ไอลีน วอร์นอส หญิงนักฆ่า - ไอลีน วอร์นอส หญิงนักฆ่า นิยาย ไอลีน วอร์นอส หญิงนักฆ่า : Dek-D.com - Writer

    ไอลีน วอร์นอส หญิงนักฆ่า

    อธิบายไม่ถูก

    ผู้เข้าชมรวม

    3,191

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    3.19K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 ธ.ค. 49 / 16:29 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

                     



      เรื่องราวของไอลีน วอร์นอส หลายคนอาจได้ยินเรื่องของเธอจากหนังเรื่อง เดอะ มอนสเตอร์(ไม่ใช้การ์ตูน)

                      ใช่....เธอฆ่าผู้ชาย 7 คนในฟลอริดา เธอเป็นโสเภณี เธอยอมรับสารภาพหมดเปลือกว่าเพื่อปกป้องคู่รักของหล่อนที่เป็นเลสเบี้ยน(แนว Y คงชอบ เอาไปแต่งได้เลย)

                      อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวของ ไอลีน วอร์นอส เริ่มตั้งแต่เธอไม่ใช้ผู้หญิงอเมริกันคนแรกที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ไอรีนฆ่าคนแปลกหน้าด้วยปืน นอกจากนั้น ไอลีน วอร์นอสมีพฤติกรรมขายบริการทางเพศ เธออ้างว่ามีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย 250,000 คน (ทำลายสถิตเลยน่ะนั้น) แต่ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะนั้นหมายถึงเธอจะต้องนอนกับผู้ชายทุกวัน เฉลี่ยวันละ 35 คน เป็นเวลา 20 ปี ซึ่งไม่น่าจะมีผู้หญิงคนไหนอึดและช่ำชองขนาดนี้

                      เธออ้างอย่างหน้าตาเฉยว่า เหยื่อทั้งเจ็ดคนที่เธอฆ่าเพราะพยายามขมขื่นเธอ

                  
                    
      จุดเริ่มต้น

                      เมืองทรอย มิชิแกน

                      ไอลีน วอร์นอส เกิดเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์  1959  ครั้งนั้นเธอมีชื่อว่า ไอลีน คารอล พิทท์แมน เธอมีพี่ชายคนหนึ่งชื่อ คีธ เกิดก่อนหนึ่งปี เด็กทั้งสองเป็นเด็กกำพร้า ไม่เคยรู้ว่าใครเป็นพ่อ แม่ เป็นใคร ซึ่งแท้จริงแล้วพ่อของไอรีนยังมีตัวตนอยู่ ชื่อ ลีโอ เดล พิทท์แมน เขาต้องหาคดีข่มขืนและฆ่าเด็กสิบขวบ ในเดือนมกราคม 1962  มีคนพบศพลีโอแขวนคออยู่ในลูกกรงในคุก เพื่อนร่วมห้องขังอ้างว่าเขาถูกคอตายเอง

                      เมื่อไอรีนและคีธถูกนาง ไดแอน วอร์นอส ผู้เป็นแม่ทิ้ง   ตาและยายก็ได้รับอุปการะต่อ โดยที่ไม่ได้เปิดเผยให้เด็กทั้งสองรู้ว่าทั้งสองเป็นตายายแท้ ๆ  ทั้งสองเป็นชาวฟินแลนด์รุ่นแรก ๆ ที่อพยพมายังสหรัฐอเมริกา ตาชื่อ ลอรี จาคอบ วัวร์นอส และยายคือ ไอลีน บริตต์ วัวร์นอส ทั้งสองเป็นคนหัวโบราณ พวกเขาให้ ไอลีน พิทท์แมน เปลี่ยนนามสกุลเป็น ไอรีน วัวร์นอส

                      ตอนนั้นทั้งสองยังเด็กมาก จึงเข้าใจว่าหญิงชายแก่คือพ่อแม่แท้จริงของเขา

                      ตาซึ่งบัดนี้เป็นพ่อ มีระบบระเบียบในครอบครัวแปลกประหลาดเหมือนคนโรคจิต เขามักหาเรื่องเฆี่ยนด้วยหัวเข็มขัดกับ ลูกบุญธรรม โดยให้เธอนอนหมอบคว่ำหน้าบนโต๊ะกลางห้องครัวจากนั้นก็หวดหัวเข็มขัดบนก้นที่เปลือยเปล่า ไอลีนทั้งร้องทั้งด่าพ่อบุญธรรมเสียงลั่น บางครั้งเธอถูกจับแก้ผ้านอนคว่ำบนเตียงเพื่อรับการโบย

                      "ควั่บ" เข็มขัดพาดที่ก้นเปลือยเปล่าของเด็กเต็มแรง เด็กหญิงก้มหน้า โก้งโค้งสะอื้นบนเตียง

                      "แกมันเป็นปีศาจ…………ตอบสิ……………แกเป็นอะไร"

                      "ปีศาจ" ปากน้อย ๆ ตะโกนตอบ

                      แกมันไร้ค่า

                      "ไร้ค่า"

                      "แกไม่น่าเกิดมาเลย เธอมันเศษสวะ" เข็มขัดกระหน่ำลงมาอีก

                      "ไปตายซะ ไอ้แก่" เธอร้องจ้า

                      เมื่อพอใจกับผลงานดังกล่าวพ่อบุญธรรมเดินจากห้องอย่างมีความสุข ถึงเวลาไปจิบไวน์ที่ด้านล่าง ส่วนยายนั้นเล่านอนอยู่บนเตียงอย่างกับไม่ เรื่องของตนน่ะสิ 

                      ส่วนไอรีนต้องเป็นคนทำสะอาดรอยเลือดบนเตียงเธอเช้าพรุ่งนี้

                      เธอมันเป็นเพียงเครื่องทำสะอาดชิ้นหนึ่งในบ้านหลังนี้

                      และนี้คือกิจประจำในครอบครัวของ ไอลีน วอร์นอส ในวัยเด็ก เธอถูกเลี้ยงโดยชายที่เป็นเหมือนคนโรคจิต

                     

                      มั่วเซ็กซ์

                      
                    
      ความตึงเครียดของครอบครัวมาถึงจุดสูงสุด เมื่อตายายบอกความจริงว่า ตนไม่ใช้พ่อแม่แท้จริง นับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองก็มีชีวิตแตกต่างโดยสิ้นเชิง

                      ผลการเรียนของไอลีนตกต่ำ ขาดมนุษย์สัมพันธ์ สายตาไม่ดีแต่ไม่ชอบใส่แว่น ต่อมาเธอเริ่มขโมยของในห้าง จนกระทั้งเธอได้เริ่มมีลำไพ่พิเศษคือ ขายตัว

                      ที่ป่าละเมาะข้างทางไปบ้าน เบาะรถ ซอกตึก โรงรถ แม้กระทั้งรางรถไฟ

                      ที่นั้นเธอเริ่มเรียนรู้วิธีได้เงินด้วยการทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับพวกเด็กหนุ่ม และมันถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มเป็นกิจกรรมที่ถนัด รางวัลที่เธอได้คือเศษเงิน และบุหรี่หนึ่งมวน บางครั้งเธอร่วมเพศกับชายหนุ่มที่เข้าแถวกันยาวนับสิบคน จนได้รับฉายาจากหมู่วัยรุ่นผู้ชายว่า "กะหรี่" "นังสำส่อน" "อีตัวบุหรี่ม้วนเดียว"

                      ไอลีนเธอเคยมีเพศสัมพันธ์กับ คีธ ตั้งแต่วัยเด็ก เธอตั้งครรภ์เมื่ออายุแค่ 14 เธอได้ลูกชาย และมีคนรับมาเป็นบุตรบุญธรรมในปี 1971

                      ส่วนเงินที่เธอนั้นจะนำไปซื้อบุหรี่ ยาเสพย์ติดที่กระตุ้นและกดสมอง เหล้าแห้ง กัญชา ฯลฯ อะไรก็ได้ที่ทำให้เธอหลุดพ้นจากโลกที่แสนโหดร้าย

                      วันที่ 7 กรกฎาคม 1971 ยายถึงแก่กรรมด้วยโรคตับแข็ง เพราะความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหนักจนถึงแก่กรรมวาระสุดท้าย

                      วันที่ 12 มีนาคม 1976 ตาลอรี ฆ่าตัวตายเพราะเป็นมะเร็งโดยปล่อยไอเสียเข้าไปในรถรนจนตัวเองจนตาย

                      วันที่ 17 กรกฎาคม 1976 คีธ ตายในขณะอายุได้ 21 ปี ด้วยโรคมะเร็งหลอดลม

                     
                      
      สู่เส้นทางนักฆ่า

                      ไอลีนอายุ 20 ปี เธอเริ่มออกจากบ้านและทำอาชีพโสเภณี และหาชีวิตเสรี โดยเธอโบกรถหหาเหยื่อบนทางหลวงหมายเลข I-95 มุ่งสู่ฟลอริด้า ระหว่างทางมีเศรษฐีตาถั่ว ชื่อ เลวิส เฟลล์ เขาตกหลุมรักเธอทันที จนทั้งคู่แต่งงานในปี 1976 แต่แล้วไม่นานนักก็ต้องหย่า เพราะคุณเธอใช้เงินมือเติบกับเหล้าราคาแพง และยาเสพติดรสเลิศ ฯลฯ

                      เธอถูกแตะกระเด็นออกมาอยู่บนถนนอีกครั้ง

                      ในช่วงทศวรรษต่อมาชีวิตของไอลีนประสบความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั้งถลำตัวสู่วงการโสเภณี ปลอมแปลงลายมือ ปล้นชิงทรัพย์

                      จนกระทั้ง กันยายน ปี 1986 ไอลีน ได้พบ ทายเรีย มัวร์ วัย 24 ปี ผู้เปลี่ยนแปลงชีวิตเธอ

                     
                     ทายเรีย

                      ทายเรีย มัวร์ วัย 24 ปี ผมสั้นสีบอลนด์ เป็นพนักงานทำความสะอาดโรงแรม

                      เธอเป็นคนชั้นกลางในโอไฮโอที่ออกจากบ้านมาเผชิญชีวิตแบบวัยรุ่นอเมริกันยุคใหม่ ในช่วงวัยรุ่น ทายเรียมักค่อนข้างสับสนทางเพศของตนเอง เธอก็รู้ว่าตัวเองทำอะไรที่คนอื่นชอบว่าพวกวิปริตทางเพศ

                      ไอลีนพบทายเรียที่บาร์เกย์ชื่อดังแถบหาดเดย์ โทน่า พบครั้งแรกก็ปิ๊งกันทันที ทั้งสอง ตัดสินใจเป็นแฟนกันในคืนนั้นเอง  

                      เมื่อทั้งคู่เริ่มมีความรักต้องห้ามเกิดขึ้น ทายเรียยอมออกจากงานเพื่ออยู่กินกับไอลีน ความรักร้องแรงเริ่มจะเย็นลงเมื่อเงินขาดมือ แม้ว่าไอลีนจะขายตัวเพื่อมาเลี้ยงครอบครัว แต่ตลาดในวงการนี้ราคาเริ่มตกต่ำ สภาพความเป็นอยู่เริ่มขาดแคลน

                      ทายเรีย เริ่มจะทนความจนเช่นนี้นานเท่าไร ไอลีนเริ่มตระหนักดี เธอเริ่มตัดสินใจเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อความอยู่รอดด้วยสติปัญญาและกรอบศิลธรรมที่เหลือน้อยเต็มที

                     
                      
      ริชาร์ด มอลลอรี

                     
                      
      ริชาร์ด มอลลอรี ชายวันกลางคน เจ้าของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองเคลียร์วอเตอร์ รัฐฟลอริดา วัย 51 ไว้หนวด ใส่แว่น ชอบใช้เวลาว่างส่วนใหญ่อยุ่หน้าจอทีวี ดื่ม สูบกัญชา พักผ่อนสมองโดยการดูหนังโป๊

                      วันนี้เขาปิดร้าน ขับรถคาดิลแล็กรุ่นปี 1977 เพื่อหาอะไรคลายเครียดจากหนี้สินที่ต้องจ่ายกว่าแสนบาท

                      ไอลีนเดินช้าๆ ไปตามถนน หยุดเป็นช่วง ๆ แบบมืออาชีพ เธอต้องการลูกค้าที่มีอายุ คนที่เธอสามรถควบคุมสถานการณ์ได้ และโชคดีวันนี้เธอมีเงินเต็มกระเป๋า

                      ทันใดนั้นรถคาดิลแล็กรุ่นปี 1977 ก็จอดข้าง ๆ เธอ จนกระทั้งกระจกเลื่อนลงเห็นชายวัย 51 สวนแว่น เธอม่นใจว่านี้คือชายที่เป็นลูกค้าชั้นดี ไอลีนขึ้นไปบนตัวรถ

                      ริชาร์ด  มอลลอรี กับไอรีนต่อรองราคาสักพัก ก็ตกลงได้ เขาขับพาเธอไปในป่าทึบ จอดรถ สั่งเธอถอดเสื้อผ้าออก เธอทำโดยไม่อิดเอื้อน เพราะอยากเสร็จภารกิจเร็ว ๆ แต่ริชาร์ด ไม่เร่งรีบ เขาเปิดไฟดูร่างเปลือยเต็มตา คิดว่าจะต้องใช้เวลาให้คุ้มกับเงินที่เสียไป

                      โชคร้ายเป็นของริชาร์ด ในเวลานั้นเองเงินดอลลาห์ม้วนโตของไอลีนหลุดออกจากชุดชั้นในตกลงในเบาะ ไอลีนรีบตะคลุบและนึกกลัวขึ้นกระทันหัน ทำไมชายแก่นั้นมีกริยาแปลก ๆ ไม่ยอมถอดกางเกงเปิดไฟดูหาพระแสงอะไร หรือว่า? ...ปล้น..ฆ่า..ป่าที่เปลียวทั้งมืด ข่าวโสเณีปล้นฆ่ามีออกบ่อยๆ

                      ริชาร์ดเห็นท่าทีปกติ เห็นเงินที่เธอตะคลุบ เขาคิดว่าไอลีนเข้าใจผิด แต่ช้าไปแล้ว เสียงปืนระเบิดดังสองนัด เขาเจ็บสีข้าง ไอลีนตะโกณ "แกมันไอ้ระยำหมา แกจะข่มขืนฉัน" เธอกรีดร้องเหมือนคนบ้า เหนี่ยวไกปล่อยกระสุนอีก และนั่งดูเขาหมดลมหายใจ จากนั้นจึงลากร่างไร้วิญญาณลงไปซ่อนลงในพุ่มไม้เล็ก ๆ หยิบพรมสีแดงไปคลุมอีกชั้นหนึ่ง

                      "ฉันไม่อยากให้แร้งกาจิกกินศพ"นี้คือสาเหตุที่เธอต้องคลุมพรมสีแดงแก่สาลในเวลาต่อมา

                      เธอขับรถออกจากป่าในสภาพที่ยังเปลือยอยู่ หักรถลงทางโคลนสกปรก เช็ดเลือดที่พวงมาลัย ซ่อนรถในป่า แล้วเดินกลับถนนหลวง ก่อนที่จะโบกรถพร้อมแสงอาทิตย์ยามเช้า

                       ริชาร์ด มอลลอรี จู่ก็หายหน้าหายตาไปสองสามวัน แต่ชาวบ้านรู้กันทั่วว่าเขาปิดร้านเพื่อกินเหล้าและมั่วเซ็กซ์  จนกระทั้งอีกสองสามวันต่อมามีคนพบรถคาดิลแล็กรุ่นปี 1977 ของเขาจอดทิ้งที่นอกเมืองเดย์โทนา นั้นแหละถึงจะมีคนนึกได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา

                      13 ธันวาคม 1989 เด็กหนุ่มสองคนเดินไปตามถนนเล็ก ๆ สายหนึ่งใกล้กับถนนอินเตอร์สเตท 95 ในเขตเมือง โวลูเซีย คันทรี เพื่อเก็บเศษขยะ แต่แทนที่จะเจอขยะกับเจอศพที่ห่อด้วยพรมน้ำมัน ศพกำลังขึ้นอื่นจนดูหน้าไม่ออกว่าเป็นใคร จากการชันสูตรชี้ชัดว่าเป็นริชาร์ด มอลลอรี เขาถูกยิงด้วยปืนขนาด .22 สามนัด

                     
                     ฆาตกรรมต่อเนื่อง

                      หากการฆาตกรรมเกิดขึ้นครั้งแรก ครั้งที่สอง สาม สี ห้า ก็ตามมา

                    
                    
      เดวิด สเปียร์ส

                      19 พฤษภาคม 1990  พบร่างของเดวิด สเปียร์ส วัย 34 ช่างควบคุมเครืองมือกลหนัก ตายในสภาพเปลือยกายในป่าเมืองไซตรัส คันทรี รัฐฟลอริดา ห่างจากเมืองแทมป้าไปทางเหนือประมาณ 40 ไมล์ เขาถูกยิงด้วยปืนขนาด .22 สองสามนัด พบถุงยางอนามัยใช้แล้วอันหนึ่งตกอยู่ข้าง ๆ ศพ และรถบรรทุกเขามีคนพบจอดทิ้งไว้ถนนซูเปอร์ไฮเวย 75 แผ่นป้ายหายไป   

                   
                    
      ชาร์ลส์ คาร์สเคดัน

                      31 พฤษภาคม 1990 พบศพ ชาร์ลส์ คาร์สเคดัน นักควบม้าผาดโผน  ศพเขาถูกพบที่ทางหลวง I – 75 เขาถูกยิงด้วยปืนขนาด .22 สามนัด อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ตำรวจไม่พบกระเป๋าตังค์         แหวน และนาฬิกา ส่วนรถคาดิสแลคสีน้ำตาลของเขาหายไป

                      ทามเรียเห็นรถรถคาดิสแลคเก่าๆ จอดทิ้งไว้ที่ลานจอดรถขณะที่ไอลีนกลับบ้าน แต่เช้ารุ่งขึ้นรถกลับหายไป นอกจากนี้เธอพบปืนสั้นอัตโนมัติขนาด .45 ด้านจับสีงาช้างวางทิ้งบนโต๊ะ

                      ต่อมาตำรวจระบุว่ามันเป็นของ ชาร์ลส์ คาร์สเคดัน

                    
                     
      ปีเตอร์ ซีมส์

                       มิถุนายน  1990 พบศพของปีเตอร์ ซีมส์ พ่อค้าอุปกรณ์ทะเลวัย 65 เณ บริเวณนอกเมืองปาสโก คันทรีไปทางใต้สามสิบไมล์  ขาถูกยิงด้วยปืนขนาด .22 เก้านัด อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า เน่าเฟะจนจำไม่ได้ มีทรัพย์สินรายการหายไปเช่น กล้องถ่ายรูป เบ็ดตกปลา เครื่องมือช่าง พระคัมภีร์ รวมถึงรถซันเบิร์ดสีเงิน

                      ชีวิตคู่แบบเลสเบี้ยนยังดำเนินต่อไป แต่ไอลีนกลับรู้สึกโดดเดียวมากขึ้น ทามเรียมีเพื่อนสนิทหลายคน ชีวิตมีแต่สดใส ขณะที่ไอลีนนั่งคอยที่ห้องพักด้วยบรรยากาศมาคุ พายุอารมณ์พัดรุนแรงจากความตายของคนจำนวนมากที่เธอฆ่าเพื่อหาเงินมาปรมเปรอคู่รักที่กำลังระริกกะรี้อยู่นอกบ้าน เธออยากให้ทายเรียรู้สึกโดเดียวแบบเธอ และการฆ่าคนน่ะมันไม่ยาก เพียงแค่กระดกนิ้วเท่านั้น

                      ทามเรียเริ่มเห็นของแปลก ๆ ที่ไม่ปรากฏมาก่อน วางบนโต๊ะ เช่น กล้องถ่ายรูป เบ็ดตกปลา เครื่องมือช่าง หรือแม้แต่พระคัมภีร์

                      บ่ายที่ร้อนอบอ้าวของวันที่ 4 กรกฎาคม 1990 มีคนเห็นไอลีนกับทายเรียขับรถซื้อเครื่องดื่มแอลกฮอล์ในร้านเหล้า ทั้งสองดื่มกันจนเช้า

                      รถที่ว่านั้นคือรถซันเบิร์ดสีเงิน

                      ทั้งคู่เมามาก ขับรถเป๋ไปเป๋มา

                      จนกระทั้งถึงเขตชุมชนอินเดียแดง ด้วยความเมาเธอเสียหลัก หัวรถเสยเข้าไปเสาใหญ่ รถหมุนเข้าไปชนต้นไม้ใหญ่ที่อยุ่ข้างหน้า ทั้งสองมั่งมึนชั่วขณะ ไอน้ำพ่นจากรถเป็นสาย ไอลีนรีบตะโกณเสียงดังร้องรน พร้อมกระโดดจากรถ

                      "ย้ายก้นออกจากรถเดี๋ยวนี้"

                      ทามเรียเข้าใจว่าถังน้ำมันอาจรั่วและระเบิดได้ เธอจึงวิ่งผลุนผลันออกไป แต่ต้องแปลกใจที่เห็นไอลีนพยายามกระชากป้ายทะเบียนหลุด แทนที่จะวิ่งหนี เธอถามไอลีนว่าทำอะไร

                      "เราจะปล่อยให้เห็นป้ายทะเบียนนี้ไม่ได้ เพราะรถคันนี้ฉันขโมยมันมา เจ้าของรถตายแล้ว ฉันฆ่ามันเอง"

                      คำตอบนี้ทำให้ทายเรียถึงกับทรุด ทำอะไรไม่ถูก

                      นี้เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่ตำรวจสามารถโยงใยถึงตัวฆาตกรในที่สุด

                      นักสเกตซ์ภาพเหมือนถูกส่งตัวมาเพื่อวาดภาพเหมือนผู้ต้องสงสัยตามคำบอกเล่าของพยาน จากนั้นภาพวาดถูกส่งเวียนออกไปทั่วทุกรัฐ ตำรวจพบภายหลังว่าภาพสเกตซ์นั้นเหมือนของจริงจนน่าขนลุก

                      ระหว่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองสาวทอมดี้กำลังดิ่งลงเหว ไอลีน ฉุนเฉีนวง่าย และแสดงความไม่พอใจแบบไม่ปิดปัง เนื่องจากทายเรียขอร้องเธอให้หางานปกติและเลิกอาชีพเป็นโสเภณี เธอปฏิเสธ และเริ่มทำตัวเหินห่าง ดื่มเช้าจดเย็น

                      ทายเรียรู้ว่า อีกไม่นานชีวิตคู่คงจบลง เธออยากเป็นฝ่ายตีจากแต่กลัวไอลีนเจ็บ และถ้าไอลีนเจ็บชีวิตเธออาจจบลงด้วยความตาย เธอจำเป็นต้องทนกับชีวิตนี้ไปอีกระยะ

                   
                    
      ยูจีน ทรอย เบอร์เรลส์

                      คนขับรถบรรทุกห่าง อายุ 55 ปี ถูกพบศพเปลือยคลุมด้วยใบเฟิร์น มีกระสุนสองนัดฝังร่าง เงินสดหายไป 310 เหรียญ น่าแปลกที่สร้อยคอทองคำและแหวนแต่งงานยังอยู่ครบ ดูเหมือนฆาตกรจะพอใจกับเงินสดมากกว่า

                     
                       
      ดิ๊ก ฮัมฟรีย์

                       12 กันยายน ดิ๊ก ฮัมฟรีย์ วัย 54 อดีตนายตำรวจ กลายเป็นศพเปลือยอยู่ที่มาเรียน คันทรี  เขาถูกยิงด้วยปืนขนาด .22 เจ็ดนัด หกนัดฝังในร่าง  อีกนัดเจาะทะลุข้อมือปลิวหายไป

                      ทายเรียรู้สึกเบื่อหน่าย หลังจาโรงแรมเลิกจ้างงาน เธอกลายเป็นคนตกงาน ได้แต่นั่งดูทีวีจนรู้สึกเอียน

                      เมื่อถึงช่วงข่าว ทายเรียถึงกับลุกนั่งตัวตรง ภาพคนถูกฆ่า อดีตตำรวจ เจ้าของรถโอลด์สโมบิลสีน้ำเงิน

                      ทันใดนั้นเธอเห็นรถคันดังกล่าวจากลานจอดรถที่พักเธอ

                      รถที่ไอลีนขับอยู่!

                      และข่าวก็เสนอต่อไปคราวนี้เป็นภาพรถซันเบิร์ดสีเงินรถที่ไอรีนขับก่อนหน้านี้นี้น่า กับภาพวาดผู้หญิงต้องสงสัยสองคน

                      ทายเรียแทบหวีดร้อง มันคือภาพของเธอกับไอรีนชัด ๆ

                      พร้อมกับที่ทายเรียวางแผนที่ตีจากไอลีน ตาข่ายกฎหมายเริ่มคลุมมาถึงสองสาว วันเดียวกันนั้นตำรวจชุดใหญ่ประชุมเครียด เพื่อล่าฆาตกรด่วนที่สุด

                     
                     
      จุดแตกหัก

                      19 พฤศจิกายน ร่างของวอลเทอร์ จีโน อัตโตนิโอ ตำรวจหนุ่ม ถูกพบนอนเปลือยเป็นศพ เขาถูกยิงด้วยปืนขนาด .22 สี่ นัด อีกห้าวันต่อมาพบรถของเขาข้ามรัฐอยู่เมืองเบรเวอร์ด คันทรี มีทรัพย์สินมีค่าหายไปหลายรายการ รวมทั้งแหวนเพชรราคาแพง

                      ในวันที่วอลเตอร์ถูกฆ่า ไอรีนเงียบผิดปกติ เธอนั่งดื่มเบียร์ช้า ๆ เธอเดินไปหาทายเรีย สวนแหวนเพชรใส่นิ้วมือแฟนสาว เป็นสัญลักษณ์ขอแต่งงาน แต่มันก็สายไปแล้วเพราะทามเรียรู้ว่า

                      "มันเป็นของที่ได้จากการฆ่าคน!"

                      หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะที่ไอลีนออกไปซื้อเบียร์มาเพิ่ม ทายเรียก็หายตัวไป ทิ้งแหวนเพชรไว้หัวเตียง ไอลีนตะลึง ทรุดลงนั่ง เธอเริ่มดื่มเบียร์แบบล้างผลาญชีวิต ประชดชีวิตต้องการพาชายที่พบในบาร์มานอนบ้านตลอดห้าคืนเต็ม ๆ

                      เมื่อรู้แฟนไม่กลับมาแน่ ไอลีนย้ายจากโมเต็ลแฟร์วิว ไปหลับที่รถสกปรกสีเหลืองที่จอดหน้าบาร์ประจำของเธอ เป็นที่พึ่งสุดท้าย

                    
                    
      การจับกุม

                      
                     ไอลีนถูกจับกุมเมื่อวันที่
      8 มกราคม 199

                      หลังจับกุมไอลีน ตำรวจได้หาตัวทายเรีย พบเธอพำนักกับพี่สาวในเพนซิลวาเนีย เธอถูกกันตัวไว้เป็นพยาน

                      ทามเรียสารภาพว่า เธอต้องหนีไอรีนเพราะกลัวว่าเธออาจถูกฆ่าสักวัน ไอรีนชอบเอาของมีค่ามากำนัลบ่อย ๆ เช่น กล้องถ่ายรูป นาฬิกา และเครื่องประดับ

                      ทั้งหมดเป็นของที่ได้จากการฆาตกรรม!

                      แต่ทามเรียอ้างว่าเธอไม่รู้ไมเห็นกับเรื่องไอรีนเป็นฆาตกรและเธอไม่ได้มีส่วนร่วม

                      ตำรวจพาทามเรียกับเดย์โทน่า

                      วันที่ 21 มกราคม 1991 ตำรวจวางแผนให้ทามเรียโทรศัพท์กับไอรีนในคุก โดยอัดเทปบันทึกสนทนาไว้เป็นหลักฐานดำเนินคดี พูดง่ายคือให้ทามเรียเป็นนกต่อ

                      ไอลีนติดกับหลังจากที่โทรศัพท์จับคุกกันนาน 10 ครั้ง ทามเรียสร้างเรื่องว่าตำรวจกำลังใส่ร้ายป้ายสีว่าเธอเป็นผู้ร่วมฆาตกรรมต้องกัน เธอจะต้องติดคุกโดยไม่มีความผิด และอาจถูกประหารชีวิตหากไอลีนไม่ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์

                      วันที่ 16 มกราคม ไอลีนโทรศัพท์มาหา พูดกับคนรักว่า

                      "ฉันจะตัดสินใจสารภาพเร็ว ๆ นี้ ฉันไม่ยอมให้เธอติดรากแหไปด้วย เธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันต่างหากที่เป็นฆาตกร ฉันทำทุกอย่างที่เขากล่าวหา ฉันทำคนเดียว ทำตอนที่เธอออกไปทำงาน"

                      ทามเรียวางหูโทรศัพท์แล้วร้องไห้ ไอลีนยังรักเธอ แต่เธอทำสิ่งที่เรียกว่า หักหลัง

                      วันรุ่งขึ้นไอลีน วัวร์นอส โสเภณีทางหลวงถูกตั้งค่าหาฆ่าคนตาย 7 ศพ และคำสารภาพบันทึกวิดีโอเทปเอาไว้

                      ไอลีนบอกตำรวจว่า การทำฆาตกรรมมันหลอกลอนอยู่ในจิตใจตลอดมา เธอต้องการพบพระเจ้า รู้สึกผิดที่เอาปืนยิงคน เธอปรารถนาความตาย

                      เมื่อเธอจะสารภาพมาฆ่าไปเจ็ดศพ แต่ตำรวจดำเนินคดีได้เพียง 6 ศพ เพราะหาศพของปีเตอร์ ซิมส์ไม่พบ ไอลีนจำไม่ได้ว่าฝังศพไว้ที่ไหน

                     
                      
      ผู้พิทักษ์

                      เรื่องราวของไอลีน วอร์นอสแบบข่าวครึกโครมเมื่อมีผู้หญิงวัย 44 ปี คนชื่อ อาร์ลีน พราลล์ อาชีพเจ้าของคอกผสมพันธุ์ม้าใกล้เมืองโอคาลา ออกมาประกาศตัวว่าเป็นผู้พิทักษ์ไอลีน เธอเห็นรูปเธอในหน้าหนังสือพิมพ์แล้วเขียนจดหมายไปหาเธอมีข้อความว่า

                      "ฉันชื่อ อาร์ลีน พราลล์ ฉันเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ คุณอาจคิดว่าฉันเสียสติ แต่พระเยซูสั่งให้ฉันเขียนถึงคุณ" (เล่นของสูง)

                       อาร์ลีนได้ให้เบอร์โทรศัพท์บ้านพร้อมจดหมาย จนวันที่ 30 มกราคม ไอลีนจึงโทรศัพท์ไปติดต่อครั้งแรก และเกือบทันทีอาร์ลีนได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งและเพื่อนทุกข์คู่ยากที่พึ่งสุดท้ายของไอลีน

                      อาร์ลีนได้แนะนำทนายใหม่เมื่อไอลีนร้องขอ และพยายามจัดหาผลประโยชน์จากเรื่องราวจากเธอมากที่สุด

                      อาร์ลีนบอกผู้สื่อข่าวไว้ว่า

                      "นี้เป็นการผสานวิญญาณ เราสองคนเปรียบได้กับโจนาธานและเดวิดในคัมภีร์ไบเบิล ราวกับว่าส่วนของฉันถูกจองจำอยู่ในคุกร่วมกับเธอ เราจะรู้ถึงความนึกคิดของกันและกันเสมอ"

                      และกับผู้สื่อขาวหนังสือพิมพือีกฉบับเธอบอกว่า

                      "ถ้าโลกรู้ความจริงของไอลีน วอร์นอล จะไม่มีลูกขุนคนใดตัดสินลงโทษเธอเลย"

                      ช่วงปี 1991 อาร์ลีนจะปรากฏตัวตามรายการทอล์คโชว์และหน้าข่าวสังคมในหนังสือพิมพืเสมอ เธอมักจะบอกทุกคนที่ฟังสิ่งที่เธอพูดเสมอว่า เธอสามารถรับรู้ธรรมชาติอันดีงามของไอลีน วอร์นอส แต่พวกเขา นักสืบ อัยการ ต่างพยายามปรับปรัม พยายามแสวงหาประโยชน์จากเรื่องราวของเธอ เพื่อไปสร้างหนัง

                      วันที่ 11 พฤศจิกายน 1991 อาร์ลีน พราลล์และสามีทำเรื่องขอรับไอลีน วอร์นอส เป็นบุตรตามกฎหมาย เธอบอกว่าพระเจ้าสั่งให้เธอทำ

                      ท่าจะบ้า!

                     
                      
      ขึ้นศาล

                      
                      มกราคม
      1992 คดีของไอลีน วอร์นอส เข้าสู่การพิจารณาคดีในศาลในดีแลนด์ ฟลอริดา

                      ทนายของจำเลยต่อสู้คดีด้วยการขอลดหย่อนโทษ แต่อัยการประจำรัฐท่านหนึ่งให้ความเห็นว่าเธอสมควรจะรับโทษประหาร

                      ไอลีน วัวร์นอส แต่งกายในชุดสีทรายเพื่อลดทอนภาพลักษณ์ของผู้หญิงเหี้ยม เธอนั่งฟังอย่างสงบ บางครั้งก็ยิ้มให้กับนักจิตวิทยาที่อธิบายผลวิเคราะห์สภาพจิตใจของเธอ บางครั้งก็เหลือบมองท่าทีของคณะลูกขุน

                      ภาพคำรับสารภาพถูกนำมาฉายในศาลเพื่อให้ผู้พิพากษาและลูกขุนได้รับรู้

                      ไอลีนอยู่ในชุดกีฬาสีส้มมีเสื้อสเวตเตอร์สวนทับดูดบุหรี่พ่นควันฟุ้ง เธอเล่าเรื่องการฆาตกรรมทุกรายเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

                      "ฉันยิงมันที่ละนัด" เธอกล่าวไร้อารมณ์  เธออ้างว่าถูกมอนลอลีข่มขืนและทำทารุณกรรม และเล่าเรื่องชีวิตของเธอตอนเป็นเด็กด้วย

                      ลูกขุน 14 คนนั่งตัวเกร็งกับคำตอบ คนนั่งสั่นหัวไม่ยอมเชื่อ คนข้าง ๆ สะดุ้ง และลูกขุนที่เป็นผู้หญิงแก่ถึงกับน้ำตาซึมด้วยความสะเทือนใจ

                      ทนายความจำต้องแอบกระซิบคำแนะนำที่เธอตอบโต้อัยการ ซึ่งจะขึ้นซักค้านอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า

                      "ฉันหันกลับมายังเขาที่เบาะหน้า เขาทำเสียงคล้าย อูอู อะไรทำนองนี้ ฉันคิดว่าคงยิงโดนลำตัว เขายังมีแรงเปิดประตูเดินเข้ามาหาฉัน ฉันจึงตัดสินใจยิงซ้ำ คงโดนท้องหรือหน้าอกอะไรทำนองนี้แหละ เขากองลงไปกับเพื่อน ฉันจึงกระหน่ำยิงต่อ"

                      กล้องซูมออกเห็นภาพเธอเต็มตัวกำลังยกมือเป็นรูปปืน เล็งที่อากาศและกดไกปัง ๆ

                      "ฉันไม่แคร่หรอกว่าฉันจะไม่ทำอะไร"เธอพูดกับตำรวจมันสาสมกับสิ่งที่ทำแล้ว

                      หมดภาพ ทีวีเต้นระยิบ ทุกคนในศาลเงียบอย่างกับป่าช้า

                      เหตุการณ์เศร้าสร้อย กลับมีสีสันเมื่ออัยการของรัฐออกมาคัดค้าน

                      "เป็นเรื่องยากไหมที่จะผูกเรื่องให้ดูสมจริง" อัยการถาม

                      "ไม่เลย เรื่องยากคือการที่จะต้องตอบคำถามไร้สาระของคุณต่างหาก"เธอโต้

                      ยิ่งนานไป เห็นได้ชัดว่าไอลีนเริ่มควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

                      อัยการยังถามดอกเล็กดอกน้อย เธอเอามือเสยผมหงุดหงิดบ่อยครั้ง มีการปะทะคารมเป็นระยะ

                      "ฉันไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน"เธอกร้าว

                      "คุณพุดเล่นละมั้ง" เขาสวนกลับ

                      "ฉันกำลังตกเป็นเหยื่อของกระบวนยุติธรรม" ไอลีนแค้นเคือง

                      อัยการถามว่า เธอรู้ตัวหรือไม่ว่าเธอทำผิดกฎหมายจาการขายตัวและพกปืนในที่สาธารณะ

                      "ใคร ๆ ก็ทำผิดกฎหมายด้วยกันทั้งนั้น คุณก็ทำผิดกฎหมาย คุณขับรถ ปล่อยควันเสียทำลายโลก"

                      "แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใช้ปืนยิงคนอื่นอย่างเลือดเย็นนี้"

                      "ฉันก็ไม่ได้ยิงใครอย่างเลือดเย็นเหมือนกัน"เธอสวนกลับแบบมีอารมณ์

                      27 มกราคม ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินคณะลูกขุนว่าไอลีนมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา เธอโกรธมากเมื่ออกมานอกศาลถึงกับระเบิดเสียงดังลั่นว่า

                      "ฉันบริสุทธิ์ ฉันถูกข่มขื่น ขอให้พวกแก่ถูกขมขื่นบ้าง! ไอ้พวกโสโครกอเมริกา"

                      นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญถูกเชิญเข้ามาเป็นพยานเพื่อวิเคราะห์จิตใจของไอลีน

                      "เธอมองเห็นโลกเป็นเช่นไรหรือ?  โลกของเธอเต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายจ้องประหัตประหารกันและกัน ก่อให้เกิดความโกรธแค้นในจิตใจ บ่อยครั้งที่ความวิตกจริตของเธอมีมากล้น ก่อให้เกิดความโกรธคับแค้นข้องใจ จนหาที่ระบายไม่ได้"

                      แต่ แบรี่ วัวร์นอส ลุงของไอลีน กลับให้การต่างกันออกไป เขาว่าครอบครัววัวร์นอสเป็นครอบครัวที่อบอุ่น รักใคร่สามัคคีกันดี

                      ไอลีน วัวร์นอสลุกชี้หน้าด่าลุง พยายามตั้งคำถามในอดีต แต่แบรี่เดินหนีจากคอกของพยาน เธอตะโกณร้องก้อง

                      "ฉันก็เป็นเหยื่อเช่นเดียวกับผู้ตายทั้งหลาย"

                      ก่อนการอ่านผลการพิจารณาคดี ศาลอนุญาตให้ไอลีนกล่าวความในใจ ไอลีนลุกขึ้นกล่าวความในใจ

                      "ฉันถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่อง แต่ฉันบริสุทธิ์ ฉันไม่ได้ฆ่าใคร ฉันไม่มีวันทำเช่นนี้ พวกเขารวมหัวกล่าวโทษ บังคับให้สารภาพ เพื่อจะเอาเรื่องนี้ไปทำหนัง"

                      ผู้พิพากษารอไอลีนสงบลง จึงประกาศโทษ

                      "คุณไอรีน แครอล วัวร์นอส ต้องรับผิดด้วยการประหารด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้าจนตาย ขอให้พระเจ้าเมตตาวิญญาณคุณ"

                      ไอลีนได้ยินคำตัดสิน เธอแสดงกริยาหยาบคายและผรุสวาทออกมาว่า

                      "แม่ง"

                      วอร์นอส วัย 46 ปี เป็นผู้หญิงคนที่สิบของสหรัฐอเมริกาและคนที่สองในรัฐฟลอริดาที่ถูกประหารชีวิตนับจากกฎหมายลงโทษประหารขึ้นมาใช้ใหม่ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา

                      เรื่องราวของเธอถูกนำไปสร้างภาพยนตร์สองครั้ง ล่าสุดคือเรื่อง เดอะ มอนสเตอร์ เป็นหนังสือสองสามเล่ม นำไปแสดงเป็นละครโอเปร่าเรื่อง "วอร์นอส"  และนำไปสร้างภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับตัวเธออีก กำกับโดย นิค บรูม ในปี 1993

                      แต่มีเหตุการณ์เล็ก ๆ ก่อนจะประหารคือวอร์นอสได้รับอนุมัติเลือกวิธีประหารชีวิตโดยการฉีดยาแทนเก้าอี้ไฟฟ้าแทน

                      ในวันประหาร ไอลีนตะโกณเป็นครั้งสุดท้าย แก่โลกนี้ว่า

                      "ขอบคุณ ข้าจะขึ้นสวรรค์แล้ว ขอให้พวกแกทั้งหลายลงนรก"

                      ไอลีนจบชีวิตลงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2002 เวลา 9.45 .

                                                     

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×