อาณาจักรสุรรณภูมิ..เป็นของชนชาติไทย ไทอาศัยนานมานับพันๆปีแล้
ไทย หาได้พึ่งอพยพมาจากไหน ก็ยังอยู่ในสุวรรณภูมิมาแล้วนับพันๆปี
ผู้เข้าชมรวม
2,651
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
ไทหรือไตนั้นอพยพมาจากการรุกรานของจีนนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ว่าก็มีการอพยพมาอยู่ในแดนสุวรรณภูมิมาแล้วไม่น้อยกว่า 3000 ปี
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
"อาณาจักรสุวรรณภูมิ" นั้นแต่ก่อนเราเชื่อกันว่าเป็นดินแดนของพวกชาวละว้า ซึ่งครอบครองความเป็นใหญ่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมาก็กลายเป็นอาณาจักรทวาราวดีของพวกมอญเป็นหลักฐานยืนยันอยู่ ต่อจากนั้นขอมก็เข้ามาเป็นใหญ่ มีอำนาจอยู่ในอาณาเขตบริเวณนี้ก่อนหน้าที่ชนชาติไทหรือไตจะอพยพลงมา ต่อมาเมื่อคนไทยเราได้อพยพ เคลื่อนย้ายลงมาก็เข้ายึดอำนาจ และตั้งถิ่นฐานอยู่ในแหลมทองสืบแทนพวกขอม มอญ ละว้า แล้วเราก็รับเอาวัฒนธรรมในดินแดนแถบนี้มาเป็นของเราสืบมารวมทั้งพระบวรพุทธศาสนาด้วย หมายถึงว่า คนไทยเราได้เข้ามารุกรานยื้อแย่งเอาดินแดนในแหลมทองนี้ มาจากชนชาติอื่นอีกทอดหนึ่ง แต่บัดนี้ เมื่อมีการขุดค้นและค้นคว้าได้ก้าวหน้าพัฒนาไปมากทำให้เราได้หลักฐานต่างๆใหม่ๆ เพิ่มเติมอีกเป็นอันมาก ทำให้ได้ข้อมูลใหม่มาลบล้างความเชื่อดั้งเดิมไปเป็นอันมาก เฉพาะอย่างยิ่ง บัดนี้เราเชื่อกันว่าคนไทยหรือไตเราเรานี้ ได้เป็นเจ้าของดินแดนที่เราตั้งมั่นเป็นหลักฐานอยู่ในปัจจุบัน มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้ว กล่าวคือ ตั้งแต่ยุคสมัยยุคหินใหม่ก่อนสมัยพุทธกาลมานานกว่าพันปีเป็นอย่างน้อย หลักฐานที่สมควรนำมากล่าวไว้ในที่นี้โดยย่อ ก็ได้แก่ ๑.โครงกระดูกมนุษย์สมัยโบราณที่ขุดพบในดินแดนไทยในปัจจุบัน เฉพาะอย่างยิ่ง โครงกระดูกมนุษย์หินยุคใหม่ ซึ่งคณะสำรวจไทย เดนมาร์ก ได้สำรวจและขุดค้นร่วมกันอย่างกว้างขวาง ในระหว่างปี พ.ศ.๒๕๐๓ ๒๕๐๕ ที่บ้านเก่า ตำบลจระเข้เผือก อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งได้พบกระดูกมนุษย์ยุคหินใหม่เป็นจำนวนถึงกว่า ๕๐ โครงและเครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆ อีกถึง ๑ล้านชิ้น โครงกระดูกดังกล่าวมีอายุประมาณ ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว พวกมนุษย์ดังกล่าวเป็นผู้มีวัฒนธรรมสูง เฉพาะอย่างยิ่งเครื่องปั้นดินเผา ด้วยฝีมืออันประณีตซึ่งมีรูปทรงตลอดจนสีสันคล้ายเครื่องปั้นดินเผาสีดำ ที่เคยค้นพบมาก่อนประเทศจีน ซึ่งจีนเรียกกันว่า "วัฒนธรรมลุงชาน" เนื่องจากโครงกระดูกดังกล่าว ผู้วชาญทางด้านกายวิภาค ได้วิจัยโดยละเอียดแล้วปรากฏว่า คล้ายคลึงกับโคลงกระดูกของคนไทยในปัจจุบันหลายประการ ไม่มีลักษณะแตกต่างไปจากโครงกระดูกของคนไทยใน
นาย บาทหลวงซู ซึ่งมีบิดาเป็นชาวจีนและมารดาเป็นไทยหลวง เป็นผู้สอนศาสนาประจำอยู่ที่เกาลูนแห่งฮ่องกงในปัจจุบัน ได้ค้นคว้าเกี่ยวกับกำเนิดของชนชาติไทยอย่างจริงจัง แล้วได้ยืนยันว่าวัฒนธรรมไทยและภาษาไทย ได้เป็นรากฐานของวัฒนธรรมจีน ซึ่งต่อมาชาชาติจีนนี้ก็ได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานแทนคนไทยในบริเวณที่เป็นแดนวัฒนธรรมสมัยหินใหม่ หรือ "วัฒนธรรมลุงซาน" ดังนั้น กลุ่มชนที่เป็นเจ้าของ "วัฒนธรรมลุงซาน" นั้นก็ย่อมเป็นของชนชาติไทหรือไต แห่งอาณาจักรลุง ซึ่งคนจีนเรียกชาชาติที่อาศัยอยู่ก่อนแล้วว่า ไต แปลว่า ใหญ่หรืออาณาจักรใหญ่ ก็คือ อาณาจักรลุงในอดีต แต่ว่า คนไทยที่ว่านี้ มิใช่จะเพียงแต่อาศัยอยู่ในบริเวณตอนใต้ของประเทศจีนเท่านั้น ในขณะเดียวกันก็ได้อพยพกระจัดกระจายขยายกันไป เพื่อหาพื้นที่หากิน ได้มีส่วนหนึ่งได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในอาณาบริเวณเขตนี้ที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบันด้วย แต่หากอาณาจักรเหล่านั้นมิได้ปรากฏตน เหมือนอาณาจักรไต อาณาจักรลุง(ซึ่งต่อมาแต่ตนแล้วเรียกตัวเองว่า ลาวในปัจจุบัน) ที่พระเจ้าจีนได้เข้ามาสำรวจเจอและจดบันทึกอาณาจักรเหล่านี้ไว้ แต่หากยังหาได้เจออาณาจักรที่อยู่ตอนล่างในแดนสุวรรณภูมิอีก อาณาจักรเก่านี้ถึงแม้ว่าจะขุดค้นพบว่ามีอารยธรรมสูงก็ตามแต่หาได้มีใครรู้จักอาณาจักรแห่งอารยธรรมเหล่านี้เลย แต่ด้วยหลักฐานหลายๆชิ้นนั้นเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมของชนชาติไตในจีนซึ่งไม่น่าจะมีชนชาติอื่นใดในบริเวณนี้เกี่ยวข้องเลยสักนิด กลับปรากฏในดินแดนแห่งนี้ได้ จึงทำให้นักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศหลายคนเชื่อกันอย่างไม่สงสัยว่า มนุษย์ที่ค้นพบนี้นอกจากจะมีโครงกระดูกเหมือนคนไทยในปัจจุบันแล้ว ยังมีวัฒนธรรมที่คล้ายกับ "วัฒนธรรมลุงซาน" แห่งบริเวณอาณาจักรไตเก่า จึงเชื่อกันได้ว่า บริเวณอาณาจักรแห่งนี้เป็นของชนชาติใดหากได้เป็นของชนชาติอื่นใด โครงกระดูกมนุษย์สมัยทวาราวดี อายุราว ๑,๒๐๐ ปี ซึ่งขุดพบที่ตำบลทัพหลวง จังหวัดสุพรรณบุรี ตามแนวถนนมาลัยแมน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๐ เป็นจำนวนกว่า ๑๐ กว่าโครง พร้อมเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ (ลูกปัด กำไล แหวน ๆลๆ ) เป็นจำนวนมากนั้น คณาจารย์ในภาคกายวิภาคคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อันมี ศาสตราจารย์นายแพทย์ โครงกระดูกของมนุษย์สมัยทวาราวาดีนี้ มิได้มีลักษณะผิดแผกแตกต่างไปจากโครงกระดูกของคนไทยในปัจจุบันเลย และก็เหมือนกับโครงกระดูกของมนุษย์หินสมัยใหม่ ที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรีตามที่ได้กล่าวมาแล้วด้วย เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับหลายอย่าง เช่น ลูกปัด ก็เหมือนกับที่พบในสมัยหินใหม่จังหวัดกาญจนบุรี กำไลสัมฤทธิ์ ก็เหมือนกับที่ขุดพบในสมัยโลหะบ้านนาดี จังหวัดขอนแก่น และศูนย์การทหารปืนใหญ่ จังหวัดลพบุรี และยังใช้กันอยู่ในหมู่ชาวสิบสองปันนา จึงเป็นที่ยุติกันว่า โครงกระดูกมนุษย์ดังกล่าวนั้น เป็นคนไทยในสมัยทวารวดี ที่อาศัยกันมาตั้งแต่สมัยหินยุคใหม่ ตลอดจนถึงสมัยโลหะ (ทองแดงเหล็ก) เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ (คือสมัยที่มีตัวหนังสือใช้กันแล้ว) คนไทยเหล่านี้ มิได้เพิ่งจะอพยพเคลื่อนย้ายกันเข้ามาในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ดังที่เคยเชื่อถือกันมาแต่ก่อนกับข้อมูลเก่าๆที่ยังไม่พบหลักฐานใหม่ในแต่ก่อน ส่วนหลักฐานอื่นๆ ที่แสดงว่ามีพวกมอญเข้ามาอาศัยอยู่ ก็มีแต่เพียงอักษรที่จารึกอยู่ตามที่ต่างๆ เท่านั้น ไม่มีศิลปวัฒนธรรมประเพณีใด ที่สามารถยืนยันได้แน่นอนว่าเป็นของชาวมอญโดยเฉพาะแต่ประการใดเลย นอกจากนี้ ดร.ควอริช เวลส์ ชาวอังกฤษ ก็ยังได้เคยขุดพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยทวาราวดีที่ตำบลพงตึก จังหวัดกาญจนบุรี มาแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ ทำให้เขาเชื่อว่าอาจจะได้มีคนไทย ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน อยู่ตามลุ่มแม่น้ำแม่กลอง และลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษต้นๆ คือ ประมาณ ๒๐๐๐ ปีมาแล้ว รวมความว่า จากโครงกระดูกมนุษย์สมัยโบราณในประเทศไทย เท่าที่ได้ขุดพบกันมา ทำให้น่าเชื่อว่าคนไทยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในคาบสมุทรอินโดจีน อันเป็นที่อยู่ที่ตั้งของประเทศไทยในปัจจุบันมาตั้งแต่สมัยยุคหินใหม่เป็นอย่างน้อย กินเวลานานถึงประมาณ ๔๐๐๐ ปีมาแล้ว ก่อนถึงสมัยพุทธกาลถึงกว่า ๑๐๐๐ ปี ๒.ภาษาและชื่อบ้าน นาม เมือง จากข้อคิดของคุณ เช่นนั้นชาวไทยก็ย่อมเรียกชื่อบ้านเมือง แม่น้ำ ภูเขา ตามสำเนียงคำเรียกชื่อลัทธิศาสนา หรือเรียกนามสำคัญต่างๆ ในลัทธิศาสนานั้นๆ จะต้องเรียกหนังสือและอ่านออกเสียงพยัญชนะสืบสำเนียงคำไปตามแบบกลุ่มชนผู้เป็นเจ้าของถิ่นอยู่ก่อน แบบอย่างธรรมเนียมเช่นนี้เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงได้ยาก เมื่อเราหันมาพิจารณาดุ ชื่อทางภูมิศาสตร์ไทย เราก็จะพบแต่ชื่อบ้านเมือง แม่น้ำ ภูเขาเป็นภาษาไทยแบบไทยๆแทบทั้งสิ้น หาได้มีชื่อตามภาษาขอม หรือ ชนชาติอื่นใด ถ้าหากบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่เดิมของขอมจริง ก็น่าจะมีชื่อตามแบบภาษาขอมบ้างติดปากคนไทยตามชื่อเจ้าถิ่นมาตั้งแต่บุราณกาล แม้แต่ในศิลาจารึกก็น่าจะมีชื่อทางภูมิศาสตร์ของไทยในชื่อของขอมจารึกไว้บ้าง แต่ก็หามีไม่ เวลากล่าวอ้างสถานที่ใดในดินแดนไทย มักจะเรียกแม่น้ำ ภูเขาตามชื่อภาษาไทย หากที่เหล่านั้นเป็นที่อยู่ของขอมแต่โบราณกาลจริง เหตุไฉนจึงไม่มีชื่อเรียกตามนามของขอมสืบทอดเรียกกันมาบ้าง แต่ดินแดนเหล่านั้นเป็นดินแดนของไทยมาแต่บุราณกาลนานมาแล้ว ซึ่งก็แพ้และกลายเป็นอาณานิคมหรือเมืองขึ้นของขอม(ไม่น่าจะใช่เขมร) สมัยเรืองอำนาจพระเจ้าชัยวรมัน ซึ่งเป็นการรุกรานดินแดนอื่นๆ จนกว้างขวาง หาได้เพราะตนเคยอาศัยดินแดนเหล่านั้นแต่โบราณกาลนานมาเหมือนนักสำรวจชาวฝรั่งเศลอ้าง(เพราะเป็นลูกพี่ของเขมรเก่าที่ช่วยเหลือกันดีในปัจจุบันและเพื่อการวางระเบิดและกล่าวหาของอ้างในการกลืนดินแดน) ซึ่งหากชนชาติไทยพึ่งอพยพมาจริงๆ ทำไม ขอมผู้มีอารยะธรรมภาษามานับพันปี จึงไม่มีการบันทึกการอพยพครั้งใหญ่นั้น เพราะเป็นการเคลื่อนไหวต่อความมั่นคงของอาณาจักรถ้าหากมีชนชาติอื่นอพยพลงมาดินแดนของตนอย่างมากมายจริง ย่อมมีกล่าวถึงบ้างสักบรรทัด สองบรรทัด เพราะเป็นเรื่องค่อนข้างใหญ่ แต่ก็หามีไม่มีแต่กล่าวเรื่องภายในราชอาราจักรของตน(ใจกลางสุวรรณภูมิหรือคนไทยเลยสยาม) หาได้กล่าวถึงดินแดนเฉลียงดินแดนหรืออ้างว่าของตนซึ่งปัจจุบัน(เขมร)มักโจมตีเราเรื่องนี้ ทั้งๆที่การเคลื่อนไหวอพยพลงมามากมายขนาดนั้นกลับไม่ถูกจารึกใดๆเลย แต่กลับมีภาพและเรื่องราวของกองทัพสยามทางละโว้
ภาษาตามลัทธิศาสนา ซึ่งชาวอินเดียนำมาเผยแผ่ ไม่ว่าศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาพุทธ ตลอดจนศาสนาเชน ที่น่าประหลาดใจอย่างมาก ไทยเรากลับออกเสียงตรงตามสำเนียงคำของอินเดียวเป็นส่วนมาก วิชาหนังสือ ที่ชาวอินเดียนำมาสั่งสอนไว้ ไทยเราก็รับสืบสำเนียงคำอ่านออกเสียงสระ พยัญชนะตรงตามแบบฉบับอินเดียมากที่สุด แบบอย่างหนังสือบาลีก็ดี น่าอัศจรรย์ที่ชนชาติไทยเราสามารถรับสืบทอดสำเนียง จากอาจารย์ชาวอินเดียได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยนมาแต่โบราณกาล ไม่เหมือนชนชาวประเทศเพื่อบ้านของไทย เช่น ขอม ไทยนั้นสามารถอ่านออกเสียง เช่นคำว่า "นคร" ได้ตามชาวอินเดียได้อย่างถูกต้อง แต่ขอมเองกลับ ออกเสียงผิดเพี้ยนว่า "อังกอร์" เป็นส่วนใหญ่ เป็นต้น แต่ถ้าหากเรารับวัฒนธรรมมาจากขอมทุกอย่างจริง ไฉน ทำไมเราไม่เรียกตามสำเนียงขอม เสียหมด ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่น่าเชื่อได้ว่า สมัยแรกที่ชาวอินเดียเข้ามาเผยแผ่วิชาหนังสือ ในถิ่นนี้มาแล้วแต่โบราณกาล ซึ่งไทยเราซึ่งเป็นเจ้าของถิ่น ย่อมมีโอกาสได้รับทั้งลัทธิศาสนา และวิชาหนังสือ จากชาวอินเดียผู้เป็นปรมาจารย์มาโดยตรงเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีชนชาติอื่นใด มาครอบครองอาณาบริเวณนี้อยู่เป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว ก่อนหน้าที่ชนชาติเราได้รับรู้ทางลัทธิศาสนารวมทั้งวิชาหนังสือ และวิทยาการอื่นๆ ด้วย จากชาวอินเดียผู้เป็นปรมาจารย์ที่เข้ามาเผยแผ่ในสมัยอาณาจักรสุวรรณภูมิ แม้มีมอญ มีขอมเข้าอยู่บ้าง ก็เป็นเพียงชนส่วนน้อย เข้ามาพึ่งบรมโพธิสมภารของมหากษัตริย์ไทยอาศัยเท่านั้น มาตรว่าจะได้มีศาสนิกชนชาวมอญจัดทำศิลาจารึกเกี่ยวกับกัลปนาเข้าไว้บ้าง ก็เป็น จารึกมอญปนไทย (เช่น จารึกหลักที่ ๑๘ จารึกบนเสาแปดเหลี่ยมที่ศาลสูงลพบุรี) แม้ศาสนิกชนชาวขอมเอง ก็อดปนไทยไม่ได้ เช่น จารึกเสนาหัว พ.ศ. ๑๑๘๒ ตำบลเทรัง จังหวัดปราจีนบุรี และจารึกศรีจนาศะ พ.ศ.๑๔๘๐ นอกจากนี้ คุณ จารึกวัดศรีชุม เมืองสุโขทัยเก่า อายุประมาณ ๖๐๐ ปีเศษ (แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าหนังสือไทยได้มีมาก่อนหน้านั้นช้านานแล้ว) อันล้วนแสดงวิชาหนังสือไทยของเรานั้น ได้มีมาช้านานแล้วตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๘ คือก่อนตั้งกรุงสุโขทัยเป็นเวลาร่วมพันปีเป็นอย่างต่ำซึ่งได้อิทธิพลมาจากอินเดียโบราณน่าจะตั้งแต่สมัยสุวรรณภูมิ จากการกล่าวหลักฐานเท่าที่ได้กล่าวมาโดยย่อในตอนนี้ ก็เป็นเครื่องชี้ให้เห็นได้อย่างชัดแจ้ง ว่าไทยเรานั้นรุ่งเรืองมาช้านาน มีภาษาและหนังสือเป็นของตัวเองมานับพันปีแล้ว ชนชาติไทยได้รับถ่ายทอดวิชาหนังสือ(ตัวอักษร)และความรู้ทางด้านศาสนามานานนับจากชาวอินเดียปรมาจารย์โดยตรง ก่อนหน้าที่ชาวอินเดีย จะเข้ามาเผยแพร่วิชาหนังสือและศาสนาในบริเวณนี้ ชนชาติไทยก็ได้เข้ามาตั้งหลักฐานครอบครองถิ่นนี้อยู่อย่างเป็นปึกแผ่นดินมั่นคงแล้ว ชนชาติไทยจึงได้รับวิชาหนังสือและลัทธิศาสนา จากชาวอินเดียโดยตรง มิต้องผ่านกลุ่มชนชาติไทยจึงได้รับวิชาหนังสือและลัทธิทางศาสนา จากชาวอินเดียโดยตรง มิต้องผ่านกลุ่มชนชาติอื่นใดอีกทอดหนึ่ง จากการที่มีศิลาจารึกภาษามอญหรือภาษาขอมปนไทย มาตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๕ นั้น ก็เป็นหลักฐานยืนยันได้อีกทางหนึ่งว่าได้มีชนอีกทางหนึ่งว่าได้มีชาวไทยเราเจ้ามาตั้งมั่นเป็นปึกแผ่นอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อนหน้านั้นแล้ว พวกมอญและขอมเป็นแต่เพียงได้เข้ามาอาศัยแผ่นดินไทยอยู่เท่านั้น และเมื่อมาอาศัยอยู่ช้านานเข้า ภาษาของเขาจึงแดเป็นภาษาไทยเราบ้างไม่ได้ นอกจากที่กล่าวมาแล้วนี้ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีกเป็นอันมาก เช่น ชาดกของอินเดียและลังกา ที่กล่าวถึงความรุ่งเรืองมั่งคั่งของ "สุวรรณภูมิ" ความสัมพันธ์ทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่าง "ชมพูทวีป" กับ "สุวรรณภูมิ" ซึ่งล้วนยืนยันถึงความสำคัญของสุวรรณภูมิแค่ครั้งบรรพกาล ก่อนที่จะมีพระพุทธศาสนาบังเกิดขึ้นมาในโลกทั้งสิ้น
อย่างไรก็ดี ได้มีนักค้นคว้ารุ่นใหม่ท่านหนึ่ง ซึ่งมิค่อยจะปรากฏนามตามวงการทั่วไป คือ คุณ "เมื่อพิจารณาหลักฐานต่างๆโดยรอบคอบแล้ว ข้าพเจ้ามีความเห็นค้านกับประวัติศาสตร์อยู่ข้อหนึ่ง คือ ไม่เชื่อว่าประวัติศาสตร์ไทยในแหลมทองจะเริ่มต้นเรื่องราว พ.ศ.๑๗๐๐ เศษ ดั่งที่ถือกันตามวิสัยนักสำรวจชาวยุโรปที่เราถือกันอยู่ทุกวันนี้ แต่มีความเชื่อมั่นว่าไทยได้มีอำนาจอยู่ในแหลมทองในฐานะเจ้าของถิ่น มาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลแล้วถ้านับเวลาก็ไม่น้อยกว่า ๔,๐๐๐ ปี เรื่องราวต่างๆในตำนานของชาวชมพูทวีป ที่เกี่ยวข้องกับสุวรรณภูมิ ก็คอืเกี่ยวข้องกับคนไทยนั้นเอง ไม่ใช่ใครอื่นไหนดินแดนของไทยก็แผ่คลุมตลอดจนแ หลมมลายู และมีส่วนหนึ่งเลยไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นเวลานับพันปีแล้ว มีประจักษ์พยานที่หาคำตอบไม่ได้อยู่อย่าหนึ่งคือ ชาวฟิลิปินส์กับคนไทย เหมือนกันจนดูไม่ออก ว่าเป็นคนไทยหรือคนฟิลิบปินส์ ไม่เฉพาะรูปร่างหน้าตาและดีเอ็นเอของไทยและฟิลิบปินส์เท่านั้นที่คล้ายกัน แม้แต่ประเพณีต่างๆก็เหมือนกันอีกด้วย เหตุที่เป็นเช่นนี้ไม่มีทางอื่น นอกจากว่าเป็นชนเผ่าเดียวกันและแตกกลายไปตามท้องถิ่นที่ตนอยู่ แยกย้ายกันไปอยู่ต่างถิ่นเสียนานนับพันๆปี ประวัติศาสตร์ขาดตอน จึงไม่ทราบเรื่องราวแต่หนหลัง" "ฉะนั้น ที่ข้าพเจ้าว่าคนไทยได้รับพุทธศาสนา มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๖ นั้น จึงหมายถึงคนไทยจริงๆ ไม่ใช่ดินแดน ดั่งที่เข้าใจกันมาแต่เดิม คำว่า "สุวรรณภูมิ" อาจจะเป็นชื่อชาวชมพูทวีปตั้งให้โดยถือเอานิมิตว่าเป็นแดนทองคำ ส่วนชื่อไทยจะมีว่าอย่างไร ไม่มีพยานหลักฐาน แต่อาจจะชื่อ อู่ทอง ก็ได้ ชาวชมพูทวีปอาจจะแปลเป็น "สุวรรณภูมิ" เพื่อความสะดวกบางประการ เลยเป็นชื่อที่รู้จักกันทั่วไป ข้อนี้แสดงว่าเมืองไทยสมัยโบราณนั้น อย่างน้อยก็มีอู่อยู่ 3 อู่ คือ อู่ทอง 1 อู่เงิน 1 อู่ข้าว 1 อู่น้ำ 1 ดั่งที่พ่อขุนรามคำแหงทรงจารึกบันทึกไว้ว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" "ไทยมิใช่แขกของสุวรรณภูมิโดยชอบธรรมทีเดียว ที่ว่านี้ไม่มีตำนานใดกล่าวไว้ หรืออาจมีแต่ยังหาไม่พบ ที่หาญกล่าวเช่นนี้เพราะถือเอาความเจริญของชาวสุวรรณภูมิเป็นหลักตัดสิน คือสังเกตเรื่องราวแต่อดีต จะเห็นได้ว่าชาวสุวรรณภูมิเจริญวัฒนธรรมเทียมบ่าเทียมไหล่ชาวชมพูทวีปและมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใหม่เข้ามาอีกจนกระทั่งได้มาทุกจนถึงวันนี้ของชาวสุวรรณภูมิทวีปในปัจจุบัน ฉะนั้นประวัติศาสตร์ที่ว่าชนเผ่าซึ่งอยู่ลำน้ำเจ้าพระยาแต่เดิมด้อยความเจริญกว่าไทย ไทยจึงสามารถปกครองชนเผ่านั้นได้จึงต้องหมายถึงเวลาก่อนพุทธกาลไม่น้อยกว่าพันปี" "ประเทศไทยทุกภาคได้เจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่นก่อนสุโขทัยซึ่งประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นยุคเริ่มแรกของไทยในแหลมทองเป็นไหนๆแล้ว จะว่าเผ่าชนแถบนี้ด้อยอารยธรรมอย่างไรได้ วัตถุโบราณที่มีอยู่บนพื้นดิน และที่ขุดพบ ณ เมืองนครปฐมก็ดี อู่ทองก็ดี กาญจนบุรีก็ดี หรือที่อื่นๆก็ดี ทั่วประเทศไทย ได้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่สร้างสิ่งเหล่านี้ ต้องเป็นคนมีความเจริญสูงมาก ถ้าคนที่สร้างสิ่งเหล่านั้นมิใช่คนไทยแล้ว คนเหล่านั้นหายไปไหนหมด? ไทยจะสามารถกลืนคนที่มีความเจริญยิ่งปานนี้ได้นะหรือ "อันสมบัติของไทยทุกอย่างได้เจริญถึงจุดอิ่ม คือแก้ไขให้ดีที่สุดมาแล้ว ที่เห็นได้ชัด คือ ภาษาและหนังสือ คนไทยสามารถพูดภาษาต่างประเทศได้ชัดเจนเท่าเจ้าของภาษา ไม่มีชนชาติใดจะพูดภาษาต่างประเทศได้ชัดเท่าคนไทย หนังสือไทยเขียนคำในภาษาต่างๆ ได้ดีกว่าหนังสือของหนังสือทุกชนชาติ เสียงใดที่มีอยู่ในภาษาอื่น เสียงนั้นมักมีอยู่พร้อมในภาษาไทย เสียงบางเสียงที่มีภาษาไทย กลับไม่มีภาษาอื่น เช่นเสียง "เอือ อือ" เป็นต้น ลองให้คนต่างด้าวว่า บางทีตลอดชีวิตก็ว่าได้ไม่ชัด หรือบางทีเสียงใกล้กัน เช่น "ขายไข่ไก่" เป็นต้น ชาวต่างด้าวจะออกเสียงว่า "คาย คาย ไค" "เมื่อพูดถึงหนังสือ ข้าพเจ้าขอเสนอความเห็นต่อท่านผู้อ่านว่า "หนังสือขอม" (อาจจะรวมหนังสือมอญด้วย) นั้น สันนิษฐานว่าเป็นหนังสือไทยแต่เดิมนั้นเอง ใช้กันมานานแล้วจึงได้ใช้กันแพร่หลายทั่วไป ดินแดนส่วนใดไม่ขึ้นต่อไทย ก็ใช้หนังสือแบบเดิมเรื่อยมา แต่ส่วนใหญ่นั้นมักจารึกไว้ในหนังสัตว์ตามวิสัยคนไตเวลาเกิดอดอยากหรือเกิดศึกสงครามจึงง่ายต่อการย่อยสลายและทำลาย แบบคนไตในแดนต่างๆ ไม่เหมือนชาวขอมมอญที่นิยมจารึกตามหินไว้แต่เดิมเรื่อยมาหรืออาจจะมีของไทยอยู่บ้างแต่ยังไม่มีการขุดหาค้นพบจึงไม่มีหลักฐานยืนยันมาลบล้างคำกล่าวอ้างของคณะฝรั่งเศล จึงเหลือตกเป็นสมบัติของขอม และต่อมาถูกเขมรกลืนจนอยู่ถึงทุกวันนี้" ดร.วิลเลียม คลิฟตัน ดอดจ์ หมอสอนศาสนาชาวอเมริกา ซึ่งได้ค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับชาติไทยเป็นเวลานานปี ได้เขียนสรุปท้ายไว้ในหนังสือเรื่อง "ชนชาติไทย" ของท่านไว้ว่า "ไทได้อยู่ในแดนอำนาจเป็นเวลาน้อยกว่า 4,000 ปี มาแล้วคือ ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรายังอยู่ตามถ้ำตามเขา และนุ่งห่มใบไม้ และหนังสัตว์" รวมความว่า เรามีหลักฐานแวดล้อมนานัปการ ที่ทำให้น่าเชื่อได้ว่า "ชาวสุวรรณภูมิ" ผู้เคยรุ่งเรืองมาในอดีต ตั้งแต่สมัยก่อนพุทธกาล และมีความสัมพันธ์เป็นอันดีกับชมพูทวีป ตลอดมาอีกทั้งยังเป็นดินแดนที่พระเจ้าอโศกมหาราช ได้โปรดพระโสณะ-พระอุตตระ นำพระศาสนาเข้ามาประกาศ พร้อมกับอันเชิญอันเชิญพระบรมสารีริกธาตุเข้ามาประดิษฐานเป็นประเดิมที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็คือ "ชนชาติไทย"เราผู้เป็นเจ้าของ "สุวรรณภูมิแดนใจกลางเฉลียงตลอดมาจนตราบถึงปัจจุบันนี้นั้นเอง ขอมนั้นแต่เดิมไม่นิยมใส่เสื้อ ทั้งหญิงและชาย แต่ไทยกลับมีเสื้อโดยเฉพาะเสื้อจากผ้าไหมมากมายแต่โบราณกาล และชนชาติไทยก็หาได้เป็นพวกไร้วัฒนธรรมและรับเอาวัฒนธรรมของขอมมาเสียทุกอย่างอย่างที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านอ้าง
ชนชาติไทยนั้นมีวัฒนธรรมทำผ้าไหม ทอผ้าไหมมานานนับพันปีๆแล้วก่อนที่ขอมจะรู้จักจากไท และตามบันทึกหนังสือพ่อค้าชาวจีนเองก็ยังกล่าวว่า "ชาวขอมนั้นไม่รู้จักการทอผ้าไหม และเลี้ยงไหมสำหรับทอผ้าใดๆเลย ส่วนผ้าไหมที่เราค้าขายกลับเป็นของคนไทสกอเป็นผู้มาสอนชาวขอมหัดทอ และชาวขอมก็เริ่มนิยมการใส่ผ้าไ ่างไทย" ถิ่นกำเนิดของชนชาติไท ถ้าหากชนชาวไทยเป็นคนป่าอย่างที่เขมรกล่าวหาเรา เหตุไฉนเลยผู้มีอารยธรรมยิ่งใหญ่อย่างขอมกลับไม่รู้จักการทอผ้าไหม กลับต้องให้ชนชาติไทยนั้นเป็นผู้สอน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ว่าชนชาติไทยนั้น รับเอาวัฒนธรรมมาจากขอมอย่างเดียว แต่ขอมเองก็รับวัฒนธรรมจากชนชาติอื่นมาเหมือนกัน และชนชาตินั้นเองก็ย่อมเป็นชนชาติมีอารยธรรมสูงและนั้นถ้าหากไม่ใช่ชนชาติไทย แต่เพียงขอมนั้นมีจารึกและหลักฐานอันทนทานก็คือปราสาทสามยอดต่างๆ จึงกล่าวอ้างได้ว่าตนนั้นมีอารยธรรมสูง แต่หากหลักฐานแต่รายละเอียดของชนชาติตนกลับไม่ปรากฏชัดเจน และอาณาจักรรอบข้างจะมีก็เพียงจามคู่กรรมคู่เวรของขอมที่ขอมใส่รายละเอียดเป็นพิเศษ เป็นที่แน่นอนว่าชนชาติไทยไม่ได้เป็นชนชาติพึ่งมาแต่ประการใด แต่เป็นชนอารยธรรมสูงในแดนนั้นมาเนินนานแล้ว และย่อมมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมใกล้เคียงกันเป็นธรรมดา ไทก็เอาจากขอมบ้าง ขอมเองก็ย่อมรับมาจากไทเหมือนกันจะมาทางเชลยศึกหรือทางการค้าก็หาหลักฐานกันต่อไป แต่ที่แน่ๆไทยเองย่อมเป็นชาวมีอารยธรรมสูงมานานเช่นกัน ไม่เช่นนั้นแล้ว ไทยจะสามารถสร้างวัดวาอารามนับพันปี ด้วยว่าพึ่งอพยพและพึ่งรับอารยธรรมจากขอมไม่กี่ปีก็สามารถสร้างวัดวาอารามได้สวยวิจิตรพิศดารได้เลยหรือ เว้นเสียแต่ไทยนั้นมีอารยธรรมการสร้างมาแต่นานแล้วนับพันปี และตอนนี้ไทยก็เริ่มได้หลักฐานใหม่ๆมากมายทั้งอาณาจักรโบราณที่ขุดค้นพบ พร้อมทั้งกระดูกเครื่องใช้ที่เป็นวัฒนธรรมคล้ายชนชาติไต ตั้งแต่ยุคสมัยหินใหม่แล้ว เป็นที่ค่อนข้างยืนยันว่า ไท อาศัยบริเวณแห่งนี้มาเนินนานแล้ว และอารยธรรมไทย ก็ไม่ได้เป็นสองรองใครเลยจนถึงปัจจุบัน ปล.ขอมเองนั้นก็รับอารยธรรมอินเดียโบราณมาแบบไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าไม่ใช่ของอินเดีย และถ้าหากอารยธรรมไทยนั้นจะคล้ายอินเดียบ้าง |
ผลงานอื่นๆ ของ ขุนกำแหง ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ขุนกำแหง
ความคิดเห็น