ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เมียเหนือดวง

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ ผมยอมคุณ

    • อัปเดตล่าสุด 30 มิ.ย. 64


    *ชี้แจงสักนิดก่อนอ่านนะคะ* ว่าบทนำคือตอนพิเศษจากเรื่องเมียนำโชค 

    แต่จะเป็นตอนเดียวที่ซ้ำนะคะ หลังจากบทนำจะไม่มีตอนซ้ำจากเรื่องอื่นเลย รี้ดไม่ต้องกังวลน้าาาา 

    สาเหตุที่ต้องให้บทนำจากเรื่องเมียนำโชค ก็เพียงเพื่อให้คนที่ไม่เคยอ่านสองเรื่องในซีรีส์สามารถอ่านและเข้าใจที่มาของภัคภณคนเลวได้ไม่ยากนะคะ ฝากรี้ดที่รักติดตามด้วยน้าาาา 

    ภาพอิมเมจจากกูเกิ้ลนะคะ 

    บทนำ

    ผมยอมคุณ

     

    ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในชีวิตทำให้ภัคภณเจ็บปวดแสนสาหัส เรียกได้ว่าทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมาย่อยยับลงไปไม่เหลือชิ้นดี ทั้งความมั่นใจ สิ่งที่หวัง สิ่งที่พยายามแก่งแย่งให้ได้มา เขาสูญเสียไปหมดทุกสิ่งอย่าง กลายเป็นผู้แพ้ที่แสนน่าสมเพช

    กระนั้นสิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิต มันทำให้เขาใจว่างและใจกว้างพอที่จะเปิดรับสิ่งใหม่...สิ่งใหม่ที่เคยเป็นมาเสมอ นั่นคือความรักความหวังดีของคนในครอบครัว

    ครอบครัวที่นอกเหนือจากบิดากับมารดา 

    อัศวินให้โอกาสเขาได้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท แต่เขาไม่ยอมรับเพราะความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่สมควรได้รับสิ่งนั้นตอบแทน ใจจริงเขาอยากออกจากการบริหารเอดับบลิวเสียด้วยซ้ำ แต่คนเป็นปู่ไม่ยอม หนำซ้ำยังบังคับให้เขาดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทต่อไป เพราะโอฬารไม่ยอมย้ายจากกลุ่มธุรกิจเดิม และเมื่อฝ่ายนั้นเป็นคนชนะอย่างภาคภูมิ ก็ย่อมมีสิทธิ์เลือกให้เป็นแบบไหนก็ได้

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนภัคภณคงคิดว่าโอฬารโง่แสนโง่ที่ทำอย่างนั้น

    แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าโอฬารทั้งฉลาดและใจกว้าง...การได้อยู่กับเด่นดวงคือความสุขที่ไม่มีวันหาจากที่ไหนได้อีก

    คิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นึกถึงนีราขึ้นมาอย่างอดรู้สึกผิดไม่ได้ เขาไม่เคยรู้สึกผิดกับผู้หญิงคนไหนขนาดนี้มาก่อน วันที่เธอไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลเพื่อขอลาออก ภัคภณรู้สึกใจหายและอาลัยอาวรณ์ทั้งที่ ‘ไม่ได้รัก’ เธอเลยสักนิด แต่เพราะรู้ว่าเธอรักเขานั่นแหละหัวใจถึงได้วูบโหวงอย่างบอกไม่ถูก

    ‘คราวนี้ไม่ใช่แค่คุณที่พ่ายแพ้ เราทั้งคู่ต่างก็แพ้ด้วยกัน นีรายอมรับว่าเสียใจมาก เพราะนีรารักคุณ...รักจริง ๆ แม้คุณจะให้นีราทำในสิ่งที่แย่ ๆ ก็ตาม’

    ‘ผมขอโทษ’ เป็นคำพูดเดียวที่ภัคภณจะพูดได้ ทำให้นีราทั้งอึ้งทั้งเศร้าแต่ก็ยิ้มออก

    ‘ถึงจะแพ้ก็คงคุ้มแล้วล่ะค่ะ คนอย่างคุณโตไม่ได้ยอมขอโทษใครง่าย ๆ นีราโชคดีจังที่ได้ยิน’ น้ำเสียงเธอขมขื่นแต่ก็รู้สึกอย่างที่พูดจริง ๆ

    ‘คุณจะไม่ลาออกก็ได้นะ เพราะผมจะเป็นคนไปจากเอดับบลิวเอง’ 

    ‘นี่คุณรักผู้หญิงคนนั้นถึงขนาดทนอยู่ไม่ได้ คิดที่จะไปจากเอดับบลิวเลยเชียวเหรอคะ ?’ นีราทึ่งมาก เธอไม่คิดเลยว่าคนไร้หัวใจอย่างภัคภณจะรักเด่นดวงได้ถึงเพียงนั้น...ขนาดเธอใกล้ชิดเขามาตั้งนานกลับแทบไม่เคยได้ความรู้สึกใดตอบแทนเลย

    เวลาไม่สามารถบอกหรือกำหนดสิ่งใดได้เลยจริง ๆ 

    ภัคภณไม่ตอบ แต่เอียงหน้าไปทางอื่นแทน

    ‘นีราตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปช่วยงานคุณพ่อ เพราะนีราเองก็คงทนอยู่ที่เดิมไม่ได้เหมือนกัน...คุณอาจจะคิดว่านีรารักคุณเพราะภาพลักษณ์เพราะสิ่งที่คุณมี แต่เปล่าเลย...นีรารักคุณเพราะสัมผัสได้ว่าจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนดีคนหนึ่งที่ต้องการความรัก เคยคิดว่าความรักของนีราจะเยียวยาจิตใจคุณได้ แต่มันไม่ใช่ นีราทำไม่สำเร็จ’

    ชายหนุ่มหันมาสบตาที่เอ่อท้นด้วยหยดน้ำของเธอ บังเกิดความเจ็บปวดขึ้นในใจตนเองด้วยเช่นกัน 

    ‘ผมขอโทษ’ 

    คำขอโทษซ้ำสองทำเอาน้ำตานีราร่วงลงบนแก้ม เพราะนั่นแปลว่าเขายืนยันแล้วว่าไม่สามารถรักหรือแม้แต่ให้โอกาสเธอได้ลองเป็นคนที่ถูกรักได้

    ‘ไม่เป็นไรค่ะ นีราเข้าใจดี’ เธอเช็ดน้ำตาออกแล้วยิ้มให้ ‘ขอให้เราทั้งคู่ต่างโชคดีนะคะ’ 

    นีรากลับไปทำงานกับครอบครัวแล้ว และไม่ติดต่อมาเลยนับจากวันนั้น เขารู้ข่าวคราวเธอบ้างจากคนรู้จักในวงกว้าง ส่วนบิดากับมารดาเขาก็เฉยเมยและยังคงกักขังเขาไว้ในกรงของความ ‘ผิดหวัง’ แสดงอาการเย็นชาราวกับไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน

    ผิดกับอันนพและอรุณประไพที่ดีกับเขาเสมือนไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทั้งเอาใจใส่ ไปเยี่ยม ไปดูแลจนกระทั่งเขาออกจากโรงพยาบาล ทั้งสองคนตัดสินใจให้โอชาดูแลรีสอร์ตที่เมืองกาญจน์เพียงลำพัง เพื่อจะอยู่กับโอฬารและลูกสะใภ้ที่กำลังตั้งท้องที่นี่ เนื่องจากโอฬารยอมย้ายกลับมาอยู่บ้านใหญ่ให้อัศวินได้สบายใจ แต่อีกไม่นานพวกเขาก็จะย้ายไปอยู่เรือนหอที่สร้างใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านใหญ่เพียงรั้วกันเท่านั้น 

    มันใกล้มากจนภัคภณไม่รู้ว่าตัวเองจะทานทนต่อความรู้สึกที่ยังวนเวียนในอกได้แค่ไหน

    “บอสคะ”

    ภัคภณสะดุ้งเล็กน้อย หลุดจากภวังค์ความคิดมามองเลขา ‘สุดเนิร์ด’ แล้วคิ้วยุ่งอย่างไม่สบอารมณ์ 

    “เข้ามาในห้องผมทำไมไม่เคาะประตูก่อน” เขาดุอย่างไม่อ้อมค้อม มองหญิงสาวร่างบางสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีมกับกระโปรงทรงกระสอบสีดำรัดรูปยาวเลยเข่าลงไป กับรองเท้าคัทชูสีดำที่ทรงสวยทันสมัยแต่ดูยังไงมันก็ยังเรียบร้อยไปมาก ผมของเธอยาวตรงสีดำรวบไว้ด้านหลังจนตึง ใบหน้ารูปไข่ถูกแว่นทรงกลมครอบบริเวณดวงตาไว้ แต่งหน้าอ่อน ๆ จนเหมือนไม่ได้แต่ง เห็นแล้วรู้สึก...ไร้อารมณ์ดี 

    นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกเธอมาเป็นเลขา...เพราะเห็นแล้วรู้สึกเฉย ๆ นี่แหละ

    “ดิฉันเคาะแล้วค่ะ ไลน์เข้ามาถามแล้วด้วย แต่บอสไม่ตอบเลยสักทาง ดิฉันเลยเป็นห่วงถือวิสาสะเข้ามาดู ขอโทษด้วยค่ะถ้าทำให้ไม่พอใจ” ขณะเอ่ยอธิบายสีหน้าของอณิมาราบเรียบเหมือนลุกส์ของเธอไม่มีผิด 

    แต่คำว่า ‘เป็นห่วง’ ฟังจริงใจจนภัคภณแววตาอ่อนแสงลง 

    “ช่างเถอะ แล้วคุณมีอะไร” 

    “อีกสิบห้านาทีจะเริ่มถ่ายทำโฆษณาห้าจีแล้วค่ะ บอสบอกว่าจะไปดูด้วย ดิฉันเลยมาเตือนค่ะ” อีกสิ่งหนึ่งที่ภัคภณชอบการทำงานของอณิมาตลอดเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมาคือเธอเป็นคนเข้าใจง่าย คุยง่าย จบคือจบ ความรู้สึกค่อนข้างแข็งแรง ไม่อ่อนไหวง่าย แม้จะดูเหมือนทำงานกับหุ่นยนต์ไปสักหน่อย แต่เขาก็ว่าดี 

    “โอเค งั้นคุณไปก่อน เดี๋ยวผมตามไป”

    “ค่ะ” อณิมารับคำแล้วโค้งให้เล็กน้อยก่อนเดินออกไป 

    เพราะอยากลืมความรู้สึกที่มันอึน ๆ อยู่ในหัวใจ ภัคภณเลยทำงานอย่างบ้าคลั่ง กลุ่มธุรกิจหลักถูกเปลี่ยนมือไปอยู่ในความดูแลของประธานบริษัทอย่างวรัท ตัวเขาเลยต้องดูแลกลุ่มโทรคมนาคมแทน ชายหนุ่มทำงานทุกเวลานาที แม้แต่เรื่องที่จ้างดารามาถ่ายทำโฆษณาห้าจีก็ยังขอไปดูด้วยตัวเอง ทั้งที่มันไม่จำเป็น ไม่ใช่หน้าที่ ไม่ต้องถึงระดับรองประธานบริษัทอย่างเขา คนอื่นก็จัดการได้ แต่เขาอยากทำ...อยากทำให้ดีที่สุด อยากทำงานให้ลืมความรู้สึกที่ก่อกวนหัวใจ 

    ชายหนุ่มมาถึงจุดที่ถ่ายทำโฆษณาซึ่งเป็นส่วนของสตูดิโอหลังตึกสำนักงานใหญ่ แล้วชะงักเท้าอยู่หน้าประตู 

    “เธอเป็นเลขา ต้องทำการบ้านให้ดีสิว่าฉันชอบหรือไม่ชอบอะไร ไม่ใช่คิดจะเอาอะไรมาต้อนรับฉันก็ได้แบบนี้” เปรี้ยว สิรินทร์ ดาราชื่อดังที่กำลังรุ่งในขณะนี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทางกราดเกรี้ยวใส่อณิมาที่ยังคงยืนเฉยสีหน้าราบเรียบ

    “ค่ะ ดิฉันทำการบ้านมาแล้ว และผู้จัดการของคุณบอกว่าคุณชอบดื่มน้ำส้ม” อณิมาเอ่ยบอกอย่างใจเย็น 

    “แล้วฉันชอบน้ำส้มอย่างเดียวรึไง บางอารมณ์ก็อาจจะอยากดื่มน้ำอย่างอื่นมั่งป้ะ คิดสิคิด ทำการบ้านไม่ละเอียดแบบนี้เป็นเลขารองประธานบริษัทได้ยังไงกัน”

    “บอสไม่เรื่องมากกับแค่เรื่องน้ำดื่มหรอกค่ะ เสียเวลาทำงานเปล่า ๆ” 

    ขณะพูดสีหน้าอณิมายังคงราบเรียบ ภัคภณเผลอกระตุกยิ้มพอใจกับคำตอบของเลขาตัวเอง แต่ทำเอาสิรินทร์ถึงกับหน้าชา หันรีหันขวางก่อนจะคว้าแปรงหวีผมที่ช่างวางไว้มากำแน่นแล้วขว้างใส่อณิมาที่ยืนนิ่งไม่ยอมหลบจึงโดนหน้าผากเข้าเต็ม ๆ ทุกคนครางฮือพร้อมกัน แต่อณิมาเพียงหลับตาลง แล้วลืมขึ้นใหม่ 

    “น้องเปรี้ยวคะ ไม่เอานะคะ ไม่ทำแบบนี้ ขืนใครถ่ายคลิปไปลงโซเชียล ชื่อเสียงจะเสียหายได้นะคะ” เมธีผู้จัดการสาวประเภทสองรีบเข้ามากระซิบกระซาบ 

    “ถ้าคุณระบายอารมณ์จนพอใจแล้วก็เริ่มทำงานได้แล้วใช่ไหมคะ” อณิมาเอ่ยขึ้นราบเรียบดังเดิม ทุกคนหันมองเธออึ้ง ๆ ไม่คิดว่าเลขาที่ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า ‘ใหญ่ตามเจ้านาย’ จะอดทนและยอมใจเย็นได้ถึงเพียงนี้ ถ้านับตำแหน่งกันจริง ๆ อณิมาถือว่ามีตำแหน่งสูงในเอดับบลิวมาก อำนาจของเธอใหญ่รองลงมาจากรองประธานบริษัทเลยทีเดียว 

    “ยังเริ่มไม่ได้ ฉันยังไม่มีอารมณ์!” สิรินทร์เอ่ยอย่างหงุดหงิด มองรอยแดงบนหน้าผากเลขาสุดเชยแล้วแสยะยิ้มพอใจ 

    “ใช่ ยังเริ่มไม่ได้” 

    เสียงทุ้มต่ำของคนที่เพิ่งเดินเข้ามาเรียกสายตาทุกคนได้เป็นอย่างดี อณิมาก้มหน้านิด ๆ แล้วเบี่ยงตัวให้เจ้านายได้เดินมาหยุดยืนตำแหน่งที่ตัวเองยืนเมื่อสักครู่ ภัคภณจ้องตรงไปยังดาราสาวที่เปลี่ยนสีหน้าเป็นสลดได้สมกับเป็นนักแสดง แววตาชายหนุ่มระยับไหวคล้ายพอใจอะไรสักอย่าง ยิ่งทำให้ฝ่ายนั้นมั่นใจว่าเขาพอใจในตัวเธอ 

    ก็ข่าวคราวของภัคภณ อัศววงศ์ธรรมที่คนทั่วไปได้ฟังได้ยินมาคือเขาเป็นคนมีเสน่ห์แพรวพราวมากที่สุดในบรรดาสามพี่น้องหลานชายของเจ้าสัวอัศวิน กิตติศัพท์เรื่องผู้หญิงของเขาอาจไม่ถึงกับเป็นคาสโนวา แต่ก็มากพอให้รู้ว่าเขาใช้ผู้หญิง ‘เปลือง’ พอสมควร

    “สวัสดีค่ะคุณโต” สิรินทร์ยกมือไหว้ได้สวยงาม ใบหน้าสวยแลดูอ่อนหวานราวกับคนละคนกับเมื่อสักครู่นี้

    “สวัสดีครับ” ภัคภณเอ่ยตอบรับด้วยสีหน้าเป็นมิตร “ยินดีที่ได้รู้จัก...เป็นครั้งสุดท้ายครับ”

    คำพูดของชายหนุ่มเรียกสายตางุนงงจากทุกคนได้เป็นอย่างดี รวมถึงอณิมาก็ด้วย

    “คะ ? คุณโตหมายความว่ายังไงคะ” 

    “หมายความว่าผมจะจ้างดาราคนอื่นแทนคุณ เชิญคุณกลับไปได้เลย” ขณะเอ่ยสีหน้าแววตาเขายังคงเกลื่อนยิ้มพอใจ แต่ทุกคนที่ได้ฟังอึ้งเหวอกันไปหมดแล้ว โดยเฉพาะอณิมา 

    “ไม่ได้นะคะ เราเซ็นสัญญากันแล้ว จะมาทำแบบนี้ไม่ได้ อีกอย่างคุณมีเหตุผลอะไรที่จะไม่จ้างเปรี้ยวคะ” สิรินทร์เดินเข้ามาหาชายหนุ่ม ถามด้วยท่าทีร้อนรน 

    “ผมไม่อยากทำงานร่วมกับคนที่ไม่มืออาชีพ แยกแยะไม่ได้ว่าเรื่องไหนเล็กหรือใหญ่ เรื่องไหนสำคัญไม่สำคัญ” เขาเว้นจังหวะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “เลขาผมบอกว่าเราจะเริ่มถ่ายทำตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อน แต่ถึงตอนนี้ยังไม่ได้เริ่ม แค่เพราะคุณได้น้ำดื่มไม่ถูกใจ มันงี่เง่าเกินไปสำหรับธุรกิจของผมที่ต้องแข่งกับเวลา คุณไม่รู้หรอกว่าหนึ่งนาทีที่ผมสละเวลามาตรงนี้ มันสามารถทำเงินได้เท่าไร เพราะคุณไม่มีสมองเท่ากับที่เลขาผมมี” เกิดความเงียบขึ้นชนิดที่เข็มตกสักเล่มก็คงได้ยินกันทั่ว 

    “บอสคะ แต่ถ้าทำแบบนี้เท่ากับเราฉีกสัญญาเราต้องชดใช้ให้เขานะคะ” อณิมาเดินเข้ามากระซิบแค่พอได้ยินกันสองคน ภัคภณเอียงหน้าไปมองเธอนิดหนึ่งก่อนจะหันกลับไปทางดาราสาว 

    “ผมให้เวลาสิบนาที เก็บของทุกอย่างแล้วออกไป ส่วนเรื่องค่าเสียหาย ผมให้ได้แค่ค่าเสียเวลาในวันนี้ คิดค่าตัวคุณหารกับเวลาที่คุณมาที่นี่ ไม่มีจ่ายเกินแม้แต่บาทเดียว ส่วนถ้าจะเรียกร้องอะไรมากกว่านั้น ผมจะให้ทนายจัดการต่อก็แล้วกัน” พูดจบเขาก็หมุนตัวไปทางอณิมา “…ไปเถอะ”

    “เดี๋ยวค่ะคุณโต ใจเย็นก่อนนะค้าาา...” ผู้จัดการสาวประเภทสองรีบมาดักหน้าภัคภณไว้ “เมย์ต้องขอโทษแทนน้องเปรี้ยวจริง ๆ นะคะ เธอหงุดหงิดมากไปหน่อย เลยทำอะไรตามอารมณ์ไปสักนิด แต่อย่าเพิ่งไล่กันเลยนะคะ ขอโอกาสสักครั้งเถอะ...นะคะ เมย์สัญญาว่าจะให้น้องเปรี้ยวตั้งใจทำงาน ไม่สร้างปัญหาอีกเลยค่ะ นะคะ...นะคะ”

    “ไม่” ภัคภณตอบชัดเจนจนเมธีสะอึก 

    “บอสคะ” อณิมาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เธอหันไปทางเมธี ฝ่ายนั้นรู้งานจึงรีบวิ่งกลับไปหาเด็กในสังกัดตัวเอง อณิมาจึงเอ่ยกับเจ้านายตัวเองด้วยระดับเสียงที่ได้ยินกันแค่สองคน “ดิฉันคิดว่าควรให้โอกาสเขานะคะ เพราะแม้วันนี้เราอาจจะทำงานช้าไปสักหน่อย แต่ถ้าหาพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ มันจะช้ากว่านี้มาก ดิฉันสอบถามทางฝ่ายบัญชีมาแล้ว ถ้าไตรมาสนี้เราจะทำกำไรให้ถึงเป้าที่วางไว้ เราไม่ควรเสียเงินหรือเวลาโดยใช่เหตุเพราะเรื่องนี้นะคะ”

    ภัคภณเลิกคิ้วสูง ไม่คิดว่าอณิมาจะละเอียดถึงขนาดไปสอบถามฝ่ายบัญชีถึงตัวเลขของธุรกิจที่ต้องทำให้เติบโตด้วย เขาไม่เคยสั่งและเธอไม่เคยรายงานให้ทราบ 

    ทว่าการที่เขาเปลี่ยนใจไม่จ้างสิรินทร์ไม่ใช่เพราะเหตุผลทางธุรกิจ...แต่มันเพราะรอยแดงตรงหน้าผากเธอต่างหาก

    เขาไม่ชอบคนที่ ‘ยอม’ ให้คนอื่นรังแกโดยไม่โต้ตอบ 

    “เขากราดเกรี้ยวใส่คุณขนาดนั้น ถามจริงเถอะ ไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง” น้ำเสียงเขาขุ่นคิ้วขมวดอย่างให้รู้ว่าไม่พอใจ และอณิมาก็รู้ว่าคราวนี้เขาไม่พอใจเธอ

    “รู้สึกค่ะ โกรธด้วย แต่เพื่อเป้าหมายที่ต้องการบางครั้งถ้ายอมได้ ถ้ายอมแล้วมันดีกว่าก็ต้องยอมบ้างค่ะ”

    ภัคภณสะอึก ยอมเหรอ ? คนอย่างเขาไม่เคยยอมใครมาก่อน ตั้งแต่เล็กจนโต อยากได้อะไรเขาต้องแย่งต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมคนเราต้องยอม 

    แต่นาทีนี้...นาทีที่เขาผ่านการพ่ายแพ้มาแล้ว นาทีที่ชีวิตรู้แล้วว่าคนเราไม่สามารถแย่งทุกอย่างได้ การจะได้มาในบางครั้งมันต้องเกิดจากการยอมจริง ๆ เขาสบตาเลขาที่มองตรงมาอย่างแน่วแน่ในความคิดตัวเอง 

    ร่างสูงถอนหายใจแล้วหมุนตัวกลับไปหาดาราสาว ผู้จัดการดาราสาวยิ้มอย่างมีความหวังทันที

    “ผมจะให้โอกาส” เขาเอ่ย ทำให้ทุกคนรวมถึงทีมงานยิ้มกันอย่างโล่งใจ “ถ้าคุณยอมขอโทษคนของผม” สิรินทร์หน้าบึ้งทันที แต่เมธีรีบรับคำ

    “ได้เลยค่ะ เรื่องแค่นี้เอง ง่ายมาก ๆ เนอะน้องเปรี้ยวเนอะ” 

    สิรินทร์หันหน้าหนี แต่เมธีบิดหน้ากลับมาพร้อมกระซิบ 

    “ค่าตัวงานนี้สูงมาก คุณโตเอาจริงแน่ถ้าเธอไม่ยอมทำ” 

    สิรินทร์กัดฟันกรอด ตวัดสายตาไปมองอณิมาที่เหมือนจะอึ้ง ๆ อยู่ รู้สึกขัดใจยายเลขาหน้าจืดแสนเชยคนนั้น แต่ก็รู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น 

    “ขอโทษ!” เอ่ยเสียงแข็งอย่างไม่พอใจ 

    “ไม่...” อณิมากำลังจะบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่ทันกับคนที่ยืนข้างตัว

    “ผมให้โอกาสอีกที ถ้าคราวนี้คำขอโทษของคุณทำให้ผมพอใจไม่ได้ ก็เชิญกลับได้เลย”

    สิรินทร์อ้าปากจะโต้ตอบ แต่เมธียกมือปิดปากเธอไว้พร้อมส่งสายตาข่มขู่ ดาราสาวจึงออกอาการฟึดฟัดครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ สูดหายใจเข้าปอดลึก ๆ อีกครั้ง 

    “ฉันขอโทษด้วยนะคะ คุณเลขา” น้ำเสียงคราวนี้อ่อนลงมาก แม้จะฟังออกว่าไม่เต็มใจสักเท่าไร แต่ภัคภณก็พอใจแล้ว

    “ผมให้เวลาการถ่ายทำเท่าเดิม ห้ามเกินแม้แต่นาทีเดียว ถ้าถ่ายทำเกินเวลาที่กำหนดจะคิดค่าเสียเวลาและไม่จ่ายค่าตัวคุณในส่วนที่เกินเวลามา เพราะผมเชื่อว่าทางฝั่งผมจะทำได้ตามกำหนดแน่นอน และจากนี้ไปผมจะให้ผู้จัดการมาดูแลการถ่ายทำเองทั้งหมด” เขาบอกแล้วหมุนตัวอีกครั้ง “ไปเถอะ เสียเวลากับเรื่องไร้สาระมากแล้ว”

    เขาหันไปบอกเลขาแล้วออกเดินนำ อณิมาอึ้ง ๆ งง ๆ แต่ก็รีบเดินตามไปอย่างรวดเร็ว 

    “ทีหลังอย่ายอมใครแบบนั้นอีก” เดินอยู่ดี ๆ เจ้านายก็หยุดแล้วหันกลับมาสาดคำพูดใส่เธอด้วยน้ำเสียงดุ ๆ ว่าอย่างนั้น อณิมามองตอบเขานิ่ง ๆ 

    “ทำไมล่ะคะ ?”

    “ทำไม ? เออ ทำไมต้องยอม คุณเป็นคนผิดงั้นเหรอ ?” 

    “ก็มีส่วนผิดที่ไม่สอบถามเขาก่อนว่าจะดื่มน้ำอะไรค่ะ แต่ต่อให้ไม่ผิด เรื่องแค่นั้นก็ยอมได้ค่ะ เพราะรู้ว่าผลลัพธ์จากการยอมมันคุ้มค่า”

    “คุ้มค่า ?” ภัคภณเอ่ยทวนก่อนจะหัวเราะหึในลำคอ “คุณคิดว่าผมเห็นแก่ยอดธุรกิจ กลัวการต้องจ่ายเงินเพิ่มจนยอมให้เลขาถูกหยามศักดิ์ศรีงั้นเหรอ”

    “เปล่าค่ะ แต่ดิฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้เสียศักดิ์ศรีอะไร คนที่ยอมไม่ได้แปลว่าเป็นคนแพ้นี่คะ ศักดิ์ศรีดิฉันยังอยู่เท่าเดิม บอสไม่เห็นสายตาคนอื่นเหรอคะ สายตาที่เขามองคุณเปรี้ยว ไม่มีใครชื่นชมการกระทำเธอเลยสักคน เธอต่างหากที่ดูเสียศักดิ์ศรีและน่ารังเกียจ บอสเองก็คิดแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ ?”

    ภัคภณนิ่งงัน จ้องคนหน้าตาเรียบเฉยนิ่ง ๆ บางทีเขาก็รู้สึกว่าอณิมาคือโอฬารในภาคผู้หญิง ความคิดและท่าทางของเลขาคนนี้ดูคล้ายโอฬารจนเขานึกอยากไล่เธอออกในบางที แต่สุดท้ายแล้วก็ดันรู้สึกว่า ‘มันใช่’ สิ่งที่เธอพูดถูกต้องทุกอย่าง

    “โอเค...ผมยอมคุณ”

    ชายหนุ่มบอกแล้วก็หมุนตัวออกเดินต่อ อณิมาอึ้งครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าเขาจะยอมง่าย ๆ ไม่คิดว่าเขาจะพูดแบบนั้น บางทีบอสที่เธอไม่ได้อยากทำงานด้วย แต่ยอมมาเป็น ‘คนของเขา’ เพราะเงื่อนไขบางอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ทั้งหมดหรอกนะ

     

    _____________________________

    จะลงเป็นน้ำจิ้มให้สักตอนสองตอนก่อนนะคะรี้ดที่รัก

    ใจเย็น ๆ น้า อย่าเพิ่งทวงยิก ๆ เน้อ 5555555

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×