คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : เหตุผลที่ทำให้เรารักกัน ตอนที่ 3
เหตุผลที่ทำให้เรารักกัน ตอนที่ 3
ตำราเรียนเล่มหนา 4-5 เล่ม วางเรียงอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือที่ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบโคมไฟอันเล็กที่ตั้งไม่ห่างจากกองหนังสือมากนักถูกเปิดทิ้งไว้ในขณะที่คนใช้กำลังฟุบหลับคาหนังสือที่กางอยู่ ! ใบหน้าแม้ยามหลับก็ยังดูคมเข้ม(เข้ม...เข้ม...เข้มปี๋เลย อิอิ)จะไม่แปลกใจเลยที่โนจะมีเชื้อสายของคนใต้อยู่
มุมปากที่กระตุกยิ้มน้อยๆอย่างเป็นระยะๆบ่งบอกว่าขณะนี้ฉันกำลังอยู่ในความฝัน และแน่นอนว่าต้องเป็นฝันอันดีเสียด้วย
“ เตะเข้าไป เจอราส นั่น ! ต้องอย่างนั้น เย้!!!!! เข้าประตูแล้ว เย้ๆ !!!”
เสียงพึมพำเบาๆนั้นทำให้รู้ได้ว่าฉันกำลังละเมอและฝันว่ากำลังเชียร์บอลอยู่ !! รู้สึกขัดๆอะไรกันบ้างไหมคะ ท่านผู้อ่าน
ตำราเรียนกองโตที่อยู่บนโต๊ะ
ฉันหลับคากองหนังสือเรียน
ฉันกำลังฝันว่าเชียร์บอลอยู่
ฉันเป็นผู้หญิง !!!
นึกอะไรออกบ้างหรือยังกับสิ่งที่ผู้แต่งกำลังสื่อ อย่าเสียเวลาคิดเลย เพราะผู้แต่งเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกว่าตัวเองกำลังสื่ออะไรออกไป ( อ้าว เวรกรรม แล้วหลอกให้คนอ่านไปซะอย่างนั้นอ่ะนะ )
กริ้งงงงงงงงงงงงงงงงงง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าคมที่นอนทับหนังสือเรียนค่อยๆเงยขึ้น โดยมีน้ำลายเหนียวๆยืดตามขึ้นมาเป็นสายคล้ายสปาเกตตี้ (เลิกกินทันที!)
ซู๊ดดดดดดดดดดดด ....... ฉันค่อยๆสูดเอาน้ำลายที่ยืดย้อยออกจากมุมปากกลับเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าจะเอาเก็บไปทำไมเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ฉันคิดว่าฉันคงได้ใช้มันอีกหน โฮะๆๆๆ ( อุ-บาทว์ แล้วไง) คิดแล้วสุดจะทน
“ เที่ยงคืน ” เสียงงึมงำของฉันยังบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากค่อยๆขยับเปลือกตาให้เปิดมาดูเวลาก่อนจะค่อยๆขยับตัวบิดขี้เกียจ
“ กัดฟันทนอีกนิดเดียว พรุ่งนี้ยังต้องสอนอีตาบ้านั่นอีก ขืนไม่เตรียมตัวอะไรไป มีหวังอีตาบ้านั่นหัวเราะเยาะเอาแน่ๆเลย ” เป็นการให้เหตุผลกับตัวเองได้ดีเยี่ยมสำหรับฉันในค่ำคืนนี้ เพราะหลังจากที่ฉันให้กำลังใจตัวเองเสร็จ ไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ รวมถึงไฟในห้องนอนก็ดับหมด แล้วความเงียบก็กลับมาเยือนห้องนี้อีกครั้ง ก็แล้วจะพูดให้กำลังใจตัวเองและตั้งนาฬิกาปลุกไปทำเพื่อ ?
“ ไงติก๊ะ วันนี้จะมาสอนอะไรให้เรา ? ”
น้ำเสียงหล่อเหลาเข้ากับหน้าตาของนายอ๊อฟนำมาก่อน แล้วฉันก็ตอบไปอย่างไว้เชิงด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ ไม่เห็นต้องเตรียมอะไรเลย เก่งอยู่แล้ว ”
“ งั้นก็ดี สอนเลยแล้วกัน ”
“ นายไม่เข้าใจตรงไหนบ้างล่ะ ?”
“ ก็... ทั้งหมดเลยนั่นล่ะ ”
“ ทั้งหมด ! ” ฉันถามกลับด้วยน้ำเสียงตกใจสุดขีด สายตาที่มองไปยังนายนั่นไม่มีเค้าความสวยหลงเหลือแม้แต่น้อย มีแต่แววไม่เชื่อ แถมดูถูกเหยียดหยามอีกต่างหาก แต่นายนั่นหาสะทกสะท้านไม่ กลับตีหน้าทะเล้นอวดฟันเหลืองๆให้ฉันแทน แถมยังตอบรับหน้าตาเฉยอีกด้วย
“ ใช่ ทั้งหมดเลย เอาน่าอย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ทุกนาทีมีค่า เราเองก็อยากตักตวงความรู้เอาไว้มากๆ ”
“ นี่นาย จะตักตวงความรู้เอาตอนนี้มันไม่ผิดเวลาไปหน่อยเหรอยะ เวลาเรียนทำไมไม่ตักตวงเข้าไป มาตักตวงเอาตอนนี้มันจะได้อะไรห๊ะ ”
“ ก็...ตอนเรียนมันไม่มีความสุขแบบนี้นี่ ” น้ำเสียงที่ดูเหมือนบ่นเบาๆ จนฉันฟังไม่ถนัดทำให้ฉันต้องถามกลับไปอีกหน
“ หา... ว่าอะไรนะ ?”
“ เปล่า สอนเถอะ ” แล้วเขาก็ตัดบทไป เอาเถอะ ถือว่าหูฉันไม่ดีเองละกัน ถึงไม่ได้ยิน ( ขืนได้ยินเร็ว เรื่องก็จบเร็วสิ ยังไม่ทันแจ้งเกิดเลย จะน้อยหน้าเจ้ากิ๊กได้ไง ไม่ยอมๆ )
แล้วปฏิบัติการสอนคนให้เป็นควาย เอ้ย! สอนควายให้เป็นคน สอนไอ้หน้ามลให้ฉลาดก็เริ่มขึ้นอย่างดุเดือด ไม้หน้าสามที่ฉันพกมาจากบ้านถูกเคาะลงไปบนหัวนายอ๊อฟไปหลายทีแล้ว จนตอนนี้ฉันเริ่มสงสารหัวที่ปูดโนด้วยฝีมือของฉันซะแล้ว
“ พรุ่งนี้นายเอาหมวกกันน๊อคมาด้วยนะ ” ฉันเอ่ยขึ้นลอยๆ ทำให้นายหน้าหล่อหันมาทำหน้างง ๆ และโง่ๆใส่
“ เอามาทำไม ?”
“ อ้าว ก็เอามาใส่เวลาฉันเอาไม้หน้าสามอันนี้เคาะหัวนายไง ! ” ฉันเห็นเขาทำตาโตแล้วก็นึกขำ แต่ก็ยังเก็กหน้าขรึมเอาไว้
“ ยัยโหด...” เสียงบ่นเบาๆทำให้ฉันต้องหันไปถามอย่างระแวง
“ อะไรยะ บ่นอะไร ”
“ เปล่าๆ ไม่ได้บ่นอะไรซะหน่อย หาเรื่องนะเธอเนี่ย ”
แล้วฉันก็สอนเขาอย่างดุเดือดต่อไปท่ามกลางสายตาที่ไม่เป็นมิตรจากคนรอบข้างโดยที่ฉันไม่รู้เลย ( ดีที่คนแต่งบอก เลยได้รู้ )
ได้เวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันเริ่มหันไปเก็บหนังสือลงกระเป๋า ในขณะที่นายอ๊อฟกำลังนั่งหน้ามุ่ยคิดแก้โจทย์คณิตที่ฉันบอกให้เขาทำเมื่อครู่ ฉันเห็นเขาเขียนอะไรบางอย่างขยุกขยิกอยู่ในกระดาษทดเลข ซึ่งเข้าใจว่านายนั่นกำลังทดเลขความอยากรู้อยากเห็นก็เลยหมดลง หนังสือสารคดีถูกนำมาแทนที่หนังสือเรียนที่เพิ่งถูกเก็บลงกระเป๋า ฉันพลิกหน้าหนังสือไปมาเพื่อรอเวลาให้นายนั่นแก้โจทย์เสร็จซะที แต่...นี่ก็ปาเข้าไปเกือบ 10 นาทีแล้ว แต่วี่แววว่านายคนที่เหมือนจะฉลาดแต่กลับโง่บรมนั้นจะตอบก็ยังไม่มีซะที
“ มันยากขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้โจทย์ข้อนี้น่ะ เลิกเรียนแล้วด้วยฉันจะกลับบ้าน ”
“ เดี๋ยวสิ ยังคิดไม่ออกเลย รอเดี๋ยวได้มั้ยล่ะ ?”
“ เร็วๆละกัน บ้านฉันอยู่ไกล ” ฉันพูดย้ำให้เขารู้ว่าฉันไม่มีเวลามากพอที่จะรอเขา แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่ใส่ใจในคำพูดนั้นสักเท่าไหร่ ฉันจึงทำได้ก็แต่นั่งรอ รอ และรอ จนในที่สุด
“ เดี๋ยวฉันมานะ ไปห้องน้ำแป๊บ ”
ระหว่างทางที่ฉันเดินไปห้องน้ำนั้นผ่านสนามวอลเลย์บอลที่มีบรรดาเด็กผู้หญิงรวมถึงพวกกระเทียมกำลังเล่นส่งเสียงกันอย่างสนุกสนาน ฉันหยุดยืนมองพวกเขาเล่นกันด้วยความรู้สึกแปลกๆ อยากจะเล่นกับพวกเขาด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ค่อยจะต้อนรับสักเท่าไหร่ ก็ทำได้แต่ยืนมองดูเขาเล่นกันด้วยความรู้สึกเหงาๆ
ฉันหยุดยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินไปห้องน้ำต่อ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าป่านนี้นายอ๊อฟคงแก้โจทย์ข้อนั้นเสร็จแล้ว และคงกำลังรอฉันให้ไปเฉลย
ป๊าบ!!!!!!!!!!!
เสียงที่ดังจนเกือบทำให้แก้วหูฉันทะลุทำให้ฉันหน้ามืดจนแทบล้มคะมำคว่ำลงไปกองอยู่กับพื้น ความรู้สึกปวดหนุบที่หัว และขมับด้านขวาจากแรงปะทะอันรุนแรงที่มาพร้อมกับเสียงดังสนั่นนั้นทำให้ฉันเริ่มมึนจนรู้สึกได้ว่าโลกกำลังหมุน และตัวเองกำลังจะพยุงตัวเองไม่ไหว มือไม้เริ่มอ่อนแรงสายตาเริ่มพร่าลงจนต้องรีบหลับตาทันที
มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน !
ฉันตั้งคำถามกับตัวเองในขณะที่สติก็ยังเลอะเลือนจากเสียงและแรงปะทะเมื่อครู่ ความปวด และความเจ็บจี๊ดที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในหัวของฉันทำให้เรี่ยวแรงหดหายจนเดินไปไหนไม่ได้เลยในตอนนี้ แม้ประสาทและความรู้สึกบางส่วนยังมีปัญหา แต่ฉันก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากทางสนามวอลเลย์
เป็นเสียงที่ฉันไม่อยากได้ยิน และเป็นภาพที่ฉันไม่อยากเห็นเลยในชีวิต เพราะภาพและเสียงเหล่านั้นมันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวตลกหรืออะไรสักอย่างให้ผู้คนเยาะเย้ย คนเหล่านั้นต่างมองมาทางฉันพร้อมๆกับส่งเสียงหัวเราะเยาะสะใจที่เห็นฉันอยู่ในสภาพนี้ ในขณะที่ฉันเริ่มเข้าใจอะไรรางๆ ยัยกระเทียมหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งก็เดินนวยนาดเข้ามาหาฉัน
“ เจ็บมั้ยจ๊ะ แม่คนซวย ” น้ำเสียงเยาะเย้ยนั้นทำให้ฉันเริ่มมีอารมณ์ แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ยัยกระเทียมเน่าคนเดิมก็พูดต่อ
“ นี่แค่เตือนเบาะๆนะจ๊ะ คราวหน้าจะไม่แค่เตือนแล้ว แต่จะเอาจริงเลย ไม่เชื่อก็คอยดู ” ว่าแล้วยัยนั้นก็เอื้อมมือไปหยิบลูกวอลเลย์ที่กลิ้งตกอยู่ข้างๆตัวขึ้นมาแล้วลุกขึ้นยืนหันหลังกำลังจะเดินจากฉันไป ในขณะนั้นฉันเองก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พอรู้ตัวอีกทีฝ่าเท้าอันเพรียวสวยของฉันก็ยันก้นอันงามงอนของยัยนั่นจนกระเด็นล้มโครมไปแล้ว
ฉันคงไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรให้มากความ และคงไม่ปล่อยให้โอกาสอันมีค่าหลุดลอยไป เมื่อทันทีที่ฉันลุกขึ้นยืนได้ ฉันรีบปรี่เข้าไปกระชากเสื้อยัยกระเทยเน่าคนนั้นขึ้นมาพร้อมกับประทับเรียวนิ้วอันเรียวบางลงไปบนใบหน้าอันแสนจะดูไม่ได้ของเจ้าหล่อนทันทีอย่างไม่รอช้า เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังเพี้ยะสนั่นไปสองถึงสามครั้ง ก่อนที่จะมีเสียงร้องอันโหยหวนเหมือนผีขอส่วนบุญของยัยบ้านี้ดังขึ้น น้อยครั้งนักที่จะมีคนเห็นฉันในบทคนบ้าที่หน้ามืดทั้งทุบ ตี ตบ ต่อย และกระทืบซ้ำย้ำความแค้นแบบนี้ ตอนนี้ฉันไม่คิดอะไรอีกแล้ว ความโมโหและความเจ็บใจมันทำให้ฉันสติแตก แปลงร่างเป็นนางเอกหนังบู้ ชนิดบู้แหลก แต่ทว่านางอิจฉาไม่ยอมให้ฉันบู้อยู่คนเดียว เมื่อบรรดาเพื่อนๆของยัยกระเทียมเน่าที่มีหน้าตาเป็นอาวุธไม่แตกต่างจากเพื่อนของพวกหล่อนต่างวิ่งกันเข้ามาหาฉันอย่างพร้อมเพรียงกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
เสียงกรี๊ดกร๊าด วี๊ดว้าย ของบรรดาผู้ไม่เกี่ยวข้องดังเข้ามาในโสตประสาทของฉันอย่างไม่ขาดสาย เช่นเดียวกับเสียงเสื้อผ้าที่ถูกกระชากจนฉีกกระจาย เสียงเนื้อกระทบเนื้อดังรัวไม่เป็นจังหวะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าของใครเป็นของใคร แต่ที่แน่ๆเนื้อหนังของฉันมันเจ็บจนชาไร้ความรู้สึกไปแล้ว ถึงแม้ว่าในตอนนี้ฉันจะตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเพราะโดนรุม แต่ฉันก็สู้ยิบตาเหมือนแมวน้อยจนตรอก (เปรียบซะ!) มือไม้ แขนขาทั้งเตะ ข่วน ต่อย ศอก งัดทุกท่าของแม้ไม้มวยไทยมาใช้ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของบรรดานักเรียนมุง !
ไม่รู้ว่าเวลาในการต่อสู้ของยกนี้มันนานเท่าไหร่ แต่ที่ฉันรู้ตอนนี้คือฉันเริ่มที่จะหมดแรงยืนเสียแล้ว มือไม้เมื่อครู่ค่อยๆหมดกำลังลงอย่างช่วยไม่ได้ ร่างของฉันจึงเริ่มสะบักสะบอมมากขึ้น ขาเริ่มทรงตัวไม่ไหว แต่...ไม่...ฉันไม่ยอมที่จะล้มง่ายๆหรอก !!!
“ หยุดนะ ! ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเหมือนสัญญาณระฆังพักยก มันเป็นเสียงที่คุ้นหู ไม่ใช่เสียงของอาจารย์ ภารโรง หรือบรรดาแม่ค้าหน้าไหนทั้งสิ้น แต่มันคือเสียงของคนที่ฉันคิดว่า เขาคือพระเอกขี่ม้าขาวของฉัน !
“ มันอะไรกัน เล่นรุมเหมือนหมาหมู่อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน ไม่อายคนอื่นบ้างรึไงห๊ะ !” เสียงนั้นตะหวาดลั่น ในขณะที่ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะล้มลง แต่ลำแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งตวัดโอบประคองเอวฉันไว้ให้ทรงตัวยืนหยัดอยู่ต่อหน้าคนเหล่านั้น ซึ่งก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากนายอ๊อฟ พระเอกขี่ม้าขาวของฉัน
“ พวกเธอทำบ้าอะไรกัน ไม่กลัวโดนขึ้นฝ่ายปกครองกันบ้างรึไง ”
“ อ๊อฟ แล้วนายมายุ่งอะไรด้วย นี่มันเรื่องของผู้หญิงนะ ”
“ จะไม่ให้ยุ่งได้ยังไง ก็เห็นๆกันอยู่ว่าพวกเธอกำลังเล่นหมาหมู่อย่างนี้ มันไม่ยุติธรรมเลยนี่ ถ้าตัวต่อตัวละ เราจะไม่มายุ่งด้วยเลย ”
“ ก็ยัยนี่มันมาถีบเพื่อนฉันก่อนนะ ” เสียงแหลมๆของเพื่อนยัยกระเทียมเน่ากำลังแก้ตัวให้เพื่อนอย่างหน้าไม่อาย ซึ่งแม้ตัวฉันเองอยากจะเถียงเหลือเกินว่าใครกันแน่ที่หาเรื่องก่อน แต่ปากก็ดันไม่มีแรงแม้แต่จะขยับอ้า นายอ๊อฟหันมามองฉันแวบหนึ่งก่อนจะหันไปมองอีกฝ่ายนิ่งเหมือนเดิม
“ ถ้าไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงฝ่ายปกครองละก็ ” น้ำเสียงห้วนและเด็ดขาดของเขาทำให้อีกฝ่ายต้องเงียบลง
“ กลับไปซะ !” น้ำเสียงเฉียบขาดนั้นเหมือนคำสั่งประกาศิต เหล่ายัยตัวร้ายที่เหมือนหมาหมู่เมื่อครู่ค่อยๆพากันเดินจากไป เช่นเดียวกับบรรดานักเรียนมุงที่เริ่มสลายตัวหลังจากดูหนังบู้จบ
นายอ๊อฟค่อยๆพาร่างอันสะบักสะบอมเหมือนคนโดนซ้อมของฉัน( ไม่ใช่แค่เหมือนละมั้งงานนี้ แต่มันใช่เลยล่ะ)ไปยังที่นั่งเดิมของพวกเรา ในช่วงเวลาที่เดินมาด้วยกันนั้นทั้งฉันและเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเลย จนกระทั่งมาถึงที่นั่งนั่นล่ะ พวกเราถึงนึกบทสนทนาขึ้นมาได้
“ เป็นไง เจ็บมากมั้ย ? ” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือความห่วงใยของเขาทำให้เขื่อนน้ำตาฉันแตกครื่นทันที ความเข้มแข็งที่มีเมื่อครู่มันหายไปและถูกแทนที่ด้วยความอ่อนแอทันที ไม่ได้ตั้งใจจะเล่นบทนางเอกเจ้าน้ำตาหรอกนะ แต่น้ำตามันออกมาเองอย่างช่วยไม่ได้
“ เฮ้ยๆ ติก๊ะ อย่าร้องไห้สิ หง่า...เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอร้องไห้ ” น้ำเสียงรนรานของเขายิ่งทำให้ฉันร้องไห้หนักกว่าเก่า ฉันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครด้วยความเจ็บใจและเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น นายอ๊อฟคงจะกำลังอึ้งและตกใจที่เห็นฉันในบทเด็กขี้แย จึงได้แต่นั่งเฉยๆโดยไม่พูดอะไรออกมา ปล่อยให้ฉันนั่งร้องไห้เหมือนคนบ้าอยู่คนเดียวอย่างนั้น
เวลาผ่านไปคงจะนานมาก เพราะเมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมองโลกอีกทีฉันก็พบว่าตอนนี้แสงอาทิตย์มันอ่อนแสงลงรำไร และเมื่อฉันหันไปมองอีกทางก็พบแผ่นหลังกว้างของนายอ๊อฟ ความรู้สึกอบอุ่นมันฉายวาบเข้ามาในความรู้สึกของฉัน ความรู้สึกซึ้งใจที่เขาอยู่เป็นเพื่อนฉันในตอนนี้มันทำให้ฉันพูดคำที่น้อยคนนักจะได้ยิน
“ ขอบใจนายมากนะ ที่อยู่เป็นเพื่อนฉัน ”
“ อือ ” เสียงนายนั้นตอบรับมาสั้นๆ ในขณะที่ตัวเขาเองก็ยังไม่ยอมหันหน้ากลับมาหาฉัน
“ เป็นอะไรไป ทำไมไม่หันมาล่ะ ?”
“
”
“ รังเกียจฉันเหรอ ที่ฉันโดนรุมจนมีสภาพไม่ต่างจากลูกหมาแบบนี้”
“ เปล่า ”
“ เปล่าแล้วทำไมไม่หันมาคุยกับฉัน !” ฉันเริ่มพูดเสียงดังด้วยอารมณ์โมโห และนึกน้อยใจที่เขาไม่ยอมหันมามองฉัน แต่เขาดันตอบกลับมาว่า
“ ก็เธอยังร้องไห้อยู่นี่ ” คำนี้ทำให้ฉันเงียบลงอย่างไม่เข้าใจ ความสงสัยทำให้ต้องเอ่ยปากถามในเวลาต่อมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย
“ ฉันร้องไห้แล้วเกี่ยวอะไรกับที่นายหันหลังให้ฉันแบบนี้ ?”
“ เราไม่อยากเห็นเธอร้องไห้นี่ เราทำอะไรไม่ถูก เรา...เรา...เราแพ้น้ำตาผู้หญิง ! ” คำตอบตะกุกตะกักเหมือนเจ้าตัวกำลังอายทำให้ฉันเริ่มเข้าใจและอมยิ้มขึ้นมาทันที ความรู้สึกหลากหลายมันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมามาก แล้วเราสองคนต่างก็เงียบลงโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก ฉันนั่งมองแผ่นหลังของเขาอยู่เงียบๆ
แผ่นหลังที่กว้างนั้นมันดูเหมือนจะอบอุ่นหากได้เข้าไปกอด ...
นึกมาถึงตรงนี้ก็ทำให้ตัวเองสะดุ้ง เพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองกำลังคิดลึก ลามก และไร้สาระ จนต้องสะบัดศีรษะแรงๆเพื่อขับไล่ความคิดบ้าๆออกไป แต่ใบหน้าก็ยังไม่วายที่จะแดงขึ้นมาอีก ทำให้ฉันต้องแก้เขินด้วยการหยิบไม้หน้าสามขึ้นมาอีกครั้ง!
“ โอ้ย !” นายอ๊อฟร้องเสียงหลงดังลั่นทันทีที่ฉันเคาะไม้หน้าสามไปที่หัวของเขา พร้อมกับเอามือขึ้นมากุมหัวหันมามองฉันด้วยแววตากึ่งสงสัย กึ่งตกใจ และกึ่งอาฆาตแค้น ฉันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเก๊กเสียงห้วนเข้มตามแบบฉบับเดิม
“ นายแก้โจทย์เลขข้อนั้นเสร็จรึยัง ไหนเอามาดูซิ !”
“ อะไรเธอนี่ ผีออกแล้วรึไง เมื่อกี้ยังเห็นนั่งร้องไห้เหมือนคนบ้าอยู่ดีๆ มาตอนนี้ดันมาโหด เต็มรึเปล่าเนี่ย ?” เขาโวยวายใส่ ซึ่งฉันก็ได้แต่ถลึงตามองข่มขู่ ก่อนจะขยับไม้หน้าสามในมือให้เขาเห็นอีกครั้ง
“ โอเค โอเค เอ้า..ดูซะ ถูกหรือเปล่าไม่รู้ ! ” เขายืนสมุดให้ฉันตรวจ ซึ่งฉันก็ก้มหน้าก้มตาจับผิดอย่างเอาจริงเอาจัง โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองกำลังโดนจ้องมองจากคนที่เพิ่งโดนตีกบาลไปเมื่อครู่
“ ให้เราไปส่งที่บ้านนะ ” จู่ๆนายนั่นก็พูดขึ้นมา ทำให้ฉันต้องเงยขึ้นไปมองอย่างแปลกใจ
“ ทำไมต้องไปส่งฉันด้วย ฉันกลับเองได้ ”
“ สภาพยังกับไปฟัดกับสุนัขจรจัดอย่างนี้เนี่ยนะ จะกลับเอง เดี๋ยวพ่อกับแม่เธอก็ได้เข้าใจผิดหรอกว่าเธอไปฟัดกับไอ้ด่างมาจริงๆ ” ดู..ดู... ปากนายนี่มันหน้าเอาไม้หน้าสามเลาะฟันออกมาดีนัก อ้าปากพูดขึ้นมาแต่ละทีเหมือนปล่อยสุนัขที่อยู่ในปากออกมาเดินเล่นข้างนอกทุกครั้งไปสิน่า
“ ขอบใจนะ ฉันรู้ว่านายเป็นห่วง แต่ช่วยกรุณาพูดให้มันน่าซึ้งใจกว่านี้หน่อยได้มั้ย ?”
“ แล้วตกลงว่าไง จะให้เราไปส่งมั้ย ? ” เขาถามขึ้นอีกครั้งทำให้ฉันต้องนิ่งใช้ความคิดตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปฏิเสธออกไปอย่างไว้เชิง ทั้งที่ก็เสียดายอยู่เหมือนกันที่นานๆทีจะได้เดินคู่กับหนุ่มหล่อ
“ น่านะ กลับกับเรารับรองว่าปลอดภัย ”
“ ฉันเชื่อ เพราะสุนัขในปากนายเป็นตัวรับประกันคุณภาพเป็นอย่างดี ! ”
“ งั้นแสดงว่าจะให้เราไปส่ง ?”
“ ไม่ !”
“ อ้าว ? เอาไงแน่...ตกลงจะให้ไปหรือไม่ให้ไป ? ” ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ แล้วยืนสมุดคืนให้กับเขา ก่อนที่ตัวเองจะลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินออกมา
“ กลับล่ะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ เตรียมอ่านหนังสือมาก่อนล่วงหน้าด้วยล่ะ ” ฉันสั่งทิ้งท้ายก่อนจะหันหลังเดินจากมา แต่ไม่ทันที่จะก้าวไปได้ไกลจากที่นั่งเท่าไหร่เลย แขนเพรียวของฉันก็โดนกระชากกลับทันที
ร่างที่บางเกือบจะปลิวลมของฉันประกอบกับความสะบักสะบอมจากศึกหนักจนไม่มีแรงนั้นเซถลาเข้าประทะกับแผงอกของคนกระชากทันที จังหวะเดียวกับที่เขาเองก็ตกใจคิดว่าฉันจะล้มจึงเอื้อมแขนมารับฉันเอาไว้ ในตอนนี้เองที่ตัวฉันอยู่ภายใต้อ้อมแขนของเขาทั้งตัว
แรงลมที่พัดวูบไหวอยู่ไม่ขาดสายประกอบเป็นบรรยากาศอันน่าอิจฉาให้กับคู่พระนางที่ในขณะนื้กำลังประคองตระกองกอดกันภายใต้เงาแสงของอาทิตย์ที่เริ่มจะลับฟ้ารำไร ความโรแมนติคที่หลายคนอิจฉา และฉันเคยเฝ้าถวิลหานั้นมันช่างทำให้ฉันมีความสุขมาก มากเสียจนไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป !!!
Bloodrose
ความคิดเห็น