กายภาพบำบัด มหิดล - กายภาพบำบัด มหิดล นิยาย กายภาพบำบัด มหิดล : Dek-D.com - Writer

    กายภาพบำบัด มหิดล

    กายภาพบำบัด มหิดล ที่สร้าง ความอดทน ความเสียสละ และความรู้ สวัสดีครับน้องๆ ทุกคนตอนนี้ก็ได้ถึงเวลา up date ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษากายภาพบำบัดมหิดลกัน หลังจากที่ไม่มีใครส่งมาตั้งนานแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    26,056

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    26.05K

    ความคิดเห็น


    654

    คนติดตาม


    9
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ส.ค. 48 / 17:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      บทความโดย Tee MeeKeow


      กายภาพบำบัด มหิดล ที่สร้าง “ความอดทน ความเสียสละ และความรู้”

      สวัสดีครับน้องๆ ทุกคนตอนนี้ก็ได้ถึงเวลา up date ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษากายภาพบำบัดมหิดลกัน หลังจากที่ไม่มีใครส่งมาตั้งนานแล้ว
      แต่ก่อน กายภาพบำบัดมหิดล อยู่ในคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สาขาวิชากายภาพบำบัด แต่ตอนนี้เนื่องจากได้เปิดหลักสูตรที่เปิดกว้างมากขึ้น จำนวนนักศึกษามากขึ้น จึงได้ออกมาเป็นคณะกายภาพบำบัดและวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวประยุกต์ (ชื่อย๊าว ยาว) โดยที่มีจุดมุ่งหมายในการผลิตบุคลากรทางกายภาพบำบัดทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกกายภาพบำบัดที่เดียวของประเทศ นอกจากนี้ก็ยังมีโครงการที่จะเปิดหลักสูตรกิจกรรมบำบัด นันทนาการบำบัด และวิทยาศาสตร์การเคลื่อนประยุกต์ ซึ่งเป็นบุคลากรสาขานี้ขึ้นมาพัฒนาประเทศ
      หลักจากพูดคร่าวๆมา ปีการศึกษา 2548 ทางคณะได้เปลี่ยนหลักสูตรใหม่หมด เพื่อให้เหมาะสมกับการเรียนการสอนและสถานการณ์ปัจจุบัน ลองมาดูกันนะครับ
      ปีที่ 1 เทอม 1 เรียน 20 หน่วยกิต
      บทนำวิชาชีพกายภาพบำบัด,จิตวิทยา,แคลคูลัส,เคมี,ชีววิทยาพื้นฐานและปฏิบัติการ,สถิติเบื้องต้น,หลักการฟิสิกส์,ภาษาอังกฤษ
      ปีที่ 1 เทอม 2 เรียน 15-18 หน่วยกิต
      เคมีอินทรีย์เบื้องต้นและปฏิบัติการเคมี,มนุษย์และสังคม,ว่ายน้ำ,ภาษาอังกฤษ,การบริหารงานและการจัดการทั่วไป,จรรยาบรรณวิชาชีพ,วิชาเลือกเสรี
      ปีที่ 1 ภาคฤดูร้อน เรียน 3 หน่วยกิต
      การประยุกต์ใช้งานไมโครคอมพิวเตอร์
      ปีที่ 2 เทอม 1 เรียน 18 หน่วยกิต
      ภาษาอังกฤษและการเขียนภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ,ชีวเคมี,ทักษะการดูแลผู้ป่วย,กายวิภาคศาสตร์,ชีวกลศาสตร์เบื้องต้น,วิชาเลือกเสรี
      ปีที่ 2 เทอม 2 เรียน 18 หน่วยกิต
      กายวิภาคศาสตร์,ประสาทชีววิทยา,ชีวกลศาสตร์,การบำบัดด้วยการออกกำลังกาย,การนวด,สรีรวิทยา,การฝึกปฏิบัติงานทางคลินิก
      ปีที่ 3 เทอม 1 เรียน 18 หน่วยกิต
      พยาธิวิทยาและจุลชีววิทยา,ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก,การบำบัดด้วยการออกกำลังกาย,การบำบัดด้วยการจัด ดัด ดึง,การควบคุมและการเรียนรู้การเคลื่อนไหวพื้นฐาน,การวินิจฉัยและการรักษาด้วยไฟฟ้า,การรักษาด้วยไฟฟ้าและความร้อน,การฝึกปฏิบัติงานทางคลินิก
      ปีที่ 3 เทอม 2 เรียน 19 หน่วยกิต
      สรีรวิทยาการออกกำลังกาย,การบำบัดด้วยการออกกำลังกาย,กายกาพบำบัดทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก,กายภาพบำบัดในเด็ก,กายภาพบำบัดทางระบบประสาท,การฝึกปฏิบัติงานทางคลินิก,กายภาพบำบัดทางหัวใจ-หลอดเลือดและทางเดินหายใจ
      ปีที่ 3 ภาคฤดูร้อน เรียน 3 หน่วยกิต
      การฝึกปฏิบัติงานทางคลินิก ( 6 สัปดาห์ 35 ชั่วโมง/สัปดาห์)
      ปีที่ 4 เทอม 1 เรียน 15 หน่วยกิต
      กายภาพบำบัดทางระบบประสาท,กายภาพบำบัดทางหัวใจ-หลอดเลือดและทางเดินหายใจ,เศรษฐศาสตร์สุขภาพ,กายภาพบำบัดในเด็ก,เภสัชวิทยาทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ,อวัยวะเทียม กายอุปกรณ์และเทคโนโลยีการช่วยเหลือ,การวิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ,การฝึกปฏิบัติงานทางคลินิก
      ปีที่ 4 เทอม 2 เรียน 14 หน่วยกิต
      การยศาสตร์สำหรับกายภาพบำบัด,ภาวะทางการแพทย์เฉพาะ,สุขภาพสตรีและผู้สูงอายุ,การบริหารและจรรยาบรรณวิชาชีพ,สุขภาพชุมชน,กลุ่มงานสุขภาพ,โครงการวิจัย,การฝึกปฏิบัติงานทางคลินิก

      เป็นไงครับวิชาเรียนคร่าวๆ เรียนเยอะจังเลยเนอะ คราวนี้มาดูชีวิตการเป็นนักศึกษากายภาพบำบัด มหิดล ที่มีทั้งเศร้าเคล้าน้ำตาและสนุกสนานจนน้ำตาเล็ดกัน
      ปี 1 freshy สดซิง
      สำหรับตัวพี่ ก็ไม่ได้มาจากโรงเรียนเด่นดังอะไร แต่มีใจรักที่ว่าอยากทำงานด้านสายการแพทย์ (ตอนแรกก็อยากเป็นแพทย์อะนะ) อยากทำงานในโรงพยาบาล ได้คะแนนก็ไม่ได้เยอะอะไรประมาณ  427 กว่าๆคะแนน มีอะไรให้เรียนมั่งล่ะ ตอนแรกที่เลือกไว้ก็มีกายภาพบำบัดกับกายอุปกรณ์ แต่พอมาดูตัวเองอีกที เรียนกายภาพบำบัดดีกว่า ได้เจอคนไข้ ได้รักษาคนไข้โดยตรงตามที่ใฝ่ฝัน
      วันแรกที่เข้ามา โอ้ว ชีวิตนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ณ ศาลายา ไม่เคยเข้ามาเลยนะเนี่ย ได้ข่าวว่ากันดาร แต่พอมาเห็นกลับตามันกลับไม่กันดาร มันกลับเจริญ มีร้านขายของครบครันแม้จะซื้ออะไรตั้งแต่อาหาร ขนม เครื่องเขียนจนกระทั่งสังฆภัณฑ์ ภายในมหาวิทยาลัยก็เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นที่สุด (คิดในใจว่าคงอยู่ในนี้ได้อย่างมีความสุข) แต่ภารกิจแรกที่เราเหล่านักศึกษาปี 1 คือการประชุมเชียร์ คณะกายภาพบำบัด มหิดล คือมีชื่อเสียงทั้งลีดฯและแสตนด์อยู่แล้ว ดังนั้นบรรยากาศการซ้อมจึงเป็นไปด้วยความเข้มข้น เราซ้อมกันประมาณหนึ่งเดือนผ่านแรงกดดันจากพี่ แต่ที่สำคัญคือแรงกดดันของเราเองที่จะต้องทำให้ดี เพราะพี่ๆ ทำมาดีมาก(ไม่เคยพ้น 1 ใน 3 ไม่อยากจะโม้) แต่เมื่อแข่งเสร็จผลว่า หลีดได้ที่ 1 แสตนด์ได้ที่ 3 แต่รวมแล้วได้ที่ 1 (งงมะ) ดีใจที่สุด
      คราวนี้มาดูเรื่องเรียนกันดีกว่า ตอนปี 1 นี้ส่วนมากก็เรียนวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ทั่วไป ทั้งชีวฯ ฟิสิกส์ แคลคูลัส สถิติ ฯลฯโดยที่จะเรียนรวมกันคณะอื่นๆ ทั้งสาธารณสุข รังสีเทคนิคและแพทย์แผนไทยประยุกต์ (เรียนจนสนิทกันไปเลย) แต่พอเทอม 2 ซึ่งว่างที่สุด ว่างมากๆ แต่ก็มีวิชาสุดหินอยู่ ก็คือว่ายน้ำ โอ้วมาก๊อด วิชา 1 หน่วย แต่ว่ายกันเหมือน 6 หน่วย ต้องว่ายเป็นทุกท่า อาจารย์สอนก็ไม่ลงน้ำ ว่ายอาทิตย์ละครั้งตอนบ่ายๆ แดดก็ร้อน ก่อนวิ่งต้องวิ่งก่อน 1 กิโล เพื่อ warm up และว่ายกัน จนสอบวันสุดท้ายว่ายฟรีสไตล์ 1 กิโลแบบเหนื่อยมากๆ (คงงงว่าเรียนว่ายน้ำไปทำไม เพราะปี 3 เราต้องมาเรียนการรักษาทางน้ำ (hydrotherapy)) ว่ายกันอย่างจะไปคัดตัวทีมชาติ เฮ้อออ เหนื่อย
      ปี 2 พื้นฐานของการเป็น PT
      คราวนี้มาถึงปี 2 ซึ่งวิชาส่วนมากเป็นพื้นฐานความรู้ของสายการแพทย์ทั่วๆไป ก็คือ กายวิภาคศาสตร์ (ผ่าอ.ใหญ่) เพื่อดูโครงสร้างของร่างกาย ตั้งแต่ผิวหนัง ชั้นไขมัน กล้ามเนื้อ กระดูก เส้นประสาท เส้นเลือดดำ แดง จนถึงตับไตไส้พุง สมอง หลอดลม ผ่ากันให้เห็นจะๆ  พื้นฐานการดูแลผู้ป่วย อันได้แก่การจัดท่าผู้ป่วยในการนอน การนั่ง wheel chair กิจกรรมทั่วไปในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่นการพลิกตัวบนเตียง การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยรวมทั้งพื้นฐานทางพยาบาล ทั้งการตรวจสัญญาณชีพ การล้างแผล การกู้ชีพ และเรียนรู้สายระโยงรยางค์ที่เตียงผู้ป่วย สรีรวิทยา เป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่ของมัน แบบละเอียดจนถึงระดับโมเลกุล หลังจากเรียนอนาโตมี่มาแล้ว และวิชาที่เป็นกายภาพบำบัดที่แท้จริงคือ วิชาชีวกลศาสตร์ เป็นวิชาที่รวมเอาฟิสิกส์กลศาสตร์และชีวฯได้อย่างลงตัว หลังจากเรียนโครงสร้าง(อนาโตมี่) มาแล้วเราก็ต้องมาเรียนแรงที่กล้ามเนื้อมันดึง มุมเท่าไหร โมเมนท์เป็นไง ทำไงจึงจะได้เปรียบเชิงกล มุมสูงสุดการเคลื่อนไหวได้เท่าไหร่ ผิวข้อเคลื่อนที่ยังไง เอ็นไหนตึง (โอ้มากมาย) รวมทั้งปีนี้จะได้ฝึกปฏิบัติงานทางคลินิกเป็นครั้งแรก ซึ่งก็น่าตื่นเต้น
      ***คำเตือน วิชาที่เรียนปีนี้ แบบใช้ตลอดชีวิตการเป็น PT จึงห้ามลืมเด็ดขาด
      ¬ปี 3 ปีแห่งนรกอเวจี

      ปีนี้เป็นปีที่เรียนหนักที่สุด การเรียนก็มีวิชาพื้นฐานบ้าง เช่นพยาธิวิทยา ที่ต้องมาเรียนว่าโรคมีอะไรบ้าง ขบวนการเป็นยังไง และจุลชีววิทยาที่ต้องมาเรียนเชื้อโรคที่เรามองไม่เห็น ว่ามาจากเชื้ออะไร (แบบเชื้อมากมายมาก แล้วเชื้อก็ไม่ใช่ เชื้อสมศรี เชื้อสมศักดิ์  ชื่ออะไรก็ไม่รู้) และวิชาเฉพาะทางกายภาพแล้ว ทั้งทางระบบกล้ามเนื้อและกระดูก การหายใจ หัวใจ หลอดเลือด ระบบประสาท โดยที่เรียนก็มีตั้งแต่ซักประวัติ การตรวจร่างกาย และการรักษา โดยที่การตรวจร่างกายและการรักษาทางกายภาพบำบัดนั้น เราไม่ได้มีเครื่องเอ็กซเรย์ ไม่มีเครื่องอะไรที่ใช้ดูองค์ประกอบโครงสร้างภายใน การตรวจร่างกายตั้งใช้การสังเกตและการสัมผัสเป็นหลัก (เคยมีอาจารย์ในคณะบอกว่า การตรวจร่างกายทางกายภาพบำบัด ยากกว่าหมอ เพราะไม่มีตัวช่วย ต้องใช้การสังเกตและการสัมผัส บอกได้ว่านักกายภาพบำบัดเป็นผู้ที่สังเกตและสัมผัสการเคลื่อนไหวที่เชี่ยวชาญสาขาหนึ่งเลยทีเดียว) การรักษาก็มีมากมายทั้งใช้ไฟฟ้า ความร้อนความเย็น แม่เหล็กไฟฟ้า รังสี กด นวด ดัด ดึง ทุกวิธีเป็นศาสตร์ชั้นสูงที่มีเทคนิค เราจึงเรียนปี 3 กันแบบสมองบวม จึงกล่าวได้ว่า “เป็นปีที่ตกนรกทั้งเป็น” แต่มันจะผ่านไปได้ด้วยดีหากขยันและอดทน
      และปี 3 ตอนเทอม 2 ก็ไม่ได้ปิดเทอมเพราะต้องไปฝึกงานต่างจังหวัด รพ.ที่มีให้เลือกก็มีแต่ตั้งเชียงรายจนถึงนราธิวาส ก็เลือกเอาแล้วกันว่าจะไปที่ไหน
      ปี 4 ปีก่อนออกไปทำงาน
      ปีนี้เรียนน้อยลง ส่วนใหญ่เป็นการฝึกเพื่อสะสมประสบการณ์และทักษะที่จะใช้ในการทำงานเป็นนักกายภาพบำบัด ทั้งจิตใจ และจรรยาบรรรณวิชาชีพที่จะต้องติดตัวไปจนตลอดชีวิตที่ทำงาน
      หลังจากจบ 4 ปีแล้วจะต้องมีสอบใหญ่ๆๆๆๆๆ ที่ใช้ทักษะทั้งหมดที่เรียน มา 4 ปี การสอบจะเหมือนแลบกริ๊งเลย (เค้าเรียกว่า OSCE) มีม่านเป็นจุดๆ แล้วก็มีโจทย์มาให้ทำตามเวลา กริ๊งก็ไป และต้องมาสอบใบปริญญาและใบประกอบโรคศิลป์ที่นักศึกษากายภาพบำบัดทุกคนต้องสอบหากต้องการเป็นนักกายภาพบำบัด

      งานทางกายภาพบำบัดเป็นงานที่หนัก ต้องใช้ความอดทนสูง ความเสียสละที่ต้องมีให้คนไข้ ความทุ่มเท ความรู้ที่จะมาประยุกต์ใช้ในการรักษา พี่ว่าเป็นวิชาชีพหนึ่งที่เสียสละจริงๆ และมีศักดิ์ศรี เป็นวิชาชีพนึงที่คนไข้ให้ความสนิทสนมและรักพวกเรามาก (พี่ก็อยากไปถึงจุดนั้น) และวันไหนที่เห็นเค้าดีขึ้น ความภาคภูมิใจมันจะกลับมาหาเราเหมือนเป็นรางวัลชีวิตที่ดีทีเดียว

      หลังจากที่จบเราไม่ได้ทำงานเฉพาะในโรงพยาบาลเท่านั้นเรายังสามารถทำงานในคลินิก โรงเรียน สำนักงาน โรงงาน สำนักกีฬา ศูนย์สุขภาพและที่บ้านได้ บุคลากรทางด้านกายภาพบำบัดยังขาดแคลนอยู่บ้าง พูดได้ว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัดบางจังหวัดยังไม่มีนักกายภาพบำบัด ส่วนในกรุงเทพฯก็มีเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ เพราะฉะนั้น น้องๆไม่ต้องกลัวตกงาน มีงานให้ทำเยอะ แต่น้องจะเลือกทำหรือป่าว มีข้อมูลมาว่า ผู้ป่วย 10 คนเดินมาหาแพทย์  7 คนเป็นผู้ป่วยทางกายภาพบำบัด งั้นเชื่อได้ว่า ไม่ตกงานชัวร์

      น้องๆ คนไหนที่มีข้อสงสัยสามารถมาสอบถามพี่ๆกันได้นะครับที่ webboard ของ eduzones  ในหัวข้อพี่แนะนำน้อง หรือ webboard ของคณะ www.ptms.mahidol.ac.th  แล้วเจอกันนะครับ


      ----------------------------------------------------------------------------------------
      ----------------------------------------------------------------------------------------


      กายภาพบำบัด มหิดล “สังคมที่น่าจดจำ”
      อันนี้เป็นภาคสอง จาก “ความอดทน ความเสียสละ และความรู้” คราวนี้เราจะเน้นไปทางด้านสังคมของคณะเรากันดีกว่า (เนื่องจากเพิ่งแต่งเป็นเรื่องที่สอง ช่วยเม้นท์กันด้วยนะ)

      เราขอเล่าเรื่องในอดีตก่อนแล้วกันเนื่องจากคณะเราเปิดมาตอนนี้ก็ รุ่นที่ 42 แล้ว แล้วก็รอรุ่นที่ 43 เข้ามาเป็นน้องใหม่ เพราะฉะนั้นนักกายภาพบำบัดในประเทศในรุ่นแรกๆ ก็ไม่ปฏิเสธได้เลยว่าจบมาจากที่นี่ (แต่ก่อนอยู่ในสังกัดของภาควิชาออโธปิดิกส์และกายภาพบำบัด คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล) เพราะฉะนั้นอาจารย์ที่สอนพวกเราอยู่ก็หนีไม่พ้นเลยที่จะต้องเป็นรุ่นพี่ หรือไม่ทำงานที่ไหนก็ไม่พ้นเช่นกันที่จะต้องเจอรุ่นพี่ เป็นหัวหน้าแผนก เป็นนักกายภาพบำบัด และหนีไม่พ้นเลยที่พี่เค้าจะดูแลเราแม้ว่าพี่เค้าจะจบมานานแล้วก็ตาม
      ***หมายเหตุ ทุกข้อความในที่นี่เป็นความจริง ไม่มีโกหกหรือโม้เลยนะ จิงๆ

      ความประทับใจแรกเป็นนักศึกษา
      งานประกาศผล ที่ม.เกษตร
      เด็กน้อยคนนึงที่โตขึ้นจนต้องเข้ามหาวิทยาลัย และได้เข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝันคือ ม.มหิดล พูดจิงๆว่ามีความสุขมากและดีใจมาก (เพราะจากที่ตนเองไม่เคยแข่งขันที่ไหนติดเลย ม.ต้นไม่สอบสวนกุหลาบก็ไม่ติด ม.ปลายไปสอบเตรียมฯ ก็ไม่ติด ขอระบายความในใจให้ฟัง ^_^) รู้ว่าติดแล้วลองไปม.เกษตร ดูซิ โอ้วพอไปถึงอะไรเนี่ย ทำไมคนเยอะอย่างนี้ จากคนเยอะๆเหล่านั้น คณะกายภาพบำบัด มหิดล เป็นเพียงคนส่วนน้อยในที่นั้น แต่เมื่อพอเค้ารู้ว่าเราติด ก็กรูกันมารับ ดีจัง อันนี้เป็นความประทับใจแรก (ตอนนั้นรุ่นเรารับแค่ 70 คนเอง)
      หลังจากนั้นทางคณะก็ให้มาตรวจร่างกาย และสอบสัมภาษณ์
      เราก็ไม่คิดว่าการตรวจร่างกายเราจะเจอรุ่นพี่อะ แต่ก็มา มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ มาว่าจะต้องเขียนอะไร มาเพื่ออยากมาเจอน้อง อันนี้ก็เป็นความประทับใจอันที่สอง จนวันสอบสัมภาษณ์ความอบอุ่นนั้นก็ไม่ได้ลดลงตามระยะเวลาเลย (คิดในใจว่า อยู่ที่นี่คงมีความสุขดีนะ) ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ จากความกลัวที่ว่าจะต้องเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่าง ก็ค่อยหายไปแม้จะเจอพี่กับเพื่อนๆ แค่สองครั้งเอง
      หลังจากนั้นพี่เค้าก็ช่วยจัดทัวร์ศาลายาให้เราเพื่อให้เรารู้จักกับเพื่อนๆ และได้รู้จักที่เรียนใหม่ (อันนี้คือจะจัดก็ได้ ไม่จัดก็ได้) แต่พี่เค้าก็ใจดีจัดให้พวกเรา

      ความประทับใจเมื่อได้เข้าเรียนปี 1
      มันมาแล้วการแข่งแสตนด์
      ที่จริงแล้วตัวเองไม่เคยรู้มาก่อนว่าเข้ามาเค้าจะต้องมีแข่งแสตนด์ด้วย แต่พอเข้ามาเราก็ได้เป็นหลีด  ก็เลยต้องมาซ้อมหลีด รุ่นเราก็มีหลีดประมาณ 8 คน นอกนั้นก็เป็นแสตนด์กันหมด การซ้อมหนักมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ซ้อมตั้งแต่เลิกเรียนจนถึงประมาณ 4 ทุ่มทุกวัน โดยที่จุดประสงค์ของแสตนด์ของคณะนี้มันไม่ใช่แค่ว๊ากๆๆๆเพื่อความสะใจของพี่ๆ มันเป็นอะไรหลายๆอย่างที่สร้างนักกายภาพบำบัดที่ดีขึ้นมาคนนึงทีเดียว ส่วนสร้างอะไรนั้นต้องมาสัมผัสเอาเอง แต่ย้ำว่าดีมากๆๆๆ แล้วก็เป็นช่วงที่เราจะมาจับสายรหัสกันเราจะได้มีพี่รหัสเป็นของเราจิงๆ สักที หลังจากเราจับได้พี่เค้า พี่เค้าเทคแคร์ดีมาก เอาหนังสือมาให้ คอยดูแลเราทุกอย่างทั้งการเป็นอยู่ และก็การเรียน เราก็ซ้อมกันไปเรื่อยๆ และหลังจากซ้อมมานานแสนนาน จากความร่วมมือเพื่อนๆ และพี่ๆ ทุกชั้นปี ปรากฏว่า หลีดได้ที่ 1 แสตนด์ได้ที่ 3 ดีใจสุดๆๆ และหลังจากแสตนด์นี้เพื่อนๆ ทุกคนก็ได้รู้จักกันหมด ย้ำรู้จักกันหมดจิงๆ
      หลังจากนั้น ก็ไปรับน้องต่างจังหวัดกัน
      ตอนแรกก็รู้ว่าเค้ามาว๊ากกัน แต่การว๊ากที่นี่ก็ไม่โหดร้าย ซาดิสอะไรนัก ได้ทำอะไรสนุกๆ ที่ปกติคนเราไม่เคยทำ นอนบนดิน มองดูดาว ซึ่งชีวิตเราคงเจอได้ยาก นอกจากนั้นการรับน้องของเราก็ไม่ได้มาแค่รับน้องอย่างเดียว เราก็ได้มาออกชุมชนด้วย ก็คือเอาวิชากายภาพบำบัดที่เราเรียนมามารักษาคนในชุมชนที่เรามารับน้องด้วย เป็นการคืนประโยชน์ให้แก่สังคม ส่วนเราที่เป็นปี 1 ก็ได้เห็นงานคร่าวๆ ของกายภาพบำบัดด้วย และที่ประทับใจสุดๆ คือตอนบายศรี พิธีที่ศักดิ์สิทธ์ที่สุดตั้งแต่เห็นมา มีพานบายศรี มีนางรำ มีวนเทียน จากอาจารย์ รุ่นพี่รุ่นแรกๆ ที่จบไปนานแล้วรวมกันมาอยู่ที่นี่ เพื่อต้อนรับเราเข้าศึกษา (ความมหัศจรรย์ของรับน้องที่นี่คือ จะต้องออกจดหมายเชิญชวนรุ่นพี่ นับ 1000 ฉบับ) อาจารย์มาผูกข้อมือให้ ปลื้มใจและอบอุ่นที่สุด

      พอได้ศึกษา
      เป็นคณะนึงซึ่งคิดว่าคงไม่มากในประเทศไทย ที่อาจารย์ทุกคนใช้สรรพนามว่า “พี่” ทุกคน แม้ว่าจะจบมานานจนวัยจะเป็นป้าหรือแม่เราได้แล้วก็ตาม รู้สึกดีจัง คณบดีก็เป็นรุ่นพี่ เป็นนักศึกษารุ่นที่ 1 ของประเทศไทย อาจารย์ที่นี่อบอุ่นมาก นักศึกษาทุกคนมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นของตัวเอง ไม่เข้าใจวิชาอะไร อาจารย์ทุกคนก็พร้อมที่จะอยู่เย็นๆ มาวันเสาร์ อาทิตย์เพื่อมาติวให้พวกเรา รุ่นพี่ก็พยายามจัดสอบให้พวกเราชินกับบรรยากาศ เอาแนวข้อสอบมาให้ ซึ่งพี่เค้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรเรามากมาย พี่เค้าก็เรียนหนัก เราก็ต้องที่พึ่งให้กับตนเองไป จะดีจะชั่วก็ขึ้นอยู่กับตัวเรา
      พอปี 2 เทอม 2 เราก็ต้องขึ้นวอร์ด ไปดูพี่ๆ รักษาในโรงพยาบาล ได้เห็นอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยเห็น และพี่ก็คอยช่วยเรา เพราะเราก็ยังรู้อะไรไม่มาก ได้ทำอะไรที่ยังไม่ได้เรียน แต่ก็เป็นการเก็บประสบการณ์ที่ดีอย่างนึง และอีกอย่างนึงคือเป็นคณะที่มี อ.หมอ มาสอนบ่อยมากๆ เกือบทุกวิชามี อ.หมอมาสอนเกือบหมด สลับกับอาจารย์ในคณะซึ่งจะสอนเกี่ยวกับกายภาพบำบัดโดยตรง มีอ.หมอที่มาสอนคนนึง บอกข้อความที่น่าประทับใจมาก ท่านถามว่า “ระหว่างหมอไม่ดี กับกายภาพบำบัดไม่ดีเลือกอะไร” อ.เค้าตอบว่า “เลือกหมอไม่ดี เพราะแม้ว่าหมอจะทำไม่ดีมา แต่กายภาพบำบัดก็ยังคงทำให้อวัยวะที่เหลือทำงานได้อย่างปกติ และแก้ไขส่วนที่ผิดปกติให้ดีขึ้นแม้ว่าจะไม่ดีเหมือนเดิมก็ตาม” เพราะฉะนั้นเรื่องความรู้รับรองว่าแน่นปึ๊ก จนล้นหัวสมองออกมาเลยทีเดียว

      ความภูมิใจในวิชาชีพ
      หลังจากการเรียนมา ก็มีความรู้สึกว่า วิชาชีพนี้น่าสนใจมาก ทำอะไรได้ตั้งหลายอย่าง แอบสงสัยในใจว่า ทำไมมันไม่ค่อยแพร่หลายในประเทศที่ถือว่าพัฒนาไม่มากแล้วอย่างประเทศไทย บางจังหวัดในประเทศไทยยังไม่นักกายภาพบำบัด บางโรงพยาบาลก็ยังไม่มี ซึ่งเคยบทความที่ว่า “กายภาพบำบัดเป็นส่งที่บ่งบอกถึงความเจริญของโรงพยาบาลนั้นเลยทีเดียว” วิชาชีพกายภาพบำบัดมีเทคนิคอะไรมากมายที่วิชาชีพอื่นทำไม่ได้ เราสามารถรักษาคนไข้ เพียงมี 1 สมองและสองมือก็รักษาคนได้ โดยไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์ใดเลย เราวินิจฉัยโรคได้เอง แต่ทางกายภาพบำบัดก็มีเครื่องมือที่วิชาชีพอื่นๆ ใช้ไม่ได้ เช่นเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เครื่องคลื่น UV infrared เครื่องให้ความร้อน เช่น SWD MW มากมาย กายภาพบำบัดทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิด ทั้งทางด้านความสวยความงามในสปา ทางด้านการกีฬา ให้คำปรึกษาในการจัดสถานที่ทำงาน ฯลฯ ไม่ใช่แค่รักษาในโรงพยาบาลอย่างเดียว

      สำหรับน้องๆ ที่สนใจที่จะอยากจะเรียนที่นี่ การเตรียมตัวคงไม่ต้องมีอะไรมาก แค่สอบให้ได้ เรื่องสังคมที่นี่ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะแข่งขันกันจนคำว่าเพื่อนไม่มีอยู่ในหัว ที่นี่ไม่มีแข่งกันเรียนแน่นอน มีแต่ช่วยกันเรียน เพราะแม้เราทำได้แต่เพื่อนเราทำไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าเราจะผ่าน เกือบทุกวิชาพวกเราจะต้องไปพร้อมกัน เพราะส่วนมากเป็นวิชาปฏิบัติที่ทุกคนจะต้องช่วยๆกัน แค่น้องมีคุณสมบัติเล็กๆน้อย คืออยากช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็เพียงพอแล้ว ส่วนความรู้ จรรยาบรรณที่นี่สร้างให้น้องได้แน่นอน

      บทความโดย Tee MeeKeow

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×