ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic] First Kris First Kiss (Kris x Suho)

    ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 11

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 823
      2
      26 ธ.ค. 55

     

    CHAPTER 11




    วันรุ่งขึ้นหลังจากรู้ผลแพ้ชนะ การเรียนที่ภาควิชายังคงดำเนินไปตามปกติ แต่ที่ผิดแผกไปก็ตรงที่เจอปาร์คชานยอลมาอยู่ที่ภาควิชาภาษาอังกฤษตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งที่เจ้าตัวมีเรียนตอนบ่ายโมงตรง มิหนำซ้ำร่างสูงยังไม่มีแผนที่จะต้องมาเหยียบตึกที่กำลังยืนอยู่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

     

    พอมาถึงก็ปรี่เข้าหาคิมจงแดทันที...

     

    “อ้าว...ชานยอล” เสียงของประธานรุ่นดังแหวกอากาศ และมันก็ดังพอที่จะทำให้เสียงเซ็งแซ่ที่ดังจากทั่วสารทิศสร่างซาลงได้บ้าง อาจเพราะชื่อนั้นที่หลุดออกมาจากปากของจงแด

     

    ก่อนหน้านั้นไม่มีใครสนใจ มีหลายกลุ่มย่อยที่สุมหัวกันปรึกษาหารือกันถึงเรื่องงานที่อาจารย์ได้ฝากเอาไว้ให้เป็นภาระหนักบ่าพวกเขาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว จนวันนี้ที่ถึงกำหนดพรีเซ็นต์ ต่างคนต่างกลุ่มก็เลยเอาแต่สุมหัวกันอยู่ที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คที่แต่ละกลุ่มจะมีตัวแทนนำมันมา พวกเขาที่มาเร่งงานกันตอนวินาทีสุดท้ายจึงไม่มีเวลามาสนใจว่าใครจะไปหรือว่าจะมา นอกเสียจากว่าใครคนนั้นเป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มที่ต่างฝ่ายต่างกำลังโทรตามกันให้จ้าละหวั่น

     

    ก็แค่เหลือบขึ้นมองพอไม่ใช่...ก็ไม่ได้นึกจะสนใจอะไรต่ออีก

     

    จงแดเป็นคนเห็นชานยอลคนแรกพอดี แต่ก็ไม่ได้คิดว่าคนที่มาใหม่จะมีธุระหารืออะไรกับตัวเอง ด้วยความเป็นคนเอ่ยทักแต่เพราะนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวข้องกับเขา จงแดก็เลยทำเพียงแค่ยิ้มแล้วจึงกลับมาถกประเด็นกับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มต่อ ทว่า...ชานยอลก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองกี่ทีต่อกี่ทีชานยอลก็ยังคงมองมาที่เขา

     

    แม้จะไม่ต้องพูดแต่ก็พอสงสัยได้บ้างแล้วว่า ชานยอลต้องมีบางอย่างที่จะคุยด้วยละมั้ง ตระหนักได้แบบนั้นเขาจึงขอตัวออกจากกลุ่มสักพักแล้วเดินตรงเข้าไปหาปาร์คชานยอลที่ก้าวพ้นเข้ามาในประตูห้องประชุมที่วันนี้ถูกเปลี่ยนหน้าที่ให้กลายไปเป็นห้องพรีเซ็นต์มาเพียงไม่เท่าไรแบบยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรเลย

     

    “มีอะไรหรือเปล่า?” มือถูกวางลงบนบ่าของชานยอล

     

    “ก็มี...” จะบอกให้รีบพูดเพราะตอนนี้เขากำลังมีงานที่เร่งรัดรออยู่ก็ดูจะกระไรอยู่ พวกเขาเป็นเพื่อนกันก็จริงแต่ก็ไม่สนิทถึงขั้นที่ว่านึกอยากจะพูดอะไรก็พูดออกไปเลยโดยไม่ต้องมานั่งรักษาน้ำใจหรือพูดแบบปราศจากซึ่งความเกรงใจกันเลยขั้นนั้น

     

    “มีอะไร?” จงแดถามด้วยน้ำเสียงปกติ แม้จะมีสัญญาณบอกเหตุว่าอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลแต่ประธานรุ่นก็ยังใจเย็นแสดงออกด้วยพฤติการณ์สุขุมเยี่ยงเดิม

     

    “ฉันจะถอนตัว” เริ่มรู้สึกได้ถึงอะไรตงิดๆบ้างแล้ว แต่เพื่อความมั่นใจเขาจึงได้เอ่ยขอความกระจ่างชัด

     

    “ถอนตัวอะไร?”

     

    “ถอนตัวจากบทพระเอกละครเวทีของคณะ”

     

    จงแดตกใจมากจนเผลอทวนประโยคนั้นด้วยเสียงดัง “ถอนตัวจากบทพระเอกละครเวทีของคณะ!

     

    เป็นผลให้ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นหันมามองกันเป็นตาเดียว และที่ทุกคนมีปฏิกิริยาแบบนั้นคงจะเกิดความรู้สึกที่เหมือนกับจงแดเด๊ะๆราวกับลอกเลียนแบบมา ผิดกับหนึ่งคนที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้องซึ่งกำลังยิ้มกริ่ม และคนที่เห็นอย่างจุนมยอนที่นั่งถัดไปจากเจ้าคนนั้นถึงกับเอาศอกกระทุ้งเข้าไปที่ตัวเชิงปรามว่าให้เก็บอาการต่างๆหน่อย

     

    ถึงกระนั้นแบคฮยอนก็หาสนใจไม่...ร่างเล็กหันไปยักคิ้วให้จุนมยอนพลางนั่งไขว่ห้างกระดิกนิ้วเท้าต่อ

     

    ชั่ววินาที ผู้คนก็ลุกฮือตรงเข้าไปล้อมกรอบบุคคลในความสนใจ

     

    ทำไม อะไร เกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าต้องมีความสงสัยเกิดขึ้น เพราะตั้งแต่แรกเริ่มเลยชานยอลไม่ได้มีท่าทีว่าอยากจะถอนตัวเลยสักนิด คนเดียวที่มีพฤติกรรมแบบนั้นและสร้างความวุ่นวายให้ไม่เว้นแต่ละวันก็เห็นจะมีแต่คนที่ได้รับบทบาทให้เป็นนางเอกในร่างชายอย่างพยอนแบคฮยอนคนเดียว ตอนนี้ถึงได้มีแต่ความแปลกใจ

     

    จงแดที่ชัดเจนในสิ่งที่นักแสดงนำในละครของเขาปรารถนาแล้ว แม้ในความจริงจะไม่อยากขัด เพราะถ้าคนมันไม่มีใจทำงานกันไปก็ไม่มีทางส่งผลดี แต่ด้วยเหตุผลทางธุรกิจเขาจึงมีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้นที่จะให้แก่ปาร์คชานยอล

     

    “ไม่ได้” ความวุ่นวายหยุดลง แค่เพียงหนึ่งคำของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจดังโพลงขึ้นมา อีกอย่างชั่วขณะนี้ทุกคนต่างเอาใจจดจ่อเพื่อฟังเรื่องที่กำลังจะกลายเป็นประเด็นถึงได้เงียบเพื่อการสอดรู้สอดเห็นจะได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

     

    ชานยอลกำลังจะอ้าปากอธิบายถึงเหตุผลที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้ กระนั้นกลับไม่ได้รับโอกาส มิหนำซ้ำอีกฝ่ายยังปิดช่องทางเขาเสียหมดมิดชิด

     

    “ไม่ว่าเหตุผลของนายจะคืออะไรก็บอกเลยว่าไม่มีผล”

     

    “แต่ฉัน...”

     

    “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอถามอะไรสักคำว่า พวกนายรับผิดชอบไหวมั้ยหากสปอนเซอร์ขอถอนตัว” แบคฮยอนสะดุ้งเพราะคำว่า พวกนายที่จงแดใช้ มันน่าจะหมายรวมถึงเขาด้วย ชัดเจนที่สุดก็ตรงที่ฝ่ายคิมจงแดจ้องมองมาจนให้ความรู้สึกหนาวสันหลัง

     

    ก็ก่อนหน้านั้นเป็นเขาที่วุ่นวายอยากจะขอถอนตัว พอเริ่มทดท้อและไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกก็ดันเป็นชานยอลที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาและนั่นก็เป็นสิ่งที่สร้างความปวดหัวให้ทุกฝ่ายที่เตรียมงานไม่น้อย แบคฮยอนก็รู้ แต่...ก็นะ มันก็ยากหากจะต้องฝืนใจทำสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการจะทำ

     

    “เพราะนายครั้งแรกจงแดหันไปมองชานยอล “และก็นายเราถึงไม่ต้องมานั่งกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะใช้สำหรับจัดสรรในสร้างละครเวทีเรื่องนี้เลย” จงแดหยุดสายตาไว้ที่แบคฮยอน แต่แบคฮยอนดันเกิดแต่คำถามขึ้นว่าทำไม

     

    “ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะพูดเรื่องนี้กัน และฉันก็เชื่อว่าพวกนายไม่มี ถ้าแค่ไม่ชอบหน้ากันแล้วทำงานร่วมกันไม่ได้ก็ขอให้จบลงตรงนี้นะ ต่อจากนี้หลังจากที่ต้องคลุกคลีทำงานด้วยกัน ก็มีแค่สองอย่างถ้าความสัมพันธ์ไม่ดีขึ้นก็แค่เกลียดกันไปเลย...เชื่อว่าพวกนายเลือกได้ โตป่านนี้แล้ว คงคิดเองได้ว่าแบบไหนน่าจะส่งผลดีมากกว่ากัน ฉันยอมรับว่าอาจจะรับฟังพวกนายน้อยเกินไป แต่เพราะฉันปล่อยให้งานนี้ที่มีเกิดขึ้นทุกปี และยิ่งในตอนนี้ที่มันอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเราทุกคนต้องพังลงไม่ได้จริงๆ”

     

    ชัดเจนและเฉียบขาด

     

    “เข้าใจนะชานยอล แบคฮยอน” แบคฮยอนสะดุ้งเป็นรอบที่เท่าไรของวันแล้วก็ไม่รู้ ที่สุดจอมพยศอย่างเขาก็เผลอพยักหน้างึกงักไปในตอนที่ถูกจงแดจ้องมอง ทำไงได้...ก็เขาน่ะรู้สึกเกรงกลัวรัศมีความจริงจังของผู้นำรุ่นมากจริงๆ

     

    เฮ้ย! แต่นี่มันก็เท่ากับว่าไอ้ที่เขาเหนื่อยไปเมื่อวานไม่เป็นผล!

     

    เหมือนน้ำท่วมปากแบคฮยอนไม่สามารถพูดอะไรออกไปตอนนี้ได้ทั้งนั้น ไม่แค่กับชานยอลที่เขาอยากจะสู้เถียง แต่เป็นกับทุกคน สงสัยจะตายว่าสปอนเซอร์เกี่ยวอะไร ถ้าแค่ไม่มีเขากับชานยอลแค่นี้ถึงขั้นที่ทุกคนจะเดือดร้อนเลยหรือ

     

    “ถึงขนาดนั้น” ได้แต่บ่นพึมพำพร้อมกับทำหน้าเบี้ยว เขาสะบัดหนีในตอนที่เห็นชานยอลมองมา

     

    สบตากันแค่นี้ก็รู้สึกเอือมจะแย่แล้ว นี่เขาจะต้องยอมทนจริงๆน่ะเหรอ...

     

    แต่พอหันไปอีกทีก็ไม่พบปาร์คชานยอลอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว

     

    เฮอะ! แม่งหนีปัญหานี่หว่า แบคฮยอนได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่กับตัวเองแล้วก็หันไปสะกิดเพื่อนสนิทอย่างจุนมยอนยิกๆ

     

    “นายรู้อะไรดีๆมั้ย”

     

    “ฉันรู้” ไม่ใช่คนที่เขาสะกิดเรียกไป แต่เป็นอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน คยองซูที่เป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกันที่นั่งเงียบมานานอยู่ๆก็เปิดปากพูด

     

    เหรัญญิกนี่...แบคฮยอนลืมไปได้ยังไงว่าคยองซูนี่แหละคลังเก็บเงิน

     

    “แค่ใช้ทำค่ายเงินก็หมดแล้ว รุ่นเราจนจะตายนายไม่รู้ไง เอาง่ายๆนะเก็บเงินแต่ละคนนี่ยากจะตายชัก ฉันจำได้ว่าครั้งล่าสุดนายก็ยังจ่ายไม่ครบเลยนะแบคฮยอน แบคฮยอนสะอึก ยิ้มแหยๆแล้วเกาหัว

     

    ชิบหายละ เข้าตัวซะงั้น!

     

    “แล้วไงต่ออ่ะคยอง” ทีอย่างนี้นะ เสียงอ่อนเสียงหวานเชียว

     

    “ปกติงานใหญ่ระดับละครเวทีมันก็ต้องไปขอสปอนเซอร์อยู่แล้ว ตอนแรกก็ลองร่างๆรายชื่อเอาไว้ว่าจะไปขอที่ไหนบ้าง แล้วก็ไปมันหมดแทบจะทุกที่นั่นแหละ ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่หลักๆก็ได้โรงพิมพ์ของคุณน้าของชานยอลน่ะ รายนั้นเห่อหลานชายจะตายไปใครๆก็รู้ ลองบอกไปว่าชานยอลได้รับบทเด่นฝั่งนั้นก็พร้อมที่จะทุ่มทุกอย่าง”

     

    “....” อ่อ ...อย่างนี้เองสินะ

     

    “คือเราสามารถตัดงบของรายจ่ายที่เกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์ที่จะใช้โปรโมตทั้งหมดและอยากได้เท่าไรบอกได้ไม่มีปัญหา เงินสนับสนุนก็ให้มาอีกแบบไม่อั้นเลยล่ะ คงรู้อยู่นะว่าถึงตอนนี้เราคงเปลี่ยนชานยอลออกไม่ได้อยู่แล้ว”

     

    “งั้นก็เปลี่ยนฉัน” พอสบโอกาสก็โพลงพูดออกไปอีกครั้งด้วยความดื้อรั้น

     

    “แผนโปรโมทเตรียมไว้หมดแล้วแบคฮยอน ทั้งโปสเตอร์และใบปลิวที่จะใช้ในการป่าวประกาศ ไฟล์ทั้งหมดอยู่ที่โรงพิมพ์หมดแล้ว” ในใจแบคฮยอนกำลังถามว่า...รวมถึงรายชื่อนักแสดงด้วยน่ะเหรอ

     

    “ชื่อนักแสดงก็พิมพ์หราอยู่บนนั้น” คยองซูตอบข้อสงสัยในใจเขาได้อย่างแจ่มชัด ปวดหัวอีกแล้ว เหมือนถูกมัดมือชกเลยอ่ะ

     

    แต่มันก็ทำให้เขาชะงักคิด

     

    เอ๊ะ!

    ไม่ใช่ว่าเรื่องนี้ชานยอลรู้อยู่แล้วหรอกนะ

     

    ก็อะไรจะประจวบเหมาะพอดีขนาดนี้ ทั้งเรื่องคุณน้าที่เป็นสปอนเซอร์รายใหญ่ ไหนจะเรื่องที่มาท้าแข่งบาส ถึงขนาดที่แพ้แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

     

    ชานยอลตั้งใจอย่างนั้นเหรอ...ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่แพ้ในเกมการแข่งขันบาสง่ายๆก็เป็นเรื่องที่ยอมให้กันอย่างนั้นสิใช่มั้ย?

    นี่แค่ต้องการปั่นหัวกันเล่นหรือไง...

     

    แบคฮยอนรับรู้ถึงแรงบีบเบาๆที่ต้นแขน เพื่อนตัวเล็กคงสังเกตอาการเดือดพล่านที่กำลังกรุ่นอยู่ในใจของเขาได้แล้วกระมัง แบคฮยอนเห็นแววตาที่มองมาราวกับขอร้อง ไม่ว่าอะไรที่อยู่ในใจเขาในตอนนี้จุนมยอนก็คงกำลังภาวนาไม่ให้เขาระเบิดมันออกมา

     

    จุนมยอนกำลังบอกอีกด้วยว่า...ให้เขาทำใจยอมรับทุกอย่างให้ได้

     

    ก็ได้...แบคฮยอนพยายามจะนึกถึงส่วนรวมให้มาก

    แต่บอกไว้ก่อนว่าถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวแค่ระหว่างเขากับชานยอล หมาน้อยก็ไม่รับประกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่าเขาจะประคับประคองงานได้ดีหรือจะทำให้มันพัง

     

    แบคฮยอนถือว่าเขาได้ส่งสัญญาณเตือนบอกออกไปแล้วตั้งแต่ต้น ถึงตอนนั้นก็ยอมรับให้ได้บ้างละกัน

     

    “แสดงว่าไม่ตอนนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีกแล้ว?”

     

    “ถูกต้อง...ก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเอง”

     

    “ไม่ถามความสมัครใจกันเลย ความรู้สึกของฉันมันไม่สำคัญเลยสินะ” ดูเหมือนจะพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่ากระนั้นก็มั่นใจว่าคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่ตรงนี้ได้ยินทุกคน

     

    “โธ่...แบคฮยอนอ่า ก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นแต่...” ทว่ายังไม่ทันนึกเหตุผลที่จะมาคัดค้านออก ฝ่ายคนที่พูดแสดงอาการตัดพ้อก็แทรกขึ้นมา

     

    “ก็ทำได้เท่าที่ทำได้อ่ะนะ ไม่รับปากแต่จะพยายามละกัน”

     

    คยองซูดูหน้าเจื่อนๆ ผิดกับอีกคนที่รู้จักนิสัยของพยอนแบคฮยอนดีที่ยิ้มกว้างและโผเข้ากอดเพื่อนตัวเองอย่างเต็มรัก

     

    “แบบนี้สิเบค่อน ฉันเป็นกำลังใจให้นายนะ” จุนมยอนยิ้มตาหยี พูดจาด้วยประโยคแพทเทิล เป็นอย่างนี้ก็เลยถูกแบคฮยอนเขวี้ยงค้อนวงใหญ่ให้เสียหนึ่งวง

     

    “ไม่ใช่เพราะนายหรือไง”

     

    “ง่า” เห็นจุนมยอนยู่หน้าแล้วก็อดไม่ได้เลยที่จะเอื้อมไปโอบบ่าของอีกคนเอาไว้พร้อมกันนั้นจึงส่งมือไปยีหัวด้วยความหมั่นเขี้ยวมันเสียเลย

     

    “น่าโกรธ แต่ก็ไม่เคยโกรธลงซะที”

     

     

     

     

     

     

    แบกฮยอนชะโงกหน้ามองผ่านกระจกใสออกไปด้านนอก มองแล้วก็มองอีกอยู่อย่างนั้น จนเพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันอีกสองคนต้องหันมองหน้ากันเพราะมีคำถาม

     

    “เบค่อนหาอะไรเหรอ?” ที่สุดแล้วจุนมยอนก็เป็นคนเอ่ยปาก

     

    “ฝนก็ไม่ตกนี่หว่า” ไม่ได้ตอบคำถามของจุนมยอนซะอย่างนั้น

     

    “เห?”

     

    “นายว่าไม่แปลกเหรอจุนมยอนที่จู่ๆไอ้ไคก็เลี้ยงข้าว ฉันว่าอีกไม่นานฝนจะตกเทกระหน่ำลงมาห่าใหญ่แน่ๆ” ทันทีที่รับฟังทุกคำในประโยคครบ จุนมยอนที่ก่อนหน้านั้นมีใบหน้าที่เหรอหราเพราะเข้าใจอะไรย๊ากยากเป็นปกติ โดยเฉพาะมุกที่มักจะตามใครเขาไม่ทันถึงกับหลุดหัวเราะ

     

    “เว่อร์ เดี๋ยวก็ให้จ่ายส่วนของตัวเองซะเลยนี่” แบคฮยอนตาโตกับคำขู่ ถัดจากนั้นเพียงเสี้ยววินาทีจอมเซี้ยวก็เปลี่ยนท่าทีโดยพลัน

     

    “ไม่นะครับเสี่ย ขอโทษครับ แบคฮยอนแค่ล้อเล่นเฉยๆเอง เสี่ยอย่าคิดมากนะครับ”

     

    “เดี๋ยวกูเตะ เงียบปากมึงป่ะ ถ้าอยากกินอย่างสงบสุข”

     

    ฟังแล้ว แบคฮยอนก็ต้องเบะปาก “ดุจังอ่ะเสี่ยอ่ะ”

     

    “เดี๋ยวให้ชานยอลมาจัดการแม่ง”

     

    แค่ได้ยินชื่อแค่นี้อารมณ์ก็ขึ้นแล้ว แบคฮยอนคิดว่าตัวเองดีขึ้นแล้วเชียว ขอร้องได้ป่ะล่ะ อย่ามาสะกิดเชียวล่ะ “ไคเงียบปากมึงไปเลยนะถ้ายังไม่อยากตายน่ะ!

     

    “ไม่เอาน่า เบค่อนน่า” นี่ถ้าไม่มีจุนมยอนมาคอยตามห้ามทัพ คงได้มีใครสักคนกลายเป็นศพไปเสียแล้ว

     

    เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า...

     

    จุนมยอนต้องส่ายหัวจนเมื่อยคอทุกครั้งที่ไคกับแบคฮยอนปะทะกัน

     

    “เออ ว่าแต่ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าทำไมถึงนึกอยากจะเลี้ยงข้าวขึ้นมาน่ะ” ไคที่เตีรยมคำตอบเอาไว้อยู่แล้วกอดอกผึ่งผาย

     

    “ก็เห็นร้านเปิดใหม่ อยากชวนมากินแต่เห็นว่าช่วงนี้แต่ละคนก็ต่างยุ่งอยู่อ่ะ ถ้าแค่ชวนมาเฉยๆฉันก็ไม่รู้ว่าพวกนายก็ยอมมาหรือเปล่า ก็เลยเสนอตัวว่าจะเลี้ยงกลัวไม่มีเพื่อนกินน่ะ” จุนมยอนมองรอบๆอย่างสนใจ และก็ไม่ได้เอะใจสงสัยอะไรขึ้นมาอีก เพราะมันคือร้านสเต็ก ซึ่งสเต็กก็เป็นอาหารจานโปรดของคนที่เอ่ยปากว่าจะเลี้ยงอยู่แล้ว จึงไม่แปลกหากว่าไคจะดูเต็มใจมากขนาดนี้

     

    “โหย เห็นเพื่อนเป็นคนเห็นแก่กินไง?” ดูเหมือนว่าแบคฮยอนจะอยากเปิดศึกอีกรอบแล้วกระมัง

     

    “แล้วไม่ใช่?”

     

    พยอนแบคฮยอนยิ้มทะเล้นก่อนจะพยักหน้าอย่างแรง “ใช่” ถึงตอนนี้แล้วก็หัวเราะร่วนทีเดียว

     

    “งั้นไม่เกรงมึงเลยนะเว้ยไค!

     

    ฝ่ายไคตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งพอกัน “เออ!”  

     

    หลังจากนั้นพวกเขาก็สนใจแต่กับเมนูอาหารที่มีเพียงเล่มเดียวสำหรับหนึ่งโต๊ะ แบคฮยอนได้ของที่อยากจะกินไปแล้วสองอย่าง ที่สั่งไปมีแต่เนื้อกับเนื้อ ไม่มีของกินเล่นหรือไว้เรียกน้ำย่อยเลย ร่างเล็กกะปอกลอกไคเต็มที่

     

    ขณะที่ละจากเมนูเพราะตัวเองสั่งสิ่งที่ตอนนี้นึกออกว่าอย่างกินไปเรียบร้อย เจ้าตัวก็หันมารินชาเขียวที่อยู่ในเหยือกลงในแก้วสามใบสำหรับเขาและก็เพื่อนสนิทอีกสองที่เหลือ แบคฮยอนทำแบบนั้นจนเสร็จก็เลือกที่จะละสายตามองไปรอบๆเพื่อเก็บรายละเอียดร้านเพิ่งเปิดใหม่นี้บ้าง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนมาใหม่สองคนที่กำลังตกลงอะไรสักอย่างกับพนักงานเสิร์ฟของร้าน ไม่นานก็ได้ที่นั่งบริเวณด้านนอก

     

    เขาสะกิดเรียกจุนมยอนทั้งที่ดวงตายังไม่ละจากภาพตรงหน้า “จุนมยอน...”

     

    ดวงตากลมหันมองเพื่อนตัวเองก่อนที่จะหันสายตาไปตามเป้าหมายดวงตาของแบคฮยอนที่ไม่วอกแวกไปไหน

     

    พวกเขานั่งอยู่จนเกือบจะด้านในสุดของร้านและคนก็เนื่องแน่น ทว่ากลับไม่ได้เป็นอุปสรรคในการที่จะมองหาสิ่งที่แบคฮยอนต้องการจะบอก อาจเพราะความโดดเด่นของเป้าหมายและการที่มองจากตรงนี้ทะลุกระจกตรงไปเขาก็เห็นคนสองคนที่อยู่ฝั่งเดียวกันโดยที่หันหลังเข้ามาทางร้านสเต็ก

     

    ไม่ต้องเห็นหน้าจุนมยอนก็จำได้แม่นว่านั่นคือคริส

     

    “นั่นคริส” แบคฮยอนบอกเขาเสร็จสรรพ เกิดคำถามอยู่ในใจว่าคนที่มาด้วยกันกับฝ่ายนั้นคือใครได้ไม่นานเท่าไร คนที่นั่งตัวติดกันกับคริสในทีแรกก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเปลี่ยนให้ตัวเองไปนั่งเก้าอี้ที่อยู่อีกฝั่งตรงกันข้ามกัน

     

    อยู่ๆใจจุนมยอนก็เต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมาในตอนที่เห็นใบหน้าของใครอีกคนนั้นชัดแจ่มแจ๋ว

     

    “ใครน่ะ? น่ารักว่ะ” จุนมยอนหันมองหน้าคนพูดอย่างแบคฮยอน หัวใจของเขากำลังสั่นคลอนมากขึ้นทุกที

     

    ผู้ชายอีกคนนั้นน่ารักจริงๆ น่ารักมากๆ น่ารักจนทำให้เขากลัว...

     

    แต่แล้วจุนมยอนก็มี่แต่คำถามที่ว่า กลัวอะไร? กลัวทำไม?

     

    เกิดว่าคริสจะมีใครสักคนที่ดีกว่าเขาแล้วยังไง...

     

    ก็ไม่แล้วไงไง ...นั่นดิ ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันเลย เขามันก็แค่คนแอบชอบที่อีกฝ่ายไม่มารู้เรื่องอะไรด้วยเลย

     

    “ความจริงก็พอได้ยินมาอยู่บ้างอ่ะนะ” ไคพูดขึ้นมาลอยๆ แต่กลับทำให้สองคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกันตั้งแต่ที่แรกหันกลับมามองขวับ

     

    มีเพียงแววตาคาดคั้นจากแบคฮยอน ขณะเดียวกันจุนมยอนกลับมองด้วยใบหน้าเรียบเฉยจนไคก็ไม่อาจที่จะคาดเดาความรู้สึกได้จริงๆ “เฮ้! นี่ฉันก็แค่ได้ยินมาจากคนอื่นอีกต่อหนึ่งเฉยๆ ก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วความจริงมันเป็นไงอ่ะนะ”

     

    “ก็เล่าดิ หลังจากนั้นกูจะตัดสินใจเองว่าเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้”

     

    “คือว่างี้...” ไคมองแบคฮยอนที่ตั้งใจมากถึงขนาดเม้มปากฟัง พอมองแล้วก็เลยรู้สึกกลัวที่จะเล่าต่อจัง ดวงตาเหลือบไปมองที่จุนมยอนเสียอีกที แม้จะทำท่าทีเหมือนไม่อยากรับรู้แต่ไคก็เชื่อว่าฝ่ายนั้นคงอยากฟังหากว่านั่นคือเรื่องของคริส

     

    ยิ่งเห็นจุนมยอนเป็นอย่างนี้ไคก็ยิ่งอยากจะพูดต่อ...

     

    “นั่นอ่ะชื่อลู่ฮานเป็นคนจีนเหมือนคริสนั่นแหละ คือฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าความสัมพันธ์ของสองคนนั่นเป็นยังไงสมัยอยู่ที่นั่น แต่เท่าที่ได้ยินมาก็เหมือนจะมีอะไร”

     

    “อ๊าว! แล้วมันมีอะไรอ่ะ” เห็นจะมีแต่แบคฮยอนคนเดียวเท่านั้นล่ะมั้งที่เดือดร้อน

     

    “ก็ไม่รู้ว่ะ ถึงกับบินตามมาถึงที่นี่ทั้งที่ก็ไม่ใช่ญาติมิตรกัน นายคิดว่าไงล่ะ” ไคไม่สรุปแต่ดันหันกลับมาถามพวกเขาสองคน

     

    “ไม่เอาดิไค เอาที่มึงได้ยินมาดิ” ยิ่งซักก็ยิ่งเข้าทางไค

     

    “เห็นว่าทะเลาะกัน ไม่รู้ว่ารุนแรงมากมั้ยนะ แต่ก็ทำให้ไอ้เจ๊กนั่นหนีมาถึงเกาหลีได้และที่คนที่ชื่อลู่ฮานตามมาถึงนี่ก็คงจะตามมาง้องอนตามประสา”

     

    “ตามประสา? ตามประสาอะไร? แฟนเหรอวะ?” พูดจบแบคฮยอนก็อ้าปากค้าง ให้ตาย! เขาล่ะอยากตบปากตัวเองสักสี่เปรี้ยงจริงๆ ความอยากสอดรู้สอดเห็นทำให้ลืมไปว่าจุนมยอนนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน

     

    เสี้ยวหนึ่งไคแอบเหลือบมองจุนมยอนที่ยังคงนั่งนิ่งเฉย ก่อนจะตอบรับเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากไม่เต็มคำทำราวกับเห็นใจเพื่อนเสียเต็มประดา ต่างจากในใจที่กำลังโห่ร้องยินดี

     

    “อื้ม...ก็ประมาณนั้นแหละ”

     

    “ไม่จริง! จุนมยอนอย่าไปเชื่อ!” แบคฮยอนโพลงออกไปเสียงดัง จะมากลัวว่าเพื่อนจะเสียใจตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว

     

    ไม่วาย...ยังจะหันไปยกกำปั้นทำราวว่าอยากจะทุบไคเอาเสียอีก ทั้งๆที่ตัวเองก็เป็นคนคาดคั้นอยากจะรู้แท้ๆเองนี่นะ

     

    “จุนมยอนนาไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก ไปถามคริสกัน”

     

    ยิ่งได้ฟังในสิ่งที่แบคฮยอนเพิ่งเอ่ยจุนมยอนก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความน้อยเนื้อต่ำใจ เขาไปมีสิทธิ์อะไรแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน คริสก็แค่จูบเขาด้วยความไม่ตั้งใจ สองครั้งเท่านั้นเอง

     

    แค่นั้น...แล้วก็จบ...

     

    “จุนมยอน” คนตัวเล็กก้มหน้านิ่ง เขาไม่อยากที่จะสบตากับแบคฮยอนหรือแม้กระทั่งไค เพราะสองคนนั้นสามารถอ่านความรู้สึกของเขาได้หมดแน่ๆ

     

    “ไม่เป็นอะไรหรอกน่าเบ่ค่อน” แต่แล้วก็จำใจเงยหน้าขึ้นมาแล้วฝืนยิ้ม

     

    “อื้ม” แบคฮยอนพยักหน้าพลางส่งมือขึ้นมาลูบผมของจุนมยอน

     

    “มันไม่เกี่ยวอะไรกับฉันนี่นะเบค่อน” เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบรื่น กระนั้นคนฟังก็ยังจับได้อยู่ดีว่าปลายเสียงออกจะสั่นเล็กๆ เพราะความรู้สึกน้อยใจที่เขาเริ่มสะสมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้กำลังผลักดันให้น้ำตาไหลออกมา

     

    จุนมยอนอยู่ตรงนี้ต่อไปไม่ได้...

     

    ถ้าเขายังยืนยันจะอยู่ที่เดิมก็ต้องร้องไห้ให้คนอื่นเห็นและสุดท้ายทุกคนก็คงจะหัวเราะเยาะ

     

    “กลับก่อนนะ”

     

    ไม่มีทางเลือกอะไรเลยด้วยซ้ำ หากว่าต้องการจะไปให้พ้นก็มีทางออกเพียงแค่ทางเดียวคือจุนมยอนต้องเดินตรงออกไปทางหน้าร้าน และแน่นอนว่าทางนั้นก็ต้องผ่านคริสพร้อมทั้งใครอีกคน

     

    คนตัวเล็กลุกขึ้นและเดินตรงไปทางหน้าร้าน จุนมยอนมองแต่เท้าตัวเองจึงไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าคริสจะเห็นเขา หรือเพียงคิดที่จะมองกันบ้างหรือไม่ก็ยังไม่อาจมั่นใจได้เลย

     

    “จุนมยอน!

     

    แบคฮยอนหัวเสียอยู่กับตัวเอง แล้วก็ทำได้แค่มองหน้าไคเพียงเสี้ยวเศษวินาที เพราะเขาไม่มีเวลาแม้จะต่อว่าอีกฝ่ายแม้เพียงสักเล็กน้อยอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ก็สำหรับตอนนี้มีสิ่งที่สมควรที่จะทำมากกว่าซึ่งนั่นก็คือการตามไปดูจุนมยอน

     

    แบคฮยอนไปแล้ว...

     

    และ...ในที่สุดก็เหลือไคเพียงคนเดียว...

     

    เจ้าของผิวสีน้ำผึ้งดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไคตามไปยังทางที่เพื่อนของเขาทั้งสองเดินออกไป และไม่นานหลังจากที่หยุดดวงตาไว้ที่ใครอีกคน ใครคนนั้นก็รู้ตัวแล้วก็ส่งยิ้มกลับมา

     

    ยิ้ม ...ยิ้มให้กันแค่นั้นแล้วต่างฝ่ายก็ต่างรออาหารจานโปรดต่อไป

     

     

    ไม่มีใครรู้ว่านี่คือแผน...

     

     

     

    นอกเสียจาก ไคและลู่ฮาน

     

     

     

     

    TBC…

     

    เค้าไม่มีอะไรจะพูดนอกจากขอโทษ...

    มันนานมากกก พอดีว่าหลบไปแต่งฟิคโปรเจ็คมาค่ะ

    จะมีใครคิดถึงตัวป่วนสองคนนี้บ้างนะ

    หลังจากนี้ไคกับลู่ก็คงจะมีบทบาทในการสร้างความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นนะคะ

     

    อิอิ ว่าแล้วก็ฝากลิ้งค์โปรเจ็คด้วย หะหะ http://chanbaekmania.exteen.com/20121214/chan-baek-turned-into-infinity-book-project-1
     

    ขอบคุณที่ยังตามอ่านแม้ไรท์เตอร์จะดองบ้างอะไรบ้าง *กอดเรียงตัว*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×