เวลาตะแคงนอนให้นมลูก คือเวลาสุดวิเศษของแม่กับลูก ลูกได้อิ่มพริ้มไปกับอกของแม่ ส่วนแม่เองนอกจากจะมองหน้าลูกและตบก้นให้เบาๆ แล้ว ก็ยังได้ใช้ความคิด คิดถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิต คิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจแม่ขณะนั้นจะเตลิดไปถึง ให้เต้านมดำเนินหน้าที่เองอย่างสมบูรณ์
เพื่อนของแม่เขียนจดหมายมาถึง เราคุยกันทางจดหมายเสมอ อาจจะนานกว่าจะมาถึงสักฉบับ แต่ทุกครั้งที่ได้รับ จดหมายนั้นก็หนาจุใจ ไม่ว่าเขียนเรื่องอะไรแม่ก็ว่าน่าอ่านทั้งนั้น แม่เชื่อว่าในทุกจดหมายล้วนเขียนขึ้นมาด้วยความรู้สึกดีถึงกัน โทรศัพท์อาจจะใช้ได้รวดเร็วกว่า แต่ในความรู้สึกระหว่างเพื่อนที่อยู่ไกลกัน จดหมายจะหอบพาความคิดถึงมาถึงกันได้เต็มที่ แม่เชื่อว่าอย่างนั้นจริงๆ ถึงอย่างนี้ถ้าไม่มีธุระเร่งร้อนอะไร แม่ก็จะคุยกับเพื่อนด้วยจดหมายเหมือนเป็นการไปหาเพื่อนโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า ไปถึงในเวลาที่เหมาะสม ต่างคนต่างก็พร้อมที่จะพบหน้า
เพื่อนของแม่เขียนมาในจดหมายว่า "...ไม่น่าเชื่อว่า คนที่เด็กที่สุด เซี้ยวที่สุดอย่างแก จะกลายเป็นคุณแม่เป็นคนแรกในกลุ่ม ยังนึกภาพตอนสมัยเรียน แกชอบขี่จกรยานขาถ่าง ถึงตอนนี้ก็นึกไม่ออกว่าแกจะเลี้ยงลูกยังไง เป็นแม่คนได้ยังไง..."
นั่นน่ะสิลูก... แม่นึกถึงภาพตัวเองนุ่งกางเกงยีนส์ขาสั้นกับเสื้อยืดคอกลม รองเท้าฟองน้ำหูไขว้สีขาวสีประจำ เก่าจนขาดจนต้องซื้อใหม่ แม่ก็จะซื้อสีเดิมเหมือนเป็นเครื่องแบบ ไว้ผมยาวปล่อยสยาย มือหนึ่งก็หอบหนังสือเรียนกับอุปกรณ์เรียน ถึงเวลาก็ขี่จักรยานไปตึกเรียน นึกถึงตอนนี้ก็ออกจะทุเรศตัวเองอยู่ที่ทำตัวไม่ให้เกียรติสถานที่ ไม่ให้เกียรติอาจารย์ผู้สอน และที่สุด ไม่ให้เกียรติและเป็นศรีกับตัวเองเลย
ในวัยนั้นแม่ไม่เคยคิดอะไรอย่างนี้ ครู-อาจารย์ ใครต่อใครที่เห็นถึงจะไม่เอ่ยปากดุด่า ก็คงจะไม่พอใจอยู่ในที แม่จะอ้างได้ไหมว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ของที่นี่ก็ล้วนคล้ายๆ กัน แม่เชื่อว่าคงไม่มีมหาวิทยาลัยแห่งไหนอีกแล้วที่มีนักศึกษาแต่งตัวไปเรียนด้วยชุดที่น่าเกลียดได้ขนาดนั้น แต่ก็อาจจะมีแต่รุ่นของแม่ที่ทำกันได้ลงคอ เพราะเดี๋ยวนี้เห็นนักศึกษาแต่งตัวกันได้น่ารักแทบทุกคน
แม่ตอบจดหมายเพื่อนไปว่า... "ตอนนี้ความเซี้ยว แก่น ซ่า เบาลงไปเยอะ (ก็จวนจะ 30 แล้วนี่) แกอาจจะนึกภาพไม่ออกไปใหญ่ว่า ฉันจะอยู่โยงเป็นแม่บ้านได้อย่างไร เช้าจรดค่ำต้องอยู่แต่บ้าน ทำงานบ้าน ดูแลลูก นี่ฉันก็ไม่ได้ออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหนมาเกือบปีแล้ว ต่างกับเมื่อก่อนตอนเป็นมนุษย์เงินเดือน จันทร์-ศุกร์ ออกไปทำงานออฟฟิศ เสาร์-อาทิตย์ ก็ยังส่องหากิจกรรมให้ได้เที่ยวไป มีธุระไม่หยุดหย่อน วันหยุดประจำปีก็ถูกจองคิวเดินทาง แทบจะหาวันว่างจริงๆ ไม่ได้เลย วันนี้ฉันได้ห่างจากโลกหมุนเร็วใบนั้นแล้ว
" โลกของฉันหมุนช้าลงก็จริง แต่ก็ไม่อืดอาดเกินไป บางวันฉันยังรู้สึกว่าทำสิ่งต่างๆ ได้น้อย แต่งานที่บ้านก็ไม่ต้องมีเจ้านายมาค้ำหัวเร่ง การเลี้ยงลูก เฝ้าดูลูกเติบโตอย่างช้าๆ ก็ทำให้ชีวิตมีสมดุลขึ้น ถ้าแกอยากรู้ถึงความรู้สึกนี้คงต้องเร่งหาสามีเร็วๆแล้วล่ะ แล้วก็ลองมีลูกสักคนสิ
" ฉันไม่คิดหวังว่าลูกจะเติบโตขึ้นเป็นอะไร ไม่เคยฝันว่าลูกสาวของฉันจะได้แต่งเครื่องแบบสีขาวของนางพยาบาล หรือแต่งตัวเก๋ทำงานบนออฟฟิศหรู หรือแต่งตัวสวยสมเป็นนางฟ้าบนเครื่องบิน ฉันยังไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะให้ลูกเข้าเรียนที่โรงเรียนไหน กับลูกแล้วฉันคิดถึงแค่ปัจจุบัน เช่นว่า มื้อนี้จะทำอะไรให้ลูกกิน ลูกคลานไปทางนั้นต้องรีบไปเก็บของชิ้นจิ๋วที่วางหล่นอยู่ตรงหน้าก่อน ไม่งั้นเดี๋ยวลูกเอาเข้าปากแน่ หรือถ้าลูกทำเลอะเทอะก็ต้องจัดการเก็บเช็ดล้างทันทีพอถึงเวลาที่ลูกหลับ ฉันก็ต้องใช้เวลาในขณะนั้นให้คุ้มค่าที่สุด ตีความตามธรรมะได้ไหมว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน มีสติในปัจจุบัน เป็นไงล่ะแก ฉันเปลี่ยนไปไหม..."
ลูกรักของแม่ แม่อยากบอกลูกอย่างหนึ่งนะ อยากให้ลูมั่นใจในตัวแม่ ไม่ว่าในอดีตแม่จะเซี้ยวซ่าอย่างที่เพื่อนของแม่ว่าขนาดไหน ตั้งแต่มีลูก แม่คิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แม่มีลูกเป็นแรงบันดาลใจในการเป็นคนเข้าท่ากว่าเดิม
......ลูกรักของแม่ โตขึ้นลูกจะเป็นอะไรก็ได้นะ จะเซี้ยวซ่าแบบแม่บ้างก็ได้ จะขี้โมโห และเอาแต่ใจตัวเอง (อย่างที่พ่อชอบว่าแม่บ่อยๆ) ก็ได้ ก็ลูกกินนมแม่นี่...
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น