พลิกตำนานราชันย์แห่งยักษ์ ภาค ราชาโลกบาดาล
เรื่องนี้จะนำตัวร้ายตัวเอ่อย่างทศกัณฐ์มาเป็นตัวเอกโดยมีบทบาทในการทำศึกกับเหลายักษ์ที่กำลังคืนชีพจากนรกเพื่อมาแก้แค้นผู้เขียนใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งในการทำวรรณคดีไทยมาเป็นต้นแบบสร้างนิยายแบบโมเดิร์น
ผู้เข้าชมรวม
215
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Revert Ramayana: King of Underwater
พลิกตำนานราชันย์แห่งยักษ์ ภาค ราชาโลกบาดาล
ตอน ผมโดนอีกาไล่ล่า
ก่อนอื่นผมไม่ค่อยมีเวลาอธิบายอะไรนักเนื่องจากชีวิตผทตอนนี้เดิมพันกับสองขาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดว่าจะวิ่งไปได้ถึงไหนอาจจะฟังดูแปลกๆ ไปซักนิดที่ตัวเอกเปิดตัวด้วยการวิ่งหนีสัตว์ประหลาดแต่ผมคงต้องทำอย่างนั้นเสียแล้ว อ๋อ.. ต้องขออภัยจริงๆ ผมคงต้องอดทนเล่าตั้งแต่เริ่มสินะ
ก่อนอื่นผมเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักรามเกีรยต์ใช่ไหม… มันอยู่ในบทเรียนนี่นะ เรื่องที่พระรามออกเดินทางเพื่อปราบยักษ์อะไรประมาณนั้น ผมกำลังจะบอกว่านั้นเป็นเรื่องจริงแต่ที่คุณไม่พบยักษ์มาจนปัจจุบันนั้นมี 2 เหตุผลด้วยกันคือ 1. เพราะตอนนั้นเป็นยุคเริ่มต้นของจักรวาลทำให้โลกต่างๆ ทั้งของเทพ อมนุษย์และมนุษย์อยู่ใกล้กันจนไปมาหาสู่กันได้ 2. เพราะพระรามหรือพระนารายอวาตารนั้นจัดการกับยักษ์ทุกเหล่าทุกตนหมดแล้ว ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นจักรวาล
แน่นอนว่าสี่ชั่วโมงก่อนผมยังไม่รู้เรื่องนี้หรอก ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นเมื่อเช้าผมยังเป็นแค่นักศึกษาแต่ไม่ใช่นักศึกษาธรรมดาหรอกนะ ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่มีชื่อว่า Oztech เป็นบริษัทผลิตเครื่องมือเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันรวมไปจนถึงค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น หุ่นยนต์สาวใช้ในบ้าน หรือบ้านอัจฉริยะที่สามารถบริการคุณด้วยซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ที่ล้ำยุคที่สุด
ผมขึ้นบริหารบริษัทนี้ตามคำสั่งของพ่อที่เป็นผู้บริหารรุ่นก่อนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้วในขณะที่กำลังเรียนบริหารธุรกิจและกำลังจะเรียนจบในอีกหนึ่งปีข้างหน้า(ถ้าวันนี้ผมไม่ตายซะก่อน)
“ไง… พี่ชาย” อ๋อ… ผมมีน้องชายจอมแสบอีกหนึ่งคนชื่อได
“อืม แปลกนะที่แกมาเช้าได้ขนาดนี้” ปรกติไดจะเข้าบริษัทได้ต้องหลังบ่ายไปเท่านั้น
“อ้าววววว ผมเป็นวิศวกรนี่ไม่ได้มีงานอะไรก็ไม่เห็นต้องมาเลย” ไดกระโดดขึ้นโซฟาสีแดงกลางห้องแล้วนอนเอกขเนก
“แกเป็นหุ้นส่วนของบริษัทไม่ใช่หรอ… ตอนที่มีประชุมแกก็ไม่อยู่” ผมพูด
“คุณดีเซมคร๊าบ ผมมีสถานะเป็นน้องชายของประธานบริษัทเชียวนะคร๊าบบบบ ก็ต้องมีเล่นตัวบ้างดิ” ขอโทษครับผมลืมบอกไปว่าผมชื่อดีเซมแต่จะว่าไปมว่าไดคงไม่ได้มาทำงานเร็วเพราะนึกอยากจะมาหรอแต่เพราะทำงานที่ผมมอบหมายให้เสร็จแล้วมากกว่า
“ดีเซม” ไดโยนแฟรชไดรฟ์อันเล็กๆมาให้ผม “หมอนั้นโกงเราจริงๆ มีการโยกย้ายเงินแปลกๆ คิดว่าคงตกลงกับผู้รับเหมาไว้ก่อนแล้ว” งานที่ว่าคือการให้ไดเข้าไปสืบเรื่องการช่อโกงภายในบริษัทแน่นอนว่าน้องชายผมเห็นการใช้จ่ายเงินรายการแปลกๆในการก่อสร้างโรงงานใหม่เมื่อครึ่งปีก่อนผมจึงให้ไดเข้าไปสืบหา
ก๊อกๆ เสียงประตูดังขึ้น
“ได นั่งให้เรียบร้อย” ผมสั่งไดตะเกียดตะกายลุกขึ้นนั่งผมจึงสั่ง “เชิญ”
ประตูเปิดออกช้าๆ จากนั้นก็มีผู้หญิงร่างเล็กอีกคนเดินเข้ามาเธอคือ มีน เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมที่เกิดห่างกันไม่ถึงหนึ่งปีดีและมีนเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆของผมตอนนี้ทำงานในบริษัทในฐานะนักวิทยาศาสตร์และผมเชื่อว่ามีนเก่งที่สุดในจำนวนน้องผมทุกคน
“อ้าว… ไดมาทำอะไรเนี้ย” มีนเอ่ยทักทันทีที่เห็นก็รู้ๆกันอยู่น้องชายผมมันเป็นพวกอยู่กับที่ไม่เป็น ไม่ได้แปลว่ามันเป็นพวกไม่เอาอ่าวนะ จริงๆ ก็ถือว่าเก่งแต่ติดรักอิสระมากไปหน่อย
“มีอะไร” ผมถาม
“ฉันไปเรียกนายนัฐมาให้แล้วนะ” มีนผายมือออกทันใดนั้นก็ปรากฏตัวชายที่ชื่อนัฐขึ้นที่ประตูห้อง
“คุณนัฐพงศ์ ใช่ไหมครับ” ผมสบตานายนัฐพงศ์เพียงแวบเดียวก่อนจะเสียบแฟรชไดร์ฟ
“ครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรครับ” นายนัฐพงศ์ทำสายตาลอกแลกเขาคงรู้อยู่แล้วว่าผมเรียกมาเพราะอะไร
“คุณน่าจะรู้อยู่แล้วนะ ก่อนอื่นผมจะให้ไดรายงานเรื่องที่สืบมาได้ก่อน” ไดนั่งเงียบๆ พลางผายมือไปยังเก้าอี่โซฟาฝั่งตรงข้ามเป็นเชิงบอกให้นั่งลง นายนัฐพงศ์กระอักกระอ่วนเดินไปนั่งตามที่ไดบอก
ไดกล่าวเริ่มได้ดีเขาอารัมภบทพอสมควรด้วยการกล่าวถึงโครงการสร้างโรงงานครั้งก่อนแล้วเปิดคำถามเกี่ยวกับค่าวัสดุที่ดูจะเกินมาและไม่ได้ถูกใช้งานจริง แน่นอนว่าคำถามนี้นายนัฐเงียบกริบ จนกระทั่งไดเริ่มรุนแรงขึ้นด้วยการขู่และพยายามให้นายนัฐยอมรับไปในเวลาเดียวกันทว่านายนัฐกลับตั้งตัวได้หลังจากถูกถามเมื่อคำถามก่อนเขาโทษผู้รับเหมาว่าตีราคาเกินจริงและเมื่อเสร็จงานก็เก็บของที่ซื้อมากลับไปทั้งหมด ไดพูดต่อถึงความจริงที่ไดได้ทำการสืบมาพร้อมด้วยหลักฐานอื่นๆ ที่ขอมาจากตำรวจ ตอนแรกนายนัฐดูควบคุมอารมณ์ได้ดีทว่าตอนนี้อับจนด้วยหลักฐานในที่สุดเค้าก็ยอมรับ
“เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณทำไปทำไมครับ” ผมนั่งฟังอยูนานจนกระทั้งรู้สึกว่าคงได้เวลาแล้ว
“พวกคุณไม่เข้าใจหรอก… คนมีเงินแล้วก็เอาแต่ใช้ๆๆ อย่างพวกคุณไม่เข้าใจความลำบากของคนอย่างพวกผมหรอก ทุกๆวันต้องหาเช้ากินค่ำทำงานมา 20 ปียังผ่อนรถยี่ปุ่นคันเดียวไม่หมด มีลูกที่ต้องเรียน อนาคตเงินเก็บก็ไม่มี พวกผมไม่ได้อนาคตสวยหรูอย่างพวกคุณหรอก เกิดมาก็มีพร้อมทุกอย่างอยากได้อะไรก็ได้ มาทำงานแค่เดือนละสองสามวันก็มีเงินซื้อรถสปอร์ต ทำไมล่ะ ทำไมพนักงานกับผู้บริหารถึงต่างกันขนาดนี้! พวกแกเป็นแค่เด็นอายุยังไม่ถึง 20 ดีเลยแท้ๆ ไม่ต้องกัดฟันทนอะไรเลยแล้วทำไมถึงมีทุกอย่าง! ทั้งหน้าที่การงาน ชื่อเสียง ลาภยศ ก็มาจากพวกพ่อแกทั้งนั้น!” นัฐพงศ์ระเบิดอารมณ์ที่เก็บไว้มานานออกมาในที่สุด
“ผมเข้าใจแล้ว” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี่แล้วเดินไปยังโซฟาฝั่งตรงข้าม “คุณคิดว่าเรื่องที่เป็นอยูนี่มันไม่แฟร์ใช้ไหม คุณถึงได้โกงเงินบริษัท” ผมพูดและนัฐพงศ์ก็พยักหน้าตอบ
“งั้นเรามีเรื่องต้องคุยกันหน่อย” ผมว่า “คุณทำงานที่นี่มากี่ปีแล้ว” ผมถาม
“ก็ประมาณ 18 ปีครับ” นัฐพงศ์เริ่มลดความโมโหลง
“คุณรู้ไหมว่ากว่าจะมีวันนี้ครอบครัวผมทำอะไรมาก่อน” นัฐพงศ์ส่ายหน้า “ตระกูลผมกรีดยางพารามา 10 รุ่น แล้วก็ค่อยๆมาผลิตเองขายเอง กว่าจะรวบรวมเงินเปิดโรงงานเล็กๆ เกือบจะเจ๊งตั้งหลายรอบกว่าจะพิสูทธ์ตัวเองกับผู้บริโภคกว่าเขาจะไว้ใจบริษัทเราจนวันนี้ผมเป็นรุ่นที่ 17 บรรพบุรุษก่อนหน้าผมหลายรุ่นบางคนแม้แต่คนในครอบครัวยังไม่รู้จักเลย พวกเขาพยายามยิ่งกว่าพยายามเพื่อให้ลูกหลานมีวันนี้ มีทั้งยุคที่เฟื้องฟูและยุคที่เลวร้าย คุณคิดว่านั้นไม่สมควรจะได้รับสิ่งตอบแทนบ้างหรอ?” ผมพูดทว่านัฐยังนั่งเงียบซึ่งผมรู้ได้ทันทีว่านี่ยังไม่พอใช้โน้มน้าวให้เขาเข้าใจถึงความผิดที่ได้กระทำ
“ที่ผมอยากจะบอกคือนี่เป็นก้าวเล็กๆ ของคุณ วันนี้คุณเป็นผู้จัดการฝ่ายต่อไปลูกคุณเรียนจบก็ฝากเข้ามาทำงานที่นี่ เขาได้เห็นพ่อของเขาทำงานมาตลอดเขาจะตั้งตัวได้เร็วแล้วไต่ขึ้นมาจนถึงระดับเดียวกับคุณแล้วก็จะขึ้นไปถึงระดับผู้บริหารระดับสูงได้แล้วคนในรุ่นต่อไปก็จะเริ่มตั้งบริษัทของตัวเองและอีกสิบรุ่นต่อมาก็จะเป็นอย่างผมแต่ในเมื่อวันนี้คุณโกงเงินบริษัทผมคงต้องให้ลูกคุณกลับไปเริ่มต้นให้ในบริษัทอื่นส่วนคุณ...” ผมโยนซองสีขาวไปตรงหน้า
“คุณ...!” นัฐทำท่าเหมือนมีอะไรติดคอก่อนจะหยิบซองสีขาวแล้วเดินปึงปังออกไป
“ให้ตายสิตัวเองเป็นฝ่ายผิดแท้ๆ ไม่สำนึกเลย” ไดเสริม
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอใช่ไหม ดีเซม” มีนมองผมอย่างรู้ทัน
“อืม… เขาควรจะได้เลือนขั้นแล้วก็คงขึ้นเงินเดือนให้ทุกคนในตึกนี้ได้ถ้าไม่ใช่เพราะเขาโกงเงิน” ผมจ้องไปยังประตูที่นัฐเพิ่งจะออกไปเขาเป็นคนเก่งและคนไทยที่มาถึงจุดนี้ได้ก็น้อยมากไม่มีผู้ประกอบการคนไหนอยากให้เขาออกแน่ๆ แต่ผมคงต้องตัดใจ
“อ๋อ… เรื่องสินค้าชนิดใหม่ มาร์สเรียกประชุมพวกโปรแกรมเมอร์แล้วนะ อยากให้คุณดีเซมไปด้วยกันหน่อย” มีนพูดขณะหันไปใช้สมุดบันทึกการประชุมตีไดเล่น ส่วนมาร์สนี่เป็นน้องคนสุดท้องในกลุ่มเรา คุณคงสังเกตุได้ว่ามาสเป็นน้องของมีน ตอนนี้ทำงานในฐานะอัฉริยะด้านซอฟแวร์ที่ถูกขอร้องให้เข้ามาทำงานเป็นหัวหน้านักวิเคราะห์ซอฟแวร์พิเศษ
“โอเค แล้วได มีน จะเดินไปด้วยกันไหม” ผมถาม
“ไม่เอาดีกว่า ผมว่าจะไปที่โรงงานหน่อย” ไดปฏิเสธก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาแลวตรงดิ่งไปที่ประตู
“ไม่นะ!” มีนพูด ก่อนจะทำท่าทีเหมือนรู้ตัวว่าพูดอะไรแปลกๆออกไปจึงยกมือขึ้นปิดปาก แต่พอผมกับไดหันมามีนก็แสดงท่าทีที่ดูผ่อนคลายจนเกินปรกติออกมา “ก็ๆ คราวที่แล้วเพราะไดเข้าไปมอมเหล้าพวกพนักงานจนหมดเราถึงได้เสียหยไปตั้ง 3 ล้านไม่ใช่หรอ” บอกตรงๆว่าตอนนั้นผมคิดว่ามันฟังดูสมเหตุสมผลนะ
“งั้น ได มานี่เลย” ผมสั่ง
“ผมสัญญาคราวนี้จะจัดแค่มึนๆ นะ” ไดส่งสายตาขอร้อง
“ไม่ได้” ผมพูดเสียงเรียบ “มีนถ้าไดไม่ตามพี่มาโทรอายัดบัตรเดบิตเครดิตของหมดนี่ทั้งหมดให้ทีนะ” ผมเดินออกไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง
ต่อมาผมกับน้องอีกสองคนเดินตามมาพวกเราขึ้นลิพต์ตัวเดียวกันตรงไปยังชั้นใต้ดินซึ่งเป็นห้องทดลองเล็กที่สร้างมาเพื่อนักวิทยาศาสตร์เพียง 4 คนทำการระเบิดนั้นระเบิดนี่ตามใจ ผมยืนอยู่มุมในสุดของลิฟต์มองน้องอีกสองคนไดยืนอยู่มุมซ้ายส่งเสียงชิชะในลำคอประกอบกับสีหน้าไม่พอใจ อีกฝั่งหนึ่งเป็นมีนที่กำลังกอดสมุดในอ้อมแขนแน่นราวกับกังวลอะไรบ้างอย่างอยู่
ทันใดนั้นผมก็รู้สึกเหมือนหัวใจระเบิดออกมาจากอกตัวผมลอยละลิ่วกลางอากาศราวกับถูกบางอย่างกระแทกอย่างแรงผมล้มลงกับพื้นแล้วสติผมก็ค่อยๆ หายไป… ผมมองเห็นนัฐพงศ์เดินหัวเสียเข้าไปในห้องน้ำและล็อกประตูขังตัวเองไว้พายในก่อนจะเปิดน้ำทุกก๊อกที่มีและอารวาททำลายข้าวของในห้องน้ำ ผมยืนมองอยู่แล้วหวังว่าเขาจะรู้ตัวซักทีผมไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงแต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมไม่ต้องการให้คนที่เพิ่งจะโกงบริษัทของผมมาทำลายข้าวของๆ บริษัท เมื่อดูท่าว่าเขาจะหัวเสียจนไม่สนใจแม้แต่จะมองผมแน่ๆ ผมจึงเดินเข้าไปหาหวังเตือนสติ ทว่าพอผมพยายามจะพูดผมกลับไม่มีเสียงขึ้นมาตอนนั้นผมถึงได้รู้ว่าตอนนี้ผมไม่มีร่างกาย!!! ผมหมายความตรงตัวเป๊ะ ตอนนี้ผมมเป็นเพียงลูกไฟที่มีหน้าเท่านั้น
“ไอ้พวกคนรวย!!” นัฐพงศ์ระบายอารมณ์ด้วยการชกกระจกตรงหน้าจนร้าวไปทั้งบาน “พวกมึงมีก็พูดได้สิ ทำเป็นพูดดีนะไอ้เด็กเวร มึงเกิดมาก็ได้เป็นประธานบริษัทแล้วมึงยังมาทำเป็นสั่งสอนกูหรือ!!” นัฐพงศ์ร้องตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด
เขาหันขวับมาทางผมแวบนึงผมนึกว่าเขามองเห็นผมเสียแล้วจึงเผลอหลบไป “มึงรู้หรอ? ว่าความลำบากเป็นยังไง กูสู้แทบตายทุกวันเพื่อผลประโยชน์ของมึงแล้วกูได้อะไร” วินาทีนั้นผมเกือบจะเถียงกลับไป
ทว่าก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อนเป็นเสียงหัวเราะทุ้มต่ำอย่างสะใจราวกับได้ยินมุขตลกที่ตลกที่สุดในชีวิต ต้นเสียงดังมาจากห้องด้านในสุดของห้องน้ำ ผมกับนัฐพงศ์สะดุ้งเฮือกหันไปมองต้อนเสียงพร้อมกัน จากนั้นก็มีชายแก่คนหนึ่งสวมชุดทักซิโด้ท่าทางราคาแพงระยับเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับกางหนังสือพิมพ์ผมจึงมองไม่เห็นหน้าเขาแต่ดูท่าทางไม่เหมือนคนที่ถูกรบกวนจากการทำธุระหนักในห้องน้ำเลย
“คนโบราณไม่ว่าจะมีถิ่นกำเนิดจากที่ไหนก็มีความเชื่อกันว่า… น้ำคือสิ่งที่นำพาดวงวิญญาณไปสู่โลกหลังความตาย เธอมีคนที่อยากคุยด้วยที่โลกนั้นไหม?” ชายแก่คนนั้นถามท้ายประโยคขึ้นเสียงสูง
“แกเป็นใครน่ะ เมื่อกี้ไม่ได้อยู่ในห้องน้ำนี่” นัฐพงศ์ขึ้นเสียง
“ฉันก็อยู่ทุกที่ที่มีน้ำนั้นแหละ แต่นายอาจจะไม่ได้สังเกตุพอดีฉันชอบน้ำลึกๆหน่อย” ตาลุงคนนี้พูดมากจัง
“ประสาท!” นัฐพงศ์สถบ
“ฮ่าๆๆ เจ้าไม่มีคนที่อยากคุยด้วยในโลกนั้นหรอ แต่ข้ามีนะ” ในที่สุดชายแก่ก็พับหนังสือพิมพ์ลงแล้วขยิบตาให้ผมแน่ใจว่าเขาไม่ได้ขยิบตาให้นัฐพงศ์แน่ๆ เพราะเขามองมาทางผม!
“ไม่ชอบเจ้าคนที่ชื่อ ดีเซม หรอ” เขามองนัฐพงศ์ด้วยสายตาเวทนา
“เฮอะ!! เกลียดเลยล่ะอยากจะยิงมันทิ้งจริงๆ” นัฐจ้องตาชายแก่ราวกันยอมให้ชายแก่มองลึกเข้าไปใจจิตใจที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ดีมาก ฉันรอคนแบบเจ้าอยู่พอดี! ฉันจะมอบพลังให้เจ้า” วูบแรกผมคิดว่าเขาล้อเล่นซึ่งผมก็เชื่อว่านัฐเองก็คงไม่ต่างจากผมแต่แล้วรอบๆชายแก่ก็แผ่รังสีม่วงแปลกๆ ออกมาปะปนกับอากาศภายนอกมันชอนไชไปทั่วราวกับหนวดปลาหมึก
นัฐนิ่งไปทันมีเขามองเหม่อราวกับถูกมนต์สะกดเสียแล้ว ทว่าแม้ในสถานการ์ณนี้ผมกลับไม่รู้สึกตกใจและคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก
“เอาหล่ะ นัฐพงศ์ ถ้าเจ้าอยากฆ่าดีเซม เราก็จะมอบพลังนั้นให้! เพียงแต่เจ้าจะต้องพูดตามข้าเข้าใจไหม” วินาทีนั้นผมมองเห็นบางอย่างที่เกินจะอธิบายได้จริงๆ
ชายแก่ตอนนี้กำลังมีเงาของยักษ์ซ่อนทับตัวเขามันกระพริบสลับกับร่างมนุษย์ ร่างของยักษ์ตนนั้นกำยำราวกับนักรบสวมเครื่องประดับสีทองที่แขน ขา คอและหัว ราวกับเป็นราชาหรือเทพที่เคยเห็นในรูปวาดทว่าเขากลับมีหางยืนออกมาและตั้งแต่คอผิวหนังของเขาเป็นเกล็ดของปลาน่าขนลุก
“จงพูดตามข้า” เจ้ายักษ์ย้ำตอนนี้นัฐพงศ์คุกเข่าลงแล้วพยักหน้า
“ข้าขอยอมรับความผิกบาปที่ข้าพเจ้าได้กระทำต่อ ผู้มีพระคุณ ทั้งหลาย” เจ้ายักษ์พูดนำ
“ข… ข้าขอยอมรับความผิดบาปทั้งหมดที่ได้กระทำต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย” นัฐพงศ์พูดอย่างเหม่อลอย
“ข้าขอยอมรับความชั่วร้ายของข้าพเจ้า ทว่า…” เจ้ายักษ์กล่าวต่อ
“ข้าขอยอมรับความชั่วร้ายของข้าพเจ้า ทว่า…” นัฐมองตาเจ้ายักษ์ราวกับรอคอยประโยคต่อไป
“นัฐพงศ์… บัดนี้เจ้าได้สารภาพบาปต่อผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือมนุษย์แล้ว… เจ้าจงเลือกเดินบนเส้นทางใดเส้นทางหนึ่ง เจ้าจะเลือกเดินตามวิถีแห่งมนุษย์ หรือเลือกวิถีคนบาปอย่างยักษ์” เจ้ายักษ์เปล่งแววตาเป็นประกาย
“ทว่า… ข้าพเจ้าของเลือกเดินบนวิถีแห่งคนบาป วิถีแห่งยักษ์” ทันใดนั้นนัฐพงศ์ก็ล้มลง
“ดีมาก! จงพื้นขึ้นมาเป็นทาสข้า! กากนาสูร!” เจ้ายักษ์พูดน้ำในห้องเดินปุดราวกันเพิ่งไหลผ่านนรกมาจากนั้นบางอย่างก็เกิดขึ้นกับนัฐพงศ์ ปีกอีกาสีดำแทงทะลุเสื้อเชิตออกมาผิวกายค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำและเขาก็ลุกขึ้นดวงตาสีขาวขุ่นของเขายิ่งทำให้องค์ประกอบความสยองยกระดับขึ้นหนึ่งล้านเท่า ถ้าไม่นับว่าตอนนี้เขามีปากนกแปลกๆ น่าตลกติดอยู่ที่ปาก แต่ผมคงไม่ขำแน่ๆถ้าปากนั้นมาจิกผมไม่นานร่างกายเขาก็ผอมแห้งอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้
แต่ผมมองไม่เห็นอะไรมากกว่านั้นอีกแล้วเพราะอยู่ๆตัวผมก็รู้สึกกระตุ้กอย่างแรง
ผมรู้สึกตัวลืมตาขึ้น… ผมยังอยู่ในลิฟต์โดยมีไดปั้มหัวใจ ผมไม่แน่ใจว่าไดปั้มหัวใจเป็น ซึ่งถ้าวิญญาณผมไม่ยอมกลับเข้าร่างจริงๆ ไดคงทำให้ร่างกายผมซี่โครงหักก่อนแล้วผมคงได้ตายจริงๆ แน่ ทว่าผมคงไม่ขอบใจอย่างจริงจังไม่ได้
“เห็นไหมๆ ผมทำได้ๆ” ไดกระโดดโลดเต้นดีใจ ขณะที่ผมพยายามยันตัวขึ้น
“แล้วไปเรียนมาจากไหนล่ะ” มีนปรี่เขามาพยุงผมลุกพลางถามได
“เรียนทำไมเล๊า! ผมดูจากในหนังเอา” ไดทาบมือบนอกอย่างภาคภูมิใจ
“ห๊ะ! ถ้าพลาดนิดเดียว ดีเซมอาจจะตายได้เชียวนะได” มีนพูด
“ห๊ะ!” ผมกับไดร้องพลางหันไปมองมีนพร้อมกัน ถ้าเป็นมีนพูดผมคงต้องเชื่อแน่ๆ เพราะในจำนวนพี่น้องสี่คนมีนฉลาดที่สุดในกลุ่มเรา
“แล้วทำไมปล่อยให้ไดมันทำได้!! เธออยากได้ตำแหน่งประธานขนาดนั้นเลยหรอ!” ผมหันไปพูดกับมีน
“จะบ้าหรอ! ก็ฉันทำอะไรไม่ถูกนี่ แล้วไดก็เสนอจะปั้มหัวใจให้” มีนพูด
“เอ่อ… จะว่าไปเมื่อกี้ฉันก็ฝันแปลกๆ แฮะ” ผมพูดตอนแรกผมตั้งใจจะเล่าให้น้องฟังแต่เรื่องก็เกิดซะก่อนพอมาคิดดูตอนนี้ถึงได้รู้ว่าไดเองก็มีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป
“หลบ!” อยู่ๆไดก็ตะโกนขึ้นแล้วถีบผมออกไปชนผนังลิฟต์ด้านขวาก่อนจะพุ่งตัวผลักมีนจนไปติดผนังด้านซ้ายพร้อมกัน
ผมงงและตกใจและเดาว่ามีนก็เหมือนกันแต่ระหว่างที่งงอยู่นั้นเพียงแค่วินาทีเดียวก็มีอะไรบางอย่างกระแทกทะลุประตูลิฟต์เข้ามาเถียดผมไปแค่ฟุตเดียว ฝุ่นคละคลุงไปหมดลิต์หยุดตัวสนิทผมมองไปที่ด้านบนตอนนี้เราอยู่ที่ชั้น 4 ไดวิ่งเข้ามาขนาบข้างผมก่อนจะยกมือปิดปากผมและฉุดกระชากผมไปยังด้านในสุดของลิฟต์ ทุกอย่างเงียบกริบจนกระทั่งฝุ่นจางลงตรงจุดที่ถูกกระแทกกลายเป็นช่วงกลวงโบ๋รูปเท้าคนทำเอาผมหัวใจแทบวาย จะมีพนักงานคนไหนโกรธผมจนลืมตัวถึงขั้นเตะลิฟต์เป็นรูขนาดนี้เลยหรอ!
แต๊บๆ ไดกระทืบเท้าเบาๆ สองครั้งและผมก็เห็นมีนเดินออกมาจากมุมหนึงของลิฟต์มองเข้าไปในช่องกลวงผมจึงนึกขึ้นได้ว่าสมัยก่อนเวลาเล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันสี่คนไดกับมีนมักจะได้เป็นผู้ร้ายและมีวิธีการสื่อสารที่รู้กันเฉพาะ 2 คนและตำรวจซื่อบื่ออย่างผมกับมาร์สก็จะโดนผู้ร้ายยิงตายและแพ้ทุกครั้งไป
ทันใดนั้นก็เห็นเงาวูบไหวจากภายนอกเคลื่อนผ่านไปด้วยความเร็วสูงผมกับมีนหายใจกระตุ้กครั้งหนึ่งด้วยความตกใจทว่าไดกลับนิ่ง จากนั้นผมก็เห็นแสงสีขาวากหางตาไดกำลังโทรศัพท์
แต๊บๆ ไดกระทืบเท้าอีกครั้งข้างๆ ลำตัวมีนกระโดดถอยหลังกลับมาเงียบๆ จนมายืนอยู่ข้างไดแสงสีขาวหายไปผมเดาว่าไดส่งเมซเซจหาใครบางคนและคนๆนั้นน่าจะช่วยเราได้
ไม่ถึงหนึ่งวินาทีหลังจากมีนกลับไปยืนในตำแหน่งข้างๆ ได เท้าเดินก็พุ่งเสียบทะลุประตูมาอีกครั้งแต่คราวนี้ประตูลิฟต์ถึงกับหลุดลงมากอง เราไม่ได้อยู่เฉยๆ ผมเห็นแสงสีเขียวพุ่งเฉียดลูกตาผมไปจากตำแหน่งที่มีนยืนอยู่เสียบใส่เท้าของอีกฝ่าย ไดลากตัวผมออกจากลิฟต์ตามด้วยมีนที่วิ่งตามมา ผมเห็นมีนถือคันธนูสีเขียวมรกตมันเปล่งแสงสีเขียวราวกับแสงของมันจะทำให้พืชเจริญงอกงามบนพื้นพรมราคาแพงของบริษัทเรา มีนพนมมือยกขึ้นพลางว่าคาถาอะไรซักอย่างและศรก็ปรากฏขึ้นคันศรสีทองมีหัวเป็นพญานาค มีนเทียบมันเข้ากับคันศร แล้วง้างคันศรทีทำจากหยกงอจนราวกับเป็นพลาสติก ผมมองตามปลายลูกศรไปและพบเข้ากับอีกายักษ์ที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ผอมแห้งตัวสีดำสนิทมีปีกขนาดใหญ่กางออกมาจากหลังและจงอยปากน่าตลก เจ้านี่คือนัฐพงศ์ไม่ผิดแน่!
มีนปล่อยคันธนูลูกศรก็พุ่งตรงไปด้วยความเร็วราวกับกระสุนปืนเข้าใส่อีกายักษ์ จากนั้นมันก็ค่อยๆกลายเป็นพญานาคตั้งแต่ตัวคันศรจนกลายเป็นพญานาคตัวเป็นๆ ทั้งตัวตรงเข้ารัดอีกายักษ์ ผมมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ชัดนักเนื่องจากตอนนี้โดนไดลากไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง
แม้จะเป็นสถานะการณ์ที่เกิดความเข้าใจของผมแต่ผมรู้ดีว่ามีแต่ต้องตามน้ำไปเท่านั้นเพราะดูจะไม่มีใครว่างพอจะตอบคำถามผมเลย แม้แต่ไอ้คนที่ลากผมอยู่มันยังทำท่างงๆ กับตัวเองเลย
ผมกับไดวิ่งไปจนสุดมุมห้องชั้นสี่เป็นห้องจัดเลี้ยงจึงมีคนเข้ามา ตอนนี้ชั้นสี่จึงกลายเป็นห้องโล่งๆ พวกเราไม่มีที่ให้หลบซ่อนเลยไดยังคงมองมีนสู้จับอีกายักษ์ราวกับไม่มีความลังเลเลยที่จะไม่เข้าไปช่วย ผมไม่แน่ใจว่าเพราะไดคิดว่าไม่จำเป็นต้องช่วยหรือเพราะเข้าไปก็ช่วยไม่ได้มากกว่ากัน แต่ในสถานการณ์นี้ผมของเลือกทางที่พูดน้อยไว้ก่อนดีกว่า
พญานาคจากลูกศรของมีนรัดตัวอีกายักษ์แน่นทว่ามันยังคงพยายามกางปีกบินให้เหนือพื้น พญานาคงัดมาตรการสุดท้ายมาจัดการเหยื่อทันที พญานาคอ้าปากกว้างพ่นพิษสีเขียวน่าขยะแขยงใส่อีกายักษ์มันร้องด้วยความเจ็บปวดเรี่ยวแรงที่เคยมีของเจ้าอีกายักษ์ลดฮวบมันดิ้งลงกระแทกพื้นเสียงดังสนั่น
ผมคิดว่าเราคงชนะแล้วทว่าตัวผมเองคงเป็นคนดวงซวยที่สุดเท่าทีเคยมีมาไม่รู้เพราะอะไรพอผมคิดอย่างหนึ่งมันมักจะกลายเป็นอีกอย่างหนึ่งเสมอ
เจ้าอีกายักษ์เริ่มร่ายมนต์บ้าง มันเสกหอกออกมาแล้วทิ่มแทงลงบนตัวพญานาค พญานาคดิ้งพลาดพลางร้องด้วยความเจ็บปวดทรมาณแล้วสลายไปต่อหน้าต่อตาพวกเรา
“ด… ดี… เซม” เจ้าอีกายักษ์พูดอย่างยากลำบากคงใกล้จะลืมชื่อผมเต็มที “ฉัน…จะกิน… พวกแกทุกคน!” อีกายักษ์ผงาดตัวขึ้นแล้วสลัดพิษพญานาคทิ้งไป ทว่ามันยังคงเซเพราะผลของพิษอยู่มันรวบรวมพลังทั้งหมดพุ่งเข้ามาหาผมกับำดที่ยืนอยู่ด้วยกัน มีนตั้งตัวไปทันจึงไม่ได้เสกลูกศรขึ้นมาอีก
ในวินาทีแห่งความสิ้นหวังนั้นเอง ห่าฝนลูกศรก็พุ่งลงมาจากด้านบนเพดานพร้อมเสียงหน้าต่างแตก อีกายักษ์โดนลูกศรปักไป 2-3 ดอกเหมือนกันทว่าส่วนใหญ่กลับหลบได้เฉียดฉิว
“ไง! พี่ชาย พี่สาว” เสียงทะเล้นดังขึ้นและรู้ได้ทันทีว่าแฝดของไดมาแล้ว! นั้นก็คือมาร์สนั้นเองหมอนี่เหมือนจะพุ่งเข้ามาทางหน้าต่าง
และแล้วเราก็ครบ 4 คนไม่รู้ทำไมเวลาที่เรา 4 คนอยู่ด้วยกันผมถึงรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกราวกับไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเรา สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง
“มาได้ไงเนี้ย มาร์ส” ผมพูดนี่มันชั้นสี่นะ จริงอยู่ที่ผมพูดว่าระหว่างที่พวกเรารวมตัวกันไม่มีเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แต่ก็ต้องมีขอบเขตบ้าง
“โอเค แล้วพี่จะอึ่ง!” เจ้ามาร์สไม่สนใจอีกายักษ์ที่คำรามอยู่ทาบศรรูปร่างแปลกๆ เข้ากับคันธนูลูกศรนั้นมีท้ายเป็นสลิงยาวเชื่อมต่อกต่อกับชุดของมาร์ส เจ้ามาร์สยิงธนูขึ้นไปติดเพดานจากนั้นก็ทาบศรสีดำสนิทไว้ที่คันธนูเจ้าอีกายักษ์พุ่งตัวเข้าหามาร์สทันทีทว่าช้าเกินไป
มาร์สยิงศรมีดำใส่เจ้าอีกายักษ์แล้วกระตุ้กสายสลิงลูกศรสายสลิงส่งเสียงดังฟีดยาวๆ เหมือนมอเตอร์ที่ปั่นด้วยความเร็วสูงสุดร่างของมาร์สลอยขึ้นไปอยู่บนเพดานด้วยความเร็วพอๆกับที่ลูกธนูสีดำปักเข้าที่ปีกของอีกายักษ์วินาทีเดียวกันนั้นเองลูกศรสีดำก็ระเบิดแรงทำลายมหาศาลพัดผมกับไดปลิวไปกระแทกโต๊ะที่ใช้จัดงานเลี้ยงล้มระเนระนาด
“ทำเกินไปแล้วนะ มาร์ส!!” ไดตวาดใส่แต่มาร์สเพียงยกมือขอโทษ
ขนนกสีดำปลิวว่อนทั่วห้องผมมองหามีนทันทีแต่แล้วก็พบว่ามีนอยู่ที่หน้าประตูห้องจัดเลี้ยงแล้วคงไม่เป็นไร ผมมองหาอีกายักษ์เพื่อดูความเสียหายของมัน ทว่าเพราะแรกระเบิดตอนนี้จึงมีแต่ฝุ่นลอยฟุ้งไปหมด แต่แรงระเบิดขนาดนั้น คงต้องเป็นรถถังเท่านั้นแหละถึงจะทนได้
“ได
ผลงานอื่นๆ ของ blood pen ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ blood pen
ความคิดเห็น