ตอนที่ 22 : 22

EP. 22
ผมกำลังอยู่ในสภาวะอินเลิฟ เข้าใจแล้วว่าไอ้การที่คนเขาเรียกกันว่าอินเลิฟนี่มันเป็นยังไง…
“เจ มึงสมหวังแล้วใช่ไหม ตาลอยมาเลยนะมึง”
“บอกแล้วว่าวิธีเจ๊ได้ผล”
“อะไรวะ อีเจมันสละโสดก่อนได้ยังไง!”
ผมนั่งอมยิ้มไปกับคำพูดของพี่ๆ ในกลุ่ม ไม่อยากจะยอมรับหรอกว่าตัวเองกำลังมีความรัก แต่ผมก็ดันมีจริงๆ ชีวิตตอนนี้ของผมขาขึ้นสุดๆ ตั้งแต่วันนรกแตกนั่นผมกับสุขสันต์ก็เปิดใจให้กันมากขึ้น เราสองคนตกลงที่จะคุยกันไปก่อน ยังไม่มีการขอคบใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าจะให้อธิบายสถานะของเราสองคนตอนนี้ อืม…คงเรียกได้ว่าเป็น ‘สถานะคนคุย’ ล่ะมั้ง
โอ้โห คำตอบเซเลบชะมัดเลยไอ้เจได!
“ผมจะบอกอะไรให้ ผมไม่ได้ใช้วิธีเจ๊เลย” ผมตอบเจ๊พิม
เจ๊แกเอามือทาบอกทันที “แล้วแกใช้วิธีอะไร”
จะให้บอกรึไง ว่ามอมเหล้าตัวเองแล้วไปปล้นจูบเขามา ใครจะไปกล้าพูด
“เขียนใส่กระดาษ เหมือนในหนัง Love Actually ไง” ผมบอกไปตามความจริง อันที่จริงในคืนนั้นที่ผมเห็นกระดาษกับปากกา ผมก็นึกถึงฉากนี้ในหนังขึ้นมาก่อนเลย เนี่ย เห็นไหม ใครบอกว่าดูหนังแล้วไม่ได้อะไร ปั๊ดโธ่
“ย่ะ!” เจ๊พิมทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะลุกหนีไป ผมกับพี่ๆ ในกลุ่มนั่งคุยกันอีกสักพักก็แยกย้ายกันตามระเบียบ
ผมกำลังจะเดินขึ้นตึก แต่จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดันมีสายเข้าเสียนี่ พอเห็นเบอร์โทรเข้ามาผมก็อดใจเต้นไม่ได้
ฮื่อออ ทำไมมันคันยุบยิบในใจจังวะกะอีแค่จะรับสายเนี่ย!
“ฮัลโหล”
[กินข้าวยัง] น้ำเสียงทุ้มลอดออกมาจากสายทำเอาผมต้องถูนิ้วกับผนังเล่น
“อื้อ กินแล้ว”
[ให้ไปรับไหม]
พอมาคุยกันจริงจังมันก็ดูจะรับฟังความเห็นเพิ่มมากขึ้น เริ่มถามผมก่อนจะทำอะไร ซึ่งผมว่ามันก็เป็นเรื่องดีที่มันยอมปรับในข้อนี้
“หึ ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวไปเจอกันที่ห้องเลย” พูดเองก็เขินเอง วุ้!
[โอเคครับ รีบกลับแล้วกัน]
“อื้อ”
[วางแล้วนะ]
“อื้อ”
เสียงหัวเราะเล็กน้อยลอดมาก่อนที่สายจะตัดไป พอวางสายปุ๊บผมก็ยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองทันที ไอ้หมีมันก็บอกหลายรอบแล้วว่าให้ชิน ให้ปกติ แต่ผมทำไม่ได้โว้ย ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้ มันยุบยิบๆ ไปทั่วเนี่ย แค่ยืนคุยโทรศัพท์เฉยๆ ผมก็ยืนเขี่ยนั่นเขี่ยนี่ไปทั่วแล้ว
ผมเรียกสติตัวเองก่อนจะกลับมานั่งทำงาน ใช้เวลาไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หมดเวลาสำหรับหาเงิน พี่ปลาวาฬกับเจ๊พิมก็ตั้งหน้าตั้งตารอจะเห็นคนที่ผมคุยด้วยแต่ก็ต้องแห้วไปเพราะไอ้หมีมันไม่ได้มารับ เห็นพี่ๆ เขาโวยวายก็เริ่มจะสงสาร เอาไว้วันหลังค่อยบอกแล้วกัน
ใช้เวลาไม่นานผมก็กลับมาถึงคอนโด เผลอๆ จะเร็วกว่าปกติด้วยซ้ำไป พอมาถึงหน้าห้อง 305 ผมก็เคาะเรียกทันที ยืนรอสักพักประตูห้องก็เปิดออก เผยให้เห็นเจ้าของห้องที่ยืนอุ้มลูกแมวอยู่
“แม่แกมาแล้ว”
“แม่อะไรล่ะ หลีกเลย หิวข้าว” ผมว่ามันก่อนจะเดินหลบเข้าไปยังในห้อง ผมเริ่มขยับเข้ามาในโซนของสุขสันต์ทีละน้อยครับ เริ่มใช้เวลาหลังเลิกงานกับมัน เดี๋ยวก็กินข้าวบ้าง ดูหนังบ้าง เลี้ยงแมวบ้าง ก็ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ผมไม่เคยจะได้ทำกับใครแบบนี้มาก่อน
“วันนี้กินข้าวเสร็จแล้วจะพาออกไปข้างนอกนะ”
“ไปไหนอะ”
“เดี๋ยวก็รู้” ผมทำหน้ามุ่ยใส่อีกฝ่าย ไอ้หมีเลยพุ่งเข้ามาจับจมูกบีบไปมา โอ้ย เนี่ย! อีกอย่างหนึ่งก็คือไอ้หมีมันชอบจู่โจมเข้ามาแบบรวดเร็วแบบนี้ แล้วก็ชอบมาบีบจมูกผม ชอบเหลือเกินนะดั้งกูเนี่ย!
“รีบกินได้แล้ว” มันสั่งมาแบบนั้นก็โอเคครับ จัดให้ ผมใช้เวลาในการกินข้าวไม่นาน พอเสร็จแล้วก็กะจะล้างจาน แต่ไอ้หมีมันก็มาดึงจานผมไปล้างให้แทน ผมว่าเรื่องนี้เราต้องคุยกันอย่างจริงจังบ้างแล้ว คือการดูแลกันมันก็ดี แต่บางทีมันก็มากเกินไป
ผมไม่ชอบอะไรที่มันเกินพอดี ผมดูแลตัวเองได้ ผมไม่ได้อยากเป็นง่อยอะ
“สุขสันต์”
เจ้าตัวทำเป็นไม่ได้ยินที่ผมเรียก เนี่ย! อีกจุดหนึ่งที่ผมโคตรจะเกลียดมันก็ตรงนี้แหละ
ถ้าผมเรียกมันแค่สุขสันต์เฉยๆ มันจะไม่ยอมหัน ยิ่งถ้าเรียกมึงนี่คือจะพุ่งมาบีบคอเลย ใจคอมันจะเอาให้ผมเรียกมันพี่ให้ได้ ผมล่ะเครียด
“พี่สุข” อ๋อยย~ พูดไปก็กระดากปากไปว่ะ
พอไอ้หมีมันได้ยินคำที่ตัวเองต้องการจะฟัง มันถึงยอมหันกลับมา มึงนะมึง!
“เอ่อ…” นั่น ลืมไปเลยว่าจะพูดเรื่องอะไร
“ว่า?”
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ ไม่ชอบ”
“แบบไหน”
“ก็แบบที่มาแย่งล้างจาน ซักผ้าอะไรแบบนั้น ไม่โอเคอะ มันรู้สึกไม่ได้ทำอะไรเลย” ผมบอกออกไปตามตรง ไอ้หมีมันเลยเดินเข้ามาหา
“ทำไมล่ะ”
“มัน…แค่ไม่ชอบให้ใครมาดูแลจนเกินไป นี่ดูแลตัวเองได้ไง พี่อะดีเกินไป ไม่ชอบ”
ไอ้หมียกมือขึ้นมาถูผมเบาๆ “ครับ ขอบคุณที่บอก”
เนี่ย ใจกูบางเท่านี้เลย
“เรียบร้อยหรือยัง”
“จะไปไหนอะ”
คนชวนไม่ยอมตอบ แต่หันไปจัดการอาหารแมวก่อนจะพาผมออกมา มันพาผมนั่งรถออกมาข้างนอก ขับมาไกลพอสมควรเหมือนกัน แต่พอใกล้ถึงจุดหมายผมก็เริ่มจะอ๋อออกมา
“ถึงแล้ว” สุขสันต์บอกเมื่อรถจอดสนิท
ผมลงมาจากรถ รับลมเย็นๆ ริมแม่น้ำตอนเวลาสองทุ่ม
“จริงจัง?” ผมหันกลับไปถามคนที่อุตส่าห์พาผมข้ามฟากมาดูแม่น้ำตอนกลางคืน
“สมัยเป็นนักศึกษาชอบมาที่นี่” สุขสันต์บอกก่อนจะเดินมาเกาะรั้ว มันหลับตารับลมจากแม่น้ำ
หล่อเชียวนะ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกซีรี่ย์เหรอวะทำแบบนี้
“เรียนมอ YY เหรอ” ผมพูดชื่อมหาวิทยาลัยที่อยู่แถวนี้ออกไป
ไอ้หมีพยักหน้าตอบกลับเบาๆ “ชอบที่นี่ เวลาคิดอะไรไม่ออกก็จะชอบมา ไม่ได้มานานแล้วเหมือนกัน”
“งั้นแปลว่าตอนนี้ก็คิดอะไรไม่ออกงั้นดิ”
“เปล่า” ไอ้หมีปฏิเสธ มันมองมาที่ผมนิ่งๆ แววตาแบบนั้นมันทำให้ผมใจเต้นแปลกๆ อีกแล้ว “พี่แค่อยากพาคนที่พี่ชอบมาดูโลกของพี่”
ตู้มมมมม เนี่ย! เนี่ย! มันก็เป็นซะแบบนี้ แล้วไม่ให้กูเขินได้ยังไง
ผมหันหน้าหนีก่อนจะซบลงกับรั้วกั้น ส่งเสียงโอดครวญออกมาเสียจนไอ้หมีมันหลุดหัวเราะ เขินจริงนะเว้ย
“ให้เดาว่าพี่จบอะไร” ยืนนิ่งๆ ไปสักพักไอ้หมีก็ถามขึ้นมาลอยๆ
เออว่ะ พอมันถามแบบนี้ต่อมสงสัยผมก็งอกทันที ไม่เคยถามเรื่องส่วนตัวหรืออะไรมันเลยนะเนี่ย
“วิศวะ” ผมตอบกว้างๆ เอาไว้ก่อน ผู้ชายเรียนวิศวะกันเยอะ แต่สุขสันต์ส่ายหน้า
“สถาปัตย์?” ก็ยังส่ายหน้า
“ดุริยางคศาสตร์?” นี่ก็ยังส่ายหน้าอีก! อะไรวะ
“ศิลปกรรมฯ”
“ไม่ถูก”
“อะไรวะ เศรษฐศาสตร์อะ บริหาร อักษร วิทยา เดาไม่ถูกอะ”
“สัตวแพทย์”
หา!!! ผมอ้าปากค้าง ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบนี้จะมาจากคณะสัตวแพทย์ หลุดออกมาได้ยังไงวะ หรือว่าได้ยีนสัตว์เลยออกมาเป็นแบบนี้
“อึ้ง?”
“เออดิ ไม่คิดว่าจะมาแนวนั้น ก็เห็นเป็นนักดนตรี”
“ที่บ้านเปิดโรงพยาบาลสัตว์ ให้น้องดูแลอยู่ เป็นหมอหมาเหมือนกัน”
“คิดไงเรียนสายนี้อะ” ผมถามด้วยความสงสัยจริงๆ
“ถ้าตอบว่าเรียนตามคนที่ชอบล่ะ” มันถามกลับมาหน้านิ่งๆ จนผมอดอึ้งไม่ได้
เฮ้ย ตกใจจริงจัง เอาจริงดิ โห…
“ตอนแรกกะจะลงเภสัช ตอนนั้นพี่อยากเปิดร้านขายยา แต่ตอนนั้นชอบเขามากไง เลยเลือกตามไป สุดท้ายก็โดนเทตอนปีสอง” สุขสันต์เล่าให้ฟังหน้าตาเฉย สายตามันยังจับจ้องไปที่แม่น้ำ
เหอ เหอ เภสัชก็ยังไม่เข้ากับมึงอีกอยู่ดีแหละพี่เอ้ย
“ตอนนั้นหนักมากนะ แต่ได้เพื่อนช่วยเลยผ่านมาได้”
“แล้วชอบไหมล่ะ คณะที่เลือกไป”
“ตอนแรกก็ฝืน ไปๆ มาๆ ก็พอรับได้ มันก็ตรงกับตัวเองอยู่เหมือนกัน” พูดเสร็จก็หันหน้ามาหาผมแล้วดึงแก้มเล่น
เนี่ย ชอบนักแก้มกู จมูกกู
“พอดีว่าชอบสัตว์อยู่แล้ว”
เอ๊ะเดี๋ยวนะ…ชักแปลกๆ ละ
“แอบว่าอะไรหรือเปล่า”
“หึ” มันยกยิ้ม ผมเลยได้แต่ชี้หน้าคาดโทษ
หนอยแน่ อย่าให้รู้นะว่าแอบด่าว่าเป็นสัตว์อะ มีเคืองนะบอกให้ มึงก็เป็นหมีในความคิดกูเหมือนกันอะแหละวะ!
“อยากเห็นตอนใส่กาวน์อะ”
“จริงเหรอ”
“อือ”
“ไว้วันหลังจะใส่ให้ดู” พอมันพูดแบบนั้น ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ รู้สึกว่ายังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับตัวมันที่ผมไม่รู้มาก่อน ผมก็เลยได้มีโอกาสมาเรียนรู้มันบ้าง
ตอนนี้ไอ้หมีเดินไปซื้อไอศกรีมกะทิและกำลังเดินกลับมาพร้อมไอศกรีมในมือสองถ้วย ผมลากสุขสันต์ไปนั่งอยู่ตรงริมแม่น้ำ วิวตรงนี้เห็นชัดดี ทั้งเรือ ทั้งตึก ทั้งท้องฟ้า ลมก็พัดเย็นสบาย อา..ชื่นใจเว้ยยย
“เล่นเกมยี่สิบคำถามไหม” ผมถาม “ก็สลับกันถาม คนละยี่สิบคำถาม” และอธิบายต่อเมื่ออีกคนทำหน้างง
“เจจะถามพี่กี่คำถามก็ได้ เอาเท่าที่อยากรู้”
เนี่ย พอจะทำอะไรสักอย่างก็ชอบพูดอะไรแบบนี้เนี่ย
“ยี่สิบก็ไม่รู้จะถามถึงหรือเปล่าเหอะ” ผมบ่นออกไปก่อนจะตักไอศกรีมเข้าปาก
“คำถามแรกนะ อืม…วันเกิด”
“พี่เกิด 9 ตุลา 25XX เจล่ะ”
“12 กรกฎา 25XX คำถามต่อมา ไม่ชอบกินอะไร”
“ไม่ชอบกินถั่ว ของมัน แล้วก็เค้ก เราล่ะ”
“อย่าถามซ้ำดิ ใจคอจะไม่คิดคำถามเองเลยรึไง”
“โอเค มีแฟนมาแล้วกี่คน”
นั่น พอได้ถามปุ๊บก็เล่นแรงเลยนะมึง
ผมส่ายหัวแทนคำตอบ สุขสันต์เลิกคิ้วเหมือนต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม
เฮ้อ! จะให้พูดให้ได้ใช่ไหมห้ะ!
“ไม่มี ไม่เคยมี ชัดยัง”
มันยกยิ้มที่มุมปากก่อนจะดึงแก้มผมเล่นอีกครั้ง
เนี่ย สักทีเถอะ จะหั่นแบ่งไปให้ เอาไหม
“ถามต่อสิ” ผมกระตุ้นให้อีกฝ่ายถามต่อ
“ไหนลองเล่าเรื่องอะไรสักอย่างให้ฟังสิ”
“อันนี้ไม่ใช่คำถามแล้วไหม” ผมแย้งกลับ
“พี่อยากฟังเรื่องของเจบ้าง”
พอเจอลูกอ้อนแบบนี้เลยได้แต่ยอมเล่าเรื่องทั่วไปให้มันฟัง บรรยากาศริมแม่น้ำตอนกลางคืนนี่มันก็แอบดีไปอีกแบบเนอะ ถ้ามาคนเดียวก็คงเหงาไปเลย แต่นี่มากับคนคุยนี่หว่า ฮ่า ฮ่า
“ชื่อเจได” พอผมพูดออกไปแบบนั้น ไอ้หมีมันตบหัวผมเบาๆ
“ถ้ากวนอีกพี่ก็กล้าทำอีก”
หนอย เห็นมีกล้ามหน่อยคิดจะทำอะไรกูก็ได้หรือไงวะ เดี๋ยวเถอะ!
“จบบัญชีมา ที่บ้านเปิดฟาร์มไก่ เป็นลูกคนเดียว แม่เลยอยากให้เรียนด้านนี้”
“เพิ่งรู้ว่าแม่ยายเป็นเจ้าของฟาร์มไก่”
“โอ้ย” ผมได้แต่โวยวายแล้วทุบมันไปแรงๆ มันน่านัก ทำไมชอบทำให้สติเตลิดอยู่เรื่อยเลยวะ
“ถ้าขัดอีกจะไม่พูดต่อละนะ” ผมชี้หน้าขู่ ไอ้หมีมันเลยพยักหน้าแล้วนั่งนิ่งๆ รอฟัง “สมัยเป็นเด็กนี่เคยเป็นแชมป์ว่ายน้ำด้วยนะ มีถ้วยรางวัลด้วย เอ่ออะไรอีกนะ อ้อ เคยฝันอยากเป็นสจ๊วตด้วย ตลกเหรอไง!” ผมบ่นเมื่อเห็นอีกคนหลุดขำออกมา
“แต่ก็ดีแล้วที่เราไม่เป็นสจ๊วต”
“ทำไมล่ะ”
“ถ้าเป็นสจ๊วต ตอนนี้เราก็คงไม่ได้มานั่งกินไอติมด้วยกันแบบนี้” สุขสันต์มันพูดออกมาหน้าตาเฉยๆ ก่อนจะตักไอติมเข้าปาก ไอ้ประโยคเมื่อกี้ที่มันพูดออกมามันพูดออกมาเหมือนเป็นประโยคง่ายๆ ผมนี่ใจเหลวอีกแล้ว
โอ้ย ทำไมวันนี้ผมโดนบ่อยจังวะ นี่หลายดอกแล้วนะ ขอร้อง หยุดเถอะ ไหว้ล่ะ
“พอแล้ว ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรหรอก”
“เจได”
“ว่า”
“กลัวไหม” อยู่ๆ มันก็ถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจ แต่พอนั่งนึกดีๆ ก็เริ่มจะเข้าใจบ้างละ มันคงกำลังพูดถึงเรื่องที่ผมอาจจะต้องเจอแบบไอ้นนท์ล่ะมั้ง
สุขสันต์มองออกไปข้างหน้าก่อนจะดึงมือผมไปกุมเอาไว้
“ตอนแรกก็คิดว่ามันจะไม่น่ากลัว แต่เอาจริงๆ มันก็แอบกลัวอยู่เหมือนกัน”
“…”
“พี่ไม่ได้กลัวคนอื่นเขามองพี่ แต่พี่กลัวเขามองเจ พี่รู้ว่ามันยาก เจไม่เคยก้าวเข้ามาในโลกนี้มาก่อน เจต้องฝืนอะไรหลายๆ อย่าง ต้องปรับตัว พี่เห็นความพยายามนั้นนะ”
“…” ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระชับมือให้แน่นขึ้น ไอ้หมีคงกำลังคิดมากเรื่องของผมอยู่แน่ๆ
“พี่จะไม่ปล่อยเจ เจเองก็อย่าปล่อยพี่นะ” สุขสันต์พูดแค่นั้นแล้วก็เงียบไป ผมเลยกระชับมือของเราให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“ปล่อยได้ไง ปล่อยไปก็จะไประรานคนอื่นอีก อันตรายต่อสังคม”
สุขสันต์ยิ้มออกมาก่อนที่จะดึงผมเข้าไปกอดซะแน่น
โอ้ย เหมือนโดนงูเหลือมรัดเลย หายใจไม่ออกเว้ยยย โอ้ยย ปล่อยกู จะมาใช้ความป่าเถื่อนของมึงดับความซึ้งไม่ได้!
“เจเริ่มทำให้พี่รู้สึกโชคดีแล้วนะ” มันพูดทั้งๆ ที่ยังกอดผมเอาไว้ คางของมันเกยอยู่บนหัวผม
เออ กูทำให้มึงรู้สึกโชคดี แต่มึงกำลังทำให้กูรู้สึกโชคร้าย! ปล่อยก่อนโว้ย!
“อยากฟังเพลงไหม”
“ปล่อยก่อนๆ”
สุดท้ายมันก็ยอมปล่อยผมออกมา เฮ้อ หายใจแทบจะไม่ออก จมอกมันไปซะขนาดนั้น รักกับหมีนี่มันฆ่าคนตายได้จริงๆ นะ
“เอาหูฟังมาด้วยไหม”
“ไม่ต้องใช้ จะร้องให้ฟัง”
หืม! ผมตาโตทันทีที่ไอ้หมีมันบอกจะร้องเพลงให้ฟัง ปกติไม่ยักกะเคยเห็นมันร้องเพลง เคยเห็นแต่มันเล่นเบสเล่นกีตาร์ มามุมใหม่เลยนะเนี่ย
ผมนั่งตัวตรงตั้งใจฟังเสียไอ้หมีมันร้องเพลง ผ่านไปสักพัก เสียงร้องเบาๆ ก็ลอยออกมาจากปากคนข้างตัว
“หากว่าฉันมีเวทมนตร์ จะสั่งให้ฟ้าฝนสั่งได้ทุกอย่าง จะสั่งให้คืนนี้สว่าง ไปด้วยหมู่ดาว”
น้ำเสียงทุ้มๆ เป็นทำนองเพลงทำเอาผมอดทึ่งไม่ได้ เวลาร้องเพลงเสียงไอ้หมีมันนุ่มกว่าที่คิด ผมเคยได้ยินเพลงนี้นะ ชื่อเพลงเวทมนตร์ ของ sixty miles ละมั้งถ้าจำไม่ผิด
“และหากว่าฉันมีเวทมนตร์ จะเสกรถยนต์วิเศษ พาเธอขึ้นไปบนท้องฟ้าไกล ไปนั่งมองพระจันทร์”
“ร้องเพราะเหมือนกันนะเนี่ย”
ไอ้หมีชะงักไปจังหวะหนึ่ง แอบเห็นใบหูมันแดงนิดหน่อย เหมือนเสียงผมจะไปกวนสมาธิมัน มันเลยกวนสมาธิผมกลับคืนบ้าง โดยการดึงมือผมไปกุมเอาไว้
“หยุดเวลาเอาไว้แค่นั้น แค่มีฉันและเธอเคียงกัน อาจเป็นฝันอะไรช่างมัน แค่เพียงไม่อยากให้คืนนี้ผ่านพ้น…”
“เพราะว่าความจริงไม่มีทางใด ที่ทำให้เธอมาสนใจ ได้แค่บอกรักเธอในฝัน เพียงเท่านี้…” สุขสันต์หันมามองผมทันที เพราะผมเป็นคนร้องท่อนต่อมาให้มันเอง
ผมยักคิ้วให้คนที่หันมามองจึ้กหนึ่ง ไอ้หมีมันเลยหมั่นเขี้ยวผมเข้าไปใหญ่ มันดีดหน้าผากผมดังเป๊าะ และเหมือนจะมีครั้งต่อมา ผมเลยจับมือมันมากุมไว้เหมือนเดิม
“มันเจ็บ!”
“ชอบทำให้หมั่นเขี้ยว”
“เอ้า!”
“ให้ตายสิ วันนี้ชอบไปกี่รอบแล้ววะ”
ผมเองก็มีอะไรอยากบอกเหมือนกัน…ตอนนี้ก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่มีมันอยู่ตรงนี้
TBC.
#ข้างห้อง305
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ปล.แอบตกใจเหมือนกันที่พี่สุขสันต์จบสัตวแพทย์ ตอนแรกนึกว่าจบสินกำไม่ก็วิศวะสถาปัตย์อะไรเทือกๆนั้น เหนือความคาดหมายอยู่เหมือนกัน555555555
หวานๆ ดิบๆ เถื่อนๆ