ยายเรียกไปกินข้าว - นิยาย ยายเรียกไปกินข้าว : Dek-D.com - Writer
×

    ยายเรียกไปกินข้าว

    แผ่นดินพบกับหนูดาครั้งแรกเมื่อตอนห้าขวบ ปวรณากับตัวเองว่าจะเป็นพี่ชายที่แสนดี แต่แล้วเมื่อความผูกพันธ์กลายเป็นความรักที่ไม่กล้าอาจเอื้อมเป็นเจ้าของ ความผูกพันธ์ยาวนานกว่า 30 ปีจะลงเอยกันอย่างไร

    ผู้เข้าชมรวม

    307

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    137

    ผู้เข้าชมรวม


    307

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    10
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  17 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  13 เม.ย. 67 / 23:56 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ยายเรียกไปกินข้าว  

    ตอนที่ 1 
    ซอยดาวเรือง 
     
    เสียงสับหมูดังอยู่ในครัวไทยหลังบ้าน ดังสนั่นพอที่จะปลุกคนในบ้านได้ตื่นขึ้นจากการนอนคุดคู้ใต้ผ้าห่มในฤดูหนาว  มณจำปาหลับตาตื่นลุกขึ้นนั่งบนฟูกนุ่มหนาที่วางบนเตียงไม้สัก ใช้มือควานหายางรัดผมที่แก้มัดวางไว้บนหัวเตียงมารวบผมหยิกสกอย่างๆลวกๆ ก่อนสวมหมวกไหมพรมอีกที หยิบเสื้อกันหนาวที่แม่ถักให้ทับชุดนอนแขนยาวสีฟ้าอ่อน เดินงัวเงียลงมาชั้นล่าง เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้พ้นสภาพความง่วงซึม น้ำเย็นในฤดูหนาวเย็นจัดจนทำให้เธอสะดุ้งไล่ความง่วงหายเป็นปลิดทิ้ง  ก่อนเดินตามกลิ่นหอมของน้ำซุปที่เคี่ยวจากกระดูกสันหลังหมูอย่างพิถีพิถันบนเตาถ่านที่วางบนกระบะทราย 

     

    ภายในครัวไทยที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน ฝาผนังสานด้วยไม้ไผ่ พื้นปูด้วยไม้เนื้อแข็งขัดเรียบ หน้าต่างขนาดใหญ่เปิดกว้าง ทำให้ลมหนาวยามเช้าพัดพากระทบผิวหน้าที่เป็นเพียงส่วนเดียวที่ไม่ได้ถูกปกปิดจนชา มณจำปายื่นหน้าทักทายยายดาวเรืองผู้เป็นแม่ที่นั่งสับหมูอย่างขtมักเขม้นด้วยแรงสับสม่ำเสมอ 
     
    “อรุณสวัสดิ์ค่า ทำไมแม่ไม่ซื้อหมูสับมา สับเองให้ปวดแขนทำไมคะ?”  พูดเสร็จก็เปิดฝาสูดกลิ่นน้ำต้มกระดูกหมูที่กำลังเดือดได้ที่ในหม้อสังกะสีใบใหญ่ ที่มณจำปาประเมินแล้วสามารถกินได้ทั้งซอย  
     
    “ไม่เอา แม่ไม่ชอบ ซื้อเอามีมันผสมเยอะไป เอาสันคอหมูมาสับนี่แหล่ะ กำลังดี” ยายดาวเรืองเบียดตัวลูกสาวออกห่างจากหม้อ โยนปลาหมึกแห้งตัวขนาดย่อมลงไป 5 ตัวใหญ่ เขี่ยถ่านไฟออกให้เหลือแค่ไฟกลาง ปิดฝา พลางบอกให้ลูกสาวคนเล็กเด็ดยอดตำลึงที่ได้มาจากป้าวรรณา เพื่อนบ้านที่อยู่ในซอยเดียวกัน ที่บรรจงเก็บยอดอ่อนใส่ถุงใหญ่แล้วแขวนไว้ที่ริมรั้วบ้าน มีโน๊ตเล็กๆว่า ฝากทำแกงจืดให้หนูดา 
      
    “อะ วันนี้เลยได้อานิสงส์จากหนูดา ได้ทานแกงจืดตำลึงแต่เช้า” มณจำปาส่งเสียงร่าออกมา โดยปกติแล้วมื้อเช้า ผู้เป็นแม่มักทำแต่ไข่ดาว ไข่ต้ม หรือไข่กวน อะไรเทือกนั้น หรือบางทีก็ไม่ทำเลย เพราะตั้งแต่ลูกสาวสามคนเติบโตแยกย้ายไปใช้ชีวิตนอกบ้าน มื้อหลักมื้อเดียวในบ้านเลยเหลือเพียงมื้อเย็นมื้อเดียว โดยยายดาวเรืองจะทำอาหารวางไว้บนโต๊ะ แล้วแต่ว่าใครจะกลับมากินตอนไหน ส่วนตัวยายดาวเรืองเองในมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็นก็จะทานตามบ้านเพื่อนบ้านบ้างหรือบางครั้งอาปลัดก็มานั่งทานเป็นเพื่อนบ้าง โอกาสที่จะทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันในครอบครัวนั้นค่อนข้างจะหายากนอกจากในโอกาสพิเศษจริงๆ

       

    ยามเช้ามื้อแรกของวันยายดาวเรืองส่วนใหญ่มักจะแค่ชงกาแฟทานคู่กับปาท่องโก๋ หรือขนมที่บรรดาสมาชิกในสมาคม “คนว่างยามเช้า” ที่ยึดเอาลานใต้ต้นก้ามปูข้างบ้าน มีโต๊ะไม้หินอ่อนทรงกลมที่ผ่านการใช้งานมาเท่าอายุของลูกสาวคนโตป็นที่ พูดคุยในทุกๆเช้า  สมาชิกหลักจะยืนหลักด้วย ยายดาวเรือง อาปลัด และป้าวรรณา มีน้านวล น้าปราง ส้ม ด้วยในบางวัน 
    “แก่แล้ว กินอะไรเยอะแยะ ทำกับข้าวเลี้ยงผัวเลี้ยงลูกมา 20-30 ปี เบื่อจะแย่” ยายดาวเรืองพูดแกมบ่นกับคนในสมาคมบ่อยๆ  แต่ตั้งแต่ที่หลานสาวตัวเล็กกลับมาอยู่ด้วย เธอกลับรู้สึกมีชีวิตชีวามีไฟในการเข้าครัวอีกครั้ง  

     

    “อากาศแบบนี้ ทานอะไรอุ่นๆ จะได้สบายตัว หนูดาจะได้เจริญอาหาร แกงจืดเต้าหู้นิ่มๆแบบนี้หลานน่าจะชอบ”  ดาวเรืองกล่าวเสียงอ่อนเมื่อพูดถึงหลานสาวสุดที่รัก พร้อมกับโยนลูกชิ้นหมูสับขนาดพอคำลงหม้อที่เดือดปุดๆ อย่างคล่องแคล่ว กลิ่นหอมเครื่องหมักในลูกชิ้นหมูสับลอยฟุ้งอบอวลเพิ่มความอยากอาหารได้อย่างดี 

     
    หนูดา หรือแก้วมุกดา เป็นเด็กสามขวบ ที่กรรณิการ์ผู้เป็นแม่จูงมือมาเคาะประตูรั้วหน้าบ้านกลางดึกคืนหนึ่งในฤดูฝนที่ผ่านมา ท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนในบ้าน สภาพเปียกปอน ร่องรอยการถูกทำร้าย และน้ำตาที่ไม่มีทีท่าจะหยุดไหล ทำให้เดาเรื่องราวออกโดยปราศจากการถามใดๆ เด็กหญิงตัวเล็ก รูปร่างผอมเกร็งมีท่าทีตื่นกลัว ดวงตาแดงบวมช้ำ ข้างแก้มมีรอยแดงขนาดใหญ่ ยืนหลบหลังแม่อย่างหวาดผวา ยายดาวเรืองถึงกับร่ำไห้และปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียงกอดหลานสาวอย่างเวทนา มะลิฉัตรและมณจำปา กอดพี่สาวของพวกตนไว้แน่น ร้องไห้ระงม เป็นค่ำคืนที่ไม่มีบทสนทนานอกจากเสียงร้องไห้ด้วยความเจ็บช้ำ เจ็บปวด เจ็บใจ 

     
    ความเจ็บปวดยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ หนูดากลายเป็นเด็กไม่พูด ไม่ออกเสียงอีกเลย กรรณิการ์เล่าว่า เพราะต้องการปกป้องแม่จากพ่อที่เมามาย จึงโดนพ่อพลั้งมือตบเข้าเต็มๆที่ใบหน้าและโดนตวาดให้เงียบ   ด้วยความเจ็บและตกใจจึงทำให้ร่างกายตอบสนองทันที หมอบอกว่าต้องรอจนกว่าจิตใจดีขึ้นแล้วหนูดาจะกลับมาพูดได้เอง ในระหว่างนี้ให้หนูดาอยู่ในที่ๆทำให้หนูดาสบายใจ รู้สึกปลอดภัยเสียก่อน 

    ยายดาวเรืองจึงเลี้ยงหนูดามาตั้งแต่วันนั้นแทนกรรณิการ์ที่เสียใจและเฝ้าโทษว่าเป็นความผิดของตนเอง จนไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้ กรรณิการณ์ดำเนินการเรื่องหย่าและเดินทางไปทำงานที่เมืองนอกทันที เพื่อให้อยู่ห่างจากลูกสาวที่เป็นดั่งดวงใจให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดาวเรืองไม่อาจทัดทานความตั้งใจของลูกสาว ได้แต่สวดมนต์ก่อนนอนขอพรให้เรื่องราวเลวร้ายนี้ผ่านไปเร็ววัน  
     
    “เล็ก เด็ดเสร็จแล้ว ก็ขึ้นไปดูหลานหน่อยนะ” ดาวเรืองพูดเสร็จก็แบ่งน้ำซุปลงในหม้อเล็ก ตักหมูสับใส่เต็มหม้อ ตั้งบนอีกเตาที่อยู่ข้างๆกัน  หนีบถ่านไฟแดงที่ตั้งน้ำซุปมาใส่ เติมถ่านให้ร้อนแรง รอให้น้ำซุปเดือนพล่านก่อนหั่นเต้าหู้หลอดเป็นชิ้นๆ เมื่อน้ำเดือดอีกครั้งจึงหยิบยอดตำลึงจำนวนพอดีทานใส่ลงไป ยกหม้อลงทันที ยายดาวเรืองบอกลูกสาวเสมอว่าทำแบบนี้จะทำให้ยอดตำลึงไม่เละจากการอุ่นบ่อยๆ พร้อมทะยอยตักใส่ปิ่นโตสามเถา ปิดท้ายโรยด้วยกระเทียมเจียวเหลืองทอง

     

    “แล้วเอาแกงจืดไปให้บ้านเจ้าส้ม น้านวล น้าปรางด้วย จะได้ให้เด็กๆกินก่อนไปโรงเรียนกัน และเรียกอาปลัดกับป้าวรรณมากินข้าวเช้าด้วย”  มณจำปาส่งเสียงขานรับ เดินขึ้นไปหาหลานสาวแสนรัก ตัวเล็ก ที่กำลังหลับปุ๋ย แผงขนตาหนาบนหน้าเนียนนุ่มที่แห้งแตกอมชมพู ทำให้มณจำปาอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มซักฟอด ก่อนเดินไปส่งปิ่นโตตามบ้านและตะโกนเรียกเหล่าสมาชิกสภากาแฟ มากินอาหารเช้าอย่างที่แม่ของตนได้แจกแจงเมื่อสักครู่ 
     
    บ้านของดาวเรืองอยู่ในซอยเล็กๆ ที่มีบ้านคนอาศัยอยู่ 6 หลัง ต้นซอยเป็นบ้านของอาประสิทธิ์ อดีตปลัดจังหวัด ที่เธอและใครต่อใครเรียกว่าอาปลัด ด้วยท่าทีที่เกรงขาม เสียงใหญ่ ใจนักเลง ทำให้ทุกคนต่างรู้สึกย่ำเกรงไม่น้อย อาปลัดเป็นพ่อม่าย ภรรยาเสียเมื่อปีก่อนด้วยโรคร้ายหลังจากต่อสู้มานาน ในงานศพอาปลัดไม่มีทีท่าเสียใจมากนัก ยังคงยิ้มรับแขกด้วยท่าทีปกติ ยายดาวเรืองบอกว่าคนที่ป่วยมานาน การตายนั้นคือของขวัญที่ดีที่สุด อาปลัดไม่เสียใจมากน่ะถูกต้องแล้ว 
      

    ถัดมาเป็นบ้านของส้มกับสมชายวัยเดียวกับเธอ ทำงานโรงงานกันทั้งคู่ บ้านนี้มีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อพอใจ ยายดาวเรืองช่วยเลี้ยงบ่อยๆเวลาที่สมชายออกเวรรอบดึกมาสลับกับส้มที่เข้าเวรเช้า ด้วยวัยและเพศเดียวกันกับหลานสุดที่รัก ยายดาวเรืองเลยจะเอ็นดูเป็นพิเศษ บางครั้งถึงขั้นเอามากิน นอน ที่บ้านในตอนกลางวันเพื่อให้สมชายผู้เป็นพ่อได้พักผ่อนเต็มที่   
     

    บ้านตรงข้ามของอาปลัด เป็นบ้านของน้านวลพรรณกับน้านิรุจติ์ที่ทำงานเป็นพนักงานธนาคาร  น้านวลเป็นแม่บ้านชอบปลูกดอกไม้ หน้ารั้วบ้านน้านวลจะปลูกดอกไม้ผลัดเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ช่วงนี้หน้าหนาวน้านวลปลูกดอกทานตะวันแข่งกันชูคอยืดคอยาวหาแสงอาทิตย์ เช้าๆที่เต็มไปด้วยหมวกก็ได้ดอกทานตะวันของน้านวลนี่แหล่ะเป็นเหมือนตะเกียงแสงสว่างสีเหลืองทำให้สดชื่นไม่น้อย บ้านนี้มีลูกชายฝาแฝด มาวิน เมธี จอมแสบซนที่มณจำปาเอ็นดูมาก  ยายดาวเรืองบอกว่าเด็กซนคือเด็กฉลาด แต่ความฉลาดจนถึงขั้นปีนหลังคาบ้านเพื่อเล่นกับแมวจนตกหลังคาทะลุลงมา ก็ทำให้ยายดาวเรืองพูดไม่ออก 

     

    ถัดจากบ้านสมชายเป็นบ้านว่างที่เห็นว่าจะย้ายเข้ามาเร็วๆนี้ บ้านนี้ไม่มีคนอยู่มาเกือบปี  แม่ของเธอให้คนมาถางหญ้า ตัดต้นไม้เนืองๆ ทำให้บ้านไม่โทรมมากนัก  
    ยายดาวเรืองบอกว่าเจ้าที่กำลังเลือกเจ้าของบ้านอยู่ ถ้าเจ้าที่เป็นผู้หญิงคงเลือกมากจนขึ้นคานแล้วแน่ ๆ เธอคิด  


    ถัดจากบ้านว่างหลังนั้นเป็นบ้านป้าวรรณา เป็นช่างเย็บผ้าประจำซอยที่อยู่มานานตั้งแต่บ้านในซอยยังไม่เยอะเท่านี้ ตั้งแต่มณจำปาเกิดมาก็ได้เจอป้าวรรณาแล้ว แถมป้าวรรณาก็ช่วยเลี้ยงพี่สาวทั้งสองคนของเธออีกด้วย อัธยาศัยที่ตรงจริตกัน ยายดาวเรืองจึงเคารพเหมือนพี่สาวแท้ๆ ป้าวรรณาเคยแต่งงานแต่ถูกสามีทิ้งแบบไม่ไยดี ตามสมัยนิยม ทำให้เดินระหกระเหิน เคว้างคว้างไม่มีที่ไปเลยมาเช่าบ้านและใช้วิชาชีพที่มีมาเปิดร้านพอได้ลูกค้าในซอยนี้และซอยข้างๆเลี้ยงชีพ
      

    ตรงข้ามบ้านป้าวรรณาเป็นบ้านน้าปรางจิต แม่ม่ายลูกติดแสนสวย ที่เปิดร้านขายส้มตำรสแซ่บตัวแทนประเทศไทย ยายดาวเรืองพูดไว้อย่างนั้น และรสมือของน้าปรางจิตก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในแต่ละวันจะมีลูกค้าประจำมาซื้อจนตำขายไม่ทัน แต่บางครั้งลูกค้าหนุ่มหลายคนก็ไม่ได้ตั้งใจมาซื้อ มาแค่ต่อแถวดูหน้าแม่ค้าคนสวยเท่านั้น  “ไม่เอาหรอกยายดาวเรือง กลัวเขาไม่รักลูกฉัน อยู่อย่างนี้ดีจะตาย หลอกขายส้มตำไปวันๆ” น้าปรางจิตหัวเราะเจ้าเล่ห์ตอนยายดาวเรืองยุให้แต่งงานใหม่  น้าปรางจิตมีลูกชายหนึ่งคน ชื่อเมฆา ขี้อาย พูดน้อย เวลาที่เล่นด้วยกันกับลูกน้านวลพรรณเลยมักเจ็บตัวจากความทะโมนของสองแสบบ่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเกาะกลุ่ม 3 หนุ่มเหนียวแน่นไม่ขาด น้านวลพรรณพร่ำขอโทษน้าปรางจิตไม่เว้นวัน น้าปรางจิตได้แต่หัวเราะบอกว่า เด็กผู้ชายมีบาดแผลถึงจะเป็นลูกผู้ชาย
     

    ส่วนบ้านของยายดาวเรืองอยู่ระหว่างบ้านน้านวลพรรณกับน้าปรางจิต หลังจากที่พ่อเสียไปเมื่อหลายปีก่อน บ้านหลังนี้เลยอยู่กันแค่ 3 สาว ยายดาวเรือง มะลิฉัตร และมณจำปา ส่วนกรรณิการ์ตั้งแต่แต่งงานไปก็ไม่ค่อยได้กลับมาเยี่ยมบ้านสักเท่าไหร่ พาหลานกลับมาเยี่ยมยายเยี่ยมน้าไม่กี่ครั้ง แต่ก็พอเข้าใจสถานการณ์ได้ว่าอาจเป็นเพราะอดีตพี่เขยที่ไม่ค่อยอยากสุงสิงกับบ้านพ่อตาเท่าไหร่นัก มณจำปายังจำได้ดีว่า งานศพพ่อตาแท้ๆ อิตาอดีตพี่เขยยังไม่มาไหว้ศพแม้แต่วันเผา

    ยายดาวเรืองแบ่งพื้นที่ที่ติดบ้านน้าปรางเป็นแปลงเล็กๆแปลงหนึ่งไว้เป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ สนามนี้มีต้นชมพู่มะเหมี่ยวต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้น เวลาเย็นหลังเลิกเรียน เด็กในซอยจะมารวมกันที่ตรงนี้ โดยมีผู้ใหญ่แถวนั้นคอยเป็นหูเป็นตาช่วยสอดส่อง  

     
    ยายดาวเรืองอยู่ที่ซอยนี้มานานนานตั้งแต่ยังเป็นพื้นที่ทำนาไม่มีถนนนานจนใครต่อใครเรียกซอยนี้ว่าซอยดาวเรือง นานจนพอทำถนนเจ้าหน้าที่เขตก็เลยตั้งชื่อว่าซอยดาวเรือง ตามสมครผู้เป็นพ่อเล่าให้เธอฟังอย่างนี้  ซอยนี้เป็นซอยเล็กอยู่กันแค่ไม่กี่หลัง จึงพึ่งพาอาศัยกันราวกับเป็นคนในครอบครัว  
     
    ฤดูฝนคืนนั้น ที่มีเสียงร้องเรียกเคาะประตูรั้วบ้านยายดาวเรืองกลางดึกเสียงดังลั่นขนาดที่ฝนตกหนักแต่คนในซอยยังสะดุ้งตื่นตกใจรีบพากันออกมาออกที่บ้านยายดาวเรือง เกรงจะมีเรื่องเกิดขึ้นอาปลัดพกปืนมาด้วยเผื่อมีเรื่องไม่ดีถึงแม้แถวนี้จะไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาเลยก็ตาม  เมื่อเห็นสภาพลูกสาวคนโตของยายดาวเรืองที่หายหน้าไปนานและหลานสาวตัวเล็กในสภาพบอบช้ำอย่างนั้นก็เข้าใจได้ทันที
     
     คนในซอยไม่มีแม้แต่สักคนที่ปริปากถามเพราะเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้นกรรณิการ์แต่งงานกับชายที่ไม่พึงประสงค์ทั้งตาสมัครและยายดาวเรืองคัดค้านอย่างไรก็ไม่เป็นผลวันดีคืนดีก็หอบผ้าหอบผ่อนหนีตามชายคนนั้นไปและไม่เคยกลับมาบ้านอีกเลย ตาสมัครประกาศตัดพ่อตัดลูกทันที ไม่เผาผีกัน และห้ามคนในบ้านพูดถึงเรื่องนี้เป็นอันขาด ห้ามแม้แต่เรียกชื่อลูกสาวที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดดวงใจ  ส่วนกรรณิการ์นั้นได้แต่เขียนจดหมายมาขอเงินเป็นระยะๆ  และตาสมัครจะโกรธมากเมื่อรู้ว่าผู้เป็นเมียแอบส่งเงินให้ลูกสาวแต่พอได้ข่าวว่ากรรณิการ์ตั้งครรภ์อารมณ์ดีใจที่จะมีหลานคนแรกก็ทำให้ลืมเรื่องที่โกรธไปหมดสิ้นกลับกลายเป็นตาสมัครส่งเงินไปให้ลูกสาวซื้อของบำรุงครรภ์เสียเองเฝ้ารอที่จะได้เจอหลานแต่อนิจจาตาสมัครไม่ทันได้อุ้มตัวเล็กอย่างที่ตั้งใจก็เสียชีวิตลงในเช้าวันหนึ่งด้วยโรคหัวใจล้มเหลว กรรณิการ์มางานศพเพียงลำพังในชุดคลุมท้องสีดำสุดซอมซ่อ สภาพผอมแห้งไม่มีราศี ดวงตาแห้งกร้านไร้ชีวิตชีวา เธอไม่กินไม่นอนเอาร่ำไห้หน้าโลงศพผู้เป็นพ่อราวจะขาดใจ เอ่ยขอโทษนับเป็นล้านๆครั้งได้  ในสภาพเช่นนั้นใครบ้างจะโกรธเธอได้ลง  คนเราเมื่อตกในห้วงรักก็มักโง่เขลาเหมือนกันหมด 
      
     คืนฝนตกคืนนั้น เรื่องของกรรณิการ์กับหนูดาทำให้อาปลัดผู้กว้างขวางโกรธแค้นเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นหัวหอกในการจัดหาทนายความที่เก่งที่สุดในจังหวัดมาทำเรื่องหย่าและการขอคำสั่งศาลห้ามอดีตสามีเข้าใกล้กรรณิการณ์และลูกสาวเด็ดขาด ส้ม น้าปราง น้านวล เข้ามานั่งเล่นพูดคุยเป็นประจำทำให้กรรณิการ์พอคลายเหงา ยิ้มได้ หัวเราะให้กับโชคชะตาตัวเอง พร้อมกำชับให้ลูกๆที่วัยไล่เลี่ยกันมาเล่นกับหนูดาทุกวัน จนทำให้หนูดายิ้มออก ความกลัวจางหายไป  แต่ถึงอย่างนั้นหนูดาก็ยังไม่มีทีท่าจะส่งเสียงแต่อย่างไร  


     

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น