ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Make Believe...แกล้งรักแกล้งร้าย จับหัวใจให้ลงล็อค

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 Hellish

    • อัปเดตล่าสุด 11 ก.ย. 55


    อืมมม...  กี่โมงแล้วนะ  อ่า  เจ็ดโมงครึ่งงั้นเหรอ  ฉันมีเวลาเหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นในการอาบน้ำแต่งตัวและทานอาหารเช้า  มันจะทันมั้ยเนี่ย  =_=

    ฉันลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินมึนๆ  เข้าไปยังห้องน้ำ  เปิดน้ำใส่อ่างแล้วตีฟองครีมอาบน้ำจนเต็มอ่าง  การแช่น้ำในอ่างจากุชชี่แบบนี้มันชวนให้สบายตัวเหลือเกิน  สบายจนฉันไม่อยากจะลุกออกไปไหน

    "เมอร์ซ  วันนี้พี่ตื่นสายจัง  เป็นอะไรหรือเปล่า" 

    เสียงมาร์เบิลดังแว่วมาจากข้างนอก  จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้อง...  ยัยนี่จะเข้าห้องคนอื่นไม่รู้จักเคาะประตูก่อนเลยจริงๆ 

    "เปล่า  ฉันสบายดี"

    เมื่อคืนนี้ดีหน่อยตรงที่ฉันไม่ต้องมาว้าวุ่นเพราะกลัวว่ายัยตัวแสบจะหนีเที่ยวอีก  พอฉันกลับมาถึงบ้านก็เจอสองพี่น้องนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น  เจอมาร์เบิลคนเดียวฉันคงไม่แปลกใจอะไรแต่พอเห็นมาโชอยู่ด้วยหน้าฉันก็มีแต่เควกชั่นมาร์คเต็มไปหมด  พอถามก็บอกว่า  'วันนี้ขี้เกียจเข้าไป' 

    "ดีแล้ว  เอ้อ  เฮียออกไปข้างนอกแล้วนะ"

    "ออกไปไหน"  ฉันรีบถามกลับทันที  เพราะปกติมาโชจะไม่ออกไปไหนตอนเช้า  ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ  เขาก็ไม่ยอมลุกจากเตียงนอนแสนสบายหรอก

    "ไม่รู้สิ  ฉันเห็นมีคนของเฮียไปด้วยสองสามคนแน่ะ"

    มีลูกน้องไปด้วยงั้นเหรอ  มันต้องไม่ใช่เรื่องที่เป็นแง่บวกสักเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย  ถ้าไม่ติดว่าเมื่อวานฉันโดดงานไปล่ะก็วันนี้ฉันจะตามไปดูให้เห็นกับตาเลยล่ะว่ามาโชไปทำอะไรกันแน่

    ฉันรีบล้างตัวแล้วสวมเสื้อคลุมอาบน้ำออกมาเพื่อที่จะรีบแต่งตัวไปทำงาน  ถ้าวันนี้งานไม่มีอะไรมากมายฉันอาจจะพอมีเวลาเหลือไปตามสืบเรื่องมาโชบ้างก็ได้

    "แล้ววันนี้เธอไม่มีเรียนหรือไง"  ฉันถามขณะที่กำลังทาครีมกันแดด  มาร์เบิลหันมาทำหน้าตาลั้ลลาแล้วลุกขึ้นยืน

    "วันนี้ฉันมีเรียนตอนบ่ายน่ะ  แค่วิชาเดียวเอง"

    "อืมๆ  ออกไปได้แล้วฉันจะแต่งตัว"  ฉันเอ่ยไล่และมาร์เบิลก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี

    จะว่าไปแล้วฉันเองก็น่าจะถามเรื่องหมอนั่นจากยัยมาร์เบิลเผื่อๆ  เอาไว้บ้าง  เกิดไปเจอกันคราวหน้าฉันจะได้เข้าใกล้หมอนั่นได้ง่ายกว่านี้  ได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามสักหน่อยมันก็คงจะไม่เลว

     

    15นาทีต่อมา

    ฉันเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับหอบแฟ้มประวัติโดยสังเขปของลูกค้ารายอื่นๆ  ที่ยังสะสางไม่หมดมาด้วย  ยัยมาร์เบิลเห็นเข้าก็ออกปากแซวทันที

    "งานพอกหางแล้วล่ะสิเมอร์ซ  ฉันว่าเมื่อวานถ้าพี่ไม่หยุดงานป่านนี้งานคงเสร็จไปแล้ว"

    "แล้วเมื่อวานฉันต้องหยุดงานเพราะใครกัน  ไม่ใช่เธอหรอกเหรอยัยมาร์เบิล"

    พอเจอฉันสวนกลับไปมาร์เบิลถึงกับเงียบสนิททันที  ก็สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้

    "โหย  ก็ฉันขอโทษไปแล้วนี่นา"  มาร์เบิลทำแก้มป่องๆ  มองฉันอย่างขอร้องว่าอย่าหาเรื่องอีกเลย  เฮอะ!  คนอย่างฉันไม่ชอบหาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว

    "ตอนไหนกัน  ฉันไม่เห็นจะจำได้ว่าเธอพูดว่า  'ขอโทษ'  ฉัน  หืม?"

    "ก็...  ที่ฉันบอกว่าจะยอมทำตามที่พี่บอกทุกอย่างไง  แล้วตกลงพี่คิดออกยังเนี่ยว่าจะให้ฉันทำอะไรไถ่โทษ"

    อืม  คิดๆ  ดูแล้วถ้าถามยัยมาร์เบิลเรื่องหมอนั่นยัยมาร์เบิลก็คงจะรีบบอกให้จนหมดเปลือก  แต่ถ้ามาร์เบิลไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลยล่ะ  ฉันจะเสียเวลาถามเปล่าๆ  มั้ยเนี่ย

    "ฉันมีเรื่องอยากจะถาม" 

    ฉันเอ่ยเข้าประเด็น  ซึ่งยัยมาร์เบิลก็ให้ความสนใจกับสิ่งที่ฉันพูดมากทีเดียว  ยัยนี่ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นการไถ่โทษแหงเลย  ถึงแม้ว่าตอนแรกที่คิดไว้ฉันจะแกล้งให้แรงกว่านี้  แต่พอถึงตอนนี้ฉันดันอยากรู้เรื่องหมอนั่นก็เลยต้องจำจใจถามเพื่อแลกกับการไถ่โทษ  เฮ้อ~

    "เรื่องอะไรๆ  ถามมาได้เลยฉันจะบอกหมดทุกอย่างเลย"

    ลองถ้ายัยมาร์เบิลพูดอย่างนี้แล้วฉันก็มั่นใจได้ใช่มั้ยว่าฉันจะไม่เสียเวลาฟรี  -_-"

    "ฉันอยากรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง  คนที่ฉันเคยเจอในล็อบบี้ของ M  Hotel"

    "อ๋อ  ได้สิ  แล้วพี่จะอยากรู้เรื่องของเขาไปทำไมกัน"

    เฮ้อ!  ก็ฉันอยากรู้มีปัญหาอะไรมั้ยยะ  ยัยน้องบ้า   -"-!

    "บอกฉันมาเถอะน่า!"

     

    10.00  a.m.

    At  Frist  Step  For  Wedding  Plan  Company

    ฉันนั่งเคลียร์ตารางงานมาสักพักหนึ่งแล้ว  แต่ดูท่าว่างานที่ฉันสะสมเอาไว้จะไม่ยอมหมดง่ายๆ  เลยสักนิด  ลูกค้าคู่นี้อยากได้งานริมทะเลที่กระบี่บ้างล่ะ  ลูกค้าคู่นั้นอยากได้บรรยากาศเหมือนอยู่ในเทพนิยายบ้างล่ะ  สารพัดแบบที่ฉันเจอและต้องพยายามออกแบบและจัดงานตามแบบให้ได้  แต่พองานเสร็จเงินที่ได้มันก็ค่อนข้างคุ้มกับความยากของแต่ละงาน  แล้วยิ่งตอนนี้ดาราซุป'ตาร์ดังๆ  ก็จูงมือกันแต่งงานซะหลายคู่  แล้วบริษัทไฮโซระดับหกดาวที่ฉันทำงานอยู่จะหนีงานพวกนั้นไปพ้นได้ไง

    ใช่แล้ว...ฉันทำงานเกี่ยวกับเว็ดดิ้งทั้งหลายแหล่  และงานนี้มันกำลังทำรายได้ให้กับบริษัทอย่างงามเลยทีเดียว

    "พักบ้างก็ได้นะจ๊ะเมอร์ซี่  เดี๋ยวเป็นลมไปล่ะจะยุ่งเอานะ  ^^" 

    มิเชลเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ในฝ่ายเดียวกันเดินเข้ามาทักฉัน  แต่ตอนนี้ฉันยังพักไม่ได้หรอก  เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จตามนัด

    "อ่า  ค่ะ  แต่เมอร์ซขอเคลียร์งานต่ออีกหน่อยละกัน"  ฉันเงยหน้าไปส่งยิ้มให้มิเชล  ซึ่งแกก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ  มิเชลแกก็เป็นคนแบบนี้แหละ...เป็นห่วงเพื่อนร่วมงานเสมอ  ไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำ

    "อย่าหักโหมมากนะ  สุขภาพเราก็สำคัญเหมือนกัน"  มิเชลพูดก่อนจะยิ้มหวานให้แล้วเดินไปอีกทาง  ซึ่งฉันคาดว่าจะไปตามงานที่พนักงานคนอื่นๆ

    หลังจากที่มิเชลเดินไปคุยงานกับคนอื่นๆ  แล้วฉันก็กลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อ  และแฟ้มข้อมูลลูกค้ารายล่าสุดที่ฉันกำลังนั่งอ่านอยู่นี้ก็ทำให้ฉันลืมหายใจไปชั่วขณะ  ชื่อของว่าที่เจ้าบ่าวนั้นฉันรู้จักแต่ว่าฝ่ายเจ้าสาวนี่สิฉันยังไม่รู้จัก  จะว่าไปเมื่อเช้านี้ยัยมาร์เบิลไม่ได้บอกฉันนี่นาว่ายัยหน้าหมวยนั่นชื่ออะไร

    แต่ให้ตายเถอะ  ฉันต้องจัดงานเว็ดดิ้งให้เขาทั้งๆ  ที่ฉันกำลังจะวางแผนทำลายงานหมั้นระหว่างเขากับสาวหมวยคนนั้นงั้นเหรอ

    ฉันจะบ้าตาย  นี่คงเป็นเป็นเพราะวันนั้นที่เขาหนีงานหมั้นออกมาแหงเลย  คราวนี้ทางฝ่ายผู้ใหญ่ก็เลยจับแต่งงานกันซะเลย  ฉันจะปล่อยเลยตามเลยดีมั้ยเนี่ย  ไม่ต้องไปสนใจคนอย่างนาย  'เฮลลิช'  อะไรนั่นละ 

    เดี๋ยวก่อนนะ...  หมอนั่นรู้เรื่องแผนงานแต่งนี้หรือเปล่าน่ะ  แต่ถ้ารู้เขาก็คงไม่ไปเดินให้ผู้หญิงคนนั้นเกาะเป็นปลิงอย่างนั้นหรอกมั้ง

    "อะแฮ่ม!  เธอมีปัญหาอะไรกับงานนี้หรือไง"  เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัว  พอเงยหน้าขึ้นไปดูก็พบกับเจ้าของใบหน้านิ่งสนิทและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม

    "เปล่า  ฉันแค่สงสัย"  ฉันบอกพลางพลิกหน้ากระดาษเพื่อดูรายละเอียดงานไปเรื่อยๆ  แต่ความจริงแล้วฉันอ่านมันไม่เข้าใจสักนิด

    "สงสัย?  เธอทำงานมาตั้งหลายงานฉันไม่เห็นว่าเธอจะเคยสงสัยอะไรเลย"  ซีลัสพูดพร้อมกับท้าวมือไว้บนโต๊ะฉัน  "เธอไม่อยากทำงานนี้เหรอ"

    "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก  พอดีฉันรู้มาว่าเดิมทีเจ้าของงานทั้งคู่แค่จะหมั้นกันเฉยๆ  ยังไม่ได้แต่ง"

    เรื่องเหตุผลมันอาจจะพอเดาได้  แต่ซีลัสเป็นคนรับงานนี้มาก็น่าจะรู้รายละเอียดบ้างไม่มากก็น้อย  และฉันก็อาจจะหาทางออกเพื่อสร้างเงื่อนไขไปยื่นให้นายเฮลลิช...ว่าที่คนรับใช้ของฉัน  หึๆ

    "ฉันก็รู้อะไรไม่มากหรอก  มาดามอิสเบลล่าท่านเป็นคนจัดการงานนี้เอง  แถมยังขอไม่ให้ฉันบอกเรื่องนี้กับใครอีกต่างหาก"

    ถ้างั้น...อีตาเฮลลิชก็ไม่รู้เรื่องนี้!  เสร็จฉันล่ะ  ฉันช่วยนายได้แน่ถ้านายจะยอมเล่นเกมตามฉัน~

    "งั้นเหรอ  แปลกดีเนอะจับคลุมถุงชนกันแบบนี้"

    "เธอรู้ได้ไงว่าคลุมถุงชน  -_-"  ซีลัสถามเซ็งๆ  ...อย่าบอกนะว่านายไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่ะ  พระเจ้า~

    "ฉันรู้ก็แล้วกันน่า  นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ  ฉันจะทำงานต่อแล้ว"  ฉันเอ่ยไล่  แต่ซีลัสก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน  แถมยังจ้องหน้าฉันซะเขม็งอีกต่างหาก  อะไรของเขาน่ะ  -_-?  "อะไรของนาย"

    "ฉันรู้สึกว่าเธอจะให้ความสนใจกับงานนี้มากเป็นพิเศษ  มากจนผิดปกติ"

    "ฉันคงจะออกแบบงานไม่ถูกหรอกนะ  ถ้าไม่รู้รายละเอียดที่มาที่ไปอะไรเลย"

    ที่จริงมันเป็นแค่เหตุผลส่วนหนึ่งที่...เล็กน้อยมาก  แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่าฉันจะเผลอบอกความจริงกับซีลัสไม่ได้ 

    "ถ้ามันเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร"  ซีลัสพูดก่อนจะเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหมุนตัวเดินห่างออกไป

    เขาพูดอย่างกับว่าถ้ามันมากกว่าเรื่องงานเขาจะไล่ฉันออกอย่างนั้นล่ะ  -"-

     

    7.25  p.m.

    กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าๆ  แผนที่จะไปตามสืบเรื่องมาโชก็เลยต้องยุติลงไปด้วย  ส่วนเรื่องนายเฮลลิชอะไรนั่นฉันก็ว่าจะพักเอาไว้ก่อน  ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยสุดๆ  ฉันไม่เคยทำงานติดต่อกันยาวนานถึงขนาดนี้มาก่อนเลย

    "วันนี้พี่กลับบ้านดึกนะ  งานเยอะมากเลยเหรอ"  มาร์เบิลที่เดินลงมาจากชั้นบนเอ่ยทัก 

    "อืม  แล้วมาโชกลับมาหรือยัง"  ฉันถามถึงมาโชทันทีเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องงานให้มันปวดหัวไปกว่านี้  มาร์เบิลก็ทำหน้าตางงๆ  นิดหนึ่งก่อนจะตอบ 

    "ไม่รู้สิ  ฉันไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่บ่าย  เพิ่งจะกลับมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วนี่เอง"

    นั่นสินะ  ฉันก็ลืมไปว่าตอนบ่ายยัยมาร์เบิลต้องออกไปเรียน  แถมพอออกไปแล้วกว่าจะกลับก็เย็นๆ  โน่นแหละ  ทีนี้ฉันก็เลยไม่รู้เลยว่ามาโชได้กลับบ้านมาหรือเปล่า  บอกตามตรงว่าตั้งแต่วันนั้นที่ฉันไปเจอเขากำลังคุยอยู่กับนักธุรกิจเปิดบ่อนพวกนั้นฉันก็เริ่มไม่ไว้ใจมาโชอีกเลย  ถึงเขาจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่เชื่อสิว่าพวกนั้นต้องโน้มน้าวให้เขาร่วมลงทุนด้วย  เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใคร  แล้วมาโชเองก็อาจจะหลวมตัวยอมตกลงไปก็ได้ใครจะไปรู้ 

    "นั่นพี่จะไปไหนน่ะ"

    มาร์เบิลรีบเดินตามฉันออกมาที่โรงจอดรถ  ตอนนี้มาโชคงจะอยู่ที่ผับของเขานั่นแหละ  และฉันก็ต้องไปดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังเจรจาลงทุนเปิดบ่อนกับใครหน้าไหน

    "ไปหามาโช"  ฉันหันไปตอบด้วยใบหน้านิ่งสนิท  ความรู้สึกตอนนี้มันเกินจะบรรยายออกมาจริงๆ  ทั้งกังวล  ทั้งโกรธ  ทั้งโมโห  ปนเปกันไปหมด

    "ใจเย็นก่อนสิ  บางทีเฮียอาจจะไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พี่คิดก็ได้นะ"  มาร์เบิลยื้อแขนฉันเอาไว้แน่น 

    เฮ้อ  พอกันที  หมดเวลาที่ฉันจะอดทนจัดการกับชีวิตของมาโชแล้ว  วันนี้ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะบุกไปอาละวาดที่ผับได้  เพราะงั้นฉันจะยอมเดินกลับขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี  ฉันจะอาบน้ำแล้วเข้านอนทันที

    "ฉันจะลองเสี่ยงเชื่อเธอก็แล้วกัน  มาร์เบิล"  ฉันพูดอย่างอ่อนใจ  ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นห้องไปอย่างที่คิดไว้  ฉันจะยอมไม่ยุ่งวุ่นวายกับมาโชสักพักละกัน  เขาคงโตพอที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรล่ะนะ

    พอขึ้นมาถึงห้องนอนฉันก็เหลือบไปเห็นแฟ้มเอกสารรายละเอียดงานเว็ดดิ้งของนายเฮลลิชที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน  แผนการต่างๆ  มากมายผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดแต่จับประเด็นอะไรไม่ได้สักอย่าง

    ฉันไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นกับแค่คนที่  (เสล่อ)  เดินตัดหน้ารถหรอกนะ  แต่ฉันก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าอะไรดลใจให้ฉันอยากจะเอาคืนหมอนั่นที่ทำให้ฉันหัวใจเกือบวายตายในวันนั้น  ถ้าวันนั้นฉันเบรคไม่ทันหมอนั่นก็จะบาดเจ็บและฉันก็คงต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลให้เขา  และอาจจะโดนเรียกร้องค่าเสียหายอย่างอื่นโทษฐานที่ทำให้เขาบาดเจ็บจนเข้าพิธีหมั้นไม่ได้  ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่เรื่องทั้งหมดมันจบแค่ฉันเบรกได้ทัน

    เฮ้ออออ~  ทำไมชีวิตฉันตั้งแต่เจอนายเฮลลิชอะไรนั่นมันถึงได้วุ่นวายขนาดนี้เนี่ย  นี่ขนาดยังไม่ได้รู้จักกันมากมายอะไรหมอนั่นก็นำความหายนะมาให้ฉันซะแล้ว  ถ้าต้องรู้จักกันมากกว่านี้ชีวิตฉันจะวุ่นวายขนาดไหนเนี่ย  =___=!    

     

    7.12  a.m.

    At  Converse  Coffee  Shop

    ตอนนี้ฉันกำลังนั่งจิบกาแฟอุ่นๆ  อยู่ในค็อฟฟี่ช็อปที่มีบรรยากาศสบายๆ  เหมาะกับสภาพอากาศตอนนี้เป็นที่สุด...  หิมะกำลังโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่างทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะเลย  มันรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังล่องลอย

    กรุ๊งกริ๊ง~

    เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูร้านดังขึ้นแสดงถึงการมาใหม่ของใครบางคน  ซึ่งก็คงเป็นพวกชอบความเป็นส่วนตัวเหมือนกับฉันที่เข้ามานั่งจิบกาแฟอุ่นๆ  ก่อนไปทำงาน

    "รับอะไรดีคะ" 

    พนักงานเสิร์ฟของร้านรีบเข้ามาถามเมนูจากแขกที่เข้ามาใหม่อย่างแข็งขัน  ฉันชอบพนักงานแบบนี้นะ...  ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่

    "อืม...ฉันขอเป็นชาซีลอนก็แล้วกัน" 

    "ชาซีลอนหนึ่งที่นะคะ  แล้ว..."

    "เอ่อ  แล้วพี่เฮลลิชจะดื่มอะไรคะ"

    O_O!

    เฮลลิช...งั้นเหรอ!

    ใช่หมอนั่นจริงๆ  น่ะเหรอ  ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย!

    "...กาแฟร้อน"  สักพักเขาก็ตอบพนักงานไป  แต่ไม่ได้สนใจผู้หญิงที่เขาพามาด้วยเลยสักนิด!

    โอ้  นี่ฉันกำลังเจอเข้ากับตัวร้ายกาจจริงๆ  แล้วใช่มั้ยเนี่ย  เขา...ดูจะร้ายกาจสมกับชื่อของเขาจริงๆ  นั่นแหละ  แต่ฉันคนนี้จะทำใจดีสู้เสือแล้วเข้าไปเสนอทางเลือก  เอ่อ...ไม่สิ  เสนอทางช่วยเขาเพื่อแลกกับการที่ได้เขามาเป็นเบ๊ฉันสักเดือนเป็นไง

    "ค่ะ  ชาซีลอนหนึ่งที่กับกาแฟร้อนหนึ่งที่นะคะ  รอสักครู่ค่ะ"  พอทวนรายการเครื่องดื่มเสร็จพนักงานเสิร์ฟคนนั้นก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วส่งออเดอร์ให้พนักงานประจำเคาน์เตอร์ทำเครื่องดื่ม

    "พี่เฮลลิชเป็นอะไรหรือเปล่าคะ  วันนี้พี่ยังไม่ยอมพูดกับมี่เฟิงเลยนะ"  ผู้หญิงที่มากับเขาเอียงหน้าถามอย่างน่าเอ็นดู  แต่ดูหมอนั่นทำเข้าสิ...  แค่เหลือบตามามองแล้วก็แย้มปากพูดกับเธอเพียงสั้นๆ

    "ฉันเบื่อ...เธอ!"

    "=O='"

    หมอนี่ร้ายกาจสุดยอดไปเลยอ่ะ!  พูดว่าเบื่อต่อหน้าเธอแบบนั้นไม่เสียใจก็บ้าแล้วล่ะ  คนกำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วแท้ๆ

    "ทำไม  รับไม่ได้หรือไงที่ฉันเป็นแบบนี้  ถ้ารับไม่ได้ก็รีบๆ  ออกไปให้พ้นๆ  หน้าฉันสักทีสิ"

    "พะ...พี่เฮลลิช"  มี่เฟิงพูดตะกุกตะกักทันที  เธอคงเป็นผู้หญิงที่เปราะบางพอดูเลยล่ะ  เจอคำพูดบาดจิตใจแบบนั้นยังไม่ร้องไห้ออกมานี่ก็นับว่าเก่งมากแล้ว

    "แล้วเธอก็รู้ไว้ซะด้วยว่าวันนี้ฉันไม่ได้อยากพาเธอไปไหนทั้งนั้น  แต่ที่ฉันทำเพราะฉันถูกบังคับ!"

    อีตานี่มัน...  พูดทำร้ายจิตใจผู้หญิงด้วยใบหน้านิ่งๆ  แบบนั้นได้ยังไงกัน  -_-

    "มะ...มี่เฟิงรู้แล้วค่ะ  แต่..."

    "รู้แล้วยังจะเข้ามาตามตื๊อฉันอยู่ได้  ฉันชักจะไม่แน่ใจซะแล้วสิว่าเธอเป็นคนยังไงกันแน่"

    "ก็มี่เฟิงชอบพี่นี่คะ  ชอบมากด้วย"

    ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้ของฉันคงไม่ได้สงบสุขอย่างที่คิดไว้แต่แรกแล้วใช่มั้ย  เมื่อคืนฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าฉันจะพักเรื่องอื่นเอาไว้ก่อน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาโชหรือแม้แต่เรื่องของนายเฮลลิชนี่  แต่ในเมื่อมาเจอเขาในวันนี้ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ลองเจรจาเงื่อนไขกับเขาดูก่อน  แล้วดูสถานการณ์ในตอนนี้สิ...  เขากำลังอยากสลัดมี่เฟิงให้หลุดไปจากชีวิตเขาค่อนข้างมากเลยทีเดียว  ดูได้จากการที่เขาเลือกที่จะพูดกับเธอไปตรงๆ  มากกว่าจะพูดแบบถนอมน้ำใจกัน  แค่นี้ก็มีเหตุผลมากพอแล้วที่ฉันจะเข้าไปช่วยเหลือเขาในตอนนี้

    "แต่ฉันไม่ชอบเธอ  -_-"

    "พี่เฮลลิช..."

    "ฉันหวังว่าแค่นี้เธอคงจะเข้าใจ"

    พออีตาเฮลลิชพูดจบมี่เฟิงก็ลุกพรวดแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที  พนักงานเสิร์ฟคนเมื่อครู่ที่กำลังยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟก็ถึงกับงงไปเลยทีเดียว  แต่ทว่าอีตาเฮลลิชก็ยังคงนั่งจิบกาแฟต่อไปโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

    เฮอะ!  เขาจะรู้ตัวบ้างมั้ยน่ะว่าเขามันเป็นตัวร้ายกาจ  ร้ายพอๆ  กับอสูรเลยจริงๆ!

    ในเมื่อฉันยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามี่เฟิงคนนั้นจะกลับมาตามติดอีตาเฮลลิชนี่อีกหรือเปล่าเรื่องเงื่อนไขที่จะต่อรองกับเขาก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน  เพราะถ้าหากว่ายัยนั่นไม่กลับมาแล้วก็เท่ากับว่าข้อเสนอของฉันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา

    พอกาแฟในถ้วยของฉันหมดแล้วก็ถึงเวลาไปทำงานสักที  ฉันตั้งใจเดินผ่านโต๊ะของหมอนั่นอย่างช้าๆ  แต่ให้ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ  ซึ่งเขาเองก็มองฉันผ่านๆ  เพียงแวบเดียวก็กลับไปสนใจกาแฟร้อนในมือของตัวเองต่อ

    ที่ฉันทำแบบนั้นมันก็เพื่อเป็นการเตือนว่าอีกไม่นานเราต้องได้เจอกันอีกแน่...  นายเฮลลิช

     

    8.45  a.m.

    At  Frist  Step  For  Wedding  Plan  Company

    อาจจะเร็วไปสักนิดสำหรับการมาทำงานในวันนี้  ปกติบริษัทนี้ก็จะให้พนักงานมาทำงานในตอนเก้าโมงเช้า  ซึ่งนับว่าไม่สายเกินไปสักเท่าไหร่

    อืม  เงียบดีเนอะ!

    ตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาในบริษัทฉันเห็นมีแค่ยามที่เฝ้าหน้าประตูสามคนกับแม่บ้านที่ทำความสะอาดชั้นล่างห้าคน  วันนี้ก็ไม่ใช่วันหยุดอะไรสักหน่อยทำไมมันถึงได้เงียบกริบขนาดนี้ล่ะ  อย่างน้อยฉันก็น่าจะเจอมิเชลหรือไม่ก็ซีลัสบ้างสิ  สองคนนี่ขึ้นชื่อเรื่องการมาทำงานก่อนเวลาเสมออยู่แล้ว

    จะว่าไป...ลองโทรตามสักหน่อยก็น่าจะดีนะ  นานๆ  ทีฉันจะได้มาทำงานก่อนอีตานี่บ้างมันรู้สึกภูมิใจยังไงชอบกล  โฮ่ๆ  ^O^

    ตู๊ด...

    ตู๊ด...

    ตู๊ด...

    สัญญาณดังอยู่นานแล้วแต่ซีลัสก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับสายฉันสักที  อะไรของเขาเนี่ย  -"-

    ตู๊ด...

    ตู๊ด...

    ตู๊ด...

    ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่คุณเรียกค่ะ  ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่คุณเรียกค่ะ

    ฮึ่ย!  ให้มันได้อย่างนี้สิอีตาบ้าซีลัส  ทีอย่างนี้ล่ะไม่รับโทรศัพท์ฉัน  ทีฉันรับช้าบ้างล่ะก็มาทำเป็นบ่นฉัน  L

    ในเมื่อไม่รู้จะทำอะไรดีในระหว่างที่รอให้ใครสักคนมา  ฉันก็เดินไปหยิบแฟ้มงานแต่งระหว่างนายเฮลลิชกับมี่เฟิงมาเปิดดูว่าคอนเซ็ปต์งานเป็นยังไง  และฉันก็ได้รู้ว่ายัยมาดามอิสเบลล่านั่นคิดแพลนงานไว้ซะหรูหราสุดๆ  สถานที่จัดงานก็เป็นที่  เอ่อ...ที่คฤหาสน์  ฉันอ่านถูกแล้วใช่มั้ยน่ะ  =_=  บรรยากาศก็อยากให้เหมือนกับในพระราชวัง  (คือเจ้าบ่าวเหมือนกับเจ้าชาย ส่วนเจ้าสาวก็เหมือนกับเจ้าหญิง)  รู้มั้ยว่างานนี้เสียเงินค่าจัดงานเฉียดแสนดอลลาร์เลยทีเดียว  องค์ประกอบหลายๆ  อย่างดูก็รู้ว่าอาจจะต้องอิมพอร์ตมาจากประเทศแถบยุโรปตะวันออกซะด้วยซ้ำไป ยัยมาดามนี่เวอร์ชะมัดเลย  -*-

    ~

    ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ  อยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นมาซะงั้น 

    พอหยิบขึ้นมาดูก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างระอาใจ  ทีฉันโทรไปดันไม่รับสาย!

    "ทำอะไรอยู่ทำไมไม่รับสายฉัน!"

    ฉันเริ่มวีนใส่ทันทีที่กดรับสาย  หมอนั่นก็คงกำลังนั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่แหงที่ได้ยินฉันวีนแบบนี้

    [ฉันมีนัดกับลูกค้าน่ะสิ]

    "..."  ลูกค้าเหรอ  หรือว่า...!

    [เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้ฉันต้องมาคอยดูแลการจัดงานนอกสถานที่]

    นั่นไงล่ะ  ถึงว่าสิว่าทำไมป่านนี้ยังไม่มีใครเข้าบริษัทสักที

    "แล้วจะให้ฉันไปช่วยหรือเปล่า  วันนี้ฉันว่างน่ะ"

    [ไม่ต้องหรอก  แค่นี้ทีมงานก็เยอะมากเกินพอแล้วล่ะ]

    "อืมๆ"

    ตั้งแต่ทำงานมาฉันแทบจะไม่ได้ออกไปจัดงานนอกสถานที่กับเขาบ้างเลย  วันๆ  ก็อยู่แต่หน้าจอคอมเพราะต้องจัดการออกแบบงานออกมาให้ได้ตามที่เจ้าของงานอยากได้  เฮ้อ~

    [เอ้อ  แล้วเรื่องแบบงานแต่งที่เธอสงสัยวันนั้นน่ะออกแบบงานไปถึงไหนแล้ว] 

    "เอ่อ...  ยังไม่ถึงไหนเลย"  เพราะฉันไม่แน่ใจว่าออกแบบไปแล้วจะได้ใช้หรือเปล่าน่ะสิ  :P

    [งานจะจัดอยู่อีกสองเดือนแล้วนะ  เธอรีบคิดได้แล้ว]

    สะ...สองเดือน! 

    มันอีกไม่นานสักเท่าไหร่แล้ว  แต่ฉันยังไม่ทันได้ตกลงเรื่องแผนการอะไรกับหมอนั่นเลยสักนิด  หรือจะเอาไว้ช่วยเขาหนีตอนงานแต่งดี 

    จะบ้าเหรอ!  กว่าจะถึงวันนั้นฉันคงอึดอัดใจตายพอดี  นอกจากแผนการตามล่าหาเบ๊จอมนิสัยเสียมารับใช้ฉันจะพังไม่เป็นท่าแล้วฉันยังจะอดช็อปปิ้งอย่างสบายอุราอีกต่างหาก

    "..."

    [แค่นี้ก่อนนะ  ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย]

    "อืม"

    ฉันวางโทรศัพท์กลับไปที่เดิมแล้วเริ่มคิดหาแผนการอีกครั้ง  แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆ  ว่าฉันจะไปเจอเขาได้ที่ไหนอีก  เวลาสองเดือนมันก็ผ่านไปเร็วจะตาย  -_-"

    อยู่ทำงานที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับนั่งทำงานในป่าช้า  เพราะงั้นฉันจึงหอบแฟ้มและเอกสารประกอบอื่นๆ  กลับออกมาที่ลานจอดรถเพื่อขับรถกลับบ้าน 

    แต่...  ฉันไม่แน่ใจนี่สิว่ากลับไปถึงบ้านแล้วฉันจะได้ทำงานอย่างที่หวังไว้หรือเปล่า  =_="

    พอเดินมาถึงรถฉันก็นึกสถานที่สงบๆ  แห่งหนึ่งขึ้นมาได้  ฉันมักจะไปที่นั่นบ่อยๆ  เพื่อไปนั่งคิดแบบงานเว็ดดิ้ง  และฉันก็ได้ไอเดียดีๆ  ที่นั่นเสมอ  แต่ช่วงสายๆ  แบบนี้ฉันว่าอาจจะมีคนพลุกพล่านมากกว่าปกตินิดหน่อยน่ะนะ  โดยเฉพาะพวกคนรักสุขภาพทั้งหลายแหล่  เพราะบรรยากาศที่นั่นร่มรื่นและเย็นสบาย  พื้นที่ก็กว้างขวางเหมาะแก่การจ็อกกิ้งเป็นที่สุด

    ทว่า...  ฉันขับรถห่างออกมาจากบริษัทได้ไม่เท่าไหร่ก็จำต้องเบรกรถอย่างกะทันหัน  พอเห็นคู่กรณีชัดๆ  แล้วฉันก็พยายามสะกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ให้เดือดพล่านไปมากกว่านี้

    ผ่านมานานแล้วสินะที่ฉันไม่ได้เจอกับเขา...  ไม่ได้พูดคุย  ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอย่างเมื่อก่อน

    "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...เอ็กซิสท์"  ฉันเปิดประตูรถแล้วก้าวเดินลงไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ 

    คราวก่อนฉันจำได้ว่าฉันเจอเขาที่ห้างแต่ฉันก็วิ่งหลบเขาซะวุ่นวาย  แต่วันนี้ดูก็รู้ว่าเขาจงใจที่จะมาเจอฉัน  เพราะงั้นฉันก็ใจกล้ามากพอที่จะเดินออกไปเผชิญหน้ากับเขาเหมือนกัน  ฉันอยากจะรู้นักว่าเขาจะต้องการอะไรอีกหลังจากที่เราเลิกกันไปแล้ว

    "คุณดูสบายดีนะ"  เขาพูดพร้อมกับดึงแว่นกันแดดสีชาออกมาหนีบไว้กับคอเสื้อของเขา

    ดวงตาอิดโรยนั่นไม่ได้บ่งบอกเลยสักนิดว่าเขาอยู่ดีมีความสุข  สามสี่วันที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้ดีใจหรอกเหรอที่เลิกกับฉันเสียที  เขามีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามความต้องการ  จะไปควงใครก็ไม่ต้องนึกถึงฉัน  จะพาใครเข้าโรงแรมก็ไม่ต้องหลบๆ  ซ่อนๆ  อย่างตอนที่คบกับฉันอยู่

    ชีวิต  'โสด'  ไม่สนุกเลยงั้นเหรอ...

    "เผื่อว่าคุณจะลืม..."  ฉันอ้าปากจะพูดย้ำเรื่องสถานภาพของเราทั้งคู่ให้เขาฟังอีกครั้ง  แต่เขาก็ชิงพูดแทรกฉันขึ้นมาซะก่อน 

    "เพราะผมไม่ลืมไงถึงต้องมา"

    "..."

    "ผมอยู่โดยที่ไม่มีคุณไม่ได้นะ  ผมคิดถึงคุณตลอดเวลา"

    มาสำนึกได้เอาตอนนี้มันก็สายไปซะแล้วนะเอ็กซิสท์  คนอย่าง  'เมอร์ซี่'  พูดคำไหนคำนั้น  เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วฉันจะไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด  เพราะฉันเชื่อว่าฉันคิดมาดีแล้ว

    "เสียใจด้วยเอ็กซิสท์  ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว"  ฉันกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ  กับความตื๊ออย่างไร้สาระของเอ็กซิสท์  "ฉันตัดสินใจไปแล้ว  ไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่นอน"

    "คุณโกรธผมเพราะเรื่องนั้นจริงๆ  งั้นเหรอ"

    "..."

    ฉันเลือกที่จะเงียบเพราะไม่อยากปะทะอารมณ์  (เดือดๆ)  กับเอ็กซิสท์  ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ยอมใจอ่อนกับใครไปง่ายๆ  สักหน่อย  และฉันก็มีสมองมากพอที่จะไม่พาตัวเองกลับไปจมอยู่กับปัญหาเดิมๆ  แบบนั้น

    "หรือที่คุณเลิกกับผมเป็นเพราะคนอื่น  คุณไปเจอคนอื่นอย่างนั้นเหรอ"  สายตาตัดพ้อของเอ็กซิสท์ที่มองมายังฉันมันชวนให้หงุดหงิดเป็นบ้าเลย 

    ฉันเนี่ยนะจะเลิกกับเขาเพราะฉันไปเจอคนอื่น!  เขากำลังพาลนะรู้ตัวบ้างมั้ย  -_-!

    "ฉันไม่ได้งี่เง่าแบบนั้นซะหน่อย!  จบก็คือจบคุณไม่เข้าใจหรือไง"

    ขีดความอดทนของฉันในตอนนี้มันต่ำเตี้ยติดดินซะเหลือเกิน  ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เราเคยรู้สึกดีด้วยพอถึงเวลาเลิกกันจะมาทำกันแบบนี้  จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าความรู้สึกดีๆ  ที่เคยมีให้กันในอดีตมันเป็นเพียงความรู้สึกจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นมาลวงตาฉันหรือเปล่า  จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ฉันเคยคบด้วย  แต่เขาก็เป็นคนแรกที่ฉันคบด้วยยาวนานที่สุด  ...สี่ปีที่ผ่านมาไม่มีความหมายเลยสินะ

    "คุณบอกเลิกผมง่ายๆ  เพียงเพราะเห็นผมไปควงกับผู้หญิงอื่น?  คุณไม่คิดแม้แต่จะฟังผมอธิบายเลยสักนิด"

    "นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเห็นพฤติกรรมแบบนี้ของคุณ  ฉันให้โอกาสคุณแก้ตัวตลอดสี่ปีที่เราคบกันแต่คุณก็ยังทำตัวเหมือนเดิม  คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยสักนิดแล้วจะให้ฉันทนอยู่กับคุณเพื่ออะไร!"

    "O_O"

    "ฉันว่าฉันฉลาดพอที่จะรู้นะว่าอะไรถูกอะไรผิด"

    ฉันเตรียมจะหันหลังเดินกลับไปที่รถแต่เอ็กซิสท์กลับคว้าข้อมือของฉันเอาไว้แน่น  ก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอดแล้วพูดพร่ำอยู่หลายคำ  แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจฟังเลยสักนิด

    "ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา  ผมขอโอกาสให้เรากลับมาคบกับเหมือนเดิมแล้วผมสัญญาเลยว่าผมจะไม่มองผู้หญิงคนไหนอีกเลยนอกจากคุณคนเดียว  จริงๆ  นะเมอร์ซี่..."

    เฮอะ!  'สัญญา'  อย่างนั้นเหรอ...

    ฉันไม่เคยเชื่อมั่นในคำสัญญาของใครอยู่แล้ว  เพราะมันเป็นแค่ลมปากที่ทุกคนพร้อมที่จะผิดสัญญากันทั้งนั้น  ที่ใดมีคำว่าสัญญา...ที่นั่นย่อมมีคำว่าผิดสัญญาอยู่ด้วยเสมอ!

    "ปล่อยฉันนะเอ็กซิสท์!"  ฉันพูดพร้อมกับออกแรงผลักอกเขาให้ออกห่างจากตัวฉัน  แต่คงแรงเกินไปหน่อยผลที่ได้มันก็เลยทำให้เอ็กซิสท์ล้มไปกองอยู่กับพื้นแบบนั้น

    ตุบ~

    "..."

    "คุณอย่ามาตามตื๊อฉันอีกเลยนะ  เชิญคุณใช้ชีวิตโสดของคุณให้สนุกเถอะ"  พูดจบฉันก็หมุนตัวกลับมาขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว 

    จะให้ฉันเชื่อเขาได้ยังไงกัน...  ในโลกนี้จะมีอะไรที่เชื่อถือได้อีกมั้ยนะ

    แม้แต่คำว่า  'Believe'  ที่หมายถึงความเชื่อ  ยังมีคำว่า  'lie'  ที่หมายถึงการโกหกอยู่เลย

    เพราะงั้นการเลือกที่จะเชื่อใจตัวเองมันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว...
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×