ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของซิท ตอนที่ 1

    ลำดับตอนที่ #3 : เรื่องของซิท ตอนที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 56


    ซิทตัวจริง

     

    อะไรกัน ผมควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว พยายามมองหาอะไรบางอย่างที่สามารถใช้เป็นอาวุธในการฆ่าเจ้านั่น ผมเห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่งเสียบอยู่ในถังขยะจึงไปหยิบมันออกมาถือแอบเอาไว้ ความคิดเลวร้ายร้องสั่งผมในใจ

    ..อาวุธกระจอกพวกนั้นไม่มีทางฆ่าเจ้านี่ได้หรอก..พลังของซ้อดสิ พลังของซ้อดจะพามันไปทิ้งยังที่ไกลแสนไกลอย่างเช่นดาวอังคารหรือไม่ก็ดาวที่ไกลที่สุดในจักรวาลก็ได้ นายทำได้นี่นา นายเคยทำมาแล้ว..

    พลังของซ้อด..มันพูดถึงพลังของซ้อด  ..ซ้อดบ้าซ้อดบออะไร ผมไม่รู้จักเจ้านั่น ผมไม่รู้จักมัน ผมไม่อยากรู้จักมันเลยด้วยซ้ำ..  

    ..แค่นายใช้แขนโอบรัดมันไว้ พลังของซ้อดจะส่งมันไปยังนรกอเวจีทันที..

    “ไม่เอา ฉันไม่ทำแบบนั้นไม่ได้..ฉันไม่ทำ” ผมร้องลั่นเมื่อได้ยินชื่อของซ้อด ผมไม่อยากจดจำเรื่องของเจ้าคนที่ชื่อซ้อดนั่นอีกแล้ว

    “ฉันไม่ฆ่าใคร ฉันจะไม่ฆ่าใครอีกแล้ว”

    “พลังอำนาจคือสิ่งที่นายปฏิเสธไม่ได้ และนายจะต้องอยู่กับมันไปจนชีวิตจะหาไม่ นายไม่ฆ่า ก็จะมีคนมาฆ่านาย”

    เสียงใคร..  เสียงนั้นไม่เหมือนเสียงที่ออกมาจากในใจนั่น มันเป็นอีกเสียงหนึ่ง..

    “แกเป็นใครออกมานะ..”

    ผมมองและร้องหาเจ้าของเสียงโดยไม่กลัวว่าใครจะได้ยิน ยิ่งได้ยินสิดี ผมอยากเจอใครสักคนที่อยู่ในโลกแห่งการหยุดนิ่งนี้ จะได้ช่วยพาผมออกไปจากที่นี่เสียที

    “นายกำลังอยู่ในโลกแห่งความกลัวซิท” 

     มันไม่ใช่เสียงในใจของผมนี่นา..มันเป็นเสียงของคนอื่น เสียงผู้ชายแหบแห้งน่าจะมีอายุพอสมควร ผมมองไปในเงามืดของซอกตึกใกล้ๆ ผมแน่ใจว่าเสียงออกมาจากตรงนั้น

    “แกเป็นใคร” ผมร้องถามออกไป “แกรู้จักชื่อฉันได้ยังไง..”

    “ฉันเป็นใครไม่สำคัญ สำคัญที่ว่านายเป็นใครต่างหาก”

    “ออกมาพูดกันตรงที่สว่างๆ ไม่ดีกว่าเหรอ”

    “ฉันคือพวกเหนือมนุษย์เหมือนกับนาย..”

    “พวกเหนือมนุษย์..”

    แล้วเสียงนั้นก็ปรากฏกายออกมาให้ผมเห็น ร่างดำมืดยืนอยู่ในความมืดตรงหน้า ผมเดาจากน้ำเสียงก็รู้ว่าชายคนนี้คงอายุราวๆ สี่ห้าสิบปี ไม่สิ อาจจะหกสิบหรือเจ็ดสิบมากกว่า

    “ฉันเป็นคนหยุดเวลาเอง พลังของฉันคือหยุดเวลาบนโลกได้” เสียงชายในเงามืดพูดต่อ “..เมื่อเวลาหยุดลง สิ่งมีชีวิตก็จะหยุดหายใจ หยุดกิจกรรมทุกอย่าง หยุดการมีชีวิต พวกมนุษย์เมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัยและตายลง เวลาในชีวิตก็จะหยุดลง จะมีสภาพที่เหมือนกับหยุดอยู่กับที่ จิตจะเคลื่อนไหวได้อิสระบนโลกที่หยุดนิ่งแบบนี้เหมือนกับที่นายกำลังเป็นอยู่ไงล่ะ”

    “แกกำลังบอกว่าที่นี่คือโลกของคนตายรึ...”

    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระสุดท้าย มนุษย์ทุกคนจะพบกับโลกที่หยุดนิ่งแบบนี้ นั่นทำให้คนๆนั้นไม่สามารถสื่อสารอันใดกับโลกเดิมได้อีกต่อไป”

    “ออกมาให้ฉันเห็นหน้าเถอะ” ผมขอร้อง

    “มาเข้าเรื่องกันดีกว่าหนุ่มน้อย ฉันให้สิทธิ์นายทำอะไรก็ได้กับร่างเจ้านั่น นายสนใจมั้ย”

    “อะไรนะ แกพูดอะไรของแก..จะให้ฉันทำอะไรนะ...” ผมชี้นิ้วไปที่ร่างของเจ้าหนุ่มเอลนั่น

    “นายฟังไม่ผิดหรอก จัดการเจ้านั่นเลย ทำทุกอย่างให้เป็นไปตามกฏ”

    “กฏอะไรของแก..”

    “กฏเหนือโลก กติกาของพวกเหนือมนุษย์คือการแย่งชิงพลังของอีกฝ่ายมาเป็นของตนเอง ไม่มีพวกเหนือมนุษย์คนใดยับยั้งตนเองไม่ให้แย่งชิงพลังของผู้อื่นได้ พวกเราอยู่ในวัฏจักรแห่งกฏเหนือโลก มันคือชะตากรรมที่พวกเราหลีกเลี่ยงไม่ได้”

    “ชะตากรรมหลีกเลี่ยงไม่ได้...”

    ผมทวนคำนั้น ชะตากรรมบ้าบออะไรกันล่ะ..พวกเหนือมนุษย์ต้องฆ่ากันเองตลอดไปหรือนี่ ผมจะไม่ยอมทำแบบนั้นเด็ดขาด...

    “นายไม่ทำแต่เจ้านั่นทำแน่ เมื่อมันพบนาย มันจะฆ่านายเหมือนฆ่าสุนัขตัวหนึ่ง ไม่เชื่อก็ตามใจ อยากตายก็เชิญ ฉันไม่ห้ามนายอยู่แล้ว”

    “ตาแก่ ฉันอยากรู้ว่าแกเป็นใครมากกว่า บอกมาสิว่าแกเป็นใคร เดินออกมาจากตรงนั้น”

    ผมกำหมัดแน่น ร่างในความมืดนั้นหายวับไป แต่เสียงในใจก็ดังขึ้นอีก ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกอันพลุ่งพล่าน

    ใช่สิ ต้องฆ่ามัน ต้องฆ่าเจ้านั่นซะ ทำตามกฏ...ทำตามเจ้าแก่นั่นบอก

    ทำตามกฏบ้าอะไรกันล่ะ ผมไม่ทำหรอก..

    ผมพยายามข่มความรู้สึกอันเลวร้ายนั้นไว้ ไม่ให้มันส่งเสียงออกมาพูดอีก เสียงตาแก่นั่นคนเดียวก็มากพอแล้ว ผมจะไม่ยอมทำตามคำสั่งของมันเด็ดขาด ผมพยายามทบทวนดูว่าเสียงชายแก่คนนั้นดังขึ้นเมื่อตอนที่ผมกำลังคิดหาคนช่วยอยู่นี่นา เขาน่าจะไม่ใช่พวกที่คิดร้าย แต่เขาจะมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่าผมยังไม่แน่ใจ หรือว่ามันอาจจะเป็นตัวตนเดียวกับเสียงในใจซึ่งคอยล่อลวงผม

    แต่เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ เสียงตาแก่นั่นไม่น่าจะเป็นเสียงในใจซึ่งเป็นด้านมืด ผมแปลกใจว่าทำไมถึงมั่นใจเช่นนั้น

    “นายฆ่ามันได้ นายมีสิทธิ์ พวกเหนือมนุษย์ไม่ได้อยู่ในกฏเกณฑ์แห่งโลกนี้ ไม่มีกฏหมายใดใดในโลกห้ามพวกเราได้”

    เสียงชายแก่พูดขึ้นอีกแต่ผมยังไม่เห็นร่างในเงามืดนั้นอีก

    “ฉันเห็นวาระสุดท้ายของเจ้านะ...”

    “วาระสุดท้ายบ้าอะไรล่ะ” ผมอดทนไม่ได้อีกแล้ว

    “วาระสุดท้ายของมนุษย์โง่งมที่ใจอ่อนพาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของผู้อื่นจนเอาตัวไม่รอดยังไงล่ะ...”

    “แกพูดอะไร..จะบอกว่าฉันช่วยคนอื่นจนตัวตายเหรอ..”

    “ถูกต้องแล้ว”

    “เรื่องจริงนะ วันหนึ่งนายจะตายเพราะเรื่องของคนอื่น”

    “ไม่มีทางเสียล่ะ..” ผมใคร่ครวญ “..แต่ถึงแม้จะต้องตายเพราะช่วยผู้อื่น ฉันก็ยอม..เพราะนั่นคือศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่ของฉัน”

    “โอ เจ้ามีศักดิ์ศรีเสียจริง อย่าลืมนะว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์หรอกนะ พวกเราไม่ต้องมีศักดิ์ศรีหรอก ศักดิ์ศรีเป็นสิ่งจอมปลอม เจ้ายังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเลยนี่นาจะสนเรื่องศักดิ์ศรีเพื่ออันใดกัน ทุกวันนี้เจ้าก็ยังแบ่งปันอะไรบางอย่างกับคนอื่นอยู่มิใช่หรือ..”

    ชายแก่ในเงามืดพูดเรื่องซึ่งติดค้างในใจของผมมาตลอด ผมแบ่งปันอะไรกับใคร...เจ้าคนนั้นคอยเข้ามายึดครองร่างของผมอยู่บ่อยๆ เขาเป็นใคร ผมยังไม่รู้จักเลย ..ทำไมตาแก่ถึงรู้เรื่องนี้ล่ะ

    ตาแก่อาจจะเป็นคนๆนั้นก็เป็นได้ 

    แต่เมื่อฟังจากคำพูดของเขาตั้งแต่ต้น ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนๆนั้น ที่คิดอย่างนั้นเพราะคนๆนั้นไม่เคยสื่อสารอะไรกับผมเลย

    “แกคงไม่ได้เป็นเจ้าคนๆ นั้นหรอกนะ” ผมร้องถามออกไป เงาร่างก็ปรากฏยืนในเงามืดอีก

    “เจ้าคิดถูก ฉันไม่ใช่คนที่แอบใช้ร่างของเจ้า เจ้านั่นใช้ร่างเจ้าโดยไม่ขออนุญาต เจ้าสมควรที่จะโกรธแค้นมันแล้ว”

    “โกรธสิ ถ้าเจอมัน ฉันจะฆ่ามันกับมือ” ผมกำหมัดด้วยความแค้น ความโกรธมักดึงความเลวร้ายออกมาเสมอ

    “เจ้าต้องเข้มแข็ง เมื่อเจ้ามีจิตสมาธิที่เข้มแข็ง เจ้านั่นก็จะไม่สามารถมาใช้ร่างของเจ้าได้อีก เรากลับมาที่เรื่องเจ้าหนุ่มนั่นดีกว่า เจ้าต้องฆ่ามันเสียก่อน ต้องฆ่ามันแล้วค่อยมาพูดกัน ฆ่ามันเดี๋ยวนี้ก่อนที่เจ้าจะไม่มีโอกาสดีๆเช่นนี้อีก”

    “..ฉันไม่ฆ่าใคร ฉันทำไม่ได้”

    “เจ้าพูดอะไรโง่ๆ ออกมา”

    ………………………………………………………………

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×