ฉันรอที่มอหินขาว - ฉันรอที่มอหินขาว นิยาย ฉันรอที่มอหินขาว : Dek-D.com - Writer

    ฉันรอที่มอหินขาว

    เขาและเธอได้พบกัน ณ มอหินขาว ก้อนหินขนาดใหญ่แปลกตาที่ชัยภูมิ ก้อนหินที่มีเบื้องหลังอันลึกลับ แล้ววันหนึ่ง หญิงสาวผู้แสนประหลาดก็จากไป แต่เขายังคงรอคอยเธอผู้เป็นที่รัก จนวันที่เธอกลับมา

    ผู้เข้าชมรวม

    63

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    63

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.พ. 66 / 11:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ค่อนข้างดึกแล้ว ตอนที่ “ต้น” กำลังจะล้มตัวลงนอน และมองเห็นลำแสงประหลาดนั่นมาจากด้านล่าง

    พูดถึงความประหลาด ต้นเองก็เป็นคนประหลาดเหมือนกัน ที่มักจะมากางเต็นท์นอนในป่าของ “อุทยานแห่งชาติภูแลนคา” นี่เป็นประจำ จะว่าไป ที่นี่ก็เป็นสถานที่ยอดฮิตของเหล่านักนิยมธรรมชาติ ทำให้มีคนมากางเต็นท์นอนกันบ่อยๆ แต่มักจะเป็นในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเป็นใจ และมีเมฆหมอกปกคลุมดูงามตา แต่ในฤดูฝนอย่างนี้ นอกจากต้น ก็ไม่มีใครมากางเต็นท์นอนที่นี่อีก แต่ด้วยเรื่องเล่าในครอบครัวของเขาที่สืบต่อกันมา บวกกับความชอบส่วนตัว ทำให้ต้นมากางเต็นท์นอนที่นี่ได้อย่างไม่เคยเบื่อ

    ต้นส่ายหัว เมื่อนึกถึงเรื่องเล่า ที่ทั้งปู่ ทั้งพ่อ ต่างก็ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ว่าเมื่อนานมาแล้ว ต้นตระกูลของเขาที่ปักหลักกันอยู่ที่ “ชัยภูมิ” มานานนม เคยขึ้นมาเจอนางฟ้าบนภูแลนคาแห่งนี้ และเหล่านางฟ้าบอกว่า จะกลับมาอีกครั้ง ต้นเองก็ไม่รู้ว่า เรื่องเล่านี่ เป็นเพียงจินตนาการประหลาดๆ ในครอบครัวเขาหรือเปล่า แต่ความที่เป็นคนชอบธรรมชาติอยู่แล้ว ต้นเลยไม่เกี่ยงงอนอะไร กับการมากางเต็นท์นอนที่นี่เรื่อยๆ

    แต่แสงประหลาดนั่นก็แยงตาเขา!

    ต้นมุดออกมาจากเต็นท์ มีแสงสีทองเรื่อๆ พุ่งขึ้นมาจริงๆ ทำเอาต้นนึกประหลาดใจ ว่าแล้ว เขาคว้ากุญแจรถ ขับออกจากอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ลงไปด้านล่าง

    รถคู่ใจของเขาถูกบึ่งลงจากภูเขามาเร็วกว่าปกติ เพียงไม่กี่นาที ก็มาถึงจุดต้นกำเนิดของแสงสีทองนั่น ตรงนั้นเอง ที่ “มอหินขาว” !

    ต้นเปิดประตูรถออกมาอย่างรวดเร็ว นี่มันอะไรกัน มอหินขาว ก้อนหินใหญ่ 5 ก้อนที่เขาเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย จุดสำคัญที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชัยภูมิ ที่ผู้คนต่างขนานนามว่าเป็นสโตนเฮนจ์เมืองไทย ตอนนี้ ก้อนหินใหญ่หายไปก้อนหนึ่ง เหลือเพียงก้อนหิน 4 ก้อนที่ตั้งตระหง่านในที่เก่าเหมือนที่พวกมันเคยอยู่มาแล้วเป็นล้านๆ ปี แต่หินก้อนใหญ่ที่สุดหายไป

    ต้นกระพริบตาถี่ๆ พลางสบถกับตัวเอง “นี่มันอะไรกันว่ะ” ก้อนหินยักษ์ใหญ่ของมอหินขาวจะหายไปได้ยังไง ที่สำคัญที่สุด จุดที่ก้อนหินใหญ่หายไปนั่นแหละ คือจุดที่เป็นต้นกำเนิดของลำแสงสีทองอร่าม พุ่งขึ้นไปบนฟ้า แสงที่เขาเห็นมาจากภูแลนคา

    ด้วยความกลัวอยู่ลึกๆ แต่ความประหลาดและตื่นเต้นมีมากกว่า ต้นเดินอย่างช้าๆ เข้าไปหาลำแสงนั้น เขาเดินก้าวผ่านข้ามรั้วเตี้ยๆ ที่เจ้าหน้าที่กั้นบริเวณเอาไว้ เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปทำลายก้อนหิน เดินผ่านเข้าไปจนถึงที่ๆ เคยเป็นจุดตระหง่านของก้อนหินใหญ่ ลำแสงสีทองนั้นจ้าขึ้นเรื่อยๆ จนแสบตา ว่าแล้ว ต้นก็หล่นฮวบลงไปอย่างตั้งตัวไม่ติด

    “พลั่ก” เสียงก้นกบของชายหนุ่มกระแทกพื้นดังลั่น เจ้าตัวอุทานอย่างเจ็บปวด แต่ความเจ็บนั้นก็มลายไปโดยพลัน เมื่อเทียบกับความมหัศจรรย์ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า ต้นหล่นลงมาในห้องลับที่เคยถูกปิดไว้ด้วยก้อนหินใหญ่แห่งมอหินขาว ภายในห้องลับนี้ มันทำให้เขานึกถึงนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยอ่าน ห้องทรงกลมขนาดค่อนข้างใหญ่เต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องมือหน้าตาแปลกๆ และหน้าจอที่เป็นภาพของสถานที่สำคัญๆ ของโลกเต็มไปหมด แต่ที่ประหลาดเหนือสิ่งอื่นใด คือ “ผู้หญิงคนนั้น”

    ผู้หญิงที่ยืนทำสีหน้าตกใจอยู่หน้าจอ เป็นผู้หญิงที่ต้นรู้สึกถึงคำแรกที่แว่บขึ้นมาในหัวว่า “สวย” แต่คำที่ 2 ที่แว่บตามขึ้นมาคือ “แปลก”

    ใช่ซิ เธอดูแปลกไปหมด ตั้งแต่เรื่องที่ว่า ทำไมเธอถึงมาอยู่ตรงนี้ ในห้องลับใต้ก้อนหินใหญ่ของมอหินขาว ผู้หญิงผิวสี..อืมม์ เขาจะบอกว่าเธอมีผิวสีอะไรดี ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นสาวผิวคล้ำ มันก็ไม่เชิงอย่างนั้น แต่ออกจะเป็นสีทองแดงมากกว่า เธอใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้น ผ้าสีทองมันเงา ดูบางเบาจนมันเหมือนจะลอยพริ้วรอบตัวเธอ

    “เอ่อ..สวัสดีครับ” ต้นไม่รู้จะพูดอะไรมากไปกว่านี้ ในขณะที่ยันตัวเองลุกขึ้นยืนอย่างเก้อเขิน ก็แหม ฉากที่พระเอกมาพบนางเอกทั้งที เขาดันหล่นลงมานอนอย่างหมดท่าซะนี่

    สาวแปลกหน้าทำสีหน้าที่ดูเหมือนค่อนข้างจะกระอักกระอ่วน แต่เพียงแว่บเดียว เธอก็ส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะเอ่ยถาม

    “คุณมาที่นี่ได้ยังไงคะ” สำเนียงของเธอฟังแปล่งมากทีเดียว เหมือนคนต่างชาติที่พูดไทยไม่ชัด แต่ในอีกมุมหนึ่ง ต้นอดเย็นยะเยียบที่หลังคอไม่ได้ เมื่อนึกได้ว่า สำเนียงของเธอ ไม่ใช่เหมือนสำเนียงคนต่างชาติที่เขาได้ยินบ่อยๆ จากพวกนักท่องเที่ยวที่มาเยือนชัยภูมิ แต่มันเหมือน...เหมือนเสียงสังเคราะห์จากโลหะ

    “ผม..ผม..” เอาล่ะซิ ถึงตอนนี้ เขาชักจะตอบไม่ถูก แต่ก็กลั้นใจตอบไปจนได้ “ผมนอนอยู่ด้านบนครับ ตรงภูแลนคา แล้วเห็นแสงสีทองออกมาจากตรงนี้ ผมเลยขับรถลงมาดู พอเดินมา ก็ตกลงมาตรงนี้แหละ ว่าแต่ คุณเป็นใคร ทำไมถึงมีห้องอะไรอยู่ตรงนี้ แล้วก้อนหินใหญ่หายไปไหน” พอตั้งสติได้ ต้นก็ส่งคำถามยาวเหยียด

    สาวผิวสีทองแดงตรงหน้าเขาทำหน้าลำบากใจ เธอหยุดคิดเล็กน้อย มองเขาอย่างพิจารณาใคร่ครวญ ก่อนจะตอบด้วยท่าทีระมัดระวัง

    “ฉันชื่อนิรา” เอาล่ะ ทีนี้ เขาก็รู้ชื่อของเธอแล้วเป็นลำดับแรก “ฉัน..เอ่อ...” กลายเป็นว่า เธอเป็นฝ่ายติดอ่างต่อจากเขา

    “คือ ผมถามว่าคุณเป็นใคร ทำไมถึงมีห้อง แล้วก้อนหิน...”

    “ฉันมาจากนอกโลก” เธอชิงตอบก่อนที่เขาจะทวนคำถามจบ เอาล่ะซิ ในนาทีนี้ ต้น และนิรา ยืนมองหน้ากันอย่างลำบากใจ สำหรับต้น คำตอบของเธอมันไม่แปลก หากเธอไม่ตอบอย่างนี้ซิ คงจะแปลกกว่า เขาลองลำดับเหตุการณ์อย่างเร็วๆ ในสมอง ถ้างั้น เธอก็เป็นมนุษย์ต่างดาว แล้วที่นี่ มอหินขาว ก้อนหิน 5 ก้อนที่นักท่องเที่ยวเห็นเป็นของแปลก ก็แปลกจริงๆ ในแง่ที่ว่า อันที่จริงแล้ว มอหินขาว เป็นยานอวกาศ!

    เอ หรือจะไม่ใช่ ก็มอหินขาวเป็นเพียงก้อนหินขนาดใหญ่ 5 ก้อนที่มีรูปร่างต่างๆ และมีการศึกษาว่า มันเกิดขึ้นมาแล้วตั้งประมาณ 65 ล้านปี ตระหง่านอยู่ที่นี่ก่อนที่จะมีมนุษย์ ก็ตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ยังครองโลกนั่นแหละ พวกนักธรณีวิทยากับนักอะไรต่อมิอะไรมาศึกษากันให้พรุนไปหมดแล้ว แล้วหิน 5 ก้อนจะกลายเป็นยานอวกาศได้ยังไง ที่สำคัญ เขาเห็นมอหินขาวมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย มันก็ไม่เคยจะเคลื่อนที่ไปไหน ยกเว้นวันนี้นี่แหละ ที่เขาเห็นกับตา ว่าหินก้อนที่ใหญ่ที่สุดหายไป แล้วเธอ..นิรา..เธอตอบเขาเต็มปากเต็มคำว่าเธอมาจากนอกโลก

    ฝ่ายนิราเอง เธอไม่แน่ใจนักว่าจะทำยังไงกับชายชาวโลกคนนี้ เขาก็ดูซื่อๆ แต่ถ้าเธอบอกทุกอย่างให้เขาฟัง เขาจะตกใจไหม แต่ถ้าไม่บอก แล้วจะทำยังไง เขาก็ “หล่น” ลงมาเห็นเกือบทุกอย่างแล้วนี่

    ชายหนุ่มกับหญิงสาวจากดาวคนละดวงยืนเผชิญหน้ากันอย่างค่อนข้างตื่นตะลึงทั้งสองฝ่าย ก่อนที่นิราจะตัดสินใจ

    เธอเดินเข้ามาใกล้เขาอีก 2 ก้าว ก่อนที่จะเล่าเรื่องมหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตให้เขาฟัง

    “คุณต้องตั้งสติดีๆ นะ เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณฟัง มันอาจไม่น่าเชื่อ” เธอเริ่มพูด ในขณะที่ต้นนึกในใจว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะบอกอะไรมาก็คงต้องเชื่อทั้งนั้นแหละวะ “ฉันมาจากดาวที่อยู่ไกลจากโลกมาก บ้านของฉันชื่อดาวไทม์ ฉัน..เอ่อ หมายถึง พวกของฉัน เรามีอารยธรรมที่เหนือกว่าโลกของคุณมาก เรามียานอวกาศ และออกสำรวจอวกาศมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว จนเรามาเจอโลกของคุณ” นิราเริ่มเรื่องของเธอ

    พวกแรกจากดาวไทม์สังเกตเห็นดาวหางดวงใหญ่ที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ดาวดวงที่ 3 ของสุริยะจักรวาล พวกเขาเลยตามมาดูห่างๆ แล้วก็พบว่า ดาวดวงที่ 3 นี้ เป็นอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ยักษ์หลายประเภท พวกมันมีทั้งที่เหมือนสัตว์เลื้อยคลาน แต่ก็มีบางสปีชีส์ที่มีลำตัวตั้งตรงได้ แต่จากการสังเกตอยู่ห่างๆ พวกเขาก็พบว่า ดาวหางได้พุ่งชนดาวดวงที่ 3 นี้เข้าอย่างจัง จนเกิดภาวะวิกฤติ สิ่งมีชีวิตต่างๆ เริ่มล้มตายไปอย่างรวดเร็ว ตอนนั้นเอง ที่เหล่านักสำรวจของดาวไทม์ตัดสินใจลงจอดบนโลก และจุดแรกที่พวกเขามาจอด คือบริเวณนี้ ที่ปัจจุบันคือเนินเขาของจังหวัดชัยภูมิ

    “ตอนนั้นแหละ เป็นยุคที่พบคุณเรียกกันว่า ช่วงการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์” นิราบอก

    “โอ้โห นี่พวกคุณมากันตั้งแต่ 65 ล้านปีก่อนเลยเหรอ” ต้นอุทานอย่างตื่นตระหนก

    “65 ล้านปีเหรอ” นิราทำหน้าประหลาดใจ “ฉันไม่คิดว่ามันยาวนานขนาดนั้นนะ ก็มันเพิ่งผ่านมาไม่นานเท่าไหร่นี้เอง แต่เอาเถอะ ฉันพอจะเข้าใจว่า ระบบนับเวลาของเราไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ หลังจากนั้น เราก็คิดว่า เราควรจะตั้งสถานีสำรวจไว้บนดาวของคุณ” นิราเล่าต่อ

    คณะสำรวจของดาวไทม์ ทำเหมือนกับที่พวกเขาทำที่ดาวดวงอื่นๆ ที่พวกเขาเคยสำรวจ คือ ขุดลึกลงไปในพื้นดินบนภูเขา สร้างห้องลับที่มีอุปกรณ์รับสัญญาณจากทั่วดวงดาวเอาไว้ ก่อนจะปิด ปกคลุม “ห้องแล็ป” นี้ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนธรรมชาติ แต่โดดเด่นพอที่พวกเขาจะกลับมาหาห้องแล็ปนี้พบ พวกเขาตัดสินใจสร้างก้อนหินใหญ่ 5 ก้อนนี้ขึ้น เพื่อเป็นทั้งจุดสังเกต และเป็นทั้ง “เสาส่งสัญญาณ” ไปยังดวงจันทร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งเสารับสัญญาณข้อมูล ก่อนจะส่งต่อไปยังสำนักวิจัยอวกาศของดาวไทม์ ทำให้สำนักวิจัยอวกาศสามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบนดาวดวงที่ 3 นี้ได้ตลอดเวลา

    “ระหว่างนั้น พวกเราก็ยังมาที่นี่เรื่อยๆ บางทีก็มาเพื่อสำรวจพืชพรรณธรรมชาติ แต่ก็มีบางครั้งที่มาเพื่อปรับปรุงห้องแล็ปนี้ให้ทันสมัยขึ้น ครั้งล่าสุด ที่พวกเรามา คนที่มาคือแม่ของฉันเอง ตอนที่แม่กลับไป แม่ยังเล่าติดตลกว่า บังเอิญมาเจอมนุษย์ที่นี่ และสัญญาณจากห้องแล็ปนี้ จะถูกส่งไปที่ดวงจันทร์ทุกคืนในวันที่พระจันทร์เต็มดวง และสัญญาณจะเข้มเป็นพิเศษ ในวันที่พระจันทร์เข้ามาใกล้โลก พวกคุณเรียกมันว่าอะไรนะ เหมือนฉันจะเคยอ่านเจอ ว่าพวกคุณเรียกวันที่ดวงจันทร์เข้ามาใกล้โลกของคุณว่าวันซูเปอร์มูน ใช่ไหม” นิราย้อนถาม

    “ห่ะ อะไรนะ” ต้นไม่ได้ถาม เขาเพียงแค่ไม่รู้จะพูดอะไรดี กับสิ่งที่ยืนฟังมาพักใหญ่ มันชักเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการตามได้ เหมือนสมองของเขายังตามไม่ทัน อ้อ เธอถามเขานี่นะ ว่ามันเรียกว่าซูเปอร์มูนหรือเปล่า “เอ่อ..ครับ ใช่ ซูเปอร์มูน วันที่พระจันทร์เข้ามาใกล้โลก” ต้นตอบออกไปจนได้

    “นั่นแหละ คือวันที่เสาส่งสัญญาณที่เราสร้างไว้ที่นี่จะส่งสัญญาณความเป็นไปของโลกของคุณให้เราเห็นได้เข้มกว่าปกติ แต่ที่ผ่านมาราวสัก 10 วันมาแล้ว ที่เราไม่ได้รับสัญญาณ เราเลยคิดว่า น่าจะมีอุปกรณ์อะไรสักอย่างเสียหาย ฉันก็เลยถูกส่งมาที่นี่ ฉันใช้เวลาขับยานอวกาศมา 2 วัน ก็ถึงแล้ว แล้วก็เข้ามาในห้องแล็ปลับนี่ แล้วคุณก็ตกลงมา ทำเอาฉันตกใจแทบแย่” นิราพูดยิ้มๆ โธ่เอ๋ยแม่คุณ ถ้าเธอตกใจ แล้วต้นมิยิ่งตกใจมากไปกว่าอีกเหรอ มนุษย์ต่างดาวมีห้องแล็ปลับอยู่ใต้มอหินขาวเนี่ยนะ ว่าแล้ว ต้นก็เริ่มกังวล ที่เขาเคยอ่านนิยายวิทยาศาสตร์มา หากใครเจอมนุษย์ต่างดาว เดี๋ยวพวกองค์กรลับของสหรัฐอเมริกาก็จะจับไปล้างสมอง แต่ที่นี่ ชัยภูมิ ไม่ใช่สหรัฐอเมริกาสักหน่อย เอ หรือนิรานี่แหละ ที่จะฆ่าปิดปากเขา เมื่อคิดถึงตรงนี่ ต้นอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปจนชิดกำแพงห้อง

    นิราถลาเข้ามาหาเข้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ต้นตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก นี่เธอคงต้อง “เก็บ” เขาแน่ๆ เพื่อไม่ให้ความลับนี้เปิดเผย ต้นไม่มีที่จะถอยอีกแล้ว เขาหลังพิงฝา พร้อมยกมือขึ้นมาตั้งการ์ดที่หน้าอก พร้อมป้องกันตัวเต็มที่ อย่างมาก วันนี้ก็ได้ชกผู้หญิงล่ะวะ ว่าแต่ เธอเป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่า พวกมนุษย์ต่างดาวนี่ มีหญิงมีชายเหมือนคนบนโลกหรือเปล่านะ

    นิราเขามาถึงตัวแล้ว ต้นหลับตาปี๋ ในขณะที่นิราดึงเขาออกมาจากผนัง พร้อมขึ้นเสียงดัง

    “นี่คุณจะบ้าเหรอ คุณไปชนผนังห้องได้ยังไง ในนี้มีแต่เครื่องยนต์กลไก ฉันยิ่งกำลังมองหาอยู่ว่าอะไรมันเสีย จะได้ซ่อม แล้วนี่คุณยังไปโดนเครื่องมือของฉันอีก บ้าเอ๊ย” นิราตะโกนลั่นในขณะที่ดึงต้นมายืนกลางห้อง แหม มนุษย์ต่างดาวก็สบถเป็นด้วยแฮะ ท่าทางเธอไม่ต่างอะไรกับมนุษย์โลกเลยสักนิด แต่ถึงกระนั้น เวลาโกรธ เขาก็ยังมองเห็นว่าเธอสวย ใช่..นิราเป็นผู้หญิง เอ๊ย ไม่สินะ เป็นมนุษย์ต่างดาวที่สวยชะมัด

    ต้นยืนงงอยู่กลางห้อง พลางมองผนังที่เขาพิงเมื่อกี้ มันก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของห้อง คือมีปุ่มอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด ตอนนี้ นิรากำลังสำรวจปุ่มพวกนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง ต้นได้แต่ยืนมอง จนเวลาผ่านไปสักพัก เธอก็ทำสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างที่เขาคาดเดาไม่ถูก

    “เอาล่ะๆ ฉันเห็นแล้ว เครื่องส่งสัญญาณของเราเสียนั่นเอง น่าแปลกนะ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะเสียได้ เราตั้งเครื่องแบบนี้ไว้หลายแห่งบนโลกของคุณ และในอีกหลายๆ ดวงดาว แต่ถ้าไม่ใช่เพราะดาวหางหรืออุกกาบาตพุ่งชน อุปกรณ์ของเราแทบไม่เคยเสียหาย ฉันคงต้องหาทางซ่อมให้ได้แล้วล่ะ คุณจะช่วยฉันได้ไหม” นิราหันมาถามจนต้นตั้งตัวแทบไม่ติด

    “ผมเนี่ยนะ” ต้นอุทาน “ผมจะไปช่วยอะไรคุณได้ ผมมันก็แค่เจ้าของร้านอาหารในชัยภูมิ ไม่ใช่พนักงานนาซาสักหน่อย”

    “นาซา อ๋อ องค์กรที่ทำงานด้านอวกาศของโลกคุณน่ะเหรอ ไม่เห็นจะได้เรื่องได้ราวอะไร เราติดตามดูมาตั้งนานแล้ว ยังล้าสมัยมากๆ แล้วไม่ต้องห่วง คุณช่วยได้แต่ ฉันเห็นแล้วว่าความเสียหายไม่มากเท่าไหร่นัก ถ้าคุณช่วยฉันหาอุปกรณ์ เราก็คงซ่อมเสาส่งสัญญาณนี่ได้” นิราพูดอย่างกับมันเป็นเรื่องง่ายเสียเต็มประดา

    เธอบอกว่า เสาส่งสัญญาณ หรือก็คือก้อนหินใหญ่แห่งมอหินขาวนี้ แม้จะมองเผินๆ จะเป็นเหมือนแค่หินก้อนใหญ่ที่เกิดจากหินทรายเก่าแก่เป็นล้านๆ ปี แต่อันที่จริง ภายในของหินทรายก้อนนี้ คือเสาส่งสัญญาณที่ทำด้วยเพชร วัสดุที่แข็งแกร่งที่สุดที่คณะสำรวจชุดแรกสามารถหามาได้บนโลกนี้ เพชรเป็นองค์ประกอบที่ถูกเลือกให้มาสร้างเป็นส่วนหนึ่งของเสาส่งสัญญาณ ในขณะที่ทอง ถูกใช้เป็นตัวเชื่อมต่อของชุดอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยคุณสมบัติที่เปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อโดนความร้อน แต่ตอนนี้ มันเกิดปริแตกหักไปเล็กน้อย ทำให้เสาสัญญาณโค้งงอ และไม่สามารถยิงสัญญาณไปถึงดวงจันทร์ได้

    “คุณต้องช่วยฉันหาทองมาเชื่อมเสา แต่แหม อย่างที่ฉันว่านะ ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเสาของเราหักได้ยังไง” เวลาที่นิราบ่น เธอก็เหมือนสาวชาวโลกนี่แหละนะ ต้นนึกขันในใจ และจะว่าไป เขาไม่แปลกใจสักนิด ที่เสาส่งสัญญาณอะไรนี่ของชาวดาวไทม์จะหัก ก็แหม ก่อนที่ทางการจะเข้ามาดูแลพัฒนาให้มอหินขาวเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ทั้งขูดหาเลข ทั้งสลักชื่อตัวเองบนหิน แถมบางคน ยังเอาหนังสติ๊กมาฝึกซ้อมยิงจนหินบางก้อนมีรูเสียอีก แต่ต้นก็ไม่อยากจะพูดเรื่องคนมือบอนพวกนี้ออกไป ปล่อยให้นิราบ่นลมๆ แล้งๆ ไปเสียดีกว่า ไม่งั้นก็เสียชื่อชาวโลกหมด ว่าแต่ เธอให้เขาช่วยหาอะไรนะ ทองเหรอ มันแพงนะ

    “แล้วคุณต้องการทองมากขนาดไหน” ต้นถาม พลางคิดไปถึงทอง 2-3 บาทที่แม่เก็บไว้ในตู้ที่บ้าน

    “ก็คงสัก ราวๆ เอ เท่าไหร่ดี หากจะพูดเป็นภาษาของคุณ ก็น่าจะประมาณสัก 1 กิโลกรัมกระมัง” เธอบอก

    “โอ้โห ทองตั้งกิโลนึง ผมจะไปหาจากไหนมาให้คุณได้ คุณรู้ไหมว่ามันแพงขนาดไหน” ต้นนึกไม่ทันหรอกว่าไอ้ทองหนัก 1 กิโลกรัมนี่ มันจะสักกี่บาท แต่ที่แน่ๆ เขาคงไม่มีปัญญาไปหาซื้อมาให้เธอหรอก

    “แพงเหรอ คุณหมายถึงว่า เราต้องไปซื้อมาอย่างนั้นเหรอ” นิราถาม เออ ยายคนนี้ก็ถามแปลก ไหนว่าสอดแนมโลกมาตั้งนาน ไม่รู้หรือไง ว่าทองเป็นของซื้อของขาย

    “ก็ใช่น่ะซิครับ เราต้องไปซื้อมา ทอง 1 กิโลกรัม เอ่อ ขอผมคิดนิดนึงนะ ผมพอจะจำได้ว่า น้ำหนักทองบาทนึง คือ 15.2 กรัม ราคาตอนนี้ก็ประมาณ 20,000 บาท ถ้าคุณจะเอา 1 กิโล ก็คงต้องใช้เงินสัก....ง่า”

    “หนึ่งล้านสามแสนบาทเศษ” นิราต่อคำให้ต้นอย่างว่องไง เออ ก็เธอเป็นมนุษย์ต่างดาวนี่นะ คิดเลขแค่นี้ คงไม่ยาก แต่ไอ้ที่ยากคือ เขาจะไปหาเงินเป็นล้านมาจากไหนให้เธอล่ะ

    “ผมไม่มีหรอกนะ เงินเป็นล้านๆ น่ะ ผมก็แค่เปิดร้านอาหารเล็กๆ รวบรวมเงินเก็บทั้งหมดในชีวิตผม ก็คงได้สักแสนสองแสน” ต้นพูดพลางแบมือออกทั้งสองข้าง ให้เธอเห็นว่า เขาไม่มีจริงๆ

    “เงินล้านสามนี่ มันหายากจริงๆ เลยเหรอ” นิราตั้งคำถามที่ทำให้ต้นลำบากใจ

    “ก็...ถ้าคุณเจอคนรวย เงินแค่นี้ก็ไม่ลำบากหรอกครับ แต่สำหรับผม แหม จะให้บอกยังไงล่ะ ไม่มี ก็คือไม่มีนั่นแหละคุณ”

    “คุณบอกว่า คุณทำอาชีพอะไรนะ”

    “ผมเปิดร้านอาหารอีสานอยู่ในตัวเมืองชัยภูมิครับ”

    “ฉันจะไปช่วยงานที่ร้านของคุณ เราจะหาเงินไปซื้อทอง 1 กิโลกรัมกันให้ได้” นิราพูดหน้าตาเฉย เฮ้ย จะไปช่วยที่ร้านเนี่ยนะ แล้วคนอื่นจะว่ายังไง ที่สำคัญ ขายอาหารอีสานอีกสักกี่วัน หรือจะถามว่ากีปีงั้นเหอะ กว่าจะมีเงินเก็บพอซื้อทองหนักกิโลนึงอย่างที่เธออยากได้

    แต่นิราไม่ฟังคำทักท้วง เธอบอกว่า เธอมี “เวลา” มากพอ ว่าแล้ว นิราก็กดปุ่มอะไรไม่รู้อีก 2-3 ปุ่ม พื้นที่เขาและเธอยืนอยู่ก็ยกสูงขึ้นมาเท่าระดับพื้นดิน ปิดห้องลับเอาไว้มิดชิด ก่อนที่เธอจะเดินห่างออกไป พร้อมดึงเขาเดินมาข้างๆ แล้วก้อนหินใหญ่แห่งมอหินขาวก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอย่างน่าอัศจรรย์ โอ๊ย วันนี้ เขาคิดถึงคำว่าอัศจรรย์ไปแล้วกี่หนกันนะ

    นิราขอให้ต้นปิดเรื่องทั้งหมดไว้เป็นความลับ อันที่จริง ต้นแนะนำให้เธอไปพบรัฐบาล ขอทองสักกิโลนึง ไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก แต่เธอบอกว่า แค่บอกความลับให้เขารู้ ก็ผิดมากแล้ว ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เธอและพลเมืองดาวไทม์ ทำได้แค่สังเกต เฝ้ามอง และศึกษา แต่เธอไม่มีทางเลือก นิรามาอยู่บ้านเขา พ่อกับแม่ทำหน้าประหลาดใจสุดขีด ตอนที่ต้นบอกว่า ได้คนช่วยงานร้านอาหารมาใหม่เป็นสาวสวยผิวสีแปลกๆ แถมลูกจ้างคนนี้ ยังจะมานอนค้างที่บ้านต้นด้วย

    ทีแรก เขาตั้งใจให้เธอนอนพักในห้องของเขา แล้วเขาจะออกมานอนที่ห้องนั่งเล่น แต่นิราปฏิเสธอย่างมีมารยาท

    “ฉันไม่นอน คุณไม่ต้องห่วง อย่างที่ฉันเคยบอกคุณ ฉันมีเวลามากพอ เวลาของคุณกับฉันมันไม่เหมือนกัน” ว่าแล้ว เธอก็ทำช่วยงานที่ร้านอาหาร ตั้งแต่มีสาวสวยมาช่วยที่ร้าน ร้านอาหารของต้นก็ขายดิบขายดี เธอช่วยคิดเมนูแปลกใหม่ ช่วยเสริฟ ช่วยต้อนรับลูกค้า ช่วยทำกับข้าว เอาเป็นว่า ช่วยสารพัด แถมตอนกลางคืนที่ต้นนอนหลับ นิราก็ออกไปทำงาน ที่ต้นไม่รู้เหมือนกันว่างานอะไร แต่ถึงกระนั้น ในวันหยุดของร้านอาหาร นิราก็ขอให้ต้นขับรถพาเธอออกไปดูสถานที่ต่างๆ ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษ ก็เป็นพวกพิพิธภัณฑ์ต่างๆ แหงล่ะ มนุษย์ต่างดาว ก็คงสนใจเรื่องแบบนี้ ส่วนเขา ไม่เคยสนใจพวกพิพิธภัณฑ์อะไรมาก่อน เมื่อได้พานิรามาเที่ยว เขาก็ได้แต่แอบมองเธอ ดวงหน้ากระจ่างใส ผิวสีทองแดง กับรอยยิ้มถูกอกถูกใจเวลาเห็นข้าวของในพิพิธภัณฑ์ทำให้มันยากเหลือเกินที่จะถอนสายตาออกจากเธอ

    นิราเองก็รู้ว่าถูกแอบมองอยู่บ่อยๆ เธอรู้สึกขัดเขินเกินกว่าจะบอกให้ต้นเลิกมอง เพราะจะว่าไป ก็รู้สึกอบอุ่นดี ที่ได้อยู่ในสายตาของเขา

    หลังจากอยู่ด้วยกันมาได้ 4 เดือนเศษ จู่ๆ เธอก็เอาเงินปึกเบ้อเร่อมายื่นให้เขา

    “นี่ เงินหนึ่งล้านห้าแสนบาท มากกว่าที่คำนวณกันไว้นิดหน่อย ทีนี้ คุณไปซื้อทองให้ฉันได้แล้ว” นิราบอก ทำเอาต้นตกใจ นี่เธอใช้เวลาแค่ 4 เดือนหาเงินได้ตั้งล้านห้าทีเดียวเหรอ

    “นี่คุณไปเอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหน” ต้นตกใจจนต้องถาม นิราทำสีหน้ากระอีกกระอ่วนนิดหน่อย ก่อนจะเปิดเผยให้ฟังว่า หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มากมายแล้ว ทำให้เธอพอจะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งมีค่า และเมื่อเธอได้สำรวจ “ปรางค์กู่” โบราณสถานจากสมัยขอมที่ตั้งในเมืองชัยภูมิด้วยเครื่องมือพิเศษ เธอก็ได้รู้ว่า โบราณสถานสำคัญของจังหวัดชัยภูมิที่สร้างมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 18 ในสมัยที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองราชย์อยู่นั้น ไม่ได้มีเท่าที่ตาเห็น แต่ใต้ดินลงไป ยังมีหลักศิลาจารึกสำคัญฝังอยู่ และเธอลอบขุดขึ้นมา เอาไปขายในตลาดมืดให้พวกนักสะสมของโบราณ จนได้เงินมาอย่างที่ต้องการ

    ต้นยืนตาค้างมองเงินหนึ่งล้านห้าแสนบาทตรงหน้าอย่างอธิบายความรู้สึกไม่ถูก ในฐานะคนชัยภูมิ หากมีโบราณวัตถุอยู่ที่ปรางค์กู่ มันก็ควรจะถูกส่งให้รัฐบาล เพื่อเอาไปศึกษา หรือจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ แต่นิรากลับเอาไปขายในตลาดมืด แต่เขาก็เข้าใจดีว่า เธอมีความจำเป็นต้องหาทองไปซ่อมเสาอากาศให้ได้

    ต้นจัดการไปซื้อทอง เมื่อได้ตามที่ต้องการ เขาและเธอ กลับไปที่มอหินขาวอีกครั้ง เธอใช้อุปกรณ์ทำความร้อนที่มีอยู่ในห้องแล็ปลับนั้น เชื่อมเสาสัญญาณเพชรได้สำเร็จด้วยทองที่ได้มา

    “เสร็จแล้ว ทีนี้ ฉันก็หมดภารกิจ” นิราบอก

    “แล้ว...คุณจะเอายังไงต่อไป” ต้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เพราะเขารู้คำตอบอยู่แล้ว

    “ฉัน..ฉันต้องกลับบ้าน ฉันได้รับมอบหมายให้มาทำงานนี้ เสร็จแล้วก็ต้องไปรายงานกับหัวหน้าที่ดาวไทม์” น้ำเสียงของเธอก็เศร้าไม่แพ้กัน การอยู่ด้วยกัน 4 เดือน แม้จะไม่นานนัก แต่มันสร้างความผูกพันอย่างยากจะลาจาก

    ต้นเอื้อมไปจับมือนิรามากุมไว้ หากเธอจะไป เขาก็ขอให้ได้บอกเธอก่อน

    “นิรา เอ่อ..คือ..ผม...” พอจะบอกเข้าจริงๆ มันกลับยากเหลือทน “ผมคิดว่าผมรักคุณ” ว่าแล้ว ต้นก็โพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด

    นิรายิ้มน้อยๆ เท่าที่สำรวจจักรวาลมามากมาย ก็มีแต่ที่โลกนี่แหละ ที่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ที่มี “ความรู้สึก” ใกล้เคียงกับชาวดาวไทม์ ที่มีความรู้สึกเหมือนกัน และตอนนี้ เธอก็คิดว่า เธอ “รู้สึก” เหมือนเขา

    “ฉันก็รักคุณนะ..ต้น แต่ฉันก็จำเป็นต้องกลับไป”

    “แล้วคุณจะกลับมาอีกไหม”

    “นี่แหละ ที่ฉันอยากบอกคุณ สำหรับฉัน การเดินทางข้ามอวกาศ มันไม่ยากอะไรนักหรอก ฉันขอเวลาแค่ 4 วัน ฉันบิน 2 วันไปถึงดาวไทม์ รายงานตัว แล้วจะรีบกลับมาหาคุณ บินอีก 2 วัน รวม 4 วัน ฉันก็จะกลับมา คุณรอฉันอยู่ที่มอหินขาวนี่นะ” นิราพูดด้วยรอยยิ้ม ทำเอาต้นยิ้มออกมาด้วย

    ยานอวกาศของเธอ ถูกซ่อนไว้อย่างดี ในช่องลับที่หุบผา ในอุทยานแห่งชาติภูแลนคา ใต้จุดชมวิว “ผาหัวนาค” ที่อยู่ด้านบนเหนือขึ้นไปจากมอหินขาว มิน่าล่ะ ถึงได้ไม่มีใครเห็น เขาไปส่งเธอถึงยานอวกาศ

    ก่อนจะขึ้นยาน เธอหันมาหอมแก้มเขาเบาๆ พลางกระซิบ

    “อีก 4 วันเจอกันนะคะ ฉันรักคุณ”

    แล้วนิราก็ขับยานอากาศลับตาไปในความมืดของผาหัวนาค

    เธอให้รอ 4 วัน แต่ต้นทนไม่ไหว เขามากางเต็นท์รอเธอทุกวัน จนถึงวันที่ 4 เธอก็ยังไม่มา ผ่านไปเป็นสัปดาห์ สู่เดือน สู่ปี ไม่มีวี่แววว่านิราจะกลับมา หรือว่า เธอมีปัญหาที่ดาวไทม์ ทำให้มาไม่ได้ ถึงกระนั้น ต้นก็ยังมารอเธอเสมอ โดยเฉพาะในวันที่พระจันทร์เต็มดวง วันที่ชาวบ้านเริ่มล่ำลือกันว่า ลำแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งมอหินขาวกลับมาแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยมีเรื่องเล่าปรัมปรากันมานานว่า ในคืนเดือนเพ็ญ จะมีแสงสีขาวทองส่องออกมาจากมอหินขาว แต่แสงนี้หายไปเมื่อประมาณกว่าร้อยปีก่อน ในช่วงที่ผู้คนหักร้างถางพงเข้าไปทำไร่ทำสวนใกล้มอหินขาวมากขึ้น แต่ตอนนี้ แสงศักดิ์สิทธิ์กลับมาอีกครั้ง ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นประหลาดใจ แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ออกมาอธิบายว่า เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติ ที่เมื่อพระจันทร์ส่องกระจ่างมาที่ก้อนหินทราย ก็จะเกิดแสงสะท้อนออกมา แต่มีแค่ต้นเท่านั้น ที่รู้ว่า จริงๆ แล้ว แสงนี้คือการส่งสัญญาณจากโลกไปยังดวงจันทร์ สัญญาณที่นิราบอกว่า หายไปได้ 10 วัน ก่อนที่เธอจะถูกส่งให้มาซ่อม

    “10 วันเหรอ” ต้นพึมพำกับตัวเอง และตอนนั้นเองที่มันทำให้เขารู้คำตอบ

    เวลาของดาวเคราะห์ดวงที่ 3 แห่งระบบสุริยะจักรวาล และเวลาของดาวไทม์ ไม่เท่ากัน เวลาราว 100 กว่าปีบนโลก มันเป็นเพียง 10 วันของดาวไทม์ ดังนั้น ที่นิราให้เขารอ 4 วัน มันคือวันของดาวไทม์ ไม่ใช่ 4 วันของโลก!

     

    เวลาผ่านไป 50 ปีเศษ ต้นกลายเป็นคนแก่อายุเฉียด 80 เขารู้ตัวว่าแก่มากแล้ว แต่เขาก็ยังอยู่ และดึงดันไม่ฟังคำทัดทานของหลานๆ ที่ไม่ให้ขึ้นมากางเต็นท์นอนบนภูเขาอีกแล้ว แต่ต้นก็ยังกระย่องกระแย่งมาทุกคืนพระจันทร์เต็มดวง ต้นไม่ได้แต่งงาน เขายังรอผู้หญิงผิวสีทองแดงของเขา

    ในคืนเพ็ญ นิราจอดยานอวกาศของเธอไว้ใต้หุบผาที่เก่า เธอเดินไปที่มอหินขาว มันไม่เหมือนเดิม แม้ยามดึก มอหินขาวก็ยังคึกคักด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่มากันเต็มไปหมด แต่ด้วยอุปกรณ์ไฮเทค เธอจับสัญญาณชีพของคนที่เธอตามหาได้ ในเต็นท์ที่ห่างผู้คนออกไป ชายชรานัยน์ตาฝ้าฟางคนนั้นมองมาที่เธอ แสงจันทร์ส่องสว่างอาบผิวสีทองแดง และเสื้อผ้าที่พริ้วไสว เหมือน “นางฟ้า” ลงมาจากสวรรค์อย่างที่บรรพบุรุษของเขามักจะเล่าถึง

    นิราน้ำตารื้นเมื่อมองเห็นเขา เธอเดินเข้าไปหาด้วยก้าวย่างที่มั่นคง ต้นงกๆ เงิ่นๆ ลุกขึ้นยืนรอ สาวสวยจากต่างดาวสวมกอดเขาไว้แนบแน่น พลางกระซิบ

    “ขอบคุณนะที่ยังรอ..ฉันยังรักคุณเสมอนะต้น”

    “ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน นิรา” ชายชรากระซิบตอบ

     

     

    หมายเหตุ : อุทยานแห่งชาติภูแลนคา มอหินขาว และปรางค์กู่ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชัยภูมิ โดยเฉพาะมอหินขาว ที่มีลักษณะเป็นสวนหินธรรมชาติ เกิดจากการสะสมของตะกอนทรายและดินเหนียวที่แข็งตัวกลายเป็นหินขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายกัน 5 ก้อน มีเรื่องปรัมปราเล่าว่า ในอดีตเมื่อนับร้อยปีก่อนหินที่มอหินขาว จะส่องแสงออกมาทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×