ดาวิด มนุษย์อนาคต - นิยาย ดาวิด มนุษย์อนาคต : Dek-D.com - Writer
×

    ดาวิด มนุษย์อนาคต

    เรื่องของโลกอนาคตซึ่งมาอยู่ในขนานเดียวกันกับโลกอดีต เรื่องราวของพวกเหนือมนูษย์และมนุษย์อนาคตจึงเกิดขึ้นที่นี่

    ผู้เข้าชมรวม

    224

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    224

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  8 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  28 ก.พ. 56 / 20:02 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    มนุษย์อนาคต

    ในจักรวาลนี้ มีมนุษย์ พวกเหนือมนุษย์ และพวกมนุษย์อนาคต มนุษย์เหล่านี้เชื่อมต่อกันด้วยสายใยแห่งชะตากรรม

     

    ที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง

    ชายหนุ่มร่างสูงโย่งผมยาวประบ่ากับเด็กสาวผมม้าปล่อยยาวเตี้ยเสมอหน้าอกของเขา ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ส่วนเด็กสาวอายุไม่ถึงสิบห้าปีดูคล้ายอากับหลาน ทั้งคู่จับมือกันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง ร่าเริงคล้ายคู่รักกัน

    สนุกจริงๆเด็กสาวยิ้มแย้มใบหน้าเปี่ยมสุข ไม่เคยสนุกแบบนี้มาก่อน

    ไม่เสียเที่ยวเลยเนอะชายหนุ่มบอกเด็กสาว ..เคยเล่นแต่เครื่องจำลองเท่านั้น ยังไงก็ไม่สนุกเหมือนของจริง

    ทั้งคู่เพิ่งลงมาจากเครื่องเล่นโรลเลอร์คอสเตอร์ซึ่งต้องนอนลงไปกับตัวเครื่องแล้วพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ในระยะทางวิ่งยาวไกลเกือบสามกิโลเมตรและจุดโค้งคดเคี้ยวนับร้อยจุดสร้างความเพลิดเพลินให้กับทั้งคู่อย่างมาก

    ไม่เคยสนุกสุดเหวี่ยงแบบนี้เลยนะ เสียดายที่โลกเราไม่มีของเล่นพวกนี้..” ชายหนุ่มเดินไปอมยิ้มไป ยังคงจับมือเด็กสาวไม่ปล่อย

    ใช่สิ น่าอิจฉาคนในยุคนี้ชะมัด

    ใช่ เรามาเติมเต็มชีวิตวัยเด็กของเราให้สุดเหวี่ยงกันดีกว่า ชายหนุ่มพูดพลางปล่อยมือและยกมือขึ้นเหนือศีรษะ ..ฉันอยากแบ่งปันความสุขนี้ไปให้เด็กๆที่โลกเราบ้างจัง

    เด็กๆบนโลกเราส่วนใหญ่ตายก่อนสิบขวบทั้งนั้น ดีนะที่พวกเรารอดมาได้

    ใช่ ฉันต้องหาทางช่วยพวกเขาให้ได้.. เด็กสาวสีหน้าเครียดกำหมัดแน่นมองไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย ชายหนุ่มผิวเนื้อดำแดงคล้ายคนเอเชีย ส่วนเด็กสาวหน้าเป็นเด็กฝรั่งตาโตใบหน้ามีกระเต็มแก้ม ดูเป็นเด็กน่ารัก

    ฉันจะเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อมนุษย์และแปลงเป็นรหัสพันธุกรรมบันทึกข้อมูลเข้าสู่จิตเพื่อส่งกลับไปยังโลกของเรา เด็กสาวพูดไปแววตากลับดูท้อแท้

    ทำเสร็จหรือยังล่ะ ไอคิวของเธอเท่ากับนักวิทยาศาสตร์เก่งๆคนหนึ่งในยุคนี้นี่นา..” ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กสาวท้อแท้  หรือว่าที่คิดเอาไว้ทำไม่ได้..

    ก็ใช่น่ะสิ มันไม่เป็นไปอย่างที่คิดเลย ที่นี่ไม่มีเครื่องมือที่จะทำแบบนั้น ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อไปดี ยังไงก็ต้องหาทางดัดแปลงเครื่องมือพวกนั้นให้ได้

    มันไม่ยากเกินความสามารถของเธอหรอกน่า

    อย่าพูดเรื่องนั้นเลย ไปหาอะไรกินดีกว่า เด็กสาวคลำท้องเพราะท้องร้อง ฉันชอบข้าวราดแกงกะหรี่ที่แถวทางด่วน

    เอาสิ ก็อยู่ไม่ไกลนี่

    ขี้เกียจเดิน.. เด็กสาวทำหน้าเบื่อหน่าย

    ขี้เกียจจังนะ

    เธอขมวดคิ้วยันศอกกระทุ้งไปที่พุงของเขา แต่เขากลับเอี้ยวตัวหลบได้ทัน

    อย่าเล่นแบบนี้สิไอย่า คราวที่แล้วก็ทีแล้ว จุกจนน้ำตาเล็ด..

    ชายหนุ่มเรียกเธอว่าไอย่า ทั้งสองก้าวเท้าเดินไปเรื่อยๆ

    นายบ้าดูหนังเสียจริง วันๆเข้าแต่โรงหนัง ไม่เบื่อบ้างรึเด็กสาวแขวะ

    โดยเฉพาะหนังคลาสสิคเก่าๆ ทั้งที่วิทยาการของโลกเราก้าวหน้ากว่าที่นี่เป็นไหนๆ แต่โรงหนังที่นี่ให้อารมณ์มากกว่าจริงๆ

    แต่ที่นี่คงจะสงบสุขได้อีกไม่นานหรอกนะ วันหนึ่งก็ต้องถูกทำลายเหมือนโลกของเรา

    ถ้าเป็นไปได้ หากฉันได้พลังอำนาจนั้นมา ฉันจะรักษาโลกที่สงบสุขนี้ไว้และจะปกป้องมันจนถึงที่สุดชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

    เรามาที่นี่ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่นา ซิท

    ชายหนุ่มซึ่งถูกเรียกว่าซิทหยุดเดิน จ้องหน้าเด็กสาวและถามขึ้น

    ถามจริงเถอะ เธอมาที่นี่เพราะต้องการกอบกู้โลกจริงๆหรือ

    เด็กสาวอึ้งและพูดขึ้นด้วยเสียงหนักแน่น

    ใช่สิ ถามทำไม หรือว่านายไม่แน่ใจอุดมการณ์ของฉัน

    การกอบกู้โลกเป็นจุดประสงค์ร่วมกันของเรานี่นา และเราจะต้องทำให้สำเร็จ

    นายอย่าท้อซะก่อนล่ะกันซิท

    เขาชื่อซิท เธอชื่อไอย่า ทั้งคู่ดูคล้ายเป็นพี่น้อง แต่กลับไม่ใช่ คำพูดและการวางตัวเหมือนเพื่อนหรือแฟน ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูคลุมเครือด้วยที่มาอันสลับซับซ้อน ที่สำคัญทั้งคู่เหมือนไม่ใช่มนุษย์ของโลกนี้

    ไปกันเถอะหิวแล้ว

    ซิทจ้ำอ้าวเพราะท้องร้อง เมื่อรู้สึกตัวว่าไอย่ายังไม่เดินตามมาจึงหันไปร้องอย่างอารมณ์เสีย

    อะไรอีกล่ะ

    ซิทเดินกลับมา ไอย่าจ้องหน้าซิทไม่กระพริบตา

    ขอบใจนายนะที่ช่วยปกป้องฉันมาตลอด ถ้าไม่มีนายฉันคงทำเรื่องต่างๆ ไม่สำเร็จหรอก

    ขอบใจอะไรกันล่ะเธอต่างหากที่เป็นมันสมองของฉัน ถ้าไม่มีเธอฉันคงมาที่นี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ...

    แต่ยังไงฉันก็สู้สมองอัจฉริยะของเธอไม่ได้หรอก

    เราต่างคนต่างช่วยเหลือกันต่างหากล่ะ..

    ใช่สิ เราต่างคนต่างช่วยเหลือกัน..”

    เด็กสาวจับมือชายหนุ่มมาบีบไว้แน่น เขาไม่พูดต่อจูงมือเธอออกวิ่งเพราะหิวแสบไส้ จุดหมายของทั้งคู่คือร้านข้าวราดแกงกระหรี่ที่ไชน่าทาวน์ซึ่งอยู่ห่างออกไปราวครึ่งกิโลเมตร

     

     

     

    เรื่องของซิท

     

    มนุษย์อนาคตแทบทุกคนมีคู่เหมือนอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งเสมอ บางคนอาจจะมีสองคนหรือสามคนในโลกมิติต่างๆ พวกนั้นถูกเรียกว่าคู่เหมือน และบรรดาคู่เหมือนจะอยู่ในโลกต่างมิติคู่ขนานใกล้ๆกัน ซึ่งเวลาบนโลกนั้นกำลังเดินไปพร้อมๆ กัน

     

    เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์อนาคตจะมีคู่เหมือนของตนอยู่ที่โลกอดีตที่ไหนสักแห่งซึ่งกำลังเดินขนานในมิติเวลาเดียวกัน ผมศึกษาเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก ได้ยินครั้งแรกจากปากของพ่อ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องราวที่ไม่มีคำอธิบายที่มีเหตุผลมาสนับสนุนเพียงพอก็ตาม แต่เมื่อมันออกจากปากของพ่อซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ผมจึงเชื่อเรื่องนี้โดยไม่มีข้อสงสัย ต่อมาเมื่อผมโตขึ้นผมจึงคิดว่าต้องพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยความสามารถของตนเอง 

     

    ผมพยายามศึกษาเรื่องนี้มาตลอด จนวิเคราะห์ได้ว่ามันเป็นเรื่องของกฏเหนือโลก มีแต่คนพูดถึงกฏเหนือโลกแต่ไม่เคยมีใครเคยเห็นบันทึกของกฏเป็นรูปร่างเลยสักคน มันคือปริศนาซึ่งเราทุกคนถูกเรียนรู้ให้ใช้จิตเข้าถึง พ่อบอกว่าผู้แก่กล้าทางจิตจะสามารถเข้าถึงได้ ส่วนผมบางครั้งก็เข้าได้ บางครั้งก็ไม่ได้ พ่อบอกว่าอยากพิสูจน์ก็ต้องฝึกฝนจิตให้แข็งแกร่งเท่านั้น 

    ไม่ว่าผมจะพยายามค้นคว้าเพียงใด ก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพึงพอใจ แต่สิ่งที่ผมสัมผัสได้ในใจนี่สิ สำคัญ เหมือนอย่างที่พ่อบอก ความลับทั้งหมดอยู่ที่จิต ทุกอย่างที่ผมตามหาไม่ใช่บันทึกของกฏเหนือโลก ที่ผมต้องตามหาคือจิตอันกล้าแข็งที่สุดในจักรวาลนั้นต่างหาก

    ประชาชนที่โลกของผมไม่รับรู้เรื่องราวอันใดนอกจากเกิดมาเพื่อเชื่อฟังคำบอกเล่าและภาระหน้าที่ของบรรพบุรุษ เกิดมาเพื่อทำสงครามต่อสู้ปกป้องแผ่นดินถิ่นเกิด พวกเรามีเพียงแค่ความสุขเล็กๆน้อยๆ ในยามพักรบ เช่นเล่นกีฬา ดูภาพยนต์เก่าๆ สมัยที่มนุษย์ยังมีความสุขอยู่บนโลก ตั้งแต่เด็กผมได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นวิทยาการหลงเหลือของโลกจากบันทึกและจากคำสอนของครู แต่คนที่ให้ความรู้กับผมมากที่สุดก็คือพ่อของผม พ่อซึ่งให้พรสวรรค์ซึ่งถ่ายทอดมากับยีนส์ในกาย ความอัจฉรียะของพ่อถ่ายทอดมาที่ผมอย่างไม่ต้องสงสัย ผมมั่นใจในเรื่องนี้

     

    ผมคืออัจฉริยะ

    หกขวบผมจบหลักสูตรที่เทียบเท่าปริญญาเอกในอดีต ผมมีความรู้เทียบเท่านักวิทยาศาสตร์ในวัยไม่ถึงสิบขวบ แต่การมีชีวิตในโลกของผมนั้นจะหลีกเลี่ยงหลักสูตรการต่อสู้ป้องกันตัวไม่ได้  ผมจึงต้องเรียนการใช้อาวุธและการต่อสู้ทุกรูปแบบมาแต่เด็ก แม้ผมจะไม่ชอบการต่อสู้ แต่เมื่อคิดถึงการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ของผมในวันข้างหน้าแล้ว ผมก็ต้องอดทนฝึกศิลปะป้องกันตัวไว้เพื่อป้องกันตัวเอง ผมคิดว่าโลกวัยหนุ่มของผมคือโลกแห่งการผจญภัยแต่ผมก็ต้องปกป้องโลกของผมด้วย มันคือภาระหน้าที่ของพวกเราทุกคนซึ่งเกิดมาในโลก ภาระมากมายรอผมอยู่ในอนาคต ผมมีความฝันมากมายด้วย 

    และผมกำลังสานฝันนั้นด้วยอัจฉริยะภาพในตัวของผม ผมมีคู่เหมือนอยู่ที่โลกต่างมิติซึ่งอยู่ในโลกอดีต โลกซึ่งผมได้เรียนรู้มาแล้วว่าอยู่ ณ ตำแหน่งแห่งหนใดในจักรวาล และด้วยเครื่องส่งพลังข้ามมิติที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการเดินทางนี้ ผมจะไปยังร่างนั้นเหมือนที่ด้อกเตอร์โดลวีรบุรุษของเราเดินทางไป เหมือนอย่างที่เดลผู้สานต่อเดินทางไปและผมได้ไปตามหาฝันของผมที่นั่น โลกในอดีตกาล โลกซึ่งสลับซับซ้อนเกินความคาดหมายของใครต่อใคร และเมื่อที่นั่นมีคนที่ผมรักอยู่ ผมพร้อมที่จะเสี่ยงภัยเพื่อเดินทางไปที่นั่นให้จงได้

    ผมจะไปหาเธอ แม้นว่าจะมีอันตรายรออยู่ข้างหน้ามากมายก็ตาม ผมมองร่างของเธอในเครื่องส่งพลังข้ามมิติ ใช้จิตสัมผัสของร่างของเธอที่ลอยตัวอยู่ในน้ำยาเหลวสีเหลืองนั้นท่ามกลางสายระโยงระยางวุ่นวาย เมื่อผมใช้พลังจิตก็เห็นร่างที่เธอไปในโลกอดีต ร่างนั้นคือเด็กสาววัยสิบสี่ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เธอไปผจญภัยอยู่ที่นั่น ที่ซึ่งผมแน่ใจว่าคือโลกมิติเดียวกันกับร่างที่ผมกำลังจะไป

    ซิทคือชื่อของร่างนั้น ซิทคือพวกเหนือมนุษย์ คู่เหมือนของผมในจักรวาลซึ่งคู่กันด้วยชะตากรรมที่ยากจะเปลี่ยนแปลง ผมกำลังจะไปได้ด้วยเทคโนโลยี่อันล้ำหน้านี้ เราไปกันด้วยการส่งผ่านจิตผ่านเครื่องส่งพลังข้ามมิติ ร่างกายของเรายังคงอยู่ที่เครื่องมือนี้ แต่ผมรู้สึกว่าแม้ไปเพียงแค่จิตแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าไปทั้งตัว คำโบราณที่ว่า จิตมนุษย์นั้นสำคัญกว่าร่างกาย ยามที่เราตาย เราจึงจะได้ล่วงรู้ถึงความสำคัญและความลับทั้งมวลของจิต พ่อบอกว่าจิตมนุษย์นั้นคือศูนย์กลางแห่งจักรวาล ร่างกายเท่านั้นที่สิ้นสูญ จิตไม่มีวันสิ้นสูญ จิตเมื่อหลุดจากร่างก็จะไปหาร่างใหม่ยังจักรวาลอื่นๆ 

    ซิทอาศัยอยู่ในโลกอดีต ร่างของเขาสูงเกินร้อยแปดสิบเซนต์ อายุราวยี่สิบห้า ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่ เขาเป็นคนเก็บตัว ขี้เหงา ไม่มีเพื่อน ที่เคยเห็นก็คงมีเพื่อนหน้าตาประหลาดคนหนึ่งเท่านั้น เขาชื่อว่าซ้อด ซิทกับซ้อดเป็นเพื่อนที่มีชื่อและชะตากรรมสอดคล้องกันหลายอย่าง แต่สุดท้ายซ้อดก็จากไปก่อนเวลาอันควร

    การเชื่อมต่อของผมในขั้นแรกคือการมองเห็นในรูปแบบนิมิต ผมไม่ได้ยินเสียงพูด ผมเห็นอะไรมากมายแต่กลับไม่ได้เห็นหน้าของซิท ผมมองจากสายตาของเขา ผมอยู่ในจิตของซิทเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ผมหวังจะได้เห็นใบหน้าของเขา ในยามที่เขาหันหน้าเข้าหากระจก แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่ผมจะมองเห็นใบหน้าของเขาได้ ผมรู้ข้อมูลของเขาจากการเข้าไปในจิตของเขา ทั้งที่ผมเชื่อมต่อกับเขามาตั้งแต่จำความได้ มันอาจจะเป็นพรหมลิขิตอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถเห็นหน้าเขาได้ มันต้องมีเหตุผล และในขณะเดียวกันผมก็เชื่อว่าเขาก็รู้ว่าผมแทรกแซงจิตของเขาอยู่ แต่เขาก็มองไม่เห็นผมเช่นกัน

    หรือว่าเห็น….เขาอาจจะเห็นผมแต่ไม่สามารถแทรกกลับเข้ามาในจิตของผมได้ แต่เรื่องนี้กฏเหนือโลกกลับไม่ได้บอกอะไรกับผมแม้แต่น้อย 

    เมื่อวันที่ผมได้เดินทางมาหาซิท นั่นเป็นวันที่ผมยอมรับในกฏเหนือโลกอย่างไม่ปฏิเสธอีก กฏเหนือโลกได้ควบคุมทุกชีวิตในจักรวาลนี้เอาไว้ทั้งหมด ไม่ใช่แค่จักรวาลนี้สิ มีจักรวาลไหนๆ อีกมากมาย ผมรู้สึกเช่นนั้น และมันคือต้นเหตุแห่งชะตากรรมทั้งมวลของมนุษย์ทั้งหลายในจักรวาล

    มนุษย์และพวกเหนือมนุษย์ กฏเหนือโลกบอกว่าคนสองจำพวกนี้แตกต่างกัน ในทุกจักรวาลมีคนพวกนี้เต็มไปหมด แต่ผมกลับรู้สึกว่าพวกเหนือมนุษย์ไม่ได้แตกต่างอะไรจากมนุษย์เลยสักนิด

    ซิทและผมเชื่อมต่อกันอย่างสับสนสะเปะสะปะ การเชื่อมต่อนั้นไม่ได้เป็นไปแบบใจสั่งการได้ ไม่สามารถบังคับให้เชื่อมต่อได้ดังใจ จะพูดว่าการเชื่อมต่อทุกครั้งมีชะตากรรมเป็นตัวกำหนดก็ไม่ผิด และมันอาจจะเป็นแผนการของพระผู้เป็นเจ้าก็ได้ ใครจะไปรู้. ...

     

     …………………………………………………………………

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น