยันว่าในหัวใจ เธอต้องการอย่างนั้น.....

    บอกกับเธอให้เธอรักเขานานๆ เมื่อเธอเจอคนที่เธอต้องการ ฉันพร้อมจะเข้าใจ.....

    อยากจะยินดีที่มองดูเธอและเขา ได้รักสุขใจ แต่ไม่เคยจะทำได้สักที.....

    ความรักจริงๆ มันคืออะไร ใครนิยาม ที่บอกว่ารักจะสุขใจแม้สุดท้ายเธอรักใคร.....

    แต่แล้วความจริงมันคืออะไร ยอมให้เธอจากไปแล้วทำไมช้ำอย่างนี้.....

     

    หลังของผมพิงพนักตึกสีขาวด้วยความอ่อนล้า เสียงเปียโนถูกเล่นขึ้นจากคนที่ถูกเลือก ผมที่หลบอยู่อีกมุมได้ยินมันชัดเจน ไม่เข้าใจว่าทำไม? ต้องมาแอบดูทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าจะทำให้ตัวเองเจ็บหรือว่าผมเป็นพวกชอบทรมานตัวเองกันนะ

    แปะ แปะ แปะ

    “เก่งจังเลยหนึ่ง”

    “ขอบใจนะกัณฑ์ แต่เรายังไม่เก่งหรอก”ลูกคนละแม่ของผมพูดขึ้นแค่ฟังจากเสียงโดยที่ไม่ต้องเห็นหน้าก็พอรู้แล้วว่าเจ้าตัวกำลังทำหน้าแบบไหน?

    “ใครว่ายังไม่เก่ง แค่นี้หนึ่งก็เก่งแล้ว”

    “ใช่.....แค่นี้หนึ่งก็เก่งแล้ว”

    “ตะวัน! ไคมาได้ไง”

    “ได้ข่าวว่าได้รับเลือกให้แสดงเปียโนเลยกะว่าจะมาดูซ้อมสักหน่อย”

    “ตะวันมันก็เลยลากฉัน มาหานายไงหนึ่ง”

    เสียงสนธนายังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ น้ำเสียงที่หัวเราะต่อกระซิกมันทำให้ผมทรมาน ความอิจฉาที่มันเกิดขึ้นภายในใจอย่างลุกโชน ผมไม่ได้อยากคิดอย่างนั้นแต่มันห้ามไม่ได้จริงๆ ผมหลับตาลงก่อนที่จะลุกเดินหนีออกมาจากที่ตรงนั้น.....มันไม่ใช่ที่ที่ผมควรไปอยู่สักนิดแม้กระทั่งที่บ้านเองก็เหมือนกัน

    “ได้ข่าวว่าลูกชายพ่อได้ถูกรับเลือกให้แสดงเปียโน”

    “ครับคุณพ่อ”

    “เก่งจริงๆ เลยลูกพ่อ แล้วเมื่อไหร่ละพ่อจะได้ไปดู”

    “อาทิตย์หน้าครับ”

    ความอบอุ่นที่พ่อมีให้กับลูกถ้าผมเป็นคนอื่นก็คงมองว่ามันน่ารักช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นจริงๆ แต่สำหรับผมกลับมองภาพเหล่านั้นด้วยม่านน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาเรื่อยๆ

    วันรุ่งขึ้นผมมาเรียนปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือผู้คนรอบข้างที่กำลังทำท่าหาของบางอย่างอยู่อย่างใจจดใจจ่อ ผมเดินเข้าห้องด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่คิดจะถามออกไป ถึงผมจะนั่งหลังห้องแต่โชคดีที่ผมนั่งติดหน้าต่างมันก็เลยทำให้ผมสามารถมองวิวทิวทัศน์โดยรอบได้สบาย

    “เรย์นายใช่ไหมที่เป็นคนเอาโน๊ตซ้อมเพลงของหนึ่งไป”

    ผมหันมองหน้ากัณฑ์เพื่อนสนิทของหนึ่งอย่างงุนงงไม่เข้าใจสักนิดว่าเขาต้องการอะไรจากผม โน๊ตอะไร? ผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยสักนิด

    “โน๊ตอะไร?”

    “อย่ามาทำไขสือ เมื่อวานหนึ่งเขาลืมโน๊ตเพลงเอาไว้แล้วนายเป็นคนเอาไปใช่ไหม”

    “อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆ ถ้าไม่มีหลักฐาน”ผมเชิดหน้าตอบสบตาอย่างไม่ลดละ จนทำให้เจ้าตัวถึงกับเดือดพล่านเมื่อถูกปฏิเสธ

    “หลักฐานฉันไม่มีหรอกแต่เมื่อวานฉันเห็นนายด้อมๆ มองๆ ตรงที่หนึ่งซ้อมเปียโน”คำกล่าวหาที่บอกว่าผมเป็นคนผิดถูกเอ่ยขึ้นมาทันที ผมเค้นยิ้มร้ายบนใบหน้าทั้งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ

    “กัณฑ์ไม่เอาน่า เรย์ไม่ได้เอาไปหรอก อย่ามีเรื่องกันเลย”

    “หยุดเลยหนึ่งนายจะไปปกป้องมันทำไม? ในเมื่อนายเองก็รู้ว่าเรย์เขาร้ายกาจขนาดไหน”

    ผมเก็บความเจ็บช้ำไว้ในใจ ไม่มีใครมองว่าผมเป็นคนดีเลยสักนิด ไม่ได้ทำก็หาว่าทำแล้วถ้าหากผมแก้ตัวไปก็คงคิดว่าผมโกหก ความเจ็บปวดมันเกาะกินใจผมขึ้นเรื่อยๆ จนต้องหาทางปิดบังเอาหน้ากากมาสวมทับ หน้ากากของนางมารร้ายแล้วซ่อนน้ำตาไว้เบื้องหลัง

    “หึ ป่านนี้มันคงไหม้เป็นจุนไปแล้วมั้ง ช่วยไม่ได้ใครอยากให้แกลืมเองละ”

    “เห็นไหมหนึ่งมันเอาของนายไปจริงๆ ด้วย”กัณฑ์ชี้หน้าแล้วแผดเสียงใส่ผมด้วยความโมโหแทนเพื่อน ส่วนคนข้างตัวก็มีสีหน้าเศร้าสลดลงเห็นได้ชัด ผมเองก็ยังทำท่าทำทางแบบสะใจต่อไปแล้วเดินกระแทกไหล่ของกัณฑ์ออกมาโดยที่ไม่คิดจะหันไปขอโทษ

    ผมไม่ได้ทำอะไรผิดแล้วทำไมพวกเขาต้องมากล่าวหาผมด้วย ผมผิดเหรอ? ที่มีท่าทีแบบนี้เพียงแค่เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้อ่อนแอก็เท่านั้น ยังมีเวลากว่าอาจารย์จะเข้าห้องเรียนผมเลยเลือกที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำ เพื่อลดความฟุ้งซ่านที่มีอยู่ในหัวสมองพยายามไม่คิดอะไรมากในช่วงเช้าแต่มันก็อดที่จะคิดไม่ได้อยู่ดี

    “ไง”

    คำทักทายที่ดังขึ้นระหว่างทางไปเข้าห้องน้ำมันถึงกับทำให้เบ้หน้าอย่างนึกหัวเสีย ทำไมต้องมาเจอคนที่ไม่อยากเจออีกนะ ผมเชิดหน้าทำเป็นไม่ใส่ใจเดินหนีแต่กลับถูกดักทางเอาไว้หลายต่อหลายครั้งจนหมดความอดทน

    “หลีกไป!

    “ฉันไม่หลีก”

    “อย่ามากวนประสาทฉันนะไค!

    “เหอะ ทำอย่างกับฉันอยากเจอนายนักนี่”

    “ถ้าไม่อยากเจอก็ถอยออกไป!

    “ฉันไม่ถอย”

    ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกกวนประสาท จะอะไรกันนักกันหนาตั้งแต่เช้าเนี่ย!

    “นายใช่ไหมที่เป็นคนเอาโน๊ตของหนึ่งไป”

    คำกล่าวหาถูกพ่นออกมาจากใบหน้าหล่อเหลาอีกครั้งมันทำให้ผมถึงกับหันขวับมองสบตาอย่างไม่ลดละ เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่มีแต่คนมาโทษผม ทั้งๆ ผมไม่ได้เอาไปสักหน่อย

    “ก็แล้วแต่จะคิด”

    ผมหมดแรงแล้วที่ตอบโต้ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างนั้นก่อนที่จะเดินหนีไปอีกทางอย่างไม่คิดที่จะสนใจ ถ้าอยากจะคิดว่าผมผิดก็ปล่อยให้เขาคิดไปผมจะไม่ห้ามอะไรทั้งนั้น แล้ววันนั้นทั้งวันคนรอบข้างต่างก็มองว่าผมผิดแม้ว่าหนึ่งเขาจะหาโน๊ตอีกฉบับมาได้ก็ตาม

    “โห นายนี่เจ๋งดีนะเรย์ กล้าที่จะแกล้งหนึ่งด้วย”

    อัลฟาพูดขึ้นอย่างสนุกปากแล้วมองไปยังลูกคนละแม่ของผมที่อยู่อีกทาง ไม่มีใครเชื่อผมสักคนหรือแม้แต่กระทั่งถามความจริงสักคำก็ไม่มีว่าผมได้เอาไปหรือเปล่า

    “เรย์นั่นนายจะไปไหนนะ ใกล้เรียนช่วงบ่ายแล้วนะ”

    “.....”ผมเงียบไม่คิดที่จะตอบ ที่ไม่อยากนั่งอยู่ตรงนั้นเพราะสายตาที่มองว่าผมผิดจากเพื่อนร่วมห้องบางคนส่วนใหญ่มักจะมาจากเพื่อนสนิทของหนึ่งทั้งนั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของตัวเองจึงทำเป็นไม่สนใจก็มีแต่ผมทนไม่ได้มากกว่า มันอึดอันเหมือนจะหายใจไม่ออกจนต้องเดินหนี

    “อะไรของเขานะ ถามก็ไม่ตอบ”

    อัลฟาพูดด้วยความงุนงงแต่ผมก็ไม่ได้หันไปสนใจ ผมยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ตามทางเดินที่เชื่อมยาวไปข้างหน้า ผมไม่รู้จะไปที่ไหนพอรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงห้องซ้อมดนตรีซะแล้ว แล้วก็ไม่รู้อะไรมาดลใจทำให้ผมเปิดเข้าไปในห้องนั้น ผมมองเปียโนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องเรียน มือของผมค่อยๆ สัมผัสมันอย่างแผ่วเบาแล้วก็ลงนั่งที่เก้าอี้สำหรับนั่งเล่นเปียโน ผมชอบดนตรีทุกประเภทแต่ดนตรีที่ผมชอบที่สุดก็คงจะเป็นเปียโนกับไวโอลินเพราะมันทำให้จิตใจของผมสงบนิ่งแต่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็ไม่เคยแตะต้องเครื่องดนตรีชนิดไหนอีกเลย ความทุ่มเทที่ผมฝึกซ้อมด้วยความหวังมันกลับทลายพังไม่เป็นท่าจนหัวใจของผมปฏิเสธที่จะเล่น

    โด.....เร.....มี.....ฟา.....ซอล.....ลา.....ซี.....โด้

    นิ้วของผมกดไปตามคอร์ดเพลงตามขั้นพื้นฐานอย่างช้าๆ ค่อยๆ จิ้มทีละตัวอย่างไม่เร่งรีบ เสียงเปียโนที่ดังเข้าหูมันทำให้ใจของผมสั่นระรัวจนอยากที่จะลองเล่นอีกครั้ง แค่คิดมือของผมก็ไปเร็วกว่าสมองด้วยความคุ้นชินแล้วเริ่มกดนิ้วลงบนคอร์ดอย่างลืมตัว

    โด.....เร.....มี.....ฟา.....ซอล.....ลา.....ซี.....โด้

    สามปีที่ผมไม่เคยแตะต้องเปียโนแต่พอได้มาสัมผัสอีกครั้งมันเหมือนกับมีแรงจูงใจทำให้ผมเผลอที่จะเล่น ผมหลับตาลงอย่างช้าๆ คิดถึงเสียงเปียโนตอนเด็กๆ ที่แม่มักจะสอนให้ผมเล่นเป็นประจำ ตัวโน๊ตทุกตัวค่อยๆ ผ่านเข้ามาในหัวสมองพร้อมกับมือของผมที่เล่นไปตามจังหวะ

    Moonlight Sonata ของ บีโทเฟ่น

    ผมชอบเพลงนี้ถึงแม้ว่ามันจะเล่นยากแต่พอได้เล่นมันก็ทำให้จิตใจที่ขุ่นมัวของผมคลายลงแล้วเริ่มคล้อยตามไปกับบทเพลง นิ้วของผมยังคงกดตามดอร์ดไปเรื่อยๆ โดยที่ผมยังไม่ได้ลืมตาแต่อย่างใด ดนตรีคือความสุขเดียวที่ผมมีแต่ทำไมผมถึงลืมมันไปได้นะ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่แม่เหลือทิ้งไว้ให้แล้วทำไม? ผมถึงทิ้งมันไปได้เพียงเพราะความอ่อนแอในใจของผมที่ไม่กล้ายอมรับความจริง

    ขอโทษครับแม่ที่ผมมันอ่อนแอ.....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ======================================

    ขอโทษที่มาช้าค่า พอดีเมื่อวานติดธุระนิดหน่อยทั้งๆ ที่นัดไว้แล้ว

    ตอนนี้ไม่รู้ว่าเทคจะแต่งถูกใจไหม ถ้าไม่ถูกใจขอโทษด้วยนะ ที่เทคให้เรย์เล่นดนตรีเพราะเทคชอบถึงแม้จะเล่นไม่เป็นสักอย่างก็เถอะ โดยเฉพาะเปียโนกับไวโอลินเป็นเครื่องดนตรีที่เทคชอบมากๆ มันแบบว่าฟังแล้วได้อารมณ์ดีอ่ะ

     

    แล้วเจอกันศุกร์หน้าจ้า^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×