เรื่องของซิท ตอนที่ 1 - นิยาย เรื่องของซิท ตอนที่ 1 : Dek-D.com - Writer
×

    เรื่องของซิท ตอนที่ 1

    ซิทผู้มีความสามารถ เขาพยายามขับไล่อีกบุคลิกหนึ่งให้ออกไปจากจิตของเขา และดาวิดมนุษย์อนาคตคือบุคลิกนั้น

    ผู้เข้าชมรวม

    117

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    117

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  4 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  28 ก.พ. 56 / 19:35 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ผมคือซิท

     

    ผมคือพวกเหนือมนุษย์

    ผมเชื่อมาแต่แรกแล้วว่าโลกซึ่งผมเหยียบอยู่นี้ เป็นโลกอันแสนสลับซับซ้อน ไม่ใช่มีเพียงผมคนเดียวที่เป็นคนแปลกประหลาดแบบนี้ มีผู้คนอีกมากมายที่เป็นพวกเดียวกันกับผม พวกเราไม่ใช่มนุษย์ เพียงแค่เหมือนมนุษย์เท่านั้น ถ้าจะถูกเรียกว่าเป็นพวกลูกครึ่งก็คงไม่แปลก ผมเคยคิดว่าบรรพบุรุษของเราอาจจะมีหน้าตาเหมือนพวกเอเลี่ยนหรือมนุษย์ต่างดาวก็ได้ และการที่พวกเรามีหน้าตาเหมือนมนุษย์ได้ก็อาจจะเป็นเพราะวิวัฒนาการและการสืบพันธุ์

    ผมคิดเอาเองว่าบรรพบุรุษของเราอาจจะมายังโลกเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ บางครั้งผมก็เหมาเอาว่าผมมาอยู่บนโลกเพื่อคอยกอบกู้โลกและช่วยเหลือผู้คนบนโลกนี้ แต่จะมีพวกเหนือมนุษย์คนใดคิดเหมือนผมบ้างหรือเปล่าผมไม่รู้ ผมอาจจะฟุ้งซ่านไปเอง แต่เมื่อคิดได้แบบนี้ก็ทำให้มีกำลังใจ และนี่คือสิ่งปลอบใจให้ผมใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนโลกนี้ได้

    ผมมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตในโลกที่สงบสุขและมีสันติกว่ายุคไหนๆ โลกอันแตกต่างจากเมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งมีแต่สงคราม ทุกข์เข็ญ การพลัดพราก แม้จะรู้สึกว่ามนุษย์อย่างผมเกิดมาก็มีสัญชาตญาณแห่งการต่อสู้ป้องกันตัวอยู่ในสายเลือดแล้วก็ตาม แม้ไม่ต้องสู้กับใครผมก็ยังต้องฝึกฝนไว้เพื่อการเผชิญหน้ากับศัตรูในอนาคต  ผมมีสัญชาตญาณระวังภัยติดตัว มันอาจจะมีไว้เพื่อป้องกันตัวจากเภทภัยซึ่งยังมองไม่เห็น เหมือนตัวจับสัญญาณภัยซึ่งกำลังจะกล้ำกรายมาถึงตัว เหมือนสัมผัสพิเศษซึ่งในหลายๆครั้งรู้สึกได้

    แม้ผมจะเป็นพวกเหนือมนุษย์แต่ก็ใช่ว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงกว่ามนุษย์ ในบางเวลาผมดูอ่อนแอกว่ามนุษย์เสียด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะผมเป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรังซึ่งรักษาไม่หายมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังมีโรคๆหนึ่งซึ่งผมเรียกมันว่าโรคหลับลึกเล่นงานอยู่เสมอ อาการของมันก็คือการหลับผิดปกติซึ่งคนทั่วไปไม่ค่อยจะเป็นกัน

    ตอนเด็กๆ ผมมักนั่งหลับอยู่บนรถระหว่างทางเดินกลับบ้าน บางทีไปนอนหลับอยู่ในห้องเก็บของจนพ่อแม่นึกว่าหายตัวไปไหน และทุกครั้งที่เป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะปลุกอย่างไรผมก็ไม่ยอมตื่น และทุกครั้งจู่ๆ ผมก็จะตื่นเองขึ้นมา

    มันคือเรื่องประหลาดซึ่งยืนยันว่าตัวตนของผมไม่เหมือนมนุษย์ใดใดบนโลกนี้

    ระยะหลังนี้ ทุกครั้งที่ผมหลับลึก ผมมักรู้สึกตัวตื่นขึ้นและพบว่าตนเองไปอยู่ในสถานที่ที่มืดมิด อยู่ในที่แคบๆ แปลกประหลาดเกินคำบรรยาย เคลื่อนไหวร่างกายเหมือนลอยตัวในน้ำ ข้างหน้าเป็นกระจกด้านหลังกระจกนั้นมีแต่ความมืดซึ่งสะท้อนให้เห็นใบหน้าและผมเผ้าซึ่งดูไม่ชัดเจนนัก กระจกนั้นโค้งเว้า ผมรู้สึกใจหายวาบเพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นโลงแก้วใสใบใหญ่ ทำให้ตกใจเพราะคิดว่าตนเองได้ตายไปแล้ว

    ผมใช้มือสัมผัสมันก็พบว่ามันคล้ายแคปซูลสำหรับนอนในการเดินทางในอวกาศ ผมเคยเห็นแคปซูลแบบนี้ในสารคดีเกี่ยวกับการเดินทางในอวกาศ อุปกรณ์ซึ่งมีไว้สำหรับนอนในการเดินทางไกลในอวกาศ

    ตัวของผมลอยอยู่ในหลอดแก้วนั้น ไม่ใช่ว่าตัวลอยได้แต่กำลังลอยอยู่ในน้ำต่างหาก น้ำยาสีเหลืองบรรจุอยู่เต็มหลอดแก้วมันเหนียวเหนอะแต่รู้สึกปลอดโปร่งคล้ายกับว่าตัวน้ำยาแทรกซึมอยู่ในรูขุมขนทั่วร่าง เท้าไม่ได้แตะพื้นทำให้ผมลอยตัวอยู่ในนั้นได้เหมือนอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก น้ำยาสีเหลืองมีอุณหภูมิเกือบเท่าอุณหภูมิของร่างกายมนุษย์ ผมรู้สึกอึดอัดที่ปากเพราะมีเครื่องช่วยหายใจครอบปิดอยู่ มันส่งอ๊อกซิเจนมาจากท่ออ๊อกซิเจนที่ไหนสักแห่ง ผมสามารถลืมตาอยู่ในน้ำยาสีเหลืองได้โดยที่ไม่แสบตาสักนิด แต่ก็มองอะไรได้ไม่ชัดเจนนัก แค่เคลื่อนไหวลูกตากลอกกลิ้งไปมาได้เล็กน้อยเท่านั้นไม่สามารถก้มหรือเงยหน้าได้ ผมตกใจที่ทำได้เพียงแค่นั้น ผมจึงพยายามเหลือบมองดูบริเวณเบื้องหน้าซึ่งก็ทำได้เพียง 180 องศาเท่านั้น ผมเห็นสายระโยงระยางจากด้านบนพาดลงมาเพื่อเชื่อมต่อที่ขมับ ศีรษะและตามจุดสัมผัสต่างๆ ทั่วร่าง ผมคิดว่าสายยางพวกนี้คงเป็นตัวตรวจสอบและควบคุมอวัยวะสำคัญต่างๆ ว่าทำงานตามปกติหรือไม่

    ผมไม่สามารถสั่งการร่างกายส่วนต่างๆ ได้จริงๆ อะไรกัน..ที่ผมทำได้ก็แค่เพียงกระดิกนิ้วมือนิ้วเท้าเท่านั้น ไม่สามารถสั่งมือให้กำได้ ไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวร่างกายส่วนใดได้อีกเหมือนคนที่เป็นอัมพาต ผิวกายทั่วร่างล้วนถูกน้ำยาสีเหลืองทำปฏิกิริยาอยู่เหมือนกับว่าน้ำยานั้นซึมเข้าสู่กระแสเลือดทำปฏิกิริยากับเซลล์ต่างๆทั่วร่าง ผมแน่ใจว่าร่างกายของผมเวลานี้คงเปลือยเปล่าอยู่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรนอกจากกางเกงในตัวเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่าได้สวมอยู่  

    อะไรกันนี่ นี่มันร่างกายของผมหรืออะไรกันแน่ ทำไมผมรู้สึกแปลกๆแบบนี้นะ ผมอยากออกจากหลอดแก้วใจแทบขาด อยากออกไปดูสิว่าที่นี่มันที่ไหนกัน ผมคิดว่าถ้าบังคับร่างกายนี้ได้ก็คงพาตัวเองออกไปได้ แต่ตอนนี้ทำได้แค่กระดิกนิ้วเท่านั้น จะคิดทำอะไรได้อีกล่ะ 

    ผมอยู่ที่ไหนสักแห่ง อาจจะไม่ใช่โลกของผม บรรยากาศดูน่ากลัว รอบๆตัวมีแต่ความมืดมิดจนมองไม่ออกว่ามันคือที่ใด ทำให้ผมคิดว่าที่นี่อาจจะเรียกว่าโลกหลังความตายก็เป็นได้ สัมผัสของผมบอกว่าไม่ใช่โลกมนุษย์ที่ผมอยู่แน่

    ผมอยากรู้ใจแทบขาดแต่ร่างกายก็กลับเข้าสู่ภาวะหลับลึกอีกครั้ง

    ผมไปแบบนั้นหลายครั้งและทุกครั้งความพยายามก็ไม่เป็นผลสักครั้ง ผมจมอยู่ในความมืดดำแห่งปริศนานั้นอยู่นาน จนกระทั่งครั้งหนึ่งผมได้พบว่ามีแสงสว่างเพิ่มขึ้น ทำให้เมื่อมองออกไปที่นอกหลอดแก้วก็พบว่ามีหลอดแก้วอยู่ที่ข้างๆ ทำให้รู้ว่าเอียงคอได้มากกว่าเดิม ที่หลอดแก้วข้างๆ มีเงาหน้าของใครสักคนปรากฏขึ้น ผมหรี่ตาก็เห็นว่าเป็นใบหน้าด้านข้างของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอหลับตาพริ้มอยู่ คิ้วคางนั้นได้รูปจมูกโด่งเป็นสัน หน้าผากโหนกกว้างผมยาวสีทองปล่อยสยายลอยอยู่ในน้ำ แค่องค์ประกอบนั้นก็ทำให้รู้ว่าเธอคงเป็นคนสวยคนหนึ่ง

    จู่ๆ หลอดแก้วนั้นก็มีเสียงดังขึ้น คงเป็นเพราะเครื่องจักรกำลังทำงาน น้ำซึ่งมีอยู่เต็มหลอดแก้วค่อยๆไหลออกจนหมด เธอลืมตารู้สึกตัวขึ้น ใช้มือแกะสายระโยงระยางต่างๆที่ติดอยู่ตามตัวออกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะและเปิดล๊อคฝาหลอดแก้วจากด้านในออกแล้วก้าวเท้าเดินออกมาหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่ใกล้ๆมาเช็ดผมและเนื้อตัว ผมเพิ่งเห็นว่าร่างของเธอเปลือยเปล่าไม่สวมผ้าสักชิ้น ขณะที่ไอความร้อนจับเป็นฝ้าขึ้นเต็มผิวหลอดแก้วที่ผมอยู่ ทำให้ผมมองไม่เห็นร่างของเธอได้ชัดเจน ที่สุดเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้าของผมด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวนั้นห่อหุ้มตัวอยู่

    เธอมองแล้วยิ้มทักทายผมเหมือนกับว่ารู้จักกับผมมาก่อน แต่ผมไม่รู้จักเธอสักนิด เธอคือใครกัน เธอยกนิ้วชี้ชูนิ้วโป้งเหมือนยิงปืนใส่ผมก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในความมืดตรงหน้า

    เธอคือใครกัน..

    เธอสวยมาก ดวงตากลมโตเป็นประกายผมสีทอง ใครกันนี่..ผมครางด้วยความตะลึงลาน เธอคือเทพีนางฟ้าหรืออันใดกัน ผมอยากรู้จักเธอจนแทบอดใจรอไม่ได้

    โลกหลังความตายมีนางฟ้าเช่นนี้ ทำให้ผมรู้สึกไม่กลัวความตายอีกต่อไปแล้ว

    ...........................................................................................................................

     

    ผมคิดว่านั่นคือความฝันที่เกิดขึ้นหลังจากอาการหลับลึก แต่ผมกลับได้รับรู้ความจริงว่าอาการหลับลึกนั้นอาจเป็นแค่ความคิดของผมเพียงฝ่ายเดียว ผมไม่ได้หลับไปจริงๆ ผมแค่หมดสติไปเพียงนาทีหรือสองนาทีเท่านั้น ที่ผมคิดเช่นนั้นก็เป็นเพราะได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดจับภาพทุกอย่างในห้องไว้เพื่อพิสูจน์เรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่ผมหลับไปนั้น และผมก็ได้พบว่าแทบทุกครั้งที่เข้าสู่ภาวะหลับลึก ผมมักทำตัวเหมือนคนละเมอ เดินออกไปจากห้องพักและหายตัวไปเป็นวันๆ จึงกลับเข้าบ้าน ซึ่งมันขัดกับตัวตนของผมซึ่งชอบหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน

    ผมดูภาพจากกล้องบันทึกนั้นด้วยความรู้สึกว่าทำไมตัวเองละเมออะไรได้ถึงขนาดนั้น เหมือนไม่ใช่ตัวเอง ไม่เหมือนคนละเมอสักนิด ภาพนั้นสิ้นสุดลงเมื่อผมก้าวเท้าเดินออกจากห้อง หลังจากกรอภาพเดินหน้าและถอยหลังไปมาซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ผมก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าผมเป็นอะไรไป ทั้งที่มั่นใจว่าคนในวีดิโอนั้นคือผม แต่ความรู้สึกกลับบอกว่านั่นไม่ใช่ผม

    แล้วอะไรกันล่ะ ไม่ใช่แล้วคืออะไรกัน...

    ความรู้สึกบอกว่าเหมือนมีใครสักคน

     

    อยู่ในตัวของผมขณะที่ผมหลับลึก ใครสักคนควบคุมผมเอาไว้ เหมือนถูกสะกดจิต เสียงบันทึกที่ได้ยินนั้นบอกให้รู้ว่าหลายครั้งที่ร่างนั้นพร่ำบ่นอะไรอยู่คนเดียว ได้เรียกชื่อตัวเองว่าดาวิด และคำพูดพร่ำต่างๆ นานา เช่น

    ดาวิดเอ๋ย..นายมาทำอะไรในร่างนี้..

    ฉันต้องตามหาแมดให้ได้ไม่ว่าจะใช้เวลากี่ปีก็ตามที...

    ถึงแม้ทุกครั้งจะกลับได้.. แต่ถ้าฉันกลับไปไม่ได้ล่ะ จะทำยังไงกันดี..

    ถ้ากลับไม่ได้..ฉันต้องตายที่นี่หรือนี่...

    และครั้งหลังๆ ผมก็ได้ยินชื่อเด็กสาวคนหนึ่ง เขาเรียกเธอว่าไอย่า  และเขามักจะพร่ำบ่นว่า  ..ไอย่าชอบเจ้าเด็กนั่นหรือไงนะ..เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเห็นเจ้าเทตสุโอะนั่นดีกว่าฉัน..

    บางทีก็พร่ำถึงพ่อ  ...พ่อจะรู้เรื่องหรือยังนะ...ถ้ารู้จะทำยังไงดี...

    และคำพูดสุดท้ายที่ทำให้ผมแน่ใจว่าร่างนั้นไม่ใช่ผมอย่างแน่นอนก็คือ

    ทำไมเจ้าบ้าซิทไม่พาฉันเข้าโลกต่างมิตินะ.. มันหายไปไหนกันนะ..มันไปอยู่ที่ไหนของมัน...

    ผมมึนไปหมด แต่ก็ไม่กล้าฟันธงไปว่าคนที่เห็นในกล้องนั้นไม่ใช่ผม ผมอาจจะแค่สับสนอะไรบางอย่างเท่านั้น หรือว่าผมเป็นโรคจิต

    ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอกน่า..

    ผมพร่ำปลอบใจตัวเอง แต่ทำยังไงได้ ตราบใดที่ยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ ผมยังไม่ยอมรับว่าตัวเองบ้าเด็ดขาด ผมคิดว่านั่นคือผลข้างเคียงของอาการหลับลึก หรือไม่ก็อาจจะเป็นอาการของโรคอะไรสักอย่างที่เป็นเฉพาะกับพวกเหนือมนุษย์เท่านั้น โรคนั้นคืออะไรกัน....

    แล้วคนอื่นๆจะเป็นแบบนี้บ้างหรือเปล่านะ...

    ........................................................................................................................


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น