ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #13 : CHAPTER 12

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 55


    CHAPTER 12

     

     

     

    กลายเป็นค่ำคืนที่แสนหดหู่ ไม่น่านอน...และถึงจะนอนก็คงจะกระสับกระส่ายไม่สบายเนื้อตัว จุนมยอนไม่รู้ว่าจะหาทางออกไปในทิศทางใด ในเมื่อตอนนี้ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเสียทุกครั้ง

     

    ตอนนี้...คนตัวเล็กไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย

     

    น้ำตาเองก็ไหลออกมาง่ายดาย เกลียดจริงๆ เกลียดความอ่อนแอที่มีมากมายเหลือเกิน ใจไม่ดีเลยตั้งแต่ตอนนั้น มันรู้สึกเสียใจทั้งที่ก็รู้ว่าไม่สมควร เขาอยากหยุด อยากห้ามไม่ให้อ่อนไหวง่ายอย่างนี้ แต่ไม่ว่าจะใครก็ตามที่บอกว่าทำได้ห้ามความเสียใจและหยดน้ำตาได้ ก็ฟันธงได้เลยว่าใครคนนั้นต้องโกหก

     

    เขากำลังแย่...และรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ลูกเดียว

     

    มือเล็กปิดสมุดเล็กเชอร์ลง สองมือวางทับไว้บนนั้น ก่อนที่ตัวเองจะเอนแผ่นหลังอิงไปกับพนักเก้าอี้อย่างหน่ายๆ จะบ้าตาย...ในสมองเขาคิดแต่เรื่องของคริส ไม่มีสักเสี้ยววินาทีที่จะหลุดพ้นออกจากเรื่องของใครคนนั้น

     

    ก็ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย...จะเสียใจไปทำไมนะ อ่อ...แต่คริสบอกว่าเป็นนี่ แต่ก็บ้าเหรอ! มันก็แค่ความสัมพันธ์อุปโลกน์น่ะจุนมยอน

     

    ก็อยากจะคิดให้ได้แค่นั้นจริงๆ...แต่ทำไงได้ในเมื่อหัวใจของเขามันดันแอบเพ้อฝันไปแล้วด้วยนี่

     

     

    ร่างเล็กลุกขึ้นและกำลังเดินไปที่เตียงนอนอย่างอ่อนแรง แต่ก็ต้องชะงักเสียก่อนเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นมา

     

    จุนมยอนนึกถึงแบคฮยอนเป็นคนแรก หลังจากออกมาจากร้านสเต็กพวกเขาพลัดหลงกัน หากันไม่เจอ เขารู้ว่าแบคฮยอนตามออกมา หมอนั่นคงไม่ใช่แค่ทิ้งมิสคอลล์ไว้เป็นสิบๆสาย เพราะถ้าลองกระหน่ำโทรมาเสียขนาดนี้ แสดงออกถึงความเป็นห่วงขนาดนี้ยังไงก็คงตามออกมาแน่นอนอยู่แล้ว

     

    แต่ชั่วขณะนั้น...จุนมยอนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี ก็เลยพยายามเลี่ยงโดยการไม่รับสาย สิ่งเดียวที่ทำคือการส่งข้อความตอบกลับไป

     

    ไม่เป็นไร

     

    ไม่ต้องเป็นห่วง

     

    ในตอนที่กลับถึงห้องก็บอกไปว่า ถึงห้องแล้วนะ

     

     

    ชั่วขณะนี้ก็เลยคิดว่าคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องตอนนี้ก็คงไม่พ้นแบคฮยอนอีกนั่นแหละ เมื่อถึงจุดที่เลี่ยงไม่ได้แล้วก็ต้องทำสิ่งที่ต้องกันข้ามซึ่งนั่นก็คือ...เผชิญหน้าแล้วสินะ

     

    คนตัวเล็กปัดเป่าความเศร้าหมองให้พ้นใจ สูดลมหายใจเข้าลึก น้ำตาไม่ได้ไหลแล้ว ร่องรอยของการร้องไห้ก็คงจะเจือจางไปมาก คงไม่หลงเหลือไว้ให้สังเกตได้ง่ายหรอกกระมัง

     

    ในตอนที่ก้าวเข้าไปเปิดประตู ไม่รู้ทำไมจู่ๆจุนมยอนก็เผลอนับก้าว

     

    7...

    8…

     

    9…

     

    มือบางจับลูกบิดของประตูห้อง หมุนมันแล้วเสียงสลักล็อคที่ถูกปลดก็ดังสะท้อนก้องอยู่ในหู จังหวะที่ดึงมือที่จับลูกบิดเข้าหาตัวเขาก็นับ

     

    10...

     

    พอเงยหน้ามองแล้วก็แทบหงายท้องตึง... “ค...คริส”

     

    ฝ่ายคนตัวสูงยังคงอยู่ในชุดที่เขาเห็นเมื่อตอนเย็น ไม่ได้ตั้งใจจะสำรวจแต่สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้ามันกระจ่างชัดในตัวมันอยู่แล้ว และจุนมยอนสรุปทันทีว่าคริสอาจจะเพิ่งกลับมาถึง คิดได้แบบนั้นแล้วก็รู้สึกจุกเหมือนโดนทุบเข้าที่กลางแผ่นหลังขนาดนั้นเลย

     

    นี่กินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วไปไหนต่อกันล่ะ...

     

    “กินอะไรแล้วหรือยัง?”

     

    จุนมยอนก็ไม่รู้ว่าควรตอบความจริงหรือโกหกดีก็เลยได้แต่นิ่งไป

     

    “เห็นตอนที่นายออกมา เพื่อนนายคนที่ตัวสูงๆผิวคล้ำๆหน่อยยังนั่งรออาหารอยู่เลย ฉันก็เลยคิดว่านายอาจจะยังไม่ได้กินอะไรไปตอนมื้อเย็น” ที่คริสพูดถึงคงหมายถึงไค ว่าแต่ที่ร้านสเต็กนั่น...

     

    “น...นายเห็นฉัน?”

     

    คริสพยักหน้ารับ “อืม...ที่ร้านสเต็ก” คริสจ้องมองคนตัวเล็กกว่าด้วยแววตาจริงจังอีกครั้ง “ตกลงว่านายกินอะไรไปแล้วหรือยัง?”

     

    จุนมยอนยังไม่รู้จะตอบว่าอะไร เขาไม่มีแม้แต่คำพูดที่จะพูดด้วยด้วยซ้ำ คริสกำลังทำเหมือนเป็นห่วง คำพูดแววตาและสีหน้าแสดงออกอย่างนั้น คนตัวเล็กก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อประมวลความคิดรวมทั้งความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของตัวเอง พลันสายตาก็เห็นว่ามีนมหนึ่งแก้วอยู่ในมือข้างนั้น ชั่วพริบตาจุนมยอนก็เผลอเหลือบดวงตาขึ้นมองคริสอีก

     

    “ของนาย...” ของเหลวสีขาวในแก้วใสนิ้งยื่นมาตรงหน้า จุนมยอนยื่นนิ่งกะพริบตาปริบ ยากทั้งนั้น...ไม่ว่าจะพูดหรือตอบกลับไปด้วยปฏิกิริยาเพียงแค่อย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที

     

    ทำไงดี...คือคำถามที่เกิดขึ้นตลอดที่เขาอยู่ต่อหน้าคริส เขาไม่รู้ว่าควรจะรับมันมาไว้ในมือเลยหรือควรเลือกที่จะปัดมันออกไป

     

    “นมอุ่นๆสักแก้วก่อนนอนคงจะเป็นประโยชน์กับนายอยู่บ้างหรอกนะตัวเล็ก” ประโยชน์ในด้านไหน ทำไมพูดไม่ชัด ...นี่หาว่าเขาเตี้ยหรือไง...

     

    เมื่อพบว่ารอบกายยังคงเงียบอยู่หลังจากจบประโยคของเขา คริสจึงพยายามส่งเสียงเพื่อสร้างบรรยากาศดีๆให้เกิดขึ้นอีก

     

    “จะกินข้าวหรือยังไม่กินข้าวก็กินเข้าไปเถอะนมน่ะ นายรู้หรือเปล่าว่าถ้าเราดื่มนอนก่อน ในช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่ร่างกายได้รับแคลเซียมจากนมมากที่สุด พอรับมาแล้วแคลเซียมก็จะไปเพิ่มให้กับเลือด ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนหรือผุได้ด้วยนะ” จุนมยอนดูอึ้งไป ...เขาไม่คิดว่าคริสจะเอ่ยสรรพคุณของมันยืดยาวราวกับจะขายของ

     

    คนตัวเล็กมองหน้าอีกฝ่ายที่ตอนนี้ดันยิ้มให้แล้ว เหมือนมีมนต์สะกดให้มือข้างหนึ่งของเขายื่นออกไปแล้วรับแก้วที่อีกฝ่ายถือไว้อย่างง่ายดายเลยในตอนนั้น

     

    “อื้ม...ข...ขอบใจนะ” แค่นี้...แค่ตอนที่เขาเผลอมองรอยยิ้มของคริสที่กำลังเผยให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวใจดวงน้อยๆก็เต้นระรัวด้วยความรู้สึกเขินอาย จุนมยอนแทบลืมความรู้สึกเศร้าเสียใจที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับเขาไปหมดแล้ว

     

    ช้อนดวงตาขึ้นมองใบหน้าของคริสอีกทีก่อนรีบหลุบต่ำ จุนมยอนเม้มริมฝีปาก จากมือเดียวที่ถือแก้วนมก็เปลี่ยนไปเป็นใช้สองมือประคองมันอย่างระมัดระวัง เขาไม่แน่ใจ...กลัวว่าตัวเองอาจจะทำมันหกหรือตกแตกไปเสียก่อนจะได้ดื่มมัน

     

    ถ้าเป็นเช่นนั้น...จุนมยอนก็อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

     

    ถอยหลังกลับเข้าห้องและกำลังจะปิดประตู หากแต่ก็ต้องหยุดชะงักการกระทำเหล่านั้น เมื่อฝ่ายคริสกดฝ่ามือเข้ากับประตูห้องทั้งบานใช้แรงกดเพื่อไม่ให้จุนมยอนขยับปิดประตูได้

     

    เมื่อพบความผิดปกติ ...ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองคนตัวสูง

     

    “เห?”

     

    “ดื่มให้หมดตรงนี้” คนที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตรออกคำสั่งเสียงเข้ม วินาทีที่ปากขยับพร้อมทั้งเสียงที่ดังขึ้นในโสตประสาทกอปรกับใบหน้าที่ดูขึงขังเล็กๆ ไม่รู้หรือไงว่าคนมองเห็นกำลังละลาย ไม่ต้องถึงขั้นขี้ผึ้ง ต่อให้เป็นหิน...จุนมยอนก็พร้อมที่จะกลายร่างเป็นของเหลว ละลายแล้วละลายอีกอยู่นั่นหากว่าคนตรงหน้าเขาคือคริส

     

    “ฉันจะได้แน่ใจว่านายไม่ได้ทิ้งมัน...ไม่ได้ทิ้งน้ำใจของฉัน” จะทิ้งได้ยังไง ...ความคิดนั้นไม่ได้มีอยู่ในสมองเลย กลับกัน...จุนมยอนคงเก็บไว้และไม่กล้าที่จะดื่มมันเลยด้วยซ้ำ

     

    ทางเดียวที่จะหลีกหนีให้พ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัด เห็นทีว่าคงจะต้องเป็นการที่เขานั้นทำให้ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการกระมัง เมื่อไม่มีทางเลือก คนตัวเล็กจึงยกแก้วนมขึ้นมาแล้วค่อยๆดื่ม

     

    แต่มันก็รู้สึกขัดเขินอยู่ดีนะ กำลังกินอยู่แล้วมีคนคอยจ้องสังเกตการณ์นี่ จะทำตัวถูกมั้ยล่ะ แค่ยกนมขึ้นจิบเฉยๆจุนมยอนยังไม่แน่ใจเลยว่าที่เขากำลังทำอยู่คือท่าทางที่ถูก ดื่มไปด้วยท่าทางเงอะๆงะๆงุนงงๆ จนเหลือค่อนแก้ว เฮือกสุดท้าย...คนตัวเล็กก็เลยตั้งใจว่าจะดื่มมันให้หมดในคราวเดียว

     

    แล้วคริสก็ยักคิ้วให้ ...ไม่รู้ว่าตั้งใจกวนกันหรือเปล่า ทว่าจุนมยอนก็รู้สึกว่าโดนแกล้งให้รู้สึกเช่นนั้น ตัดปัญหาโดยการหันข้างให้และพยายามไม่มองอีกฝ่าย มือขาวยกแก้วนมขึ้นมาเสมอปากก่อนดื่มเข้าไป

     

    “ดื่มให้หมด...แล้วไปดูดาวกัน”

     

    “แฮ่ก” ท้ายประโยคนั้นทำให้ถึงกับสำลัก

     

    โชคดีนะ...ที่ของเหลวถูกกลืนลงไปในคอหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจจะมีสิทธิ์พุ่งออกมาจากปากแล้วเลอะเทอะเต็มพื้นจนต้องมาตามเช็ดถูอีก

     

    “แฮ่ก แฮ่ก”

     

    “คงไม่ได้จะสะอึกอีกแล้วหรอกนะ?” ในขณะที่ก้มหน้าแล้วไอคอกแคกๆแล้วได้ยินถ้อยคำพวกนนั้น จุนมยอนก็รีบยกมือข้างหนึ่งที่ไม่ได้ถือแก้วนมโบกเร็วๆไปมาเชิงปฏิเสธ

     

    อย่างรีบ...เพราะเขารู้ว่าถ้าเกิดสะอึกขึ้นมาคริสจะแก้ด้วยวิธีไหน...

     

    วินาทีที่คิดได้แบบนั้นก็พยายามระงับอาการไอของตัวเอง ...คนผิวขาวกำลังเกรงว่าคริสจะแก้อาการไอด้วยวิธีเดียวกัน ถึงตอนนี้ใครจะหาว่าเขากำลังระแวงมากเกินไป...ก็ออกตัวไว้ก่อนเลยว่าไม่เกินไปหรอก...

     

    เพราะคริสน่ะ...ทำอะไรที่เขาไม่คาดคิดมาหลายครั้งและจุนมยอนเองก็กลัว ...กลัวว่าตัวเองจะไม่ไหว หัวใจของเขามันเต้นผิดปกติทุกครั้งเวลาที่เจอคริส บางครั้งแทบไม่ต้องมีอะไรกระตุ้นเขาก็เหมือนคนป่วยเป็นโรคหัวใจเข้าไปแล้ว

     

    “เปล่า” จุนมยอนผิดปากแน่นเพราะไม่ต้องการจะไอแต่อาการที่ยังหลงเหลือก็ยังคงมีเล็ดลอดออกมาอยู่ดี “ม...ไม่ได้จะสะอึก” เหลือบดวงตาขึ้นมองตอบคำถามแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าสกัดกลั้นอาการไอเพราะสำลักที่ยังคงไม่ทุเลาเบาบางลงไปเสียที

     

    คริสกำลังหัวเราะแบบไร้เสียง ความเป็นคนซื่อตรงของจุนมยอน แทบจะทำให้คริสมองเห็นความรู้สึกของอีกฝ่ายได้แทบจะทั้งหมด

     

    น่าชื่มชมหรือเปล่า...ก็ไม่รู้

     

    แต่คริสก็พบว่าตัวเองรู้สึกดีไปแล้ว...

     

    พลันจุนมยอนก็สัมผัสได้ถึงสัมผัสอุ่นๆที่แตะลงมาที่ริมฝีปาก ดวงใจของเขาโหวงวูบเหมือนนั่งรถแล้วดิ่งลงจากสะพาน ก่อนจะกลับมาเต้นแรงอีกครั้งก็ตอนที่เขาใช้ดวงตามองคริสเพื่อสำรวจรวมทั้งยืนยันในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเอง

     

    นิ้วโป้งปาดจากร่องงุ้มจากขอบปากบนตามรอยโค้งแล้วปัดทิ้งออกไปเมื่อสุดอยู่ที่มุมปาก ร่างสูงยิ้มให้พร้อมทั้งชูนิ้วโป้งที่เปื้อนของเหลวสีขาวซึ่งในตอนแรกมันเปรอะอยู่รอบริมฝีปากสีสวยของคนตัวเล็ก

     

    ก็แค่เช็ดนมให้...

     

    “กินนมเป็นเด็กเล็กเลย...เบ๊อะบ๊ะ” เหมือนโดนตำหนิ ตาทั้งคู่ของจุนมยอนเบิกโตขึ้นแถมยังยู่ปากเล็กๆ เจ้าตัวไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำว่าหน้าตาเขากำลังแสดงออกไปแบบไหน

     

    และนั่นล่ะ ก็เลยเป็นเหตุผลให้เขารีบส่งแก้วในมือให้คริส แต่อีกฝ่ายก็ดันทำเป็นเฉไฉเหมือนจะไม่รับ จุนมยอนก็เลยรู้สึกว่าความไม่พอใจกำลังรื้อขึ้นมาเล็กๆ แล้วมันก็ทำให้เขาลืมไปว่าไม่ควรจับมือคริสแล้วยัดแก้วใส่มือนั้นไป จุนมยอนถึงกับอ้าปากค้างในตอนรู้ตัวเองว่าเพิ่งจะทำอะไรลงไป คนตัวเล็กก็เลยเตรียมตัวจะหนีกลับเข้าห้องทันทีเพราะคงไม่กล้าสู้หน้าอีกต่อไป แต่แล้วอีกฝ่ายก็ยังคงใช้มือกดบานประตูเอาไว้เหมือนครั้งแรกอีก

     

    “ดาวไง...ไปดูดาวกัน”

     

    ไม่ไป...อย่าตื๊อได้มั้ย ฮือออ

     

    “ดึกแล้ว...เดี๋ยวพี่ซีวอนว่าเอา” ไม่รู้ว่าผีตนไหนสิงให้พูดออกไปแบบนี้ พี่ซีวอนจะช่วยอะไรได้มั้ยล่ะ กระนั้นจุนมยอนกลับคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกเกรงใจจนนึกชะงักขึ้นมาบ้าง แค่สักเล็กน้อยก็ยังดีล่ะน่า หรือถ้ากลัวไปเลยก็จะดีมากๆ

     

    แม้จะรู้ว่ากิตติศัพท์ในเรื่องความหวงน้องชายของพี่ซีวอนคงยังไม่ตกถึงหูคริส เพราะคนตัวสูงเพิ่งจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานเอง แต่จากวันนั้นวันทีพี่ซีวอนเข้าไปคุยกับคริสถึงในห้อง ก็คงจะพอทำให้คริสรู้สึกได้ถึงรัศมีน่าเกรงขามของพี่ชายเขาได้อยู่บ้างกระมัง

     

    “อ่อ...จะให้ฉันโทรไปขออนุญาตมั้ยล่ะ” ฝ่ายคริสเลิกคิ้วเชิงถาม อาการที่แสดงออกดูไม่สะทกสะท้านอะไร ต่างกันกับจุนมยอนที่ได้แต่ทำหน้ามึน มึนงงเพราะจู่ๆสถานการณ์ก็พลิกจากหน้ามือไปเป็นหลังมือได้โดยสิ้นเชิง และเขาดูตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด

     

    “ไม่ต้อง” เสียงหวานค้านดังชัดถ้อยชัดคำ

     

    ขืนโทรไปสิ ...มีหวังพี่ซีวอนคงได้มาโผล่ตรงนี้แน่ ถ้ามาถึงแล้วคริสเกิดกลายเป็นศพขึ้นมา และเขานี่แหละที่จะต้องเป็นคนเสียใจ

     

    พี่ซีวอนไม่ได้เล่ารายละเอียดให้น้องชายแสนน่ารักฟังสินะว่าคุยอะไรไปกับคริสบ้าง เมื่อคริสพูดทั้งหมดออกไปด้วยใจจริงอย่างจริงใจ พวกเขาก็ดูจะสานสัมพันธ์กันได้แถมถ้ามีเวลามากมายกว่านั้นก็อาจจะสนิทกันได้ง่ายในแบบที่ใครก็คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

     

    “เอาเบอร์มาเร็วเดี๋ยวฉันโทรไปขออนุญาตพี่ชายนายเอง”

     

    “ไม่...ไม่ต้องเลย” จุนมยอนส่ายหน้า พ้นจากข้ออ้างนั้นคนตัวเล็กก็คิดอะไรไม่ออกอีก เชื่อว่าถึงพูดว่าไม่ไปคริสก็คงหาทางลากเอาเขาไปด้วยได้อยู่ดี

     

    แต่มันยากกว่าตรงที่เกิดมาจุนมยอนก็ปฏิเสธคนไม่เป็นเลยนี่สิ ยิ่งกับคริสแม้ปฏิกิริยาภายนอกอาจจะแสดงออกว่าต่อต้าน แต่บอกไว้ได้เลย...หัวใจเขานี่ยอมรับตั้งแต่วินาทีแรกทีได้สบตาแล้ว

     

    “เชื่อฉัน...คืนนี้ดาวสวย”

     

     

     

     

     

     

     

    ที่สุดแล้ว...คิมจุนมยอนก็ถูกพาขึ้นมาบนดาดฟ้าหอพักจนได้

     

    คริสทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นที่ว่างเปล่า ชายหนุ่มเงยหน้ามองจุนมยอนที่เดินตามมา เขายิ้มเมื่อเห็นว่าจุนมยอนมองรอบๆกายอย่างสนใจ สองแขนเล็กน่าทะนุถนอมคู่นั้นกำลังกอดตัวเอง แม้สายลมจะไม่ได้แรงมากนักแต่ฤดูใบไม้ผลิอากาศก็จะเย็นตามปกติ คนตัวเล็กเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มก่อนจะมองมาด้วยดวงตากลมแป๋ว

     

    คริสเผยรอยยิ้มละมุนใส่ตาอีกฝ่าย “นั่งลงมาสิ”

     

    จุนมยอนหัวใจกระตุกรัว เขาแพ้...แพ้ให้กับรอยยิ้มนั้น ก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่คริสบอก ร่างเล็กๆทิ้งตัวลงนั่งแต่ก็ทิ้งระยะห่างเอาไว้มาก ราวกับว่าไม่ได้มาด้วยกัน

     

    คริสเกือบหลุดหัวเราะออกมาแล้วจริงๆ คนตัวสูงถอดแจ็กเกตเบสบอลตัวโปรดออกก่อนจะเขยิบเข้าไปนั่งใกล้อีกฝ่ายแต่ก็ตั้งใจไม่ให้ชิดเกินไปมากนัก เพราะยิ่งเขาพยายามใกล้เท่าไรเชื่อได้แน่ว่าจุนมยอนก็คงจะหาทางหนีออกให้ไกลเท่าที่คิดว่าตัวเองจะปลอดภัย

     

    นี่เขาน่ากลัวขนาดเลยเหรอ...?

    นึกแล้วก็ขำ...

     

    แขนยาวเอื้อมเลยไปยังบ่าข้างที่อยู่ไกลออกไปของจุนมยอน เขาคลุมเสื้อให้กับร่างที่มีเพียงแค่ชุดนอนลายตารางเนื้อผ้าฝ้ายบางๆที่คงจะไม่ทานทนกับสภาพอากาศเย็นๆแบบนี้

     

    กระนั้นจุนมยอนกลับเบี่ยงตัวออกด้วยความตกใจที่จู่ๆคริสก็ทำแบบนั้น คริสไม่พูดอะไร ชายหนุ่มแค่ขยับเสื้อให้พอดีกับร่างเล็กที่ดูจะเกร็งขืน พอทำได้อย่างต้องการเขาก็ถอนทั้งร่างและมือออกไปแล้วทิ้งตัวนอนราบขนานไปกับพื้นปูน

     

    “แบบนี้จะได้ไม่ต้องแหงนคอมอง” เอียงคอมองจุนมยอนแล้วยิ้มให้ “นายลองดูสิ”

     

    “ม...ไม่ดีกว่า” จุนมยอนตอบ แหงนใบหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ครั้งแรกๆมันก็ไม่เป็นอะไรนี่นะ จุนมยอนรู้ดีว่านับจากนี้ที่เขามองเห็นว่าดวงตาบนฟ้าเปล่งประกายสวยสดงดงามจริงๆ มันก็อาจจะส่งผลให้ต้องแหงนคอมองบ่อยๆ สุดท้ายก็อาจจะต้องเมื่อยอย่างที่อีกฝ่ายได้บอกไว้จริงๆ

     

    แต่ก็ไม่รู้ทำไม...เขารู้สึกว่าไม่อยากจะเชื่อหรือทำตามคำของคริสเลย เขากลัวอีกฝ่ายจะรับรู้ว่าหัวใจเขาโอนเอนไปหามากถึงขนาดไหนแล้วตอนนี้

     

    “นายว่าคืนนี้ดาวจะตกมั้ย?” จากที่เงยหน้ามองท้องฟ้าจุนมยอนก็ต้องหยุดแล้วมองกลับมาที่คริส

     

    “ไม่รู้สิ” ก็เขาไม่รู้จริงๆนี่นา

     

    จุนมยอนเคยสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเวลาเกิดดาวตก เจ้าดวงดาวที่ดวงตาเราเห็นบนฝากฟ้าที่ส่องแสงเป็นประกายงดงามนั้นจะลดน้อยลงจนถึงขั้นหมดลงไปเลยมั้ย...

     

    ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ท้องฟ้าในยามค่ำคืนคงดูหงอยเหงาเศร้าสร้อยน่าดูเลย ถ้าหากปราศจากดวงดาว

     

    แต่แล้วก็มาพบกับความจริงเมื่อเขาเรียนวิชาดาราศาสตร์ตอนสมัยมัธยม ว่าที่เราเห็นเส้นแสงที่พุ่งลงมาจากฟากฟ้านั้น แท้ที่จริงแล้วคืออุกกาบาตจากเศษหินในอวกาศ เมื่อตกลงมาบนพื้นโลกได้เกิดการเสียดสีในชั้นบรรยากาศ จึงทำให้เกิดเป็นประกายไฟ...คล้ายกับดาวตก

     

    ทฤษฎีพวกนั้นเขาก็จำมันไม่ค่อยจะแม่นออกจะเลือนราง ในตอนที่เรียนก็ขอเพียงแค่ให้สอบผ่านไม่ให้ตกในวิชานี้ก็เพียงพอแล้ว

     

    บางค่ำคืนเราอาจเห็นดวงดาวไม่กี่ดวงนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าดาวมันร่วงลงมาบนพื้นดินจนทำให้แสงระยิบระยับที่เคยแต่งแต้มบนท้องฟ้าลดน้อยลงไป หากแต่มันเป็นเพราะคืนนั้นดวงจันทร์อาจจะดวงใหญ่และทอประกายเปล่งแสงจ้าจนบดบังความสว่างของดวงดาวที่ไม่อาจสู้ได้แต่ก็ยังมีบางดวงที่ยังพอจะสามารถมองเห็นได้อยู่

     

    วันนี้เขาเห็นพระจันทร์เพียงเสี้ยว ...คนตัวเล็กจึงไม่แปลกใจเลยหากดวงดาวจะเต็มท้องฟ้าขนาดนี้

     

    “ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เห็นดาวตก”

     

    เสียงของคริสร้องเรียกให้เขาหันไปมองอีกครั้ง เสี้ยวแรกเขาสังเกตเห็นว่าคริสหลับตา และเมื่อลองพิจารณาดูดีๆแล้ว จุนมยอนกลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังหลับตาอยู่จริงๆ

     

    หลับตาแบบนี้แล้วจะได้เห็นมั้ยดาวตกที่ว่าน่ะ...

     

    จุนมยอนเผลออมยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว สำหรับเขา...การเห็นดาวตกคงเป็นเรื่องโชคไม่ดีเท่า การได้มองเห็นคริสในมุมแบบนี้บ้าง

     

    แต่ก็.....

    น่ารักดีนะ...

     

    “นายคิดว่าวันนี้เราจะโชคดีหรือโชคร้าย” คนพูดลืมตา จุนมยอนตกใจถึงขั้นสะดุ้ง คนตัวเล็กถอนสายตาจากที่มองคริสอยู่ออกไปแทบไม่ทัน

     

    มือเล็กยกขึ้นมาจัดเผ้าผมที่ปลิวไสวเพราะสายลม จุนมยอนแทบไม่รู้จริงๆว่าจะมือไม้ไปวางไว้ตรงไหนแม้จะจัดผมเสร็จแล้วก็ตาม

     

    “ไม่รู้สิ”

     

    “ตอบอย่างอื่นแทนคำนี้บ้างได้มั้ย...นายพูดคำอื่นไม่เป็นเลยเหรอ?” คนตัวสูงพูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทว่าสิ่งที่คริสกำลังทำก็ยังทำให้จุนมยอนรู้สึกเหมือนเดิมคือ...อาย

     

    “ก็เป็น...” หยุดคำพูดไว้ชั่วครู่ราวกำลังใช้ความคิด “แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี”

     

    “ฉันทำให้นายอึดอัดหรือเปล่า?”

     

    “ไม่ใช่นะ!” จุนมยอนสวนกลับไปเร็วพอกัน กว่าจะสำนึกว่าตัวเองพูดอะไรออกไปก็ไม่ทันแล้ว มันจะดูร้อนตัวมั้ยนะ

     

    เขาก็ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอึดอัดหรือเปล่า อันที่จริง...อาจจะต้องบอกว่าเขินจนทำตัวไม่ถูกน่าจะถูกต้องกว่ากระมัง

     

    “ฉันก็แค่...ไม่คุ้น”

     

    “แล้วเราจะคุ้นกันได้เมื่อไร?” เหมือนใบ้กิน เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบ แต่จุนมยอนจะรู้ได้อย่างไร ...แม้ว่าเขาจะชอบคริส แม้ว่าคริสจะพยายามมากแค่ไหนเพื่อที่จะสื่อสารกับเขาอย่างสนิทสนม แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักนี่ หากเราต้องคุยกับคนที่แอบชอบให้เป็นธรรมชาติเหมือนอย่างที่คุยกับคนอื่นทั่วไป

     

    “ฉันก็ไม่รู้”

     

    “พอละ...เลิกถาม ถามไปฉันคงไม่ได้คำตอบ” คริสหัวเราะ จุนมยอนคิดว่าอีกฝ่ายดูอารมณ์ดีเกินไป ...ที่ผ่านมาเขาเห็นแต่ในมุมคุณชายนิ่งๆก็เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า...ทำไม

     

    หรือนี่อาจเป็นเพราะมีคนตามมาง้อ ...และตอนนี้ก็คงจะคืนดีกับคนที่มาจากเมืองจีนด้วยกันเรียบร้อยแล้ว คริสที่เขาเคยเห็นหรือจะให้ถูกต้องก็คงต้องบอกว่าที่เคยแอบมองไม่เห็นจะเคยยิ้มมีความสุขเท่านี้เลย ยิ่งเห็นรอยยิ้มบนดวงหน้าหล่อเหลากว้างมากขึ้นเท่าไรจุนมยอนก็ยิ่งรู้สึกรวดร้าว

     

    เขาได้แต่มองขึ้นไปบนฟ้า ...และก็ภาวนาให้ดาวตก อาจดูเลวร้ายหากจะอธิษฐานให้ตัวเองสมหวังในรัก เพราะนั่นก็เท่ากับเขามีความปรารถนาอยากจะแยกคนที่รักกันให้ต้องพรากออกจากกัน

     

    แต่สิ่งที่เขาเห็นในวันนี้รวมถึงสิ่งที่ได้ฟัง...คงบอกได้ว่ายากและดวงดาวก็อาจจะช่วยอะไรเขาไม่ได้ เพราะแค่ตอนที่ไม่มีใครคนนั้นคริสก็ไม่เคยมองเห็นเขาอยู่แล้ว

     

    “ฉันขึ้นมาบนนี้แทบจะทุกคืน...เชื่อมั้ยว่าไม่เคยเห็นดาวตกเลยสักครั้ง” ความหมายแฝงความผิดหวัง กระนั้นในตอนที่หันไปเห็นใบหน้าของคริสจุนมยอนกลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเลย

     

    ออกจะดูอิ่มเอมกับดวงดาวที่ประดับอยู่บนนั้น...เหมือนไม่อยากจะให้มันร่วงลงมาจากบนฟ้าเลย

     

    “แปลกนะ ก็เหมือนกับที่คนเราหวังแต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่สามารถสมหวังไปได้ทุกประการ เหมือนเวลาที่เรารอดาวตกอ่ะ ถ้าไม่ถูกที่ถูกเวลาจริงๆเราก็คงจะไม่มีทางได้เห็น เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยวเศษวินาทีเดียวเท่านั้นและไม่ได้มีสัญญาณเตือนใดๆก่อนว่าจะเกิด”

     

    จุนมยอนพยายามนึกภาพตาม...

     

    ขณะที่ดวงตาคู่สวยช้อนขึ้นมองไปบนท้องฟ้าอีกครั้งก็เห็นดาวตกเป็นเส้นพาดยาวบนฟากฟ้าชั่วพริบตาแล้วก็หายไป

     

    “ได้อธิษฐานมั้ย?” เสียงทุ้มของชายหนุ่มฉุดให้เขาหลุดออกจากภวังค์

     

    “นายก็เห็น?” เลิกคิ้วถามฝ่ายตรงข้าม

     

    “อื้ม”

     

    “คงถูกที่ถูกเวลาแล้ว” คริสยิ้ม...เขาไม่อยากเชื่อว่าคำพูดประโยคก่อนๆจะช่วยละลายพฤติกรรมของจุนมยอนจนอีกฝ่ายสามารถโต้ตอบกลับมาในแบบที่ไม่รู้สึกฝืนและเป็นธรรมชาติและสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เขายิ้มไม่หุบเลย

     

    คำนั้น...สำหรับเขามันมีความหมายแฝงนะ จุนมยอนจะรู้หรือเปล่าว่าเขาหมายถึงอะไร...

     

    ถ้าวันนั้นเขาไม่นึกอยากจะทำให้ลู่ฮานเชื่อว่าตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว เขาก็คงไม่เลือกที่จะคว้าใครก็ได้เข้ามาจูบแบบนั้น

     

    เหมือนอย่างตอนนี้ที่จู่ๆดาวก็ตกแล้วที่สำคัญคือเขาเห็น

     

    “ใช่...ถูกที่ถูกเวลา” คริสยิ้มพร้อมทั้งมองที่ตาของจุนมยอน ไม่นานนักดวงตาอีกคู่ก็ค่อยๆล่าถอย  แต่คริสก็เห็นว่ามีรอยยิ้มเกิดขึ้นอยู่บนใบหน้านั้นจางๆ

     

    “อยากรู้มั้ย...ว่าฉันขออะไร?”

     

    จุนมยอนไม่อาจมองหน้าคริส คนตัวเล็กแอบเม้มริมฝีปากแล้วก็ส่ายหัว แต่ดูเหมือนว่าคริสจะไม่สน

     

    “ฉันขอให้นายตอบฉันมากกว่าคำว่าไม่รู้” เขาหัวเราะอย่างร่าเริงเพราะว่านั่นไม่ใช่เรื่องจริง เขาไม่ทันได้ขออะไรกับดวงดาวเพราะในตอนที่นึกได้ความงดงามตรงหน้าก็มลายหายไปหมดแล้ว ...มันไม่ทัน

     

    “แล้วมันก็เป็นจริงแล้ว”

     

    “....”

     

     

    “งั้น...ขอให้นายตอบอะไรฉันอีกอย่างหนึ่งได้มั้ย?”

     

     

    “...”

     

     

    “ฉันอยากรู้ว่าทำไมนายถึงชอบฉัน”

     

     

     

     

     

    TBC…

     

     

    กลายเป็นมาสวีทกันซะงั้น 5555555

    ประเด็นที่ไคกับลู่ฮานกับไคสร้างเอาไว้ไม่มีผลกับคริสโฮเลยค่า 55555555

    เดี๋ยวนะ ขอแจง...คือน้องมุ้งมิ้งของเราไม่กล้าถามเรื่องนั้นอ่ะค่ะ

    นางน่าสงสารนางแค่เป็นติ่งพี่คริสนางไม่สิทธิ์ (สาบานได้ว่าเมนจุนมยอน)

    อย่างดีก็ได้แค่ดราม่าอยู่กับตัวเอง แต่ว่าเราจะไม่ดราม่ากันนะคะ ม่ายยยยย 555555

    พี่คริสชอบแกล้งก็เพราะน้องโฮน่าแกล้งนะคะ ฮืออออ

    ถึงตอนนี้แล้วเนอะคู่หลักเราต้องคืบหน้าบ้างล่ะ 555555

    ฮือออ พี่คริสแค่หลงตัวเองหรือรู้ว่าจุนมยอนชอบตัวเองจริงๆแล้วรู้ได้ยังไง

    แล้วทำไมถึงมาถามกันตรงนี้ตอนนี้ก็รอเฉลยนะคะ อิอิ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×