[SF-Stony] Take care - [SF-Stony] Take care นิยาย [SF-Stony] Take care : Dek-D.com - Writer

    [SF-Stony] Take care

    คู่ stony และ Pepper/Tony

    ผู้เข้าชมรวม

    1,417

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    1.41K

    ความคิดเห็น


    3

    คนติดตาม


    30
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  23 พ.ย. 56 / 10:52 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
       แต่งคู่นี้ครั้งแรก สดๆหลังจากอ่านโดพี่ SEY เสร็จนะคะ อาจไม่ดีมาก
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      “Take Care”

      Author : Bepine

      Pairing : Captain America/Tony Stark (Steve/Tony) or Pepper/Tony

      Movies : Ironman3 , Avenges , Captain America

      Rate : PG , Drama(?)

       

                  สตีฟกำลังไล่สายตามองรายชื่อแต่ละรายชื่อที่ถูกเม็มไว้ในมือถือรุ่นอาม่าของเขา... เพราะตอนนี้เขากำลังต้องการความช่วยเหลือ...

                  ประมาณ 4 ชั่วโมงก่อง สตีฟจำเป็นต้องกลับไปรายงานตัวกับ ผอ.หน่วยชิลด์ หรือ นิค ฟิวรี่ ตามที่ได้นัดหมายกันไว้ นั่นเป็นสาเหตุที่เขาต้องเดินทางเข้ามาในนิวยอร์กหลังจากที่พยายามจะหนีจากที่นี่มาเสียนาน หลังจากนั้นอีก 15 นาที ทันทีที่เขารายงานตัวเสร็จ สตีฟเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ของเขาและพบว่ามันถูกชำแหละเป็นชิ้นๆโดยช่างเครื่องของหน่วยชิลด์ที่อ้างว่านี่เป็นมาตรการรักษาความปลอดภัยของที่นี่ ก่อนที่สตีฟจะได้รับตั๋วรถโดยสาร Grayhound พร้อมกับคำอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพมาแทน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้สตีฟจำต้องละทิ้งรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจมานั่งรอรถโดยสารอยู่ที่สถานีแบบนี้

                  ถ้าดูตามกำหนดในตั๋วแล้ว ที่จริงเขาควรจะได้ขึ้นรถไปตั้งแต่เมื่อ ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็อย่างที่บอกไปเมื่อครู่นี้ ว่านี่เป็นตั๋วรถโดยสาร Grayhound ดังนั้นเรื่องการตรงต่อเวลาหรือการที่รถจะรับคนได้หรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

                  สตีฟยังจำตอนที่เขาลองนั่งรถโดยสารครั้งแรกได้ จำตั๋วรถโดยสาร Grayhound ที่อุตส่าห์จองไว้เสียดิบดีได้ ยังจำได้ขึ้นใจเลยว่าตอนนั้นเขาต้องรอรถเลยนัดในตั๋วมาตั้ง ชั่วโมง!!! และนั่นทำให้สตีฟลองศึกษาถึงกระบวนการทำงานของรถโดยสารชนิดนี้ดู และเขาก็ได้พบข้อเสียที่ว่า...

                  - ไม่มีการรับรองความปลอดภัยและความตรงต่อเวลา ดังนั้นเมื่อวางแผนใช้บริการ Greyhound ต้องสำรองเวลาในกรณีที่รถโดยสารล่าช้าด้วย เพราะ Greyhound จะไม่รับผิดชอบต่อการล่าช้าของรถโดยสารไม่ว่ากรณีใดๆ

      - ไม่รับรองที่นั่งบนรถ แม้ว่าคุณจะมีตั๋วโดยสารที่ระบุหมายเลขรถนั้น ในวันที่โดยสารนั้นก็ตาม ดังนั้น หากคุณไปถึงสถานีก่อนเวลา แต่รถโดยสารเต็มแล้ว ท่านต้องรอรถเที่ยวต่อไป ซึ่งในบางครั้งอาจห่างกันถึง 6 ชั่วโมง

      นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สตีฟถอยมอเตอร์ไซค์ด้วยเงินจากการทำงานอันน้อยนิด!!

      แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลกที่ทำให้วันนี้เขาต้องมานั่งรถโดยสารอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ และดูเหมือนว่าพระเจ้าจะกลั่นแกล้งเขามากขึ้นกว่าครั้งก่อนโดยการบันดาลให้รถโดยสาร Grayhound คันที่ผ่านมา เต็มหมด!!!’

      และนี่แหละที่เป็นสาเหตุที่ทำให้สตีฟต้องนั่งแกร่วรอรถมาแล้วกว่า ชั่วโมง!!!

      .

      .

      .

      .

      คลินท์ บาร์ตัน

      ไม่ล่ะ เห็นนิคบอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำภารกิจอยู่กับบรูซ

      นาตาชา

      ไม่ล่ะ ไม่เอาดีกว่า

      นิค ฟิวรี่

      ไม่มีทางไม่รู้ช่วยเสร็จจะให้เขาไปทำงานอะไรอีกรึเปล่า

       

      สตีฟไล่มองรายชื่อแต่ละคนด้วยหัวใจที่เหนื่อยล้าขณะที่กดเลื่อนหน้าจอดูรายชื่อต่อไป ดูท่าว่าเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านซะแล้วหล่ะมั้ง

       

      โทนี่ สตาร์ก

      แถบรายชื่อถูกหยุดลงตรงรายชื่อสุดท้ายในมือถือ

      สตีฟกำลังลังเล เขาควรโทรไปหาอีกฝ่ายหรือเปล่า ประสบการณ์ครั้งแรกของพวกเขาทั้งสองคนมันไม่ได้ดีมากนัก ออกจะเป็นไปในทางที่เลวร้ายด้วยซ้ำไป แม้ว่าตอนจบจะจบลงด้วยดีก็เถอะ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย พวกเขาทำเพียงแค่แลกเบอร์กันเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้โทรหากันละกันเลยซักนิด และตอนนี้...ตอนที่เขากำลังต้องการความช่วยเหลือแบบนี้ อีกฝ่ายจะว่างมาช่วยเขาหรือก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงประธานบริษัทที่ป่านนี้คงกำลังพัฒนาโปรเจคสำคัญบางอย่างอยู่

      สตีฟถอนหายใจ เตรียมตัวหยิบโทรศัพท์เข้ากระเป๋า แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงบางคนเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ของเขาเอง

      ฮัลโหลแคปซิเคิลโทษทีนะที่รับช้า ว่าแต่นายโทรมาหาฉันมีอะไรน่ะ

      สตีฟสะดุ้งตัวโยน นี่เขาหลงกดโทรออกไปตั้งนานแล้วเหรอเนี่ย!

      ฮัลโหลๆ อยู่ไหมเนี่ย แคป แคป กัปตัน!

      เสียงของมหาเศรษฐี อัจฉริยะ เพลย์บอย (แถมยังใจบุญ?) ยังคงดังผ่านระบบลำโพงมือถือออกมาไม่หยุดจนสตีฟต้องยกมือถือขึ้นมาตอบกลับอย่างเสียไม่ได้

      “ผมยังอยู่ พอดีตอนแรกผมไม่ได้ยินคุณ ขอโทษด้วยนะโทนี่” สตีฟกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ อดรู้สึกตื่นเต้นลึกๆไม่ได้

      โอเค... นายยังอยู่ ว่าแต่มีอะไรเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยรึไงคุณปู่หวานเย็น โดนนิคใช้งานจนป่วยงั้นหรือ?

      น่าแปลก เสียงแนวล้อเลียนขำๆของอีกฝ่ายแทนที่จะทำให้รู้สึกโมโหกลับทำให้สตีฟรู้สึกสบายใจอย่างน่าประหลาด เขาเปลี่ยนท่านั่งจากหลังตรงมาเป็นพิงพนัก ซึมซาบความห่วงใยที่แอบแฝงมากับประโยคพวกนั้น

      “พอดีผมรอรบโดยสารมา 4 ชั่วโมงแล้วน่ะ แล้วก็ไม่มีท่าว่ารถจะมาเสียที แล้วคอนโดชั่วคราวของผมมันอยู่แถบชานเมือง คุณจะช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม”

      โอ้เรื่องแค่นี้เองน่ะเหรอ โอเคๆ ได้ๆ ตอนนี้นายอยู่ไหนล่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบบึ่งไปรับเลย

      คำตอบรับของอีกฝ่ายทำให้สตีฟเผลอยิ้มออกมา โทนี่ สตาร์ก มักจะแคร์คนรอบข้างเสมออย่างที่เจ้าหน้าที่โคลสันเคยเล่าให้เขาฟัง

      “ผมอยู่ที่สถานีGreyhound

      อ๋อ...งั้น ประมาณ 20 นาทีฉันคงไปถึง นายรอได้นะ

      “ผมรอได้ คุณรีบมาเถอะ”

      โอเค ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ

      ตื้ด----

      สตีฟมองจอโทรศัพท์ที่แสดงหน้าจอว่าอีกฝ่ายได้ตัดสายเขาไปแล้วอย่างเหม่อลอย

      .

      .

      .

                  สตีฟนั่งรออย่างใจเย็น พลางนับเวลาไปด้วยเงียบๆ เขารู้ว่านี่ก็เลยเวลาที่อีกฝ่ายคาดคะเนมาได้กว่า 20 นาทีแล้ว มันทำให้สตีฟอดที่จะกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าคิดถึงนิสัยของเจ้าตัวมันก็ทำให้เขาเข้าใจขึ้นมาหน่อยนึง ยังไงเขาก็เป็นคนที่ต้องพึ่งอีกฝ่ายนี่นะ แถมพวกเขาก็เป็นแค่เพื่อนกัน ไม่ได้สนิทกันขนาดว่าอีกฝ่ายจะต้องมาแคร์เขาด้วยซ้ำ จะไปหวังบริการรับส่งตรงเวลาแบบ E-service ได้อย่างไร

                  สตีฟถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะที่หยิบมือถือขึ้นมาดูอีกครั้ง....

                  นี่มันก็ 46 นาทีแล้ว....โทนี่กำลังทำอะไรอยู่นะ....จะลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าเขากำลังรออยู่.....

                  สตีฟมองไปข้างหน้า พยายามเพ่งสายตาฝูงชนที่แออัดกันเพื่อรอรถโดยสาร ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เขากำลังมองหาใครคนหนึ่งอยู่ ใครคนหนึ่งที่ไม่มีท่าทีว่าจะมาเสียที

                  “ที่นี่คนเยอะกว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

                  เสียงที่คุ้นหูดังมาจากเก้าอี้นั่งข้างๆทำให้สตีฟต้องรีบหันไปมอง และคนที่เขาเห็นกลับยิ่งทำให้เขาผงะยิ่งกว่า

      โทนี่ สตาร์ก ในเสื้อกล้ามสีขาวที่คลุมทับด้วยเสื้อกันหนาวสีดำแบบมีฮู้ดสวม กับกางเกงขายาวสีดำที่สตีฟจำได้ว่าเป็นตัวที่อีกฝ่ายชอบใส่เสมอๆ กำลังนั่งอยู่ข้างๆเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตาสีน้ำตาลกำลังมองตรงไปข้างหน้าในหมู่ฝูงชนที่คับคั่งนั่นอย่างเหม่อลอย

      “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ผมไม่รู้ตัวเลย”

      “ฉันเพิ่งจะมาถึงเมื่อกี้นี้เองสตีฟ ไม่น่าแปลกหรอกที่นายจะไม่รู้ตัว”

      โทนี่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขณะที่เบนสายตากลับมามองที่เขา มีเรียวชูกุญแจรถที่สตีฟไม่ต้องจ้องมากก็รู้ว่ามันคงไม่ใช่กุญแจของรถธรรมดาราคาถูกๆเป็นแน่

      “เราไปจากที่นี่กันเถอะ คนเยอะชักทำให้ฉันปวดหัว”

      อีกฝ่ายพูดเสียงเรียบก่อนจะเดินนำออกไปโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีกเลย

       

      หลังจากที่พวกเขาขึ้นมาอยู่บนรถเปิดประทุนที่อีกฝ่ายนำมาแล้ว โทนี่ก็ยังไม่เปิดปากพูดอีกเลย ไม่แม้แต่จะถามถึงที่ตั้งของคอนโดของเขาด้วยซ้ำ และเส้นทางที่กำลังมุ่งไปก็ไม่ใช่ทางที่จะไปคอนโดชั่วคราวของเขาด้วย แม้ว่าอยากจะทักท้วงแต่สตีฟเลือกที่จะเงียบและรอให้อีกฝ่ายยอมเล่าออกมาเองมากกว่า

      ในที่สุดรถยนต์คันหรูที่พวกเขานั่งอยู่ก็จอดลง ที่ดิสนีย์แลนด์ปาร์ก

       

       

      “ผมไม่ยักรู้ว่าคุณชอบมาที่แบบนี้” สตีฟพูดขึ้นลอยๆขณะที่เดินตามอีกฝ่ายไปซื้อตั๋ว

      “ก็แค่พาคุณปู่แถวนี้มาเปิดหูเปิดตาเท่านั้นเอง” โทนี่หันมายิ้มโชว์ฟันขาวให้ก่อนจะเดินนำลิ่วออกไปหลังจากได้ตั๋วแล้ว

      “ผมว่าการมาสวนสนุกมันไม่ใช่การเปิดหูเปิดตาเท่าไหร่หรอกนะ” สตีฟเร่งตามอีกฝ่ายจนมาเดินข้างๆได้สำเร็จ

                  “นายน่ะเคยสนใจอะไรรอบข้างบ้างไหมเนี่ยแคป”

                  สตีฟสังเกตได้ว่าโทนี่ถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าจะไม่รู้สาเหตุแต่เขาก็เลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมัน ยังไงซะเขาก็เป็นแค่เพื่อนนี่นา จะให้ยุ่งเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายมากไปก็ไม่ได้

                  “เห็นนิคบอกว่าช่วง 6 เดือนก่อนคุณมีปัญหากับผู้ก่อการร้าย” สตีฟอดที่ไม่ได้ที่จะลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย และก็พบว่าคิ้วเรียวนั้นกระตุกนิดๆ

                  “....อืม.... แต่สุดท้ายเรื่องมันก็จบลงด้วยดีล่ะนะ” โทนี่ก้มหน้าลง

                  “ผมดีใจนะที่คุณปลอดภัย”

                  โทนี่เงยหน้าขึ้นมามองสตีฟอย่างงงๆก่อนจะค่อยๆเผยยิ้มออกมา

      “ฮันแน่แอบเป็นห่วงฉันละสิท่า คุณปู่หวานเย็น” โทนี่พูดเสียงล้อเลียน

      “เอ่อ...กะ ก็คุณเป็นเพื่อนผมนี่ พวกเราเป็นทีมเดียวกันนะ และพวกเราก็ร่วมฝ่าอะไรมาด้วยกันมากมาย” สตีฟพูดตะกุกตะกัก ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ว่าตอนนี้หน้าเขาแดงแค่ไหน ในใจก็นึกภาวนาอย่าให้อีกฝ่ายจี้จุดเขาต่อ

      โชคดีสำหรับสตีฟที่โทนี่ไม่พูดอะไรต่อเพียงแค่ยิ้มบางๆให้เขาก่อนจะหันหน้ากลับไปเท่านั้น

      “นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้ว เรากลับกันเถอะ”

      “อะ อื้ม”

      สตีฟรับคำงงๆ เพราะพวกเขาเพิ่งจะเดินเข้ามาที่สวนสนุกได้ไม่ถึง 10 นาทีด้วยซ้ำ และยังไม่ได้เดินชมหรือว่าเล่นเครื่องเล่นอะไรเลย แต่ก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายก็มักจะทำตัวแปลกๆแบบนี้อยู่แล้วเลยทำให้สตีฟเลิกที่จะใส่ใจและเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ

       

      “คอนโดชั่วคราวของนายอยู่ไหนล่ะแคป” โทนี่ถามขณะที่กำลังคาดเข็มขัด

      “แถบชานเมืองทางใต้น่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณขับไปตามทางที่ผมบอกพอ” สตีฟหยิบสายเข็มขัดมาคาดบ้าง

      Rrrrr Rrrrr Rrrr….

      เสียงเหมือนเสียงโทรศัพท์สั่นดังมาจากกระเป๋ากางเกงของโทนี่ อีกฝ่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดรับ

      “ฮัลโหล  เพ็พ เปล่าจ้ะ เพ็พ...ผมมาส่งแคปซิเคิลกลับบ้านนะ ไม่ได้หนีไปเที่ยวที่ไหนซักหน่อย”

      สตีฟหันไปมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง นี่โทนี่หนีงานมาหรือ?

      “ผมกินยาแล้ว จ้ะ จ้ะ ผมสบายดีเพ็พ ไม่เจ็บแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”

      สตีฟขมวดคิ้ว ถึงจะไม่รู้เรื่องมากเพราะฟังแต่เสียงของโทนี่แต่ก็พอจะรู้คร่าวๆว่าอีกฝ่ายคงจะเพิ่งหายจากการเจ็บป่วยมาหมาดๆ

      “อาการผมปกติดี ถ้าคุณเป็นห่วงผมมากเอาเป็นว่าคุณมารับผมเป็นไง จ้ะ จ้ะ เดี๋ยวผมส่งแคปที่คอนโดเสร็จแล้วผมจะส่งแผนที่ไปให้นะ จ้ะ ผมไม่หักโหมแน่นอนเพ็พ คุณก็รู้ว่าผมเป็นเด็กดีแค่ไหน ฮ่าๆๆ โอเคเพ็พ ตามนั้นนะ จ้ะ รักคุณเหมือนกัน แค่นี้นะจ้ะที่รัก”

      โทนี่ยิ้มบางๆก่อนจะกดวางสายไป

      “คุณป่วยเหรอ” สตีฟถามเสียงเข้ม

      “นิดหน่อยน่าแคป ตอนนี้ฉันหายแล้ว แต่เพ็พยังห่วงอยู่เท่านั้นเอง” โทนี่สตาร์ทรถ

      “เธอเป็นห่วงคุณทดแทนที่คุณไม่ห่วงตัวเองนะสิ” สตีฟส่ายหน้าอย่างระอา

      “เฮ้! แคป นายพูดแบบนี้ได้ไงเนี่ย ฉันดูแลตัวเองเสมอแหละน่า” โทนี่พูดเสียงกลั้วหัวเราะขณะที่เริ่มแตะคันเร่งทำให้รถเริ่มเคลื่อนที่ออกไป

      “เชื่อคุณเลยโทนี่ ตอนศึกกับโลกิคุณเกือบจะสังเวยชีวิตคุณในหลุมอวกาศนั่นนะ!” สตีฟหันไปขึ้นเสียง

      เอี้ยด!!!

      รถยนต์คันหรูถูกเบรกกะทันหันในขณะที่สีหน้าของโทนี่ดูซีดลงไปในทันตา สตีฟเบิกตากว้างอย่างตกใจ

      “ทะ โทนี่ โทนี่ ทำใจดีๆไว้โทนี่ คุณเป็นอะไรไปน่ะ โทนี่!” สตีฟยื่นมือข้างหนึ่งไปกุมมืออีกฝ่ายที่ตอนนี้กำลังกำพวกมาลับรถแน่น ส่วนอีกข้างหนึ่งยื่นมือไปอังหน้าผากอีกฝ่าย

      “ชะ ฉันไม่เป็นไร” เสียงของโทนี่สั่นเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ ข้อมือเล็กกำพวกมาลัยแน่นจนขึ้นเป็นข้อเขียว ใบหน้าที่ปกติดูอารมณ์ดีตอนนี้ดูซีดเซียวและดูเจ็บปวด

      “โทนี่ หายใจเข้าลึกๆนะ พยายามทำใจดีๆโทนี่ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว” สตีฟพยายามทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายอาการเกร็งกล้ามเนื้อลงด้วยการลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ

      โทนี่หอบหายใจอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าเจ้าตัวกำลังพยายามควบคุมลมหายใจของัวเองอย่างหนัก ในที่สุด หลังจาก นาทีผ่านไป ท่าทีของโทนี่ก็ดูสงบลง

      “ขอบคุณมาก แคป” โทนี่พูดเสียงแหบแห้งขณะที่เอนหลังพิงพนักเบาะอย่างหมดแรง

      “นี่....เป็นอาการป่วยของคุณหรือเปล่า ผมหมายถึง ถ้าคุณไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ” สตีฟพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เขานึกว่าอีกฝ่ายจะไม่หายใจซะแล้ว

      “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ฉันเป็นโรคเครียดนิดหน่อยนะ” โทนี่หลับตาลง

      “โอเค คราวหลังผมจะไม่รื้อฟื้นเรื่องนั้นอีกแล้ว” สตีฟลูบหัวโทนี่เบาๆหวังจะให้อีกฝ่ายผ่อนคลาย

      “....อืม....”

      “ผมว่า เดี๋ยวผมขับดีกว่านะ”

      “โอเค ฉันก็คิดว่าฉันจะให้นายขับเหมือนกัน แต่ขอฉัน...พักก่อน...”

      สตีฟมองอีกฝ่ายที่ยังคงหลับตาอยู่เงียบๆจนกระทั่งรู้ว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว

      คงจะเพลียสินะ

      สตีฟปลดเข็มขัดออก เปิดประตูลงไปยืนข้างๆฝั่งคนขับ ค่อยๆปลดเข็มขัดให้อีกฝ่ายอย่างเบามือเพราะเกรงว่าจะทำให้อีกคนตื่น ก่อนจะค่อยๆช้อนตัวของมหาเศรษฐีขึ้นมา

      ตัวเบากว่าที่คิดแฮะ...

      สตีฟอมยิ้มเบาๆเมื่อพินิจมองใบหน้ายามหลับสนิทของอีกฝ่าย ก่อนจะค่อยๆเดินอ้อมรถไปอีกฝั่งและวางอีกฝ่ายลงบนเก้าอี้ข้างๆคนขับอย่างเบามือ เขาเกรงว่าหากให้อีกฝ่ายไปนอนเบาะหลังจะทำให้อีกฝ่ายกลิ้งตกเบาะเวลารถเลี้ยว บรรจงปรับเบาะนั่งให้พนักพิงเอนลงเพื่อเหมาะแก่การนอนและคาดเข็มขัดให้อีกครั้งหนึ่ง

      โทนี่เพียงแค่ขยับตัวนิดหน่อยแต่ก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด ทำให้สตีฟเผลอยิ้มออกมาบางๆ

      พอจะพยศ ก็พยศซะ แต่พอจะหลับ ก็หลับแบบไม่รู้เรื่องเลยแฮะ...

      “ฝันดี โทนี่”

      สตีฟปิดประตูฝั่งนั้นให้เบาที่สุด เดินกลับไปนั่งที่คนขับ และขับรถออกไปช้าๆ

      .

      .

      .

                  “โทนี่...โทนี่ ถึงแล้วนะโทนี่”

                  สตีฟเขย่าตัวปลุกอีกฝ่ายเบาๆหลังจากที่รถได้ขับมาจอดที่หน้าคอนโดของเขาแล้ว

                  “....อืม....” โทนี่ลืมตาขึ้นมาอย่างงัวงีย

                  “โทนี่ เมื่อกี๊คุณพอตส์โทรมา ผมถือวิสาสะรับไปแล้ว เธอบอกว่าเธอกำลังจะมารับคุณ คุณไปรอเธอบนห้องผมก็ได้นะ” สตีฟอธิบาย

                  “อืม....”

      โทนี่จำใจตื่นขึ้นมาเต็มตาก่อนจะปลดเข็มขัดและลงจากรถแต่โดยดี สตีฟเห็นดังนั้นจึงล็อครถและเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องของตน

       

      “ห้องนายนี่กว้างดีนะ แต่ไม่ค่อยจะมีอะไรเลย”

      “เป็นที่พักชั่วคราวน่ะ อีกอย่างผมก็เพิ่งกลับมาจากภารกิจของหน่วยชิลด์ที่อัฟกานิสถานเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เอง”

      สตีฟเดินไปรินน้ำมาให้อีกฝ่ายที่ยอมรับไปดื่มแต่โดยดี ก่อนที่จะทำการสำรวจห้องของเขาต่อ

      “งานเยอะจริงนะแคป”

                  โทนี่แซวเมื่อสายตาของเขาเหลือบไปเห็นแผ่นกระดาษเสก็ตภาพหลายใบที่วางเกลื่อนอยู่บนเตียง และเจ้าตัวก็ไม่รีรอเลยที่จะหยิบมาดู ซึ่งสตีฟก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามอะไร

                  “เพิ่งรู้ว่านายชอบวาดภาพ” โทนี่ถามทั้งๆที่สายตายังคงไม่ละไปจากรูปวิวที่ตนถืออยู่

                  “มันก็คงเหมือนกันกับงานอดิเรกล่ะมั้ง อย่างของคุณก็เป็นสร้างชุดไอรอนแมนน่ะ” สตีฟยิ้ม

                  “อันนั้นฉันเลิกไปแล้ว” โทนี่ยิ้มบางๆ

                  “ดีแล้ว คุณยิ่งชอบฝืนสังขารตัวเองสร้างชุดเกราะหามรุ่มหามค่ำอยู่ ผมยังไม่อยากเห็นบุรุษเกราะเหล็กต้องเป็นลมเป็นแล้งไปเพราะสร้างชุดเกราะให้ตัวเองใส่หรอกนะ” สตีฟพูดกลั้วหัวเราะ

                  “.......”

                  “พวกเราทุกคนเป็นห่วงคุณนะโทนี่ อเวนเจอร์จะไม่สมบูรณ์ถ้าขาดไอรอนแมน” สตีฟยิ้ม

                  “ขอโทษนะสตีฟ.... ต่อไปนี้จะไม่มีไอรอนแมนอีกแล้วล่ะ” โทนี่ยิ้มฝืดๆ

                  “คุณ...หมายความว่ายังไงน่ะโทนี่” สตีฟมองอีกฝ่ายอย่างงุนงง ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย

                  “ฉันจะเลิกเป็นไอรอนแมนแล้วล่ะสตีฟ... ต่อไปนี้ฉันจะเป็นแค่ โทนี่ สตาร์ก คนธรรมดา” โทนี่ยิ้มให้เขา เป็นรอยยิ้มที่สตีฟคิดว่ามันดูโล่งใจ

                  “ตะ แต่ ทำไมล่ะ” สตีฟสับสน ทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายถึงอยากจะเลิกเป็นไอรอนแมน

                  “ฉันมีครอบครัวแล้วสตีฟ ฉันมีเพ็พ ผู้หญิงที่เพอร์เฟ็คที่สุดสำหรับฉัน และฉันก็รักเขา.... หลังจากศึกกับแมนดารินเมื่อประมาณ 6 เดือนก่อน ทำให้ฉันรู้ว่าฉันเสียเพ็พไปไม่ได้ สตีฟ.... เพ็พคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉันตอนนี้ นายเข้าใจฉันไหมสตีฟ....”

                  สตีฟเบิกตากว้าง เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถพูดอะไรที่เกี่ยวกับความรู้สึกของตนได้มากขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเวลาแค่ 6 เดือนจะทำให้โทนี่เปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้

                  “แต่....ทีมอเวนเจอร์” สตีฟฝืนพูดออกไปอย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ในลำคอ

                  “อเวนเจอร์อยู่ได้โดยไม่มีฉันสตีฟ อีกอย่าง ถึงฉันจะไม่ได้เป็นไอรอนแมนแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นที่ปรึกษาของอเวนเจอร์อยู่นะ ฉันจะคอยสนับสนุนพวกนายเสมอ” โทนี่ยิ้มให้เขาและตบบ่าเขาเบาๆ

                  “ผม....” สตีฟพยายามจะพูด แต่เขาพูดไม่ออก เขารู้สึกเหมือนกับว่าน้ำตามันรื้นออกมาที่ขอบตาอย่างช่วยไม่ได้ๆ

      “ไม่ต้องพูดแล้ว”

      โทนี่เอานิ้วชี้มาแตะที่ริมฝีปากของสตีฟเบาๆ ก่อนที่จะกอดสตีฟแน่น

      “....ผมคงจะ คิดถึงคุณมาก”

      ในที่สุดสตีฟก็หาเสียงของตัวเองเจอ เขากอดตอบร่างสันทัดอีกฝ่าย ตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังสั่นเทิ้มเพียงใด และรับรู้ว่าสัมผัสจากมือของอีกฝ่ายที่กำลังลูบหลังเขาอยู่ทำให้เขาสงบลงได้อย่างน่าประหลาด

      ปิ๊นๆ

      เสียงแตรดังมาจากหน้าคอนโน ทำให้ทั้งสองรีบผละออกจากกัน และสตีฟเพิ่งรู้ตัวว่าเขาหน้าแดงเพียงใด

      “สงสัยว่าเพ็พจะมารับฉันแล้วล่ะ....” โทนี่ยิ้ม

      “ลาก่อน โทนี่” สตีฟยิ้มให้อีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดในชีวิตที่เขาจะมอบให้ใครได้

      “ไม่ใช่ลาก่อนสตีฟ แล้วเจอกันต่างหาก” โทนี่ยิ้มก่อนจะเดินมาหอมแก้มเขาเบาๆ แล้วเปิดประตูห้องเขาออกไป

      “แล้วเจอกันโทนี่....คนที่ผมแอบรัก”

      สตีฟพึมพำกับตัวเองเบาๆขณะที่เอามือลูบแก้มที่ยังคงรู้สึกถึงริมฝีปากของอีกฝ่ายอยู่จางๆ

      --END—

      TALK

                  นี่เราแต่งอัลไลลลลลลลล #กรีดร้องล้านๆๆๆๆๆครั้ง อ่านเองก็งงเอง นี่เราแต่งอัลไลลลลลล !!!!

      ฟิคนี้คิดมาตั้งแต่ดู Ironman3 จบหมาดๆเลยค่ะ เรารู้สึกว่าเพ็พเป็นผู้หญิงที่เหมาะกับโทนี่ สตาร์กที่สุดแล้ว แต่เราก็ดันเป็นสาย Stony เลยเอามาเขียนเป็น Stony แบบมี Pepper แทรกค่ะ

                  ไม่รู้ว่าถูกใจกันรึเปล่านะคะ บอกตามตรงเลยว่าปั่นฟิคนี้ด้วยวามอืดดดด เราดองไว้ อาทิตย์ ถึงได้ออกมาเป็นรูปนี้ LOL ตอนแรกนึกว่าจะแต่งไม่จบซะแล้ว เพราะเราเริ่มเอะใจว่านี่มันเป็นShort Ficที่ยาวมากกกกกก ตั้ง 10 หน้า word แหนะ ยาวกว่าตอนแต่งฟิคยาวในแต่ละตอนอีก

                  ขอขอบคุณโดจิน Parallel ของพี่ SEY นะคะ ที่ทำให้เราเกิดอาการฟินคู่ Stony ขึ้นมาอีกครั้งจนต้องแต่งฟิคนี้ออกมา แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์นักเพราะฟิคนี้ก็เป็นฟิคแรกของเราสำหรับคู่นี้ แต่ก็อยากให้ชอบกันนะคะ

                  แจ้งย้ายบลอ็กค่ะ มีหลายช่องทางค่ะ เห็นกล่องให้คลิกตรงมุมซ้ายไหมค่ะ แต่ก็ขอลงลิ้งอีกทีละกันค่ะ ตามด้านล่างนี้นะคะ

                  Wordpress

                  Livejournal

       

                  Weebly

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×