คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 Hellish
อืมมม... กี่โมงแล้วนะ อ่า เจ็ดโมงครึ่งงั้นเหรอ ฉันมีเวลาเหลืออีกแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้นในการอาบน้ำแต่งตัวและทานอาหารเช้า มันจะทันมั้ยเนี่ย =_=
ฉันลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินมึนๆ เข้าไปยังห้องน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างแล้วตีฟองครีมอาบน้ำจนเต็มอ่าง การแช่น้ำในอ่างจากุชชี่แบบนี้มันชวนให้สบายตัวเหลือเกิน สบายจนฉันไม่อยากจะลุกออกไปไหน
"เมอร์ซ วันนี้พี่ตื่นสายจัง เป็นอะไรหรือเปล่า"
เสียงมาร์เบิลดังแว่วมาจากข้างนอก จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงปิดประตูห้อง... ยัยนี่จะเข้าห้องคนอื่นไม่รู้จักเคาะประตูก่อนเลยจริงๆ
"เปล่า ฉันสบายดี"
เมื่อคืนนี้ดีหน่อยตรงที่ฉันไม่ต้องมาว้าวุ่นเพราะกลัวว่ายัยตัวแสบจะหนีเที่ยวอีก พอฉันกลับมาถึงบ้านก็เจอสองพี่น้องนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น เจอมาร์เบิลคนเดียวฉันคงไม่แปลกใจอะไรแต่พอเห็นมาโชอยู่ด้วยหน้าฉันก็มีแต่เควกชั่นมาร์คเต็มไปหมด พอถามก็บอกว่า 'วันนี้ขี้เกียจเข้าไป'
"ดีแล้ว เอ้อ เฮียออกไปข้างนอกแล้วนะ"
"ออกไปไหน" ฉันรีบถามกลับทันที เพราะปกติมาโชจะไม่ออกไปไหนตอนเช้า ถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่ยอมลุกจากเตียงนอนแสนสบายหรอก
"ไม่รู้สิ ฉันเห็นมีคนของเฮียไปด้วยสองสามคนแน่ะ"
มีลูกน้องไปด้วยงั้นเหรอ มันต้องไม่ใช่เรื่องที่เป็นแง่บวกสักเท่าไหร่แล้วล่ะเนี่ย ถ้าไม่ติดว่าเมื่อวานฉันโดดงานไปล่ะก็วันนี้ฉันจะตามไปดูให้เห็นกับตาเลยล่ะว่ามาโชไปทำอะไรกันแน่
ฉันรีบล้างตัวแล้วสวมเสื้อคลุมอาบน้ำออกมาเพื่อที่จะรีบแต่งตัวไปทำงาน ถ้าวันนี้งานไม่มีอะไรมากมายฉันอาจจะพอมีเวลาเหลือไปตามสืบเรื่องมาโชบ้างก็ได้
"แล้ววันนี้เธอไม่มีเรียนหรือไง" ฉันถามขณะที่กำลังทาครีมกันแดด มาร์เบิลหันมาทำหน้าตาลั้ลลาแล้วลุกขึ้นยืน
"วันนี้ฉันมีเรียนตอนบ่ายน่ะ แค่วิชาเดียวเอง"
"อืมๆ ออกไปได้แล้วฉันจะแต่งตัว" ฉันเอ่ยไล่และมาร์เบิลก็ยอมเดินออกไปแต่โดยดี
จะว่าไปแล้วฉันเองก็น่าจะถามเรื่องหมอนั่นจากยัยมาร์เบิลเผื่อๆ เอาไว้บ้าง เกิดไปเจอกันคราวหน้าฉันจะได้เข้าใกล้หมอนั่นได้ง่ายกว่านี้ ได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามสักหน่อยมันก็คงจะไม่เลว
15นาทีต่อมา
ฉันเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับหอบแฟ้มประวัติโดยสังเขปของลูกค้ารายอื่นๆ ที่ยังสะสางไม่หมดมาด้วย ยัยมาร์เบิลเห็นเข้าก็ออกปากแซวทันที
"งานพอกหางแล้วล่ะสิเมอร์ซ ฉันว่าเมื่อวานถ้าพี่ไม่หยุดงานป่านนี้งานคงเสร็จไปแล้ว"
"แล้วเมื่อวานฉันต้องหยุดงานเพราะใครกัน ไม่ใช่เธอหรอกเหรอยัยมาร์เบิล"
พอเจอฉันสวนกลับไปมาร์เบิลถึงกับเงียบสนิททันที ก็สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้
"โหย ก็ฉันขอโทษไปแล้วนี่นา" มาร์เบิลทำแก้มป่องๆ มองฉันอย่างขอร้องว่าอย่าหาเรื่องอีกเลย เฮอะ! คนอย่างฉันไม่ชอบหาเรื่องใครก่อนอยู่แล้ว
"ตอนไหนกัน ฉันไม่เห็นจะจำได้ว่าเธอพูดว่า 'ขอโทษ' ฉัน หืม?"
"ก็... ที่ฉันบอกว่าจะยอมทำตามที่พี่บอกทุกอย่างไง แล้วตกลงพี่คิดออกยังเนี่ยว่าจะให้ฉันทำอะไรไถ่โทษ"
อืม คิดๆ ดูแล้วถ้าถามยัยมาร์เบิลเรื่องหมอนั่นยัยมาร์เบิลก็คงจะรีบบอกให้จนหมดเปลือก แต่ถ้ามาร์เบิลไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหมอนั่นเลยล่ะ ฉันจะเสียเวลาถามเปล่าๆ มั้ยเนี่ย
"ฉันมีเรื่องอยากจะถาม"
ฉันเอ่ยเข้าประเด็น ซึ่งยัยมาร์เบิลก็ให้ความสนใจกับสิ่งที่ฉันพูดมากทีเดียว ยัยนี่ต้องถือว่าเรื่องนี้เป็นการไถ่โทษแหงเลย ถึงแม้ว่าตอนแรกที่คิดไว้ฉันจะแกล้งให้แรงกว่านี้ แต่พอถึงตอนนี้ฉันดันอยากรู้เรื่องหมอนั่นก็เลยต้องจำจใจถามเพื่อแลกกับการไถ่โทษ เฮ้อ~
"เรื่องอะไรๆ ถามมาได้เลยฉันจะบอกหมดทุกอย่างเลย"
ลองถ้ายัยมาร์เบิลพูดอย่างนี้แล้วฉันก็มั่นใจได้ใช่มั้ยว่าฉันจะไม่เสียเวลาฟรี -_-"
"ฉันอยากรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่ง คนที่ฉันเคยเจอในล็อบบี้ของ M Hotel"
"อ๋อ ได้สิ แล้วพี่จะอยากรู้เรื่องของเขาไปทำไมกัน"
เฮ้อ! ก็ฉันอยากรู้มีปัญหาอะไรมั้ยยะ ยัยน้องบ้า -"-!
"บอกฉันมาเถอะน่า!"
10.00 a.m.
At Frist Step For Wedding Plan Company
ฉันนั่งเคลียร์ตารางงานมาสักพักหนึ่งแล้ว แต่ดูท่าว่างานที่ฉันสะสมเอาไว้จะไม่ยอมหมดง่ายๆ เลยสักนิด ลูกค้าคู่นี้อยากได้งานริมทะเลที่กระบี่บ้างล่ะ ลูกค้าคู่นั้นอยากได้บรรยากาศเหมือนอยู่ในเทพนิยายบ้างล่ะ สารพัดแบบที่ฉันเจอและต้องพยายามออกแบบและจัดงานตามแบบให้ได้ แต่พองานเสร็จเงินที่ได้มันก็ค่อนข้างคุ้มกับความยากของแต่ละงาน แล้วยิ่งตอนนี้ดาราซุป'ตาร์ดังๆ ก็จูงมือกันแต่งงานซะหลายคู่ แล้วบริษัทไฮโซระดับหกดาวที่ฉันทำงานอยู่จะหนีงานพวกนั้นไปพ้นได้ไง
ใช่แล้ว...ฉันทำงานเกี่ยวกับเว็ดดิ้งทั้งหลายแหล่ และงานนี้มันกำลังทำรายได้ให้กับบริษัทอย่างงามเลยทีเดียว
"พักบ้างก็ได้นะจ๊ะเมอร์ซี่ เดี๋ยวเป็นลมไปล่ะจะยุ่งเอานะ ^^"
มิเชลเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ในฝ่ายเดียวกันเดินเข้ามาทักฉัน แต่ตอนนี้ฉันยังพักไม่ได้หรอก เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จตามนัด
"อ่า ค่ะ แต่เมอร์ซขอเคลียร์งานต่ออีกหน่อยละกัน" ฉันเงยหน้าไปส่งยิ้มให้มิเชล ซึ่งแกก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ มิเชลแกก็เป็นคนแบบนี้แหละ...เป็นห่วงเพื่อนร่วมงานเสมอ ไม่เคยเสแสร้งแกล้งทำ
"อย่าหักโหมมากนะ สุขภาพเราก็สำคัญเหมือนกัน" มิเชลพูดก่อนจะยิ้มหวานให้แล้วเดินไปอีกทาง ซึ่งฉันคาดว่าจะไปตามงานที่พนักงานคนอื่นๆ
หลังจากที่มิเชลเดินไปคุยงานกับคนอื่นๆ แล้วฉันก็กลับมาสนใจงานตรงหน้าต่อ และแฟ้มข้อมูลลูกค้ารายล่าสุดที่ฉันกำลังนั่งอ่านอยู่นี้ก็ทำให้ฉันลืมหายใจไปชั่วขณะ ชื่อของว่าที่เจ้าบ่าวนั้นฉันรู้จักแต่ว่าฝ่ายเจ้าสาวนี่สิฉันยังไม่รู้จัก จะว่าไปเมื่อเช้านี้ยัยมาร์เบิลไม่ได้บอกฉันนี่นาว่ายัยหน้าหมวยนั่นชื่ออะไร
แต่ให้ตายเถอะ ฉันต้องจัดงานเว็ดดิ้งให้เขาทั้งๆ ที่ฉันกำลังจะวางแผนทำลายงานหมั้นระหว่างเขากับสาวหมวยคนนั้นงั้นเหรอ
ฉันจะบ้าตาย นี่คงเป็นเป็นเพราะวันนั้นที่เขาหนีงานหมั้นออกมาแหงเลย คราวนี้ทางฝ่ายผู้ใหญ่ก็เลยจับแต่งงานกันซะเลย ฉันจะปล่อยเลยตามเลยดีมั้ยเนี่ย ไม่ต้องไปสนใจคนอย่างนาย 'เฮลลิช' อะไรนั่นละ
เดี๋ยวก่อนนะ... หมอนั่นรู้เรื่องแผนงานแต่งนี้หรือเปล่าน่ะ แต่ถ้ารู้เขาก็คงไม่ไปเดินให้ผู้หญิงคนนั้นเกาะเป็นปลิงอย่างนั้นหรอกมั้ง
"อะแฮ่ม! เธอมีปัญหาอะไรกับงานนี้หรือไง" เสียงหนึ่งดังขึ้นเหนือหัว พอเงยหน้าขึ้นไปดูก็พบกับเจ้าของใบหน้านิ่งสนิทและดวงตาสีน้ำตาลเข้ม
"เปล่า ฉันแค่สงสัย" ฉันบอกพลางพลิกหน้ากระดาษเพื่อดูรายละเอียดงานไปเรื่อยๆ แต่ความจริงแล้วฉันอ่านมันไม่เข้าใจสักนิด
"สงสัย? เธอทำงานมาตั้งหลายงานฉันไม่เห็นว่าเธอจะเคยสงสัยอะไรเลย" ซีลัสพูดพร้อมกับท้าวมือไว้บนโต๊ะฉัน "เธอไม่อยากทำงานนี้เหรอ"
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก พอดีฉันรู้มาว่าเดิมทีเจ้าของงานทั้งคู่แค่จะหมั้นกันเฉยๆ ยังไม่ได้แต่ง"
เรื่องเหตุผลมันอาจจะพอเดาได้ แต่ซีลัสเป็นคนรับงานนี้มาก็น่าจะรู้รายละเอียดบ้างไม่มากก็น้อย และฉันก็อาจจะหาทางออกเพื่อสร้างเงื่อนไขไปยื่นให้นายเฮลลิช...ว่าที่คนรับใช้ของฉัน หึๆ
"ฉันก็รู้อะไรไม่มากหรอก มาดามอิสเบลล่าท่านเป็นคนจัดการงานนี้เอง แถมยังขอไม่ให้ฉันบอกเรื่องนี้กับใครอีกต่างหาก"
ถ้างั้น...อีตาเฮลลิชก็ไม่รู้เรื่องนี้! เสร็จฉันล่ะ ฉันช่วยนายได้แน่ถ้านายจะยอมเล่นเกมตามฉัน~
"งั้นเหรอ แปลกดีเนอะจับคลุมถุงชนกันแบบนี้"
"เธอรู้ได้ไงว่าคลุมถุงชน -_-" ซีลัสถามเซ็งๆ ...อย่าบอกนะว่านายไม่รู้เรื่องอะไรเลยน่ะ พระเจ้า~
"ฉันรู้ก็แล้วกันน่า นายจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ ฉันจะทำงานต่อแล้ว" ฉันเอ่ยไล่ แต่ซีลัสก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน แถมยังจ้องหน้าฉันซะเขม็งอีกต่างหาก อะไรของเขาน่ะ -_-? "อะไรของนาย"
"ฉันรู้สึกว่าเธอจะให้ความสนใจกับงานนี้มากเป็นพิเศษ มากจนผิดปกติ"
"ฉันคงจะออกแบบงานไม่ถูกหรอกนะ ถ้าไม่รู้รายละเอียดที่มาที่ไปอะไรเลย"
ที่จริงมันเป็นแค่เหตุผลส่วนหนึ่งที่...เล็กน้อยมาก แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่าฉันจะเผลอบอกความจริงกับซีลัสไม่ได้
"ถ้ามันเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่มีปัญหาอะไร" ซีลัสพูดก่อนจะเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหมุนตัวเดินห่างออกไป
เขาพูดอย่างกับว่าถ้ามันมากกว่าเรื่องงานเขาจะไล่ฉันออกอย่างนั้นล่ะ -"-
7.25 p.m.
กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็ปาเข้าไปทุ่มกว่าๆ แผนที่จะไปตามสืบเรื่องมาโชก็เลยต้องยุติลงไปด้วย ส่วนเรื่องนายเฮลลิชอะไรนั่นฉันก็ว่าจะพักเอาไว้ก่อน ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยสุดๆ ฉันไม่เคยทำงานติดต่อกันยาวนานถึงขนาดนี้มาก่อนเลย
"วันนี้พี่กลับบ้านดึกนะ งานเยอะมากเลยเหรอ" มาร์เบิลที่เดินลงมาจากชั้นบนเอ่ยทัก
"อืม แล้วมาโชกลับมาหรือยัง" ฉันถามถึงมาโชทันทีเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องงานให้มันปวดหัวไปกว่านี้ มาร์เบิลก็ทำหน้าตางงๆ นิดหนึ่งก่อนจะตอบ
"ไม่รู้สิ ฉันไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่บ่าย เพิ่งจะกลับมาเมื่อสองชั่วโมงที่แล้วนี่เอง"
นั่นสินะ ฉันก็ลืมไปว่าตอนบ่ายยัยมาร์เบิลต้องออกไปเรียน แถมพอออกไปแล้วกว่าจะกลับก็เย็นๆ โน่นแหละ ทีนี้ฉันก็เลยไม่รู้เลยว่ามาโชได้กลับบ้านมาหรือเปล่า บอกตามตรงว่าตั้งแต่วันนั้นที่ฉันไปเจอเขากำลังคุยอยู่กับนักธุรกิจเปิดบ่อนพวกนั้นฉันก็เริ่มไม่ไว้ใจมาโชอีกเลย ถึงเขาจะบอกว่าไม่มีอะไรแต่เชื่อสิว่าพวกนั้นต้องโน้มน้าวให้เขาร่วมลงทุนด้วย เรื่องเงินมันไม่เข้าใครออกใคร แล้วมาโชเองก็อาจจะหลวมตัวยอมตกลงไปก็ได้ใครจะไปรู้
"นั่นพี่จะไปไหนน่ะ"
มาร์เบิลรีบเดินตามฉันออกมาที่โรงจอดรถ ตอนนี้มาโชคงจะอยู่ที่ผับของเขานั่นแหละ และฉันก็ต้องไปดูให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้กำลังเจรจาลงทุนเปิดบ่อนกับใครหน้าไหน
"ไปหามาโช" ฉันหันไปตอบด้วยใบหน้านิ่งสนิท ความรู้สึกตอนนี้มันเกินจะบรรยายออกมาจริงๆ ทั้งกังวล ทั้งโกรธ ทั้งโมโห ปนเปกันไปหมด
"ใจเย็นก่อนสิ บางทีเฮียอาจจะไม่ได้ทำอะไรอย่างที่พี่คิดก็ได้นะ" มาร์เบิลยื้อแขนฉันเอาไว้แน่น
เฮ้อ พอกันที หมดเวลาที่ฉันจะอดทนจัดการกับชีวิตของมาโชแล้ว วันนี้ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะบุกไปอาละวาดที่ผับได้ เพราะงั้นฉันจะยอมเดินกลับขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี ฉันจะอาบน้ำแล้วเข้านอนทันที
"ฉันจะลองเสี่ยงเชื่อเธอก็แล้วกัน มาร์เบิล" ฉันพูดอย่างอ่อนใจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับขึ้นห้องไปอย่างที่คิดไว้ ฉันจะยอมไม่ยุ่งวุ่นวายกับมาโชสักพักละกัน เขาคงโตพอที่จะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรล่ะนะ
พอขึ้นมาถึงห้องนอนฉันก็เหลือบไปเห็นแฟ้มเอกสารรายละเอียดงานเว็ดดิ้งของนายเฮลลิชที่วางไว้บนโต๊ะทำงาน แผนการต่างๆ มากมายผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดแต่จับประเด็นอะไรไม่ได้สักอย่าง
ฉันไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นกับแค่คนที่ (เสล่อ) เดินตัดหน้ารถหรอกนะ แต่ฉันก็บอกไม่ได้อยู่ดีว่าอะไรดลใจให้ฉันอยากจะเอาคืนหมอนั่นที่ทำให้ฉันหัวใจเกือบวายตายในวันนั้น ถ้าวันนั้นฉันเบรคไม่ทันหมอนั่นก็จะบาดเจ็บและฉันก็คงต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลให้เขา และอาจจะโดนเรียกร้องค่าเสียหายอย่างอื่นโทษฐานที่ทำให้เขาบาดเจ็บจนเข้าพิธีหมั้นไม่ได้ ซึ่งถือว่าโชคดีมากที่เรื่องทั้งหมดมันจบแค่ฉันเบรกได้ทัน
เฮ้ออออ~ ทำไมชีวิตฉันตั้งแต่เจอนายเฮลลิชอะไรนั่นมันถึงได้วุ่นวายขนาดนี้เนี่ย นี่ขนาดยังไม่ได้รู้จักกันมากมายอะไรหมอนั่นก็นำความหายนะมาให้ฉันซะแล้ว ถ้าต้องรู้จักกันมากกว่านี้ชีวิตฉันจะวุ่นวายขนาดไหนเนี่ย =___=!
7.12 a.m.
At Converse Coffee Shop
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งจิบกาแฟอุ่นๆ อยู่ในค็อฟฟี่ช็อปที่มีบรรยากาศสบายๆ เหมาะกับสภาพอากาศตอนนี้เป็นที่สุด... หิมะกำลังโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่างทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาเยอะเลย มันรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังล่องลอย
กรุ๊งกริ๊ง~
เสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูร้านดังขึ้นแสดงถึงการมาใหม่ของใครบางคน ซึ่งก็คงเป็นพวกชอบความเป็นส่วนตัวเหมือนกับฉันที่เข้ามานั่งจิบกาแฟอุ่นๆ ก่อนไปทำงาน
"รับอะไรดีคะ"
พนักงานเสิร์ฟของร้านรีบเข้ามาถามเมนูจากแขกที่เข้ามาใหม่อย่างแข็งขัน ฉันชอบพนักงานแบบนี้นะ... ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
"อืม...ฉันขอเป็นชาซีลอนก็แล้วกัน"
"ชาซีลอนหนึ่งที่นะคะ แล้ว..."
"เอ่อ แล้วพี่เฮลลิชจะดื่มอะไรคะ"
O_O!
เฮลลิช...งั้นเหรอ!
ใช่หมอนั่นจริงๆ น่ะเหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย!
"...กาแฟร้อน" สักพักเขาก็ตอบพนักงานไป แต่ไม่ได้สนใจผู้หญิงที่เขาพามาด้วยเลยสักนิด!
โอ้ นี่ฉันกำลังเจอเข้ากับตัวร้ายกาจจริงๆ แล้วใช่มั้ยเนี่ย เขา...ดูจะร้ายกาจสมกับชื่อของเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่ฉันคนนี้จะทำใจดีสู้เสือแล้วเข้าไปเสนอทางเลือก เอ่อ...ไม่สิ เสนอทางช่วยเขาเพื่อแลกกับการที่ได้เขามาเป็นเบ๊ฉันสักเดือนเป็นไง
"ค่ะ ชาซีลอนหนึ่งที่กับกาแฟร้อนหนึ่งที่นะคะ รอสักครู่ค่ะ" พอทวนรายการเครื่องดื่มเสร็จพนักงานเสิร์ฟคนนั้นก็เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์แล้วส่งออเดอร์ให้พนักงานประจำเคาน์เตอร์ทำเครื่องดื่ม
"พี่เฮลลิชเป็นอะไรหรือเปล่าคะ วันนี้พี่ยังไม่ยอมพูดกับมี่เฟิงเลยนะ" ผู้หญิงที่มากับเขาเอียงหน้าถามอย่างน่าเอ็นดู แต่ดูหมอนั่นทำเข้าสิ... แค่เหลือบตามามองแล้วก็แย้มปากพูดกับเธอเพียงสั้นๆ
"ฉันเบื่อ...เธอ!"
"=O='"
หมอนี่ร้ายกาจสุดยอดไปเลยอ่ะ! พูดว่าเบื่อต่อหน้าเธอแบบนั้นไม่เสียใจก็บ้าแล้วล่ะ คนกำลังจะแต่งงานกันอยู่แล้วแท้ๆ
"ทำไม รับไม่ได้หรือไงที่ฉันเป็นแบบนี้ ถ้ารับไม่ได้ก็รีบๆ ออกไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักทีสิ"
"พะ...พี่เฮลลิช" มี่เฟิงพูดตะกุกตะกักทันที เธอคงเป็นผู้หญิงที่เปราะบางพอดูเลยล่ะ เจอคำพูดบาดจิตใจแบบนั้นยังไม่ร้องไห้ออกมานี่ก็นับว่าเก่งมากแล้ว
"แล้วเธอก็รู้ไว้ซะด้วยว่าวันนี้ฉันไม่ได้อยากพาเธอไปไหนทั้งนั้น แต่ที่ฉันทำเพราะฉันถูกบังคับ!"
อีตานี่มัน... พูดทำร้ายจิตใจผู้หญิงด้วยใบหน้านิ่งๆ แบบนั้นได้ยังไงกัน -_-
"มะ...มี่เฟิงรู้แล้วค่ะ แต่..."
"รู้แล้วยังจะเข้ามาตามตื๊อฉันอยู่ได้ ฉันชักจะไม่แน่ใจซะแล้วสิว่าเธอเป็นคนยังไงกันแน่"
"ก็มี่เฟิงชอบพี่นี่คะ ชอบมากด้วย"
ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้ของฉันคงไม่ได้สงบสุขอย่างที่คิดไว้แต่แรกแล้วใช่มั้ย เมื่อคืนฉันตั้งใจเอาไว้แล้วว่าฉันจะพักเรื่องอื่นเอาไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาโชหรือแม้แต่เรื่องของนายเฮลลิชนี่ แต่ในเมื่อมาเจอเขาในวันนี้ก็นับว่าเป็นโอกาสดีที่ฉันจะได้ลองเจรจาเงื่อนไขกับเขาดูก่อน แล้วดูสถานการณ์ในตอนนี้สิ... เขากำลังอยากสลัดมี่เฟิงให้หลุดไปจากชีวิตเขาค่อนข้างมากเลยทีเดียว ดูได้จากการที่เขาเลือกที่จะพูดกับเธอไปตรงๆ มากกว่าจะพูดแบบถนอมน้ำใจกัน แค่นี้ก็มีเหตุผลมากพอแล้วที่ฉันจะเข้าไปช่วยเหลือเขาในตอนนี้
"แต่ฉันไม่ชอบเธอ -_-"
"พี่เฮลลิช..."
"ฉันหวังว่าแค่นี้เธอคงจะเข้าใจ"
พออีตาเฮลลิชพูดจบมี่เฟิงก็ลุกพรวดแล้วเดินจ้ำอ้าวออกไปทันที พนักงานเสิร์ฟคนเมื่อครู่ที่กำลังยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟก็ถึงกับงงไปเลยทีเดียว แต่ทว่าอีตาเฮลลิชก็ยังคงนั่งจิบกาแฟต่อไปโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย
เฮอะ! เขาจะรู้ตัวบ้างมั้ยน่ะว่าเขามันเป็นตัวร้ายกาจ ร้ายพอๆ กับอสูรเลยจริงๆ!
ในเมื่อฉันยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่ามี่เฟิงคนนั้นจะกลับมาตามติดอีตาเฮลลิชนี่อีกหรือเปล่าเรื่องเงื่อนไขที่จะต่อรองกับเขาก็คงต้องเลื่อนออกไปก่อน เพราะถ้าหากว่ายัยนั่นไม่กลับมาแล้วก็เท่ากับว่าข้อเสนอของฉันก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเขา
พอกาแฟในถ้วยของฉันหมดแล้วก็ถึงเวลาไปทำงานสักที ฉันตั้งใจเดินผ่านโต๊ะของหมอนั่นอย่างช้าๆ แต่ให้ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเขาเองก็มองฉันผ่านๆ เพียงแวบเดียวก็กลับไปสนใจกาแฟร้อนในมือของตัวเองต่อ
ที่ฉันทำแบบนั้นมันก็เพื่อเป็นการเตือนว่าอีกไม่นานเราต้องได้เจอกันอีกแน่... นายเฮลลิช
8.45 a.m.
At Frist Step For Wedding Plan Company
อาจจะเร็วไปสักนิดสำหรับการมาทำงานในวันนี้ ปกติบริษัทนี้ก็จะให้พนักงานมาทำงานในตอนเก้าโมงเช้า ซึ่งนับว่าไม่สายเกินไปสักเท่าไหร่
อืม เงียบดีเนอะ!
ตั้งแต่ฉันเดินเข้ามาในบริษัทฉันเห็นมีแค่ยามที่เฝ้าหน้าประตูสามคนกับแม่บ้านที่ทำความสะอาดชั้นล่างห้าคน วันนี้ก็ไม่ใช่วันหยุดอะไรสักหน่อยทำไมมันถึงได้เงียบกริบขนาดนี้ล่ะ อย่างน้อยฉันก็น่าจะเจอมิเชลหรือไม่ก็ซีลัสบ้างสิ สองคนนี่ขึ้นชื่อเรื่องการมาทำงานก่อนเวลาเสมออยู่แล้ว
จะว่าไป...ลองโทรตามสักหน่อยก็น่าจะดีนะ นานๆ ทีฉันจะได้มาทำงานก่อนอีตานี่บ้างมันรู้สึกภูมิใจยังไงชอบกล โฮ่ๆ ^O^
ตู๊ด...
ตู๊ด...
ตู๊ด...
สัญญาณดังอยู่นานแล้วแต่ซีลัสก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะรับสายฉันสักที อะไรของเขาเนี่ย -"-
ตู๊ด...
ตู๊ด...
ตู๊ด...
ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่คุณเรียกค่ะ ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่คุณเรียกค่ะ
ฮึ่ย! ให้มันได้อย่างนี้สิอีตาบ้าซีลัส ทีอย่างนี้ล่ะไม่รับโทรศัพท์ฉัน ทีฉันรับช้าบ้างล่ะก็มาทำเป็นบ่นฉัน L
ในเมื่อไม่รู้จะทำอะไรดีในระหว่างที่รอให้ใครสักคนมา ฉันก็เดินไปหยิบแฟ้มงานแต่งระหว่างนายเฮลลิชกับมี่เฟิงมาเปิดดูว่าคอนเซ็ปต์งานเป็นยังไง และฉันก็ได้รู้ว่ายัยมาดามอิสเบลล่านั่นคิดแพลนงานไว้ซะหรูหราสุดๆ สถานที่จัดงานก็เป็นที่ เอ่อ...ที่คฤหาสน์ ฉันอ่านถูกแล้วใช่มั้ยน่ะ =_= บรรยากาศก็อยากให้เหมือนกับในพระราชวัง (คือเจ้าบ่าวเหมือนกับเจ้าชาย ส่วนเจ้าสาวก็เหมือนกับเจ้าหญิง) รู้มั้ยว่างานนี้เสียเงินค่าจัดงานเฉียดแสนดอลลาร์เลยทีเดียว องค์ประกอบหลายๆ อย่างดูก็รู้ว่าอาจจะต้องอิมพอร์ตมาจากประเทศแถบยุโรปตะวันออกซะด้วยซ้ำไป ยัยมาดามนี่เวอร์ชะมัดเลย -*-
~♫
ระหว่างที่ฉันกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นมาซะงั้น
พอหยิบขึ้นมาดูก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาอย่างระอาใจ ทีฉันโทรไปดันไม่รับสาย!
"ทำอะไรอยู่ทำไมไม่รับสายฉัน!"
ฉันเริ่มวีนใส่ทันทีที่กดรับสาย หมอนั่นก็คงกำลังนั่งทำหน้าเบื่อโลกอยู่แหงที่ได้ยินฉันวีนแบบนี้
[ฉันมีนัดกับลูกค้าน่ะสิ]
"..." ลูกค้าเหรอ หรือว่า...!
[เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้ฉันต้องมาคอยดูแลการจัดงานนอกสถานที่]
นั่นไงล่ะ ถึงว่าสิว่าทำไมป่านนี้ยังไม่มีใครเข้าบริษัทสักที
"แล้วจะให้ฉันไปช่วยหรือเปล่า วันนี้ฉันว่างน่ะ"
[ไม่ต้องหรอก แค่นี้ทีมงานก็เยอะมากเกินพอแล้วล่ะ]
"อืมๆ"
ตั้งแต่ทำงานมาฉันแทบจะไม่ได้ออกไปจัดงานนอกสถานที่กับเขาบ้างเลย วันๆ ก็อยู่แต่หน้าจอคอมเพราะต้องจัดการออกแบบงานออกมาให้ได้ตามที่เจ้าของงานอยากได้ เฮ้อ~
[เอ้อ แล้วเรื่องแบบงานแต่งที่เธอสงสัยวันนั้นน่ะออกแบบงานไปถึงไหนแล้ว]
"เอ่อ... ยังไม่ถึงไหนเลย" เพราะฉันไม่แน่ใจว่าออกแบบไปแล้วจะได้ใช้หรือเปล่าน่ะสิ :P
[งานจะจัดอยู่อีกสองเดือนแล้วนะ เธอรีบคิดได้แล้ว]
สะ...สองเดือน!
มันอีกไม่นานสักเท่าไหร่แล้ว แต่ฉันยังไม่ทันได้ตกลงเรื่องแผนการอะไรกับหมอนั่นเลยสักนิด หรือจะเอาไว้ช่วยเขาหนีตอนงานแต่งดี
จะบ้าเหรอ! กว่าจะถึงวันนั้นฉันคงอึดอัดใจตายพอดี นอกจากแผนการตามล่าหาเบ๊จอมนิสัยเสียมารับใช้ฉันจะพังไม่เป็นท่าแล้วฉันยังจะอดช็อปปิ้งอย่างสบายอุราอีกต่างหาก
"..."
[แค่นี้ก่อนนะ ดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย]
"อืม"
ฉันวางโทรศัพท์กลับไปที่เดิมแล้วเริ่มคิดหาแผนการอีกครั้ง แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าฉันจะไปเจอเขาได้ที่ไหนอีก เวลาสองเดือนมันก็ผ่านไปเร็วจะตาย -_-"
อยู่ทำงานที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับนั่งทำงานในป่าช้า เพราะงั้นฉันจึงหอบแฟ้มและเอกสารประกอบอื่นๆ กลับออกมาที่ลานจอดรถเพื่อขับรถกลับบ้าน
แต่... ฉันไม่แน่ใจนี่สิว่ากลับไปถึงบ้านแล้วฉันจะได้ทำงานอย่างที่หวังไว้หรือเปล่า =_="
พอเดินมาถึงรถฉันก็นึกสถานที่สงบๆ แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ ฉันมักจะไปที่นั่นบ่อยๆ เพื่อไปนั่งคิดแบบงานเว็ดดิ้ง และฉันก็ได้ไอเดียดีๆ ที่นั่นเสมอ แต่ช่วงสายๆ แบบนี้ฉันว่าอาจจะมีคนพลุกพล่านมากกว่าปกตินิดหน่อยน่ะนะ โดยเฉพาะพวกคนรักสุขภาพทั้งหลายแหล่ เพราะบรรยากาศที่นั่นร่มรื่นและเย็นสบาย พื้นที่ก็กว้างขวางเหมาะแก่การจ็อกกิ้งเป็นที่สุด
ทว่า... ฉันขับรถห่างออกมาจากบริษัทได้ไม่เท่าไหร่ก็จำต้องเบรกรถอย่างกะทันหัน พอเห็นคู่กรณีชัดๆ แล้วฉันก็พยายามสะกดอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ให้เดือดพล่านไปมากกว่านี้
ผ่านมานานแล้วสินะที่ฉันไม่ได้เจอกับเขา... ไม่ได้พูดคุย ไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันอย่างเมื่อก่อน
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...เอ็กซิสท์" ฉันเปิดประตูรถแล้วก้าวเดินลงไปเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ
คราวก่อนฉันจำได้ว่าฉันเจอเขาที่ห้างแต่ฉันก็วิ่งหลบเขาซะวุ่นวาย แต่วันนี้ดูก็รู้ว่าเขาจงใจที่จะมาเจอฉัน เพราะงั้นฉันก็ใจกล้ามากพอที่จะเดินออกไปเผชิญหน้ากับเขาเหมือนกัน ฉันอยากจะรู้นักว่าเขาจะต้องการอะไรอีกหลังจากที่เราเลิกกันไปแล้ว
"คุณดูสบายดีนะ" เขาพูดพร้อมกับดึงแว่นกันแดดสีชาออกมาหนีบไว้กับคอเสื้อของเขา
ดวงตาอิดโรยนั่นไม่ได้บ่งบอกเลยสักนิดว่าเขาอยู่ดีมีความสุข สามสี่วันที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้ดีใจหรอกเหรอที่เลิกกับฉันเสียที เขามีอิสระที่จะทำทุกอย่างตามความต้องการ จะไปควงใครก็ไม่ต้องนึกถึงฉัน จะพาใครเข้าโรงแรมก็ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อย่างตอนที่คบกับฉันอยู่
ชีวิต 'โสด' ไม่สนุกเลยงั้นเหรอ...
"เผื่อว่าคุณจะลืม..." ฉันอ้าปากจะพูดย้ำเรื่องสถานภาพของเราทั้งคู่ให้เขาฟังอีกครั้ง แต่เขาก็ชิงพูดแทรกฉันขึ้นมาซะก่อน
"เพราะผมไม่ลืมไงถึงต้องมา"
"..."
"ผมอยู่โดยที่ไม่มีคุณไม่ได้นะ ผมคิดถึงคุณตลอดเวลา"
มาสำนึกได้เอาตอนนี้มันก็สายไปซะแล้วนะเอ็กซิสท์ คนอย่าง 'เมอร์ซี่' พูดคำไหนคำนั้น เมื่อตัดสินใจอะไรไปแล้วฉันจะไม่มีทางเปลี่ยนใจเด็ดขาด เพราะฉันเชื่อว่าฉันคิดมาดีแล้ว
"เสียใจด้วยเอ็กซิสท์ ฉันว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้ว" ฉันกรอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ กับความตื๊ออย่างไร้สาระของเอ็กซิสท์ "ฉันตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนใจแน่นอน"
"คุณโกรธผมเพราะเรื่องนั้นจริงๆ งั้นเหรอ"
"..."
ฉันเลือกที่จะเงียบเพราะไม่อยากปะทะอารมณ์ (เดือดๆ) กับเอ็กซิสท์ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ยอมใจอ่อนกับใครไปง่ายๆ สักหน่อย และฉันก็มีสมองมากพอที่จะไม่พาตัวเองกลับไปจมอยู่กับปัญหาเดิมๆ แบบนั้น
"หรือที่คุณเลิกกับผมเป็นเพราะคนอื่น คุณไปเจอคนอื่นอย่างนั้นเหรอ" สายตาตัดพ้อของเอ็กซิสท์ที่มองมายังฉันมันชวนให้หงุดหงิดเป็นบ้าเลย
ฉันเนี่ยนะจะเลิกกับเขาเพราะฉันไปเจอคนอื่น! เขากำลังพาลนะรู้ตัวบ้างมั้ย -_-!
"ฉันไม่ได้งี่เง่าแบบนั้นซะหน่อย! จบก็คือจบคุณไม่เข้าใจหรือไง"
ขีดความอดทนของฉันในตอนนี้มันต่ำเตี้ยติดดินซะเหลือเกิน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เราเคยรู้สึกดีด้วยพอถึงเวลาเลิกกันจะมาทำกันแบบนี้ จนฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้กันในอดีตมันเป็นเพียงความรู้สึกจอมปลอมที่เขาสร้างขึ้นมาลวงตาฉันหรือเปล่า จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่ผู้ชายคนแรกที่ฉันเคยคบด้วย แต่เขาก็เป็นคนแรกที่ฉันคบด้วยยาวนานที่สุด ...สี่ปีที่ผ่านมาไม่มีความหมายเลยสินะ
"คุณบอกเลิกผมง่ายๆ เพียงเพราะเห็นผมไปควงกับผู้หญิงอื่น? คุณไม่คิดแม้แต่จะฟังผมอธิบายเลยสักนิด"
"นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันเห็นพฤติกรรมแบบนี้ของคุณ ฉันให้โอกาสคุณแก้ตัวตลอดสี่ปีที่เราคบกันแต่คุณก็ยังทำตัวเหมือนเดิม คุณไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวเองเลยสักนิดแล้วจะให้ฉันทนอยู่กับคุณเพื่ออะไร!"
"O_O"
"ฉันว่าฉันฉลาดพอที่จะรู้นะว่าอะไรถูกอะไรผิด"
ฉันเตรียมจะหันหลังเดินกลับไปที่รถแต่เอ็กซิสท์กลับคว้าข้อมือของฉันเอาไว้แน่น ก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอดแล้วพูดพร่ำอยู่หลายคำ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจฟังเลยสักนิด
"ผมขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา ผมขอโอกาสให้เรากลับมาคบกับเหมือนเดิมแล้วผมสัญญาเลยว่าผมจะไม่มองผู้หญิงคนไหนอีกเลยนอกจากคุณคนเดียว จริงๆ นะเมอร์ซี่..."
เฮอะ! 'สัญญา' อย่างนั้นเหรอ...
ฉันไม่เคยเชื่อมั่นในคำสัญญาของใครอยู่แล้ว เพราะมันเป็นแค่ลมปากที่ทุกคนพร้อมที่จะผิดสัญญากันทั้งนั้น ที่ใดมีคำว่าสัญญา...ที่นั่นย่อมมีคำว่าผิดสัญญาอยู่ด้วยเสมอ!
"ปล่อยฉันนะเอ็กซิสท์!" ฉันพูดพร้อมกับออกแรงผลักอกเขาให้ออกห่างจากตัวฉัน แต่คงแรงเกินไปหน่อยผลที่ได้มันก็เลยทำให้เอ็กซิสท์ล้มไปกองอยู่กับพื้นแบบนั้น
ตุบ~
"..."
"คุณอย่ามาตามตื๊อฉันอีกเลยนะ เชิญคุณใช้ชีวิตโสดของคุณให้สนุกเถอะ" พูดจบฉันก็หมุนตัวกลับมาขึ้นรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
จะให้ฉันเชื่อเขาได้ยังไงกัน... ในโลกนี้จะมีอะไรที่เชื่อถือได้อีกมั้ยนะ
แม้แต่คำว่า 'Believe' ที่หมายถึงความเชื่อ ยังมีคำว่า 'lie' ที่หมายถึงการโกหกอยู่เลย
ความคิดเห็น