สวัสดีค่ะ ตอนนี้ผู้เขียนอยู่ชั้นม.6นะคะ รร.มัธยมขนาดกลางแห่งหนึ่งในภาคกลาง ทางโรงเรียนไม่เคยมีใครสอบหมอติดค่ะ(มียื่นเรียนนานาชาติที่ให้โดยหมออิสลาม(รึเปล่านะ)ประมาณนี้เนอะ) ก็อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ แล้วก็เพื่อสร้างวินัยให้กับตนเองมากขึ้นด้วย ซึ่งแรงบันดาลใจในการสร้าง 'ไดอารี่ของคนอยากเป็นหมอ'นี้ มาจากบทความนี้ ที่เราเขียนส่งครู เลยคิดว่า ถ้ามาสานต่อเรื่องราว และทำเป็นกิจวัตร ที่ไม่ใช่ประจำวัน แต่เรื่อย ๆ สักวันนึงเราจะมีคุณภาพมากขึ้นในหลาย ๆ ด้านบทความที่เขียนส่งครู(เนื้อหาใช้เลขไทย) เนื้อหามีดังนี้ค่ะ
- ตั้งแต่ฉันจำความได้ พ่อก็เข้าโรงพยาบาลตั้งแต่ฉันยังเด็กด้วยโรคหัวใจ ทุกๆครั้งที่หมอนัด พ่อต้องหอบสัมภาระพาสองแม่ลูกไปกรุงเทพฯ เพื่อไปรักษาอาการหลังผ่าตัดฝังบอลลูน การไปกรุงเทพแต่ละครั้งทำให้ฉันตื่นเต้น เนื่องจากความคึกคะนองในวัยเด็ก แต่ฉันกลับไม่รู้เลยว่า โรคหัวใจมีภัยอันตรายมากแค่ไหน ในตอนนั้นเองฉันได้เห็นการทำงานของแพทย์ที่โรงพยาบาล ภาพจากวารสาร ภาพศัลยแพทย์ และการรักษาโรคหัวใจด้วยการผ่าตัด ความประทับใจนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันอยากเป็น “หมอ”
- นอกจากเรื่องของพ่อแล้ว ยังมีแรงบันดาลใจอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันอยากเป็นหมอนั่นก็คือ การที่ฉันได้ไปงานศพของญาติพี่น้องมีอายุไม่กี่ปีก็ด่วนจากไปเสียแล้ว ทุกคนล้วนเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทั้งสิ้น นั่นทำให้ฉันอยากรู้ อยากวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่ามะเร็งมีสาเหตุมาจากสิ่งใดกันแน่ เกิดกระบวนการใดและมีวิธีป้องกันโรคอย่างไร ทำไมโรคร้ายนี้ถึงพรากญาติพี่น้องอันเป็นที่รักของฉันไปแบบนี้
- แรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดคือตัวฉันเอง ฉันมักจะเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ เรียกได้ว่า สามวันดีสี่วันไข้เลยก็ว่าได้ ฉันรู้สึกได้ว่าความรู้เกี่ยวกับการปฐมพยาบาลหรือการใช้ยาสามัญประจำบ้านเพียงเท่านั้นไม่พอ จะดีกว่าไหม ถ้าเราสามารถรู้ถึงกลไกการออกฤทธิ์ของยา หรือประชาชนคนไทยสามารถมีความรู้ในการช่วยฟื้นคืนชีพหรือปฐมพยาบาลได้ถูกต้องครบถ้วนทุกคน
- เมื่อขึ้นชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ฉันเริ่มมีความคิดที่หนักแน่นมากขึ้น ฉันจึงตั้งใจค้นคว้าข้อมูลการศึกษาต่อเกี่ยวกับคณะแพทยศาสตร์อย่างจริงจัง ตั้งแต่การทำงานของอาชีพแพทย์ การเรียนแพทย์และการสอบเข้า จนได้รู้ว่าการสอบเข้าแพทย์รอบต่าง ๆ เป็นอย่างไร ซึ่งจะกล่าวถึงการเข้าแพทย์ในรอบที่ ๓ รับตรงร่วมกัน คะแนนที่ใช้ยื่นได้แก่ คะแนนการสอบกสพท. คิดเป็น ๓๐% การสอบวิชาสามัญ๗๐% และการสอบโอเน็ตที่ต้องผ่านเกณฑ์๖๐%ขึ้นไป
- การเตรียมตัวสำหรับการอ่านหนังสือของฉันเริ่มตั้งแต่ฉันมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ในตอนนั้นเหมือนเริ่มต้นจากศูนย์ เนื่องจากไม่มีความรู้ใด ๆ ในการเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเลย ลงทุนซื้อหนังสือเล่มดังกองโตตามคนรุ่นก่อน ๆ โดยที่ไม่เคยสัมผัสเนื้อหาจริง ๆ ว่าเนื้อหาภายในนั้นเหมาะกับเราหรือเปล่า ในตอนนั้นฉันคิดโทษตัวเองที่เราเป็นเด็กบ้านนอก อ่านอะไรก็ไม่เข้าใจโดยง่ายแบบเด็กในเมืองเขา แต่ฉันกลับไม่ย่อท้อพยายามฝืนอ่านทุกวันจนดึกดื่น ทำให้บางครั้งการมาเรียนของฉันไม่สามารถรับความรู้ได้เต็มที่เท่าไหร่ แต่ความรู้ในห้องกับโจทย์ปัญหาในข้อสอบช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางทีฉันก็แอบคิดลึก ๆ ว่าเวลานี้ฉันนำมาทำโจทย์สั้น ๆ วันละข้อยังจะมีประโยชน์กว่าไหม
- ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ ถึงแม้ว่าหนังสือกองโตนั้นจะถูกละเลยไปบ้าง แต่ฉันก็พยายามหาเวลาว่างมาอ่านให้ได้ แต่อ่านอย่างไรก็ไม่ได้ความ จึงแก้ปัญหาด้วยการขอพ่อไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมในตัวเมือง ที่นั่นจุดไฟฝันให้ฉันอยู่ตลอดเวลา เขาพยายามกระตุ้นเด็ก ๆ ให้กลับบ้านไปทบทวนเนื้อหาทุกวัน เนื้อหาใด ๆ ที่มีข้อสงสัยก็ไขกระจ่าง ที่เรียนเพิ่มเติมที่ไม่เข้าใจก็เป็นแรงกระตุ้นให้ฉันกลับไปทบทวนเนื้อหาเพิ่มเติมเพื่อให้ทันเพื่อนในเมืองที่อยู่รอบข้าง ที่สำคัญที่สุดการเรียนพิเศษในครั้งนี้ ทำให้ฉันนำแนวทางในการสอนมาวางแผนการติวหนังสือตัวเองเนื่องจากฉันไม่สามารถเสียค่าใช้จ่ายการเรียนพิเศษตลอดทั้งชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้
- ปีสุดท้ายของการเรียนม.ปลายของฉัน ทำให้ฉันมีแรงผลักดันที่จะอ่านหนังสือมากขึ้น ทั้งจากครอบครัว คนรอบข้าง เพื่อนในชั้นเรียนที่ต่างมุ่งมั่นกับการหาที่เรียนต่อ ซึ่งการยื่นคะแนนในรอบที่ ๓ ของฉันได้จัดอันดับ ๖ อันดับไว้คร่าว ๆ หากฉันหลุดจากรอบนี้ ในรอบที่ ๔ ฉันคิดว่าฉันจะศึกษาต่อในคณะแพทย์ทางเลือกต่าง ๆ อาทิ แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ เนื่องจากคะแนนมีระดับน้อยกว่าคณะแพทยศาสตร์ และฉันสามารถศึกษาองค์ความรู้จากคณะนั้น ๆ เพื่อพัฒนาสุขภาพตนเอง และสามารถแนะนำรักษาผู้ป่วยได้เช่นกัน
- ว่ากันว่าผู้ที่จะเป็นหมอได้นั้นต้องมีคุณสมบัติ ๓ ประการ คือ มี Woman’s hand,Lion’s heart and Eagle’s eyes คือมีมือที่เบาเหมือนผู้หญิง มีหัวใจหนักแน่นดั่งราชสีห์ และสายตากว้างไกลดุจเหยี่ยว ท้ายที่สุดฉันหวังว่า โชคชะตาจะเข้าข้างความพยายามของฉัน ต่อให้ฉันไม่ได้เรียนคณะแพทยศาสตร์ก็ไม่เป็นไร ขอให้ฉันสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและคนรอบข้างได้อย่างถูกต้องเหมาะสมนั่นก็เพียงพอความฝันของเด็กบ้านนอกคนนึงแล้ว
นางสาว------ --------------------- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๑ เลขที่ ๒๐
(ผู้เขียน)
เชิญติดตามรับชมตามลำดับตอนค่ะ......
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น